เมื่อเราเข้าใจเรื่องกรรมและกฎแห่งกรรมดีพอแล้ว เราก็จะรู้ว่าการกระทำใด ๆ ที่มีเจตนาของเราและให้เกิดขึ้นผ่านความคิด คำพูด หรือการลงมือกระทำนั้นล้วนมีผลต่อชีวิตเราจริง ๆ
แม้กระทั่งเพื่อนที่จะมารายล้อมตัวเรา ก็ล้วนมาจากผลของการกระทำของเราที่เคยทำไว้ในอดีต (ไม่ต้องไปพูดไกลถึงอดีตชาตินะคะ)
เอาแค่อดีตตั้งแต่เราเรียนหนังสือมา เราเป็นคนประเภทไหน ก็จะดึงดูดเพื่อนแบบนั้นแหละค่ะมาอยู่ด้วย ถ้าชอบนินทา ชอบจิกกัดว่าคนอื่น
ก็มักจะดึงดูดเพื่อนประเภทนี้มาคบด้วย ส่วนเพื่อนดี ๆ ที่เขาไม่ชอบนินทาว่าร้ายคนอื่น ไม่ชอบนั่งจิกกัด แขวะว่าคนอื่น เขาก็จะไม่มาคบด้วยค่ะ เขาจะไปอยู่สังคมของเขา
นี่ก็เห็นได้ชัดแล้วใช่ไหมคะว่ากรรมดำ (บาป) หรือ กรรมขาว (บุญ) ที่เราสร้างไว้แม้แค่ระดับการพูดการจา ก็จะมีผลต่อการกำหนดคนมาอยู่ใกล้ ๆ ตัวเราและชะตาชีวิตเรายังไง
บางคนอยากได้แฟนดี ๆ อยากมีคนดี ๆ มาอยู่ด้วย อยากได้คนคุณภาพสูง แต่ลืมดูว่าตนเองได้มีคุณภาพต่ำเพียงใด
เช่น ชอบด่าว่าคนนั้นคนนี้ โกหกเก่ง ไม่มีสัจจะ ไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงใจกับใคร ล้วนแล้วแต่หนทางสร้างบาปให้ตัวเอง แล้วคนดี ๆ คุณภาพสูงเขาจะมาคบหาได้ยังไง
ต่อให้สร้างภาพหลอกเขาได้ แต่แรงกรรมจากที่เคยกระทำบาปหรือทำเรื่องไม่ดีไว้ ก็จะทำให้คนได้เห็นสิ่งที่เคยก่อไว้อยู่ดีค่ะ ภาษาบ้าน ๆ เขาถึงเรียกว่ากรรมตามทันไงคะ
อย่างหลาย ๆ คนมีพฤติกรรมนอกใจแฟน หรือชอบสำส่อน นอกใจแฟนหลายคนก็รู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ผิดศีลข้อ 3
แต่เรื่องสำส่อน อาจจะคิดว่าไม่ผิด จริง ๆ ตรงนี้มันเป็นเรื่องของการผิดศีลละเมิดบุคคลที่มีบิดามารดาหรือบุคคลที่เป็นอันที่รักปกป้อง ไม่อนุญาตด้วยค่ะ
ดังนั้น เราไปนอนกับคนอื่นไปทั่ว มันจึงเป็นหนทางละเมิดศีลข้อ 3 ของตนเองและคนอื่น เพราะบางครั้งพ่อแม่เราก็อาจจะหวงแหน และไม่อยากให้เราไปทำแบบนี้
เมื่อเราทำเป็นประจำ ในเรื่องทางโลกก็เสี่ยงต่อการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ในทางธรรมจิตใจก็จะหม่นหมอง หดหู่ลง หรือ ทำให้คน ๆ นั้นดูไร้ค่ามากขึ้น
อาจจะพัฒนาเป็นอาการของโรคซึมเศร้าได้ เพราะจิตเศร้าหมอง จากการกระทำที่ทุศีลไปเรื่อย ๆ เพราะการจะไปนัดเจอใคร มีอะไรกับใคร อาจจะต้องฝึกโกหกเก่ง
ทำให้ศีลขาด ศีลบกพร่อง แล้วก็ไปนอนกับคนที่เขาอาจจะมีแฟนแล้ว ทำให้ยิ่งหนักข้อขึ้นไปใหญ่ ผลของการสร้างบาปแบบนี้ไปนาน ๆ ก็จะมีชีวิตที่เศร้าหมอง
ไม่ประสบความสำเร็จในด้านความรักแล้วก็ไม่ค่อยมีคนอยากคบด้วยนาน ๆ หรือ อาจจะไม่มีใครจริงใจด้วยอีกต่อไปเลยค่ะ
แค่นี้ก็เริ่มทำให้คนกระทำทุกข์ใจแล้วใช่ไหมคะ เพราะเมื่อเขาไม่มีใครอยากคบด้วยนาน ๆ ไม่มีคนจริงใจด้วย เขาก็จะเริ่มทุกข์ใจ
เพราะหากเขายังต้องการใครสักคนมาอยู่ด้วย แต่ไม่เจอใครที่ดีและจริงใจด้วย เขาก็ย่อมทุกข์ใจ นี่ก็เป็นผลแห่งการทำกรรมไม่ดี หรือสร้างบาปไว้ที่เราจับต้องได้ค่ะ
เพราะกรรมมักแสดงผลให้เรารู้สึก เป็นมโนกรรม เป็นกรรมทางใจ เรารู้สึกได้ รับรู้ได้ แต่ไม่มีหน่วยวัดเป็นรูปธรรมทางวิทยาศาสตร์ แต่มันเกิดขึ้นจริงและรู้สึกได้
ทีนี้ เราพอจะเริ่มเข้าใจแล้วว่า บาป ทำให้จิตใจไม่สดใส จิตใจเป็นทุกข์ รู้สึกหดหู่ เศร้าหมองได้ แล้วก็ทำให้เกิดความทุกข์ทางใจในระยะยาวได้ค่ะ
เอาแค่นี้เราก็พอจะรู้แล้วว่าข้อเท็จจริงเรื่องบาป มันเป็นจริงเท็จแค่ไหน จะปฏิเสธความจริงได้ไหมคะว่าบาปไม่มีอยู่จริง แม้ยังไม่ไปไกลถึงระดับนรกสวรรค์นะคะ
ส่วนการสร้างกุศลกรรม ทำกรรมดี ก็คือหนทางสะสมบุญ แล้วก็จะทำให้เราไปในทางสว่าง ทางที่สดใส ทำให้ชีวิตเราไม่มีอะไรที่ต้องมามัวหมอง ให้น่าทุกข์ใจนัก
ต่อให้มีเรื่องร้าย ๆ ผ่านเข้ามา แต่สิ่งที่เราทำดี ๆ ไว้ ทั้งการคิด การพูด การกระทำที่ดี ๆ ของเราต่อคนอื่นที่ผ่านมา ก็จะเป็นเกราะคุ้มครองเราให้เราอบอุ่นใจ
เพราะเราเบียดเบียนคนอื่นน้อยมาก แล้วก็มักมีแต่ทำสิ่งดี ๆ ให้คนอื่น มันเป็นการสร้างบุญที่ทำให้เราอิ่มเอมใจ รู้สึกเป็นสุข มากกว่าจะเป็นทุกข์
เอาแค่ระดับนี้ เราก็จะพอรู้แล้วว่าทำไม บุญ บาป ถึงจะมีแนวโน้มว่าเป็นจริงในระดับภพชาติและนรกสวรรค์ค่ะ
คราวนี้มาพิจารณาสิ่งที่บางคนคาใจหรือเคยสงสัยว่า คนเราเกิดมาทุกคนก็ย่อมทำบาปมากน้อยแตกต่างกันบ้าง แบบนี้จะไปนรกหมดไหม
แน่นอนว่าทุกคนต้องเกิดมาเคยสร้างบาปและสร้างกรรมไม่ดีไว้ค่ะ พระพุทธเจ้าก่อนจะมาเกิดในชาติที่ท่านจะตรัสรู้ก็เคยสร้างกรรมไม่ดีไว้ ท่านก็ต้องชดใช้กรรมเก่าด้วยค่ะ
แต่ถ้าเราค่อย ๆ ลดการสร้างกรรมไม่ดี แล้วสร้างแต่กรรมดีไว้เยอะ แล้วปฏิบัติธรรมะในการสร้างบุญบารมีระดับสูงขึ้น ก็จะไม่ต้องไปนรกค่ะ
(ถ้าเชื่อเรื่องว่ามีนรกจริงๆ คุณจะรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะไปนรกแม้จะเคยสร้างกรรมไม่ดีไว้ค่ะ)
การที่เราทำอะไรไว้ มันจะมีผลติดตัวเราไว้เสมอ เหมือนมีป้ายแปะทับ มีสีมาป้าย สีขาว สีดำ อะไรทำนองนี้ค่ะ จึงเป็นที่มาของเรื่องคำว่า กรรมเก่า บุญเก่าค่ะ
ถ้าเราศึกษาอย่างลึกซึ้ง ในเรื่องของกรรมและวิบากกรรม กฎแห่งกรรม บุญบาปที่เราสร้างไว้ มันจะเป็นตัวกำหนดทางไปของชีวิตเราในชาติปัจจุบันนี้และอนาคตชาติค่ะ
คุณอาจจะเคยได้ยินว่าทำบุญเก่ามาดี หรือ เขายังมีบุญเก่า นี่แหละค่ะ เป็นที่มาว่าทำไมบางคน ทำชั่ว แล้วยังได้ดี ก็เพราะอาจจะเคยทำดีมาบ้าง แล้วบุญนั้นยังประคองให้อยู่ได้
แต่ถ้าเมื่อไหร่ บุญเก่า หรือสิ่งที่เคยทำดีมามันหมดฤทธิ์แล้ว มันไม่มีใครจะจดจำสิ่งดี ๆ นั้นให้แล้ว แม้แต่บุญเก่าจากอดีตชาติก็หมดแล้ว แต่ขยันสร้างแต่กรรมไม่ดีไว้ เป็นบาปเยอะ
คราวนี้แหละค่ะ ก็จะทำให้ผลของกรรมไม่ดีเริ่มแสดงผลขึ้นมาแทนค่ะ บางคนถึงกลับมีชีวิตพลิกผัน หน้ามือเป็นหลังมือก็มีค่ะ ลองไปสังเกตดูสิคะ มีหลายคนเป็นแบบนั้น
ส่วนบางคนที่ชาตินี้ ภพนี้ ทำสิ่งดี ๆ มาตลอด ทำเรื่องกุศลผลบุญไว้ แต่ยังเหมือนไม่ได้ดีนัก ต้องมาวิเคราะห์ดู อย่างน้อย 5 อย่างค่ะ
1. อาจจะเพราะเคยทำชั่วมาก่อน แล้วเพิ่งมาเริ่มทำดี
แบบว่าชีวิตคุณเธอทำบาปมาหลายปีหรือค่อนชีวิต แต่เพิ่งมาเริ่มทำดี ทำบุญกุศลไม่นาน จะให้ผลดีแสดงทันทีก็อาจจะยาก
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อคิดริเริ่มทำดี คิดดี พูดดี นั่นก็จะเป็นหนทางสว่างแล้วค่ะ แค่เริ่มทำแรก ๆ ก็จะรับรู้ได้ถึงสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในใจเราและเข้ามาในชีวิตแล้วค่ะ
แต่ถ้าหวังผลสูงมาก นั่นก็จะทุกข์นะคะ เพราะว่าทำดีแล้วหวังผล นี่ไม่ใช่หนทางการสร้างความสุขที่ถูกต้องและไม่ใช่แนวทางที่ยั่งยืนด้วยค่ะ (เรื่องนี้ค่อยคุยกันในโอกาสหน้าค่ะ)
2. อาจจะทำดีผิดที่ ผิดคน ผิดเวลา แน่นอนว่าบางทีไปทำดีกับคนที่ไม่มีความดีเอาเสียเลย เราก็จะไม่ได้สิ่งดี ๆ จากคนแบบนี้หรอกค่ะ
บางทีก็ไปทำผิดสถานที่ ผิดคน ก็อาจจะไม่ได้ผลดีตอบกลับมา แต่อย่างไรก็ดี เหมือนที่ดิฉันพูดไว้ค่ะว่า ไม่จำเป็นต้องไปคาดหวังผลของการทำดี
ถ้าคุณทำดีแล้วไปคาดหวังมันจะทุกข์ แต่ที่แน่ ๆ คือ ถึงเราจะทำดีผิดคน ผิดที่ผิดทาง แต่เราก็มีความอบอุ่นใจการันตีว่า เรานี่แหละค่ะทำดี จริงใจ และไม่ได้สร้างทุกข์ให้คนอื่น
ถึงเขาไม่เห็นความหวังดีของเรา แต่เราก็จะเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่และจะไม่เสียใจ ไม่เสียดายที่เราได้กระทำสิ่งดี ๆ ด้วยค่ะ
ถ้าลองทำตรงกันข้ามสิคะ ไปก่อเรื่องไม่ดี ไปสร้างบาป หรือทำให้คนอื่นเสียใจ ทุกข์ใจเพราะเรา เราจะมีความสุขได้จริง ๆ เหรอคะ
ต่อให้เราหลอกตัวเองได้ว่า เราไม่ผิด เราไม่แคร์หรอก แต่ลึก ๆ มันจะมีเหตุการณ์มาทบทวนจิตใจให้เราเห็นภาพสิ่งที่เราเคยทำไม่ดีกับคนอื่นไว้ (เขาเรียกกรรมให้ผลค่ะ)
ยิ่งไม่ต้องไปนึกถึงมโนกรรมที่จะเกิดตอนบั้นปลายชีวิตนะคะ อันนี้จะมาเยอะเลยค่ะ ถ้าหมั่นทำกรรมไม่ดีไว้เยอะ สมองและจิตมันจะเรียกออกมาเอง แบบไม่อยากคิดก็มาเองค่ะ
ดังนั้น การทำดี สร้างบุญต่าง ๆ จึงเป็นเครื่องการันตีความสบายใจในระยะยาว ไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตค่ะ
3. ทำดีนิดหน่อย แต่หวังผลไว้สูงเกินตัว
บางคนทำดีแค่นิดเดียว แต่หวังตัวเองได้คุณภาพชีวิตสูงเกินสิ่งที่ทำ
แบบนาน ๆ ทีทำสิ่งดี ๆ บุญกุศลก็ไม่เคยสร้าง ทานก็ไม่ค่อยให้ จะให้ทีก็ตระหนี่ เหนียว ไม่ให้ด้วยใจ แบบนี้ก็ไม่ค่อยเกิดบุญค่ะ
มีน้อยก็ทำน้อย มีเงิน 100 บาท ไม่ใช่ไปทำทานทำบุญหมด เอาไปทำบุญแค่ 10 บาท แต่ทำด้วยใจก็ได้บุญกุศลค่ะ
แต่เอาไปทำบุญหมด 100 บาท แล้วตัวเอง พ่อ แม่เดือดร้อน อะไรแบบนี้ไม่ได้บุญเท่าไหร่ แถมจะได้บาปเสียอีกนะคะ เพราะทำให้ชีวิตครอบครัวและตัวเองเดือดร้อนค่ะ
แต่ประเภททำบุญระดับรักษาศีล (ซึ่งถือว่าเป็นบุญระดับสูงกว่าการให้ทานและทำบุญแบบบริจาคทรัพย์) ไม่เคยรักษาศีลเลย แต่จะไปหวังบุญโชคลาภดี ๆ ความก้าวหน้าดี ๆ
แบบนี้จะเป็นไปได้ยังไงคะ แบบยังชอบโกหกคนอื่น ยังมีชีวิตที่ขาดศีล 5 ธรรมะพื้นฐานที่ดี ๆ ก็ไม่มี แต่นาน ๆ ทำบุญนั่นนี่
แบบนี้ทำดีเลยยังไม่เห็นผลทันทีหรอกค่ะ เพราะศีลบกพร่องนะคะ
4. ทำบุญและทำบาปไปในเวลาพร้อม ๆ กันหรือไล่เลี่ยกัน
บางคนก็แปลกค่ะ ทำบุญและทำบาปในเวลาใกล้ ๆ กัน เช่น ไปวัดไปทำบุญ ไปถวายสังฆทาน ไปบริจาคทรัพย์ แต่กลับมาแล้วก็มานั่งนินทาด่าว่าคนอื่น
เช่นนี้ก็เรียกว่าได้บุญและบาปในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน ก็ทำให้ไม่มีกุศลบุญแรงพอจะทำให้เกิดสิ่งดี ๆ ในชีวิตมากพอจะตัดกำลังบาปออกไปได้
หรือบางคนไปวัดทำบุญ ตักบาตร ไปทำบุญเพื่อให้คนอื่นมองว่าตัวเองเป็นคนดี ไปวัดก็ไปเมาท์ชวนคนนั้นคนนี้ให้เสียสมาธิ ชวนเขาพูดจาไม่ดีหยาบคายให้เสียศีล นี่ก็เป็นบาปอีกทาง
บางคนทำบุญเสร็จ (อาจจะทำบุญกับคนอื่นที่ไม่ใช่พระและวัด) ก็ไปก่อเรื่องนอกใจแฟน (สร้างบาป) หรือไปอ่อยคนนั้นคนนี้ เป็นการสร้างบาปจากการหลอกให้ความหวัง (มุสาวาท)
เช่นนี้ก็ทำให้ไม่ได้มีชีวิตที่ดีขึ้นนะคะ เผลอ ๆ แรงบาปจะมากกว่าแรงบุญ ก็เมื่อไหร่แรงบาป (กรรมไม่ดี) มันแรงกว่า ก็จะได้รับผลกรรมแบบทุกข์ใจไม่น้อยเลยละคะ
5. กรรมไม่ดีจากอดีตชาติยังแรงอยู่ ทำให้ทำดีในชาตินี้ยังไม่ได้ดีทันที
เรื่องนี้เป็นระดับกรรมเก่าจากอดีตชาติ คุณอาจจะไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรค่ะ ก็ต้องใช้เวลาศึกษาและสังเกตดูนะคะ มันสังเกตได้ค่ะ (ถ้าศึกษาธรรมดี ๆ จะมีปัญญาทางธรรมรับรู้ได้ค่ะ)
แต่ก็อย่าย่อท้อในการทำบุญกุศลและความดีค่ะ เพราะมันจะเป็นเกราะคุ้มครองใหคุณอบอุ่นใจและมีความสุขมากขึ้นเอง แล้วเรื่องร้าย ๆ จะค่อย ๆ หมดไป
การมีบุญ หรือ บาปติดตัวมาจากอดีตชาตินั้น มันเป็นเรื่องที่เรารู้ไม่ได้ด้วยความเป็นปุถุชน ไม่ได้มีดวงตาพิเศษที่จะเห็นบัญชีกรรมตัวเองได้ว่า ทำบุญ ทำบาป มามากน้อยแค่ไหน
แต่สิ่งที่เราจะรู้ได้ว่า หากชาติหน้ามีจริงล่ะ ภพหน้ามีจริง คุณจะทำยังไง ในเมื่อยังสร้างบาปไว้อีกเยอะ แต่บุญมีน้อยกว่า คุณก็จะไม่เจอชีวิตที่แย่กว่าเดิมเหรอเนี่ย
สิ่งที่คนเรามักเป็นกันคือ ทำบุญและบาป พอ ๆ กันค่ะ เป็นแบบนี้มันก็เลยให้ผลกรรมดีแสดงออกไม่ชัดเจน กลายเป็นลุ่ม ๆ ดอน ๆ ชีวิตไม่รุ่ง ไม่เจริญเท่าไหร่
ถ้ามีกรรมไม่ดีสะสมไว้เรื่อย ๆ แม้จะพยายามทำดีขึ้น แบบนี้จะไปเอาดีได้ไหมคะ เพราะมีตัวถ่วงมาติดตัวด้วย ใครมาอยู่ด้วยก็จะงง ๆ เอ๊ะ นี่ดีหรือร้ายกันแน่ จะอบอุ่นใจไหมละคะ
ในเรื่องของพุทธศาสนาจริง ๆ ที่ว่าด้วยเรื่องมีภพชาติ ลองคิดดูว่า ถ้าทำบุญไว้เยอะ บุญติดตัวไปด้วย ถึงไม่บรรลุนิพพานก็จะได้ไปเสวยผลบุญในชาติหน้าด้วยค่ะ
แต่ถ้าทำบาป สร้างกรรมไม่ดีไว้เยอะ พอหลุดอบายภูมิมาแล้ว เราก็เอาบาป เอากรรมไม่ดีติดตัวไปด้วยแบบนี้จะทำให้เราเกิดใหม่ไม่สวยงามแน่ ๆ ค่ะ
ต้องไปเจออุปสรรคอะไรอีกเยอะเลย นี่ขนาดว่าชาตินี้ยังเจออะไรแบบนี้ แล้วชาติหน้าจะเป็นยังไงละคะ มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที ไม่ได้เป็นสัตว์ ทำกรรมดีได้ก็ทำเถอะค่ะ
ไม่งั้นหากต้องเกิดใหม่มาอีกทีจะไม่แย่เลยเหรอคะ มีบาปกรรม มีกรรมไม่ดีตามติดตัวมาเยอะ คราวนี้จะไม่หนักข้อกว่าเดิมอีกเหรอ
แต่ถ้าเรามีจิตศรัทธาจนอยากปฏิบัติธรรมะให้บรรลุเลย คือไม่ต้องบวชค่ะ
แค่รักษาศีลได้ เจริญภาวนา (วิปัสสนากรรมฐาน) ได้ (บางท่านเรียกเจริญสติ) แบบนี้ก็ไปสุขคติภูมิทางสวรรค์ค่ะ
การมีศรัทธาสว่างในด้านการสร้างบุญกุศล และระวังเรื่องการสร้างกรรมไม่ดี (สร้างบาป) จึงน่าจะเป็นหนทางที่เราไม่เจ็บตัว อย่างน้อยที่สุดก็เท่าทุนใช่ไหมคะ
เพราะเราไม่เสียหายอะไรเลย มีแต่สิ่งดี ๆ เกิดขึ้น เพราะใคร ๆ ก็ชอบคนดี ชอบอะไรที่มันสว่างไสว ชอบอยู่กับคนที่ทำให้เราอบอุ่นใจ สบายใจ ไม่เอาเปรียบ ไม่เบียดเบียนคนอื่น
ตรงกันข้าม คือ ถ้ามีศรัทธามืด ไม่เชื่อบาปบุญคุณโทษ ไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่ออะไรหรอก เชื่อแต่ตัวเอง ไม่มีจิตยึดเหนี่ยวกับธรรมะดี ๆ สักหมวด แบบนี้จิตไปไม่ดีแน่ค่ะ
แค่นี้เราก็รู้ว่าผลกรรมเขาจะเป็นยังไง เช่น ข่าวต่าง ๆ ที่ออกมาจนเป็นคดีต่าง ๆ ทั้งคดีเล็ก คดีน้อย กรรมทางใจอีกที่ไม่เป็นคดี แต่ทุกข์ในใจเหลือเกิน
นั่นก็เป็นผลมาจากการกระทำที่ไม่ดีของตัวเอง เพราะขาดศรัทธาทางสว่าง แล้วผลกรรมมันย้อนกลับคืนมายังไงละคะ
ถ้าทำอะไรที่เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบคนอื่น สร้างบาปต่าง ๆ ไว้เยอะ ใครจะอยากอยู่ด้วยนาน ๆ แค่นี้ยังไม่ต้องไปชาติหน้าเลยค่ะ ก็แทบจะไม่มีใครเห็นหัวล่ะ
แรก ๆ อาจจะมีคนมาคบหาด้วยเพราะผลประโยชน์ หรือ เพราะเขาไม่รู้บางอย่างของเรา แต่เมื่อกรรมให้ผลขึ้นมา คนที่เคยเข้าหาเขาไม่สนใจเราแบบเดิม
แน่นอนว่าเราจะทุกข์ใจแบบที่คิดไม่ออกเลยค่ะว่า นี่คือกรรมเล่นงานหรอกหรือ นี่หรือคือผลของบาปที่เราเคยก่อไว้
ตัวอย่างก็มีให้เห็นมากมายในข่าวสารบ้านเมืองและคนรอบข้างเราจริงไหมคะ
ดังนั้น ธรรมะจึงเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้เราปฏิบัติตัวให้อยู่ในธรรมชาติ อยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุขมากขึ้น แล้วก็มีทุกข์น้อยลง
การมีบุญติดตัว แม้จะไม่ได้ไปสวรรค์ ถ้าไปอบายภูมิ ก็จะหลุดออกมาเร็วค่ะ
แต่ถ้าคุณทำบุญกุศลมาก แล้วมีจิตที่มีมโนกรรม (กรรมทางใจและความคิด) ที่เป็นกุศลมากๆ แม้จะเคยทำบาปมาบ้าง แต่คุณสร้างกรรมดีไว้เยอะกว่ามาก ๆ
แล้วก็ลดการสร้างกรรมไม่ดี ถือศีล 5 ได้ครบ แล้วก็เริ่มชีวิตใหม่แล้ว ทำแต่บุญกุศล ทำกรรมดีเยอะขึ้น กรรมไม่ดีก็จะไล่ตามคุณยากค่ะ
แต่คุณต้องทำให้ได้จริง ๆ นะคะ ไม่ใช่มโนเองว่าฉันดี แต่ยังขยันทำกรรมไม่ดีออกมาอีก แบบนี้ก็จะไม่ได้ช่วยอะไรเลยค่ะ
แล้วสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือ (เหมือนพระอรหันต์หลายท่าน รวมถึงพระพุทธเจ้าท่านด้วยนะคะ) ต้องยอมรับผลของกรรมที่เราเคยก่อไว้ เมื่อกรรมไม่ดี (บาป) นั้นไล่ทัน
แต่กรรมดี บุญกุศลที่เราเคยทำไว้มากนั้น ก็จะช่วยให้เราไปภพภูมิที่ดีค่ะ ถึงไม่ไปถึงนิพพานก็อาจจะได้ไปสุขคติภูมิ หรือสวรรค์ได้ค่ะ
แต่หลายคนมักจะท้อใจในการทำดี คิดดี พูดดี พอจู่ ๆ กรรมไม่ดีมาให้ผล ทำให้ชีวิตลำบาก ติดขัดนั่นนี่ หรือทุกข์ใจมาก ก็เลยกลายเป็นสติแตก ไม่เจริญสติต่อไป
กลายเป็นทำอะไรประชดชีวิต จนชีวิตแย่ ๆ ไปกว่าเดิม เช่นนี้คือเป็นหนทางเสื่อมแล้วเราก็จะยิ่งได้รับผลกรรมไม่ดีเพิ่มขึ้นอีก เพราะไปก่อกรรมไม่ดีเพิ่มขึ้น
ดังนั้น คนที่เชื่อกฎแห่งกรรมและเข้าใจเรื่องกรรมดีพอ เขาจะยอมรับผลกรรมไม่ดีที่อาจจะเคยก่อไว้ในอดีต (เอาแค่ชาตินี้ก็พอค่ะ) เมื่อกรรมไม่ดีให้ผล
แต่เขาจะทำบุญกุศลมากขึ้น สร้างกรรมดี เพื่อสะสมบุญไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งชีวิตดีขึ้น หนีพ้นจากกรรมไม่ดีได้
แล้วสิ่งสำคัญคือ ถ้ากรรมได้รับการชดใช้ไปแล้ว แล้วไม่สร้างเพิ่มเราก็จะเจอแต่สิ่งดี ๆ ค่ะ
ดังนั้น หากกรรมเล็กกรรมน้อยที่เคยสร้าง ถูกชดใช้ไปหมดในชาตินี้ แต่ทำแต่กรรมดี ทำบุญ (ตามแนวทางบุญกิริยาวัตถุ 10) ก็จะไม่มีกรรมไม่ดีติดตัวไปค่ะ
เมื่อกรรมไม่ดีถูกชดใช้ไปเกือบหมด หรือ เราชดใช้ไปหมดแล้วในชาตินี้ เราก็จะไปเสวยผลบุญในสุขคติภูมิ ในสวรรค์ (หากคุณเชื่อว่ามีจริงค่ะ)
ดังนั้น การก่อกรรมไม่ดี (ทำบาป) ที่เคยทำมา ถ้าหยุดลงได้ตั้งแต่บัดนี้ หรือตั้งใจมุ่งมั่นว่าจะไม่ทำเรื่องไม่ดีให้คนอื่นเดือดเนื้อร้อนใจ ไม่ให้พ่อแม่ทุกข์ใจ ไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น
แค่นี้คุณก็จะเริ่มได้บุญกุศลจากการคิดกุศลแล้วค่ะ แล้วกรรมไม่ดีก็จะไม่เพิ่มขึ้นมา ต่อไปก็เริ่มศึกษาธรรมพื้นฐาน
อย่างน้อยมีจิตเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเป็น ตามหลักพรหมวิหาร 4 คุณก็จะเริ่มอบอุ่นใจต่อตัวเอง
เมื่อเริ่มช่วยเหลือคนนั้นคนนี้บ้าง ทำบุญกับคนหลากหลายรวมถึงพระสงฆ์และวัดด้วย (เพราะทำบุญกับผู้มีศีลสูงจะได้บุญเยอะกว่า) คุณก็จะเริ่มมีบุญ (กรรมขาว) สะสมมากขึ้น
ต่อมา หากเข้าใจเรื่องการถือศีลว่าเป็นบุญที่สูงกว่าการให้ทานและบริจาคทรัพย์ คุณก็จะเริ่มอยากถือศีล 5 ให้ครบ
ทำไมการถือศีลถึงเป็นบุญที่สูงขึ้นกว่าการให้ทานและบริจาค เพราะการถือศีล เป็นการลดการเบียดเบียนและทำร้ายจิตใจคนอื่นไงคะ เป็นการไม่สร้างบาป
การไม่สร้างบาปนี่เป็นบุญที่ทำได้ยากมากกว่าการเดินไปทำทาน หรือบริจาคเงินทองช่วยเหลือคนนั้นคนนี้นะคะ
อย่างโจรเนี่ย เขาไปขโมยของมา หรือพวกคนโกงระดับใหญ่โต ไปทำบุญก็แค่ถวายสังฆทาน หรือบริจาคเงินทำบุญกับวัด ก็ทำได้ง่าย ๆ
ในความจริงคนพวกนี้จะได้บุญน้อยค่ะ เพราะเป็นเงินที่ไม่สุจริตนะคะ แค่ต้องการให้รับทราบว่าการทำบุญแบบการให้ทานนั้นจะทำได้ง่ายกว่าการรักษาศีลค่ะ
มาดูว่าการรักษาศีลนั้นมันยากมากกว่าแค่ไหน แค่เราไม่อยากโกหกคนอื่น ไม่อยากพูดจาที่เป็นวจีทุจริต หยาบคายด่าว่าใคร หรือไปเบียดเบียนใครด้วยคำพูดไม่ดีของเรา
มันก็ยากมาก ๆ สำหรับหลาย ๆ คนที่ชอบพูดโกหก และพูดจาหยาบคายในชีวิตประจำวันแล้วนะคะ เห็นไหมคะแค่ศีลข้อ 4 ยังยากสำหรับหลาย ๆ คนเลย
แล้วไปศีลข้ออื่น ๆ ล่ะ อย่างหลายคนมีพฤติกรรมชอบนอกใจแฟน เจ้าชู้ หรือประพฤติผิดในกามที่ไม่ดี ชอบนอนกับคู่ครองคนอื่นบ้าง หรือพ่อแม่ไม่อนุญาตให้สำส่อนก็ทำ
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยค่ะที่คนเคยทำบาปแบบนี้จะหยุดทำได้ง่าย ๆ แล้วการที่เขาจะรักษาศีลระดับนี้ได้ เขาต้องมีจิตใจเข้มแข็งมาก ๆ แล้วก็ต้องรักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง
เขาจะต้องคิดว่าคนอื่นจะต้องทุกข์ใจยังไงกับผลของการกระทำของเขา เพราะเรื่องทางใจจากความรัก ความสุขจากกามนั้นมันเป็นเรื่องที่หากทำให้อีกคนทุกข์มันจะบาปหนักมากค่ะ
ทีนี้ คุณพอจะเข้าใจไอเดียการสร้างบุญที่สูงขึ้นแล้วใช่ไหมคะว่ามันจะทำให้คุณปลอดภัยและอบอุ่นใจยังไง
เพราะคนมีศีลดี คนก็จะชื่นชอบ อยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่ต้องกลัวว่า เอ๊ะ คนนี้จะต้องนอกใจไปคุยกับใคร ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะโกหก หลอกลวงอะไรเรา
ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะพาไปฆ่าสัตว์ หรือประทุษร้ายใคร ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะพาไปสำมะเรเทมา กินเหล้า แล้วเมาแล้วขับรถชนเสียชีวิตหรือบาดเจ็บ
แค่รักษาศีลได้ ก็ได้บุญเยอะมากแล้ว ก็การันตีได้ว่าคุณจะมีโอกาสไปทางสวรรค์ (แม้คุณจะยังไม่เชื่อเรื่องว่ามีสวรรค์นรกก็ตาม)
แล้วถ้าอยากได้บุญที่สูงขึ้น ก็ต้องปฏิบัติระดับการเจริญสติ การสวดมนต์ เจริญภาวนา (วิปัสสนากรรมฐาน) ซึ่งเป็นการสร้างบุญระดับสูงที่สุดค่ะ
เพราะทำยากกว่าการทำทานและรักษาศีลด้วย แต่จะมาถึงจุดนี้ได้ต้องทำทาน รักษาศีลให้ดีด้วยค่ะ คือการทำบุญก็ต้องทำให้หลากหลายทาง ทั้ง ทาน ศีล สมาธิ (เจริญภาวนา)
ดิฉันจะไม่พูดถึงตอนนี้เพราะมันจะหนักไป เพราะก็ค่อนข้างยาวแล้วค่ะ
เราจะเห็นว่าการพูดถึงบุญและบาปที่เราเห็นได้ในชาติปัจจุบัน มันเป็นสิ่งที่มีจริง สิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตาและสัมผัสได้ตอนที่เรากำลังมีชีวิตอยู่นี่เอง
แล้วหากบาปและบุญสามารถติดจิตเราไปได้ต่อไปในภพใหม่ล่ะ นั่นจะเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้น หากเราทำบุญกุศลเยอะ สร้างกรรมดีเยอะ แล้วรู้จักหลักปฏิบัติให้ได้บุญกุศล บุญบารมีระดับสูงขึ้นมา แม้ว่าคุณจะเคยทำบาป สร้างกรรมไม่ดีมาบ้าง
แต่เมื่อคุณตั้งใจหยุดการสร้างกรรมไม่ดี หยุดทำบาปได้ แม้บาปเล็กบาปน้อยก็ไม่อยากทำแล้ว ก็หันมาสร้างบุญบารมี กุศลธรรมที่ดี ปฏิบัติธรรมแบบถูกวิธี
คราวนี้คุณก็ไม่ต้องกังวลค่ะว่าตายไปจะไปนรกเสียอย่างเดียว เพราะต่อให้นรกมีจริงคุณก็จะไม่ไปนรกค่ะ คุณยังไม่ถึงขั้นได้ฌาณ ไม่ถึงขั้นไปนิพพาน คุณก็จะไปสวรรค์ค่ะ
อย่างน้อย ๆ คุณก็จะมีสวรรค์ในจิตใจตัวเอง เมื่อจิตจะดับลง (คือตอนจะตาย) คุณจะเห็นแต่ทางสว่างว่าตัวเองเคยทำแต่บุญกุศลมากกว่าเคยก่อบาปไว้เยอะ
ที่แน่ ๆ คือตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่คุณจะรู้สึกว่าฉันเป็นคนที่มีความสุขจากภายในนะ ฉันไม่ได้ไปทำร้ายจิตใจใครให้เขาทุกข์ใจหรือเดือดร้อนเพราะฉัน
คุณจะรู้สึกว่าคุณไม่อยากไปเอาความรักจากภายนอก แต่คุณมีความรักตัวเองที่ถูกต้องจากภายในแล้ว
แม้จะมีผลกรรมมาสนองจากการที่เคยก่อกรรไม่ได้เอาไว้ จนรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ใจกับกรรมนั้น แต่หากเรายอมรับมันซะแล้วไม่หนีทุกข์ที่เกิดขึ้น
ยอมรับแล้วก็ใช้ธรรมะช่วยในการดับทุกข์ แบบไม่เติมกิเลสไปดับทุกข์ คุณก็จะมีสุขขึ้นมาเร็วและดับทุกข์ได้เร็ว จากนั้นก็หมั่นทำแต่สิ่งที่ดีและเป็นบุญกุศลต่อตัวเองและครอบครัว
เมื่อคิดแบบนี้ได้ เราจะเป็นสุขใจมาก ๆ ค่ะ เมื่อถึงเวลาจะจากโลกนี้ไป คุณก็จะมีสติทางธรรมที่ดี (สติทางธรรมไม่เหมือนทางโลกนะคะ) จิตคุณจะรู้แล้วว่าจะไปภพภูมิไหน
หลังจากที่เราได้ข้อสังเกตว่า ข้อเท็จจริงในหลักธรรมต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้เป็นข้อเท็จจริงที่จับต้องได้ เราก็ควรจะเริ่มต้นและหมั่นศึกษาปฏิบัติให้เพิ่มมากขึ้น
เอาแค่ธรรมะพื้นฐาน เรื่อง ศีล พรหมวิหาร 4 การมีสัจจะ วิริยะ และกฎแห่งกรรม แค่นี้ก็รู้แล้ว่าเป็นเรื่องที่มีผลต่อชีวิตเราจริง และจับต้องได้จากความรู้สึกแน่ ๆ
สังเกตคนได้ว่า คนที่จิตเมตตาคนอื่น จะแสดงออกแตกต่างจากคนที่ไม่มีเมตตาคนอื่น อันนี้คุณก็สังเกตได้ค่ะว่าต่างกันยังไงจากคนรอบ ๆ ตัวเอง
คนที่มีธรรมะยึดเหนี่ยวใจจริง ๆ แบบไม่ใช่ว่าสร้างภาพ ไม่ใช่ว่าเข้าวัดทำบุญเพื่อให้ได้ป้ายแปะติดว่าตนเป็นคนดี คุณจะเห็นแตกต่างว่าเขาจะไม่อยากไปด่าว่าทะเลาะกับใคร
เขาจะมีจิตเมตตาและมักให้อภัยคนอื่นจริง ๆ แบบไม่ได้ทำเพื่อสร้างภาพใด ๆ
แล้วถ้ามีคนอยากชวนทะเลาะด้วย เขาก็จะไม่อยากทะเลาะ เขาจะปล่อยวางและผ่านไป เพราะมันเป็นการทำให้เสียสุขภาพจิตและเป็นการสร้างบาปทางหนึ่งค่ะ
เราจึงมักไม่เห็นคนเหล่านี้ไปเสียเวลาทะเลาะกับใครนักในชีวิตจริงและโลกออนไลน์ เพื่อให้ได้ป้ายคำว่า ผู้ชนะมาครอบครอง เพราะการชนะใจตนเองก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง
ถ้าสังเกตให้ดีมากขึ้น จะพบว่าคนที่มีธรรมะพื้นฐานดี เขาก็จะช่วยเหลือคนนั้นคนนี้ในสังคม หรืออาจจะช่วยเหลือเราเวลาเราทุกข์ใจ
ซึ่งที่ผ่านมา เรามักมองคนแค่ผิวเผิน อาจจะไม่เคยรู้ว่คนที่ดีกับเราแบบเป็นคนที่ดีจากใจ พื้นฐานแล้วเขาสนใจธรรมและมีธรรมะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ต่างจากคนที่คิดเอาแต่ได้ เห็นแก่ตัว หรือคนที่ไม่มีธรรมะยึดเหนี่ยวใจ
บางคนในชีวิตจริงที่เราพบเจอเขาอาจจะคิดว่าตนเองมีธรระ แต่จริง ๆ ไม่เคยปฏิบัติ ไม่เคยฟังเทศน์ ฟังธรรม ไม่สนใจอ่านและทำจริง อันนี้คุณก็จะสังเกตได้ว่าแตกต่างยังไง
เพราะเขาจะพูดดี แต่ไม่ปฏิบัติ หรือดีแต่พูด แต่การกระทำสวนทางกับสิ่งที่ทำ หรืออาจจะเป็นคนประเภทไม่มีสัจจะ พูดอะไรเชื่อถือไม่ค่อยได้
บางคนอาจจะไม่มีความละอายต่อบาป แอบคุยกับคนอื่นแต่ก็ยังคุยกับเราไปด้วยแบบคนที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นนี้ก็คือคนไม่มีหิริโอตัปปะ (ไม่ละอายต่อบาป)
เมื่อเราศึกษาธรรมะดีพอและลึกซึ้งมากขึ้น เราจะมีความสามารถทางจิตและมีสติปัญญาที่จะแยกแยะคนได้มากขึ้น (แต่เราไม่ต้องไปด่าว่าเขานะคะ มันจะบาปปากเราค่ะ)
เราจะเห็นว่าใครเป็นยังไง เป็นคนแบบไหน เราจะระวังไม่คบคนแบบไหน หรือจะเลี่ยงอยู่ห่างคนประเภทไหน แล้วก็รู้วิธีการอยู่กับคนอย่างมีความสุขมากขึ้นค่ะ
จริง ๆ กฎธรรมชาติที่พระพุทธเจ้าท่านนำมาบันทึกเป็นพระธรรมคำสอน คือสิ่งพระองค์ค้นพบจากกฎธรรมชาติที่มีอยู่แล้วค่ะ
เราเองเคยสงสัยไหมละคะว่าทำไมถึงเกิดมาเป็นคนไทยและอยู่ในประเทศที่มีพุทธศาสนาเป็นศาสนาหลัก เอาแค่นี้ก็น่าจะได้คำตอบแล้วนะคะว่าเรื่องบังเอิญไม่มีในโลก
ถ้าเราไม่ศรัทธาแล้วก็ด่าว่าพุทธศาสนา ลามปามไปไกล ถ้ามีบาปติดตัวจริง แล้วมีชาติหน้าจริง จะไม่ได้เกิดใหม่ไปที่อื่นหรอกหรือคะ แล้วอาจจะทุกข์หนักกว่าที่เคยเป็นเสียอีก
ลองค่อย ๆ ศึกษาแล้วจะได้คำตอบเองค่ะว่าควรจะเลือกเดินทางกุศลธรรม หรือ อกุศลธรรม
ไม่ต้องไปคิดเรื่องสวรรค์ นรก ตอนนี้ก็ได้ค่ะ เอาแค่ความเป็นธรรมที่ดีต่อตัวเองและคนอื่นก่อนก็พอค่ะ
ดูว่าในอดีตจนถึงตอนนี้ทำสิ่งที่เป็นธรรมหรือยัง อย่าให้มันสายเกินไปค่ะ
คนบางคนตลอดชีวิตไม่เคยเข้าใจธรรมะ แต่หลงว่าตนเองเข้าใจและมีธรรมะ จึงใช้ชีวิตแบบมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น
กว่าจะรู้ตัวว่าที่ผ่านมาไม่เคยทำอะไรที่เป็นธรรมกับใคร เมื่อจิตสุดท้ายใกล้จะดับหรือตอนทุกข์ทางใจหนัก ๆ จนแก้ไม่ทันเสียแล้ว
ขอให้คนอ่านจนจบตรงนี้มีความสุข ปราศจากทุกข์ และมีธรรมะเป็นแสงสว่างนำทางชีวิตนะคะ