กรรม คือ การกระทำและผลของการกระทำที่เราเป็นผู้กระทำขึ้นมาเองค่ะ พระพุทธเจ้าท่านให้ข้อสรุปสั้น ๆ เกี่ยวกับกรรม คือ กรรม สามารถเกิดขึ้นได้ 3 ทาง คือ
มโนกรรม (กรรมทางความคิด) วจีกรรม (กรรมทางคำพูดหรือการเขียน) และกายกรรม (การกระทำหรือลงมือกระทำใด ๆ ให้เป็นผล)
ดังนั้น ถ้าคิดดี พูดดี ทำดี ก็คือการสร้างกรรมดีค่ะ ถ้าทำตรงกันข้าม คือคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ก็คือการสร้างกรรมไม่ดี หรือกรรมชั่วนั่นเองค่ะ
ทุกการกระทำของเขาจึงมีผลต่อการเป็นตัวตนของเรา และมีผลต่อการดึงดูดหรือผลักคนอื่น ๆ มาอยู่คนรอบข้างเราไงคะ
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าเรา ชอบคิดประทุษร้าย คิดไม่ดี แล้วก็ถึงขั้นพูดและลงมือเขียนว่าร้ายผู้อื่นที่เขาเป็นคนดี โดยที่เราไม่ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองว่าเขาดีหรือไม่ดี แบบนี้่เราบาปทางวาจาแน่นอนค่ะ
คือการว่าคนไม่ดีมันก็บาปนะคะ แต่อาจจะบาปไม่หนักเท่าไหร่ เป็นเศษกรรม แต่กระนั้นก็ไม่ควรฝึกสะสมเศษกรรมนะคะ เพราะก็เหมือนสะสมกรวดสีดำก้อนเล็ก ๆ ไว้เรื่อย ๆ
นานวันเขามันก็กองโตเท่าภูเขาได้ เป็นภูเขาสีดำ ทับถมในจิตใจเรา ดังนั้น ถ้าเราขยันสร้างคำพูดว่าคนอื่นบ่อยๆ ไม่รู้ว่าใครดี ไม่ดี ก็ว่าอะนะคะ มันก็จะทำให้จิตเราขุ่นมัว
เกิดกรรมทางความคิด แล้วก็ฝึกให้ตัวเราเป็นคนคิดไม่ดีกับคนอื่นได้ง่าย หรือกลายเป็นคนอารมณ์ร้อน ขุ่นมัวง่าย คนอยู่ใกล้ด้วยก็จะรู้สึกไม่สบายใจ
ลองสังเกตดูคนที่ชอบเขียนด่าว่าคนเรื่อย ๆ สิคะ เขาจะเป็นคนที่มีจิตใจขุ่นมัว เวลาอยู่กับคนรอบข้าง คนอื่นก็อาจจะอึดอัด เหมือนเป็นการขับไล่มิตรทางอ้อม
เพราะจิตที่ขุ่นมัว มันจะเกิดออร่าทางจิตที่ไม่ดี ขับไล่คนที่คิดดี ๆ ออกไปจากชีวิตเราได้ เพราะคลื่นสมองมันคิดไม่ดี กับคนดี มันจะรบกวนกันไงคะ
เราสังเกตได้เลย คนไหนที่มีจิตคิดไม่ค่อยกุศล คิดไม่ค่อยดีบ่อย ๆ เขาก็มักจะมีสีหน้าท่าทางที่ไม่ค่อยสบอารมณ์กับคนรอบข้างได้ง่าย คล้าย ๆ คนหน้ามุ่ยอะค่ะ
เพราะฉะนั้น ฐานแห่งการสร้างแรงดึงดูดคนดี ๆ จึงเริ่มต้นจากการคิดที่ดีก่อนค่ะ เพราะมันจะเกิดออร่าทางบวก ทางที่ดี เหมือนเราเป็นคนยิ้มแย้ม ก็ดึงดูดคนดี ๆ เข้ามาได้
จิตที่เราคิดดี มันจะเกิดเป็นคลื่นความคิดที่คนรอบข้างรู้สึกอยากอยู่ใกล้ด้วย ไม่รบกวนกับคนที่คิดอกุศล แล้วถ้าคนคิดกุศลกับคนคิดอกุศลอยู่ใกล้กัน มันจะรบกวนกันค่ะ
ก็คล้าย ๆ คนศีลไม่เสมอกัน คนคิดอกุศล คนที่คิดไม่คิดดีกับคนอื่นก็จะค่อย ๆ ออกห่างไป หรือเขาจะมุ่งร้ายมากขึ้น หรือทนไม่ไหวออกไปจากคนคิดดีไปเอง ก็แล้วแต่ตัวเขาค่ะ
แต่ถ้าบางคนคิดไม่ดี พูดไม่ดีแล้ว ถึงขั้นลงมือด้วย ก็คือบาปกรรมที่เป็นกายกรรมค่ะ อันนี้ก็จะหนักขึ้น
แต่บาปที่ทำได้ง่ายและเร็วสุดก็คือบาปทางวาจา หรือการสร้างวจีกรรมไม่ดีออกมาว่าคนอื่นนะคะ แบบนี้ทำง่ายและได้ผลเร็วค่ะ
เช่น ลองด่าใครในเว็บบอร์ดปุ๊บได้ผลปั๊บ มีคนโควทด่าตอบเลยค่ะ ซึ่งในเว็บบอร์ดแบบนี้อาจจะยังมีข้อดีคือไม่มีไอพีให้ดู ก็อาจจะรอดคนทำร้ายคืนได้ง่าย
แต่เขาอาจจะโดนเพ่งเล็งจากผู้ดูแลบอร์ดได้ง่าย แต่ถ้าขยันทำบ่อย ๆ ในพื้นที่สาธารณะอื่น ๆ เช่น เฟซบุค อินสตาแกรม ก็เสี่ยงมากขึ้น
ดังที่เราเห็นว่า หลายคนโพสต์ด่าอะไรรุนแรง ก็จะโดนกระแสสังคมจัดการ จนแทบไม่ม่ีพื้นที่ยืนเลยค่ะ
หรือกรณีครอบครัวหัวร้อน ที่ใช้วจีกรรมด่าว่าตำรวจ และยังมีการใช้กายกรรม ชกต่อยทะเลาะวิวาทด้วย งานนี้ก็เลยสองเด้ง สามเด้งสิคะ
เพราะสร้างกรรมไม่ดีตั้งแต่ความคิด คำพูด และการกระทำ จะเห็นว่ากรรมที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ เป็นข้อเท็จจริงทั้งนั้นค่ะ
ถึงเป็นที่มาไงคะว่า ใครทำอะไรไว้ ย่อมได้สิ่งนั้น คิด พูดหรือเขียนในสิ่งไม่ดี ลงมือกระทำทำไม่ดี ก็เสี่ยงเจอเรื่องไม่ดี และเจอย้อนกลับคืนมาไม่มากก็น้อย
แต่ถ้าเราคิดดี พูดดี ทำดี ความเสี่ยงในการเจอคนที่จะมาว่าร้ายเราคืนนั้นย่อมมีน้อยกว่า แต่โอกาสจะเจอสิ่งดี ๆ ก็ย่อมมีมากกว่าทำไม่ดีจริงไหมคะ
แม้ว่าบางครั้งทำดี แต่ก็ยังไม่ค่อยได้ผล ก็อาจจะเพราะการทำความดีนั้นมันต้องใช้เวลานานที่คน ๆ หนึ่งจะถูกพิสูจน์ตัวตนว่าดีจริง ดีแท้
อีกอย่างคนในสังคมมีคนหลากหลาย ความคิดก็หลากหลาย จะให้ทุกคนมองเราดีหมดก็คงยากนะคะ
แต่เราต้องเข้าใจหลักธรรมะพื้นฐานก่อนว่า เราจะอยู่กับความสุขและทุกข์อย่างไรให้เข้าใจ โดยเฉพาะความทุกข์ที่มันมีมาเรื่อย ๆ อันนี้ก็อีกประเด็นค่อยว่ากันค่ะ
นอกจากนี้บางคนทำดี แต่คิดว่าไม่ได้ดีเลย ไปทำสิ่งดี ๆ ให้กับเพื่อน ให้คนแฟน หรือคนรัก ทำกับคนนั้นคนนี้แล้วทำไมเขาไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นความดีเรา
อันนี้ต้องเข้าใจด้วยนะคะว่า บางทีเราก็อาจจะคิดดี พูดดี ทำดีกับผิดคน ผิดที่ ผิดเวลานะคะ บางคนไม่มีความดีในตัวเลย เราไปทำดีด้วย เขาก็อาจจะไม่มีอะไรดีให้คืนมานะคะ
แต่ในความเป็นจริงพระพุทธเจ้าท่านทรงสอนว่าการทำความดีนั้น ไม่ต้องไปหวังสิ่งใดตอบแทนนะคะ แต่การทำดี รวมถึงการทำบุญนั้น ก็เพื่อให้จิตใจเรามีความสงบสุข
เพราะกรรมใด ๆ ก็ตาม ที่เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมโกรรม วจีกรรม กายกรรม ไม่มีอะไรทุกข์ที่สุดเท่ามโนกรรม หรือกรรมทางความคิดนะคะ
คุณจะติดอยู่กับความเจ็บปวด ทุกข์ทางใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ สุขภาพทางจิตไม่ดี ก็เพราะกรรมทางความคิดนี่แหละค่ะ คนป่วยหลายคนก็ป่วยเพราะกรรมทางความคิดนะคะ
แม้แต่คนป่วยทางกาย เป็นโรคนั้น โรคนี้ ถ้าปล่อยวางไม่ได้ มีกรรมทางความคิดไม่ดีเยอะ มีความทุกข์ทางใจเยอะ ก็จะป่วยหายยาก หรือทรมานทั้งกายและใจเลยค่ะ
ดังนั้น ป่วยกายก็ทำให้ทุกข์ใจ ป่วยใจก็ทำให้ทุกข์กายค่ะ จึงต้องดูแลทั้งกายและใจควบคู่กันนะคะ
อาจจะนอกเรื่องไปก่อน แต่พูดให้เข้าใจที่ว่าของกรรมที่ว่าค่ะ เพราะหลายคนไม่เข้าใจคำว่ากรรมไงคะ มันจะทำให้คนหลงประเด็นไป แต่ดิฉันก็ไม่ใช่กูรูอะไรนะคะ
แค่ว่า พอจะนำเสนอให้คนอื่นเข้าใจกันด้วย ดิฉันเองบางทีก็มีความทุกข์ทางใจอยู่แหละค่ะ ก็ยังเป็นปุถุชน แต่ก็พยายามใช้ธรรมะดับทุกข์ด้วย
ส่วนเรื่องกรรมอีกทางก็คือ กรรมเก่า ซึ่งก็อาจจะยังมีผลต่อชีวิตเราด้วย เพราะอาจจะทำให้เราทำอะไรไม่ค่อยราบรื่น ทั้งการงาน และความรัก เป็นต้น
ซึ่งในทางพุทธศาสนานั้น กรรมเก่า ก็มีทั้งกรรมเก่าในชาตินี้ (คือตั้งแต่เราเกิดมาและก็ลงมือกระทำอะไรลงไป) และกรรมเก่าชาติก่อน (ที่เราไม่อาจจะรู้ได้ เพราะมันคือเรื่องชาติก่อน)
ถ้าตามความเชื่อทางพุทธนะคะ การทำบุญหรือฝึกคิดดี พูดดี ทำดี ทำสิ่งที่เป็นกุศลมากขึ้นในชาติปัจจุบันนี่แหละค่ะ จะเป็นตัวช่วยให้เราไปเจอสิ่งที่ด่ี ๆ ขึ้น
แม้ว่ากรรมเก่าจะไม่หมดไป แต่ว่าใจเราก็จะสงบขึ้น เข้าใจถึงทุกข์ตัวเองว่าเกิดจากอะไร ก็จะยอมรับมัน และอยู่กับทุกข์ที่มีให้ได้ อย่างน้อยทำดี คิดดี พูดดี ใจเราก็จะเย็น สว่าง
ส่วนชีวิตโดยภาพรวมอาจจะยังแย่อยู่ ก็อาจจะดีขึ้นมาได้ ไม่มากก็น้อย เพราะมันอาจจะต้องใช้เวลา ขอเพียงไม่ย้อท้อ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ค่ะ
ก็ดีกว่าไปสะสมกรรมไม่ดี ทั้งความคิด คำพูด การกระทำที่ไม่ดีนะคะ ยิ่งทำไม่ดีสะสม มันจะไปดีขึ้นได้ยังไงละคะ คิดง่าย ๆ แค่นี้แหละค่ะ
เอาง่าย ๆ เลยนะคะ เราอยากมีเพื่อนที่ดี มีคู่รักที่ดี คนที่ดี ๆ จริงใจอยู่ใกล้ ๆ เรา เราก็ต้องเริ่มต้นคิด พูด และทำดีก่อน จริงใจก่อนจริงไหมคะ
แล้วถ้าเราทำตรงกันข้าม สร้างกรรมไม่ดีผ่านทั้งความคิด คำพูดหรือการเขียน การกระทำใด ๆ อย่างใดอย่างหนึ่งประจำ
ถามว่าต้องมีคนแบบไหนล่ะ ถึงจะมาอยากอยู่กับคนที่ชอบคิดไม่ดี ชอบด่าว่าคนอื่น ชอบลงมือกระทำเรื่องไม่ดี ชอบนอกใจคนอื่น ไม่จริงใจกับคนอื่นอะไรแบบนี้
ก็คงต้องเป็นคนประเภทเดียวกันล่ะค่ะ ที่พระท่านว่าคนศีลเสมอกันยังไงคะ แล้วถ้าเราทนคบคนแบบไหนได้นาน ๆ ก็แสดงว่าตัวเราก็จะเป็นแบบนั้นแหละค่ะ นี่คือข้อเท็จจริงนะคะ
เห็นไหมละคะว่า การที่เราทำอะไรลงไป เป็นคนยังไง (ก็คือสร้างกรรมกับตัวเองไว้ยังไง) ก็จะมีผลต่อการดึงดูดคน ผลักคนที่เป็นแบบนั้นแบบนี้มาอยู่ใกล้ ๆ เรานี่แหละค่ะ
พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงสอนเรื่องกรรม พร้อมการคบคนเป็นหมวดธรรมะพื้นฐานอย่างง่ายในอันดับแรก ๆ เลยนะคะ เอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีค่ะ
ซึ่งทุกอย่างเป็นข้อเท็จจริงทั้งนั้น และก็เป็นจริงทุกประการค่ะ คบคนไม่ดี คนพาล คนศีลธรรมไม่ดี เราก็จะมีโอกาสได้รับผลกรรมไม่ดีด้วย เพราะคนไม่ดี คนพาล คนศีลธรรมไม่ดี
เขาก็จะพาเราคิดในสิ่งไม่ดี ทำในสิ่งไม่ดี ก็มีโอกาสที่เราจะเสี่ยงเจอสิ่งที่ไม่ดีไปด้วย แล้วนาน ๆ ไปใจเราก็จะเป็นแบบนั้น มันจะซึมซับกันได้
ท่านถึงให้เป็นมงคลชีวิตข้อแรกเลยนะคะ ว่าอย่าไปคบคนพาล หรือคนประเภทศีลธรรมไม่ดี เพราะจะทำให้ชีวิตเราไปอยู่ในทางเสื่อมและตกต่ำได้
หลักธรรมข้อนี้เป็นข้อเท็จจริงที่เราจับต้องได้เลยค่ะ ลองไปคบคนพาล คนศีลธรรมไม่ดีดูสิคะ คุณจะได้รับความเดือดร้อน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
อย่างน้อยก็ปวดหัว เหนื่อยใจ กับความคิดบ้า ๆ ความคิดแย่ ๆ ของเขานะคะ
แม้กระทั่งการอ่านเว็บไซต์ เว็บบอร์ด ถ้าเราหมกมุ่นกับกระทู้ไม่ดี ที่ชอบด่ากัน เพจที่ชอบด่าว่ากันจิตเราก็จะขุ่นมัวไปด้วย
แต่ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติคนดีระดับหนึ่ง ฝึกจิตในด้านธรรมดีระดับหนึ่ง เราจะปล่อยวางได้และจะเตือนสติตัวเองได้ว่าไม่เลียนแบบเขา เพราะมันไม่ดี
แต่สำหรับคนที่ยังไม่เริ่มต้นดีพอ พื้นฐานธรรมะไม่ดีพอ ไปซึมซับกับแนวคิดไม่ดีจากเพจต่าง ๆ ที่ไม่ดี ก็จะกลายเป็นคนหยาบคาย คิดไม่ดี พูดไม่ดี หรืออาจจะกระทำไม่ดีติดมาด้วย
หากเราเสพสื่อโซเชียลบางอย่างมันไม่ดีไปนาน ๆ เราก็อาจจะซึมซับติดมาโดยไม่รู้ตัว แล้วเลียนแบบเพราะเห็นว่าใคร ๆ ก็โพสต์ด่ากันได้ง่าย ๆ ทั้ง ๆ ที่เรากำลังสะสมกรรมไม่ดีติดตัว
โลกยุคโซเชียลจึงต้องระวังมากนะคะ เพราะเราสามารถสร้างบาปกรรมได้โดยง่าย ๆ แบบไม่รู้ตัว และไม่เป็นมงคลชีวิตนะคะ
ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยงการสร้างกรรมทางวาจาผ่านโซเชียลและเว็บบอร์ด แม้ว่าการด่าว่าคนที่ไม่มีศีลธรรมจะบาปน้อย แต่ก็ไม่ควรฝึกทำประจำเพราะมันก็คือสะสมเศษกรรม
สิ่งที่สะสมเล็ก ๆ น้อย ๆ จะทำให้เป็นก้อนใหญ่ขึ้นได้ แล้วเราก็จะมีปัญหาในการควบคุมอารมณ์ในชีวิตประจำวันด้วยค่ะ ถ้าอยากว่าจริง ๆ ก็พูดเตือนเขาดี ๆ แบบติเพื่อก่อ
แต่ก็ต้องรู้ขอบเขตของความหมายว่าติเพื่อก่อคืออะไรนะคะ ไม่งั้นมันก็จะเป็นการสร้างกรรมที่ไม่ดีต่อตัวเราเอง แต่ก็แล้วแต่เรานะคะว่าชอบแบบไหน ก็สะสมแบบนั้นค่ะ
เพราะกรรมก็เป็นของคน ๆ นั้นเอง ไม่ใช่ของใครค่ะ ก็อาจจะยับยั้งด้วยสติเราว่ามันไม่สร้างสรรค์ มันจะทำให้เราจิตตก จิตไม่กุศลต่อมาได้ อะไรแบบนั้นไปค่ะ
ส่วนข้อต่อในมงคลชีวิตพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราคบบัณฑิต ซึ่งในทีนี้ก็คือคนดี มีศีลธรรม ไม่ใช่คนทีมีแต่ความรู้สูง หรือทำเป็นพูดดีอย่างเดียว
เพราะบางคนดีแต่พูด แต่กระทำสวนทางก็ไม่ใช่คนจริงใจ แต่คือคนที่จริงใจ การกระทำไปในทางเดียวกับคำพูดไงคะ คนที่เป็นบัณฑิตเขาก็จะพาเราคิดดี พาไปในทางกุศล
พอเราอยู่กับเขาไปนาน ๆ เราก็จะซึมซับแนวคิดดี ๆ ไปกับเขา ก็มีโอกาสไปในทางที่ดี และได้ผลบุญที่ดีไปด้วย
สำหรับกรรมแห่งความรักนั้น ก็ต้องอาศัยการดูคนที่จริงใจ คนที่คิดกุศลมากกว่าอกุศลนั่นแหละค่ะ สังเกตได้ว่าคบกันแล้วพากันคิดในทางที่ดีไหม พากันคิดกุศลบ่อยไหม
สังเกตว่าเขาจริงใจยังไง ก็ดูที่การกระทำว่ามันออกมามาชัดเจนกว่าคำพูด แล้วเขาซื่อสัตย์เป็นพื้นฐานไหม
กรรมที่เกิดจากการกระทำไม่ดีในความรัก ก็ย่อมมีจริงดังที่ดิฉันกล่าวข้างต้นแน่นอนค่ะ ก็มีทั้งตัวดิฉันเคยเจอเองและเพื่อน ๆ รุ่นพี่ รุ่นน้องเคยเจอมาเล่าให้ฟัง
ถ้าไม่มีจริงพระพุทธเจ้าท่านก็คงไม่ทรงตรัสสอนเรื่อง กรรมทางความรักไว้หรอกค่ะ เกริ่นนำตรงนี้จะขอยกไปตอบครั้งหน้านะคะ รู้สึกหิวข้าวแล้วค่ะ
อีกนิดนะคะ กรรมบางอย่างก็จะมีผลลัพธ์ตามมายังไงก็ขึ้นอยู่กับเจตนาด้วยนะคะ
สำหรับในความคิดเห็นที่ 4 ป้าดอก พร้อมเปย์ ดิฉันว่าถ้าเจตนาดี เพื่อให้ปลามีสุขภาพดี ไม่ท้องอืด ก็คงไม่ใช่บาปกรรมอะไรค่ะ ถ้าจะมีด้วยเจตนาไม่ดีบางครั้ง แบบสะใจเล็ก ๆ
มองเป็นเรื่องสนุกมากกว่าหวังดีที่จะให้มันสุขภาพดี อันนี้ก็อาจจะเป็นเศษกรรม ก็อาจจะย้อนกลับมาทางใดทางหนึ่ง อาจจะย้อนคืนนานแล้ว แต่ไม่รู้ตัวว่าเกิดจากกรรมเรื่องนี้ค่ะ
กรรมบางอย่างมันก็ไม่ได้ย้อนคืนมาในรูปแบบเดิมนะคะ โดยเฉพาะกรรมด้านความรัก แบบทำไม่ดีกับคนรักเก่า หรือไปหลอกให้ความหวังคนอื่นไว้ ก็ใช่ว่าจะเจอคล้าย ๆ เดิมนะคะ
แต่อาจจะทำให้ชีวิตเราติดขัดในทางด้านหน้าที่การงาน หรือเจอเพื่อนร่วมงานไม่จริงใจ เจอคนรอบข้างไม่จริงใจด้วย และบางทีมีผลต่อคนที่เรารัก เช่น พ่อแม่ พี่น้องเราก็ได้นะคะ
อันนี้ต้องระวัง มันอยู่ที่เจตนาและวิธีการก่อกรรมขึ้นมาด้วยค่ะ ไว้ค่อยคุยกันใหม่นะคะ