นาน ๆ ได้เข้ามาบอร์ดที ได้เห็นหัวข้อนี้น่าสนใจจึงอยากช่วยตอบให้นะคะ
สำหรับคนที่ไม่มีความเชื่อเรื่องกรรมและการเวียนว่ายตายเกิดและภพชาติก็สามารถข้ามความคิดเห็นนี้ไปได้เลยนะคะ หรือถ้ายังลังเล และสงสัยก็สามารถอ่านได้ค่ะ
ในทางพุทธศาสนาและถ้าเราคิดว่าตนเป็นชาวพุทธจริง ๆ ให้สนใจเรื่องนี้กันนะคะ
เพราะจิตที่ผูกใจพยาบาท แค้นเคือง หรือ จิตไม่อภัยนั้น เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนไว้ว่าจะมีผลต่อการดึงดูดสิ่งไม่ดีและสร้างเวรกรรมต่อกันในกาลหน้าได้
การสาปแช่งมีจริง ให้ผลได้จริง และความแรงขึ้นอยู่กับว่าคนแช่งจะมีใจพยาบาทเช่นใด แต่ผลที่ได้มันจะไม่คุ้มกับที่เสียแน่นอนค่ะ
จิต (ใจ) เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปกาย ไม่สามารถวัดและแสดงผลออกมาเป็นรูปธรรมได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แต่เรารับรู้ได้ว่ามีจิตจริง ๆ ถูกไหมคะ
เช่น การที่เธอรู้สึกเป็นสุข เป็นทุกข์ ก็คือจิต (ใจ) ของเธอรับรู้ เธอจะทุกข์ใจมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถใช้หน่วยทางฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ หน่วยการแพทย์ใด ๆ มาวัดออกมาได้
แต่เธอรับรู้ได้ด้วยตนเองว่าทุกข์ ซึ่งความทุกข์นี้มันแสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง และส่งผลต่อร่างกาย ระบบสรีรวิทยาต่าง ๆ ในร่างกายได้
เช่น ร่างกายเธอแข็งแรงดี แต่เธออกหัก หรือ มีเรื่องทุกข์ทางใจทางบ้าน ในสังคมที่ทำให้เธอทุกข์ทางใจ จู่ ๆ ร่างกายเธอก็แทบจะทรุดไปด้วย
เช่นนี้เราจะรู้ได้ว่าจิตไม่ใช่สิ่งเดียวกับร่างกาย แม้คนจะตีความว่าเป็นเรื่องของการรับรู้ทางสมองก็ตาม แต่คนที่นอนเฉย ๆ จิตยังแสดงออกได้
ถ้ามีมโนกรรมที่ทำให้เกิดทุกข์ จิตใจเราก็จะทุกข์จนเกินที่ยาหรือสารเคมีใด ๆ จะช่วยได้ค่ะ
เพราะเมื่อหลับไปแล้วด้วยฤทธิ์ยา แต่ตื่นขึ้นมาก็ยังทุกข์เช่นเดิม เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าจิตไม่ได้รับการบำบัดตามฤทธิ์ของยา ถูกไหมคะ
จากประสบการณ์ดิฉันที่เคยเจอคนป่วยมา คนที่นอนหลับยาวเพราะป่วยหนัก อาการโคม่า สมองเหมือนไม่รับรู้ แต่จิตเขารู้ได้นะคะ
หลาย ๆ ครั้งคนป่วยที่ป่วยหนักหรือมีอาการที่รู้สึกว่าตนจะไม่ไหวแล้ว
เขาจะมีมโนกรรม (กรรมทางใจหรือความคิด) ที่แสดงออกมาเมื่อเขาฟื้นหรือพูดเพ้อในสิ่งที่ตนเคยกระทำไว้ออกมา
หากเป็นการกระทำด้านไม่ดี มักจะเพ้อออกมาได้มากเป็นพิเศษ
เช่นนี้ เขาเรียกว่าเกิดมโนกรรม ที่แสดงออกและจะมีผลต่อการไปเกิดใหม่ว่าจะไปทางใด ทางมืด หรือ ทางสว่าง อบายภูมิ หรือ สวรรค์ นั่นเอง
แต่บางครั้งอาจจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นนั่นเป็นนี่ที่ไม่ใช่มนุษย์ก่อนก็ได้ ตามแต่กรรมที่ตนเองเคยกระทำมาสะสมไว้เยอะ ก็จะกำหนดเลยค่ะว่าจิตจะพาไปไหน มันเป็นเช่นนี้
อย่าเพิ่งด่วนใจเชื่อดิฉัน ถ้าเธอไม่เคยเห็นคนมีอาการเช่นนี้จริง ๆ กับตา
ไม่ต้องเชื่อใคร จนกว่าเธอจะได้ศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างถ่องแท้และไปสังเกตในชีวิตจริงได้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้หรือไม่
สำหรับคนที่ยังยึดมั่นถือมั่นในความคิดว่า ไม่มีภพชาติ ไม่มีการตายแล้วเกิดใหม่ คิดว่าตายแล้วดับสูญ ก็ต้องลองเปิดใจศึกษาและเรียนรู้ไปค่ะ
เพราะต่อให้เราจะปลอบใจด้วยชุดความคิดตนเองเช่นไรในตอนนี้ เวลานี้ อาจจะได้คำตอบตามกิเลสและความคิดตัวเองอยู่แล้วค่ะ
แต่เมื่อถึงเวลามโนกรรมและชนกกรรม (กรรมที่จะพาไปเกิด) แสดงผล มโนกรรมจะทำให้เธอฟุ้งซ่าน เพ้อ หลับไม่สนิท หรือ เริ่มเกิดนิมิตที่เป็นลางบอกภพภูมิตนเองค่ะ
หลาย ๆ คนที่ดิฉันพบเจอมา ที่มีอาการเช่นนี้ เขาจะเกิดนิมิตหรือฝันที่จะพาเขาไปเห็นอะไรต่อมิอะไรที่เคยกระทำไว้
แต่จะแสดงออกในรูปอื่น เช่น เห็นป่ามืดมิด เห็นคล้ายแดนนรก เห็นอะไรที่มันไม่ดีต่อจิตใจ
นิมิตเช่นนี้จะเกิดขึ้นในช่วงวันที่เธอเริ่มทุกข์ทางใจมาก จิตตก เศร้าหมอง เพราะผลของการไม่ตระหนักในผลกรรมไม่ดีที่ตัวเองเคยก่อไว้
ยิ่งเมื่อขยันสร้างใหม่เรื่อย ๆ โดยไม่เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม ก็จะยิ่งสะสมและหนักขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ
กรรมทางใจ หรือมโนกรรมนั้น เป็นสิ่งที่ห้ามยากที่สุด เมื่อใครเคยทำกรรมไม่ดีไว้แล้ว มันมักจะแสดงผลทางใจค่ะ
แม้จะไม่มีใครจับได้ ไม่มีใครรู้ แต่จิตหรือใจตนนั้นจะรู้ได้ แม้จะเก็บซ่อนไว้จนลืม ลงไปในจิตใต้สำนึกแล้วก็ตาม
แต่เมื่อถึงเวลากรรมให้ผล โดยเฉพาะกรรมทางใจนั้น มันจะแสดงออกมาผ่านนิมิต ผ่านความทุกข์สักเรื่องให้เธอได้ขุดเอาของเก่าออกมาจนแทบไม่คิดว่าตนเองเคยก่อเรื่องแบบนี้ไว้
แล้วกรรมทางใจที่แสดงผลนั้น มันจะทำให้เธอทุกข์มาก บางคนแทบจะหยุดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ เพราะธรรมชาติของจิตมันเป็นเช่นนั้นค่ะ
ดังนั้น ใครที่เคยพลาดทำกรรมไม่ดีไว้ ตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่ ต้องเริ่มมาฝึกสร้างมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรมในทางที่ดี
โดยการมีธรรมะยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อจะเปลี่ยนมโนกรรมให้ตนเองไปในทางกุศล
อาจิณกรรม (กรรมที่กระทำประจำ) ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือ กรรมไม่ดี มันจะมีผลต่อจิตสุดท้ายของเรา ตอนช่วงที่เราจะลาโลกนี้ไปค่ะ
ดังนั้น เธอจะต้องเข้าใจเรื่องนี้ แล้วก็พาพ่อแม่ตัวเอง บุคคลที่ตนรัก มาเส้นทางกุศลกรรมให้ได้ค่ะ
หากยังชอบสร้างกรรมไม่ดีไว้เป็นเนือง ๆ รวมถึงการพยาบาท แค้นเคือง ไม่อโหสิกรรมต่อกันใด ๆ ก็ตาม
จิตสุดท้ายจะพาพ่อแม่เรา คนที่เรารักและห่วงใย รวมถึงตัวเอง ไปสู่อบายภูมิหรือไปเกิดเป็นสัตว์ (สัตว์เดรัจฉาน) ได้ค่ะ
แม้จะเกิดเป็นสัตว์หน้าตาน่ารัก มันก็ไม่ดีอยู่แล้วใช่ไหมคะ จิตของสัตว์นั้น ถ้ามีจิตของคนที่ยังพอจำความได้ติดไปด้วย ยิ่งจะทุกข์เป็นแน่แท้ เพราะมีร่างเป็นสัตว์
เพราะฉะนั้น อยากให้พ่อแม่ตัวเอง คนที่เรารักและห่วงใย รวมถึงตัวเองไปในทางกุศล ทางสว่าง จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
ก็ต้องเริ่มสร้างกรรมดี เป็นกรรมใหม่ที่ดี ตั้งแต่บัดนี้เลยค่ะ ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนวิธีการคิดตนเองให้ได้ จากการศึกษาธรรมะ ฟังเทศน์ธรรมจากพระอาจารย์ หลวงปู่ หลวงตาดี ๆ ค่ะ
อย่าประมาท อย่าคิดว่ามันจะไม่เป็นไร เพราะยังแข็งแรง ยังสนุกหลงระเริงในกิเลสที่ตนเข้าใจว่ามันดีอ่ะ ช่างมันฉันไม่แคร์
แต่เมื่อมโนกรรมให้ผลแรง มันจะเป็นชนกกรรม (กรรมที่พาไปเกิดใหม่) ที่พาไปอบายภูมิแน่นอนค่ะ
หากต้องการหยุดวิบากกรรมที่ทำให้เราชีวิตไม่ราบรื่น ชีวิตติดขัด ชีวิตแย่ ๆ ทั้งการงาน การเรียน หรือ ความรัก
ก็ต้องให้ตระหนักเลยค่ะว่า เรากำลังได้รับผลกรรมของกรรมไม่ดี ที่เราเคยก่อไว้
กรรมไม่ดีที่เราเคยก่อไว้ อาจจะเป็นกรรมไม่ดีจากอดีตชาติ
(กรรมจากอดีตชติเราไม่อาจรู้ได้ ยกเว้นปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนากรรมฐาน จะพอรู้ระดับหนึ่ง แล้วเราจะอุทิศบุญกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวรถูกค่ะ)
และกรรมจากชาตินี้ มันเกิดขึ้นแล้ว เราไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้ไขได้และหยุดผลกรรมเก่าเหล่านี้ได้ แต่เราต้องยอมรับความจริงและยอมรับให้ได้ค่ะ
ยอมรับว่าเมื่อกรรมเก่าให้ผล มันให้ผลให้เรามีอุปสรรค์ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ แต่เราสามารถทำได้ตอนนี้ เวลานี้ ชาตินี้คือหยุดสร้างกรรมใหม่ที่เป็นกรรมไม่ดีขึ้นมาค่ะ
ดังนั้น หยุดคิดร้าย มุ่งร้าย พยาบาทได้ไหมคะ เพราะหากเริ่มคิดจะทำ มีการผูกใจเจ็บ มีความแค้นเคือง พยาบาท
ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คล้าย ๆ แบบนี้ ถือว่าเป็นมโนกรรม (กรรมทางใจ) ที่จะพาให้เธอสิ่งร้าย ๆ ค่ะ
ยิ่งหากมีการด่าหยาบคาย และมีการแช่งออกมาจากปาก ก็คือสร้างวจีกรรม (กรรมทางคำพูดหรือการเขียนแทนพูด) ออกมาแล้วนะคะ
มันจะไม่เป็นผลดีต่อมโนกรรมตัวเอง เพราะเธอจะไม่สบายใจและจะทุกข์ใจในภายภาคหน้าแน่นอนค่ะ
หากผลที่เธอแช่งให้ผลจริง ๆ ต่อไปเธอจะหลงในวิธีการนี้ มีกิเลสมาปรุงแต่งจิตให้เธอไปในทางมืด
คราวนี้เธอจะอยากแช่งใครต่อใครมากขึ้น จิตเธอก็จะเป็นคนไร้ความเมตตา มีความพยาบาท มุ่งร้าย คนรอบข้างจะรับออร่านี้ได้ค่ะ
นี่เช่นไรคะ ที่เขาเรียกว่าจิตสามารถสื่อสารถึงกันได้ ยิ่งถ้าเธอมุ่งร้าย แค้นเคืองเท่าใด คนรอบข้าง หรือเจ้าตัวเขาก็รับรู้ได้ค่ะ
เพราะจิตมันส่งคลื่นความร้ายออกไป (คล้าย ๆ คลื่นสมอง ซึ่งเรายอมรับได้ใช่ไหมคะว่าในทางวิทย์คลื่นสมองมีจริง)
แต่พลังจิตพยาบาท แค้นนั้น มันไม่ใช่มีผลต่อเป้าหมาย แต่มีผลต่อคนรอบข้าง เขาก็ไม่สบายใจที่จะอยากอยู่ด้วย
เพราะมันจะอึดอัด มันเป็นออร่าแห่งความมืด แห่งความร้าย ไม่มีใครชอบคนจิตมุ่งร้ายนะคะ
แต่ถ้าเธอสามารถดึงสติตนเอง มาฝึกการเจริญสติ ศึกษาธรรมะในระดับปฏิบัติ ฟังเทศน์ ฟังธรรม เพื่อให้จิตแยบคาย อ่อนโยน
จากนั้นเธอจะเจริญสติจนเกิดรู้สภาวะจิตว่า การให้อภัย อโหสิกรรมต่อกันได้นั้น มันจะเป็นสุขมากว่าทุกข์ จิตเธอจะสว่างขึ้นมาทันทีค่ะ
การอภัยในทางโลกไม่เหมือนกับการอภัยในทางธรรมที่ต้องอาศัยการฝึกฝนเป็นอย่างมากนะคะ
อภัยแต่ปาก ยกโทษแต่ปาก แต่จิตยังมุ่งร้าย พยาบาท แค้นเคือง ก็จะส่งผลให้ดึงดูดแต่เรื่องร้าย ๆ หรือ ผลักคนดี ๆ ออกจากชีวิตเธอค่ะ
เพราะคนดี ๆ เขาจะมีจิตเมตตา จิตละเอียดอ่อน เขาจะรับรู้ได้ด้วยจิตของเขาว่าคน ๆ นี้มีจิตไม่สะอาด จิตอาฆาต จิตแค้นเคือง จิตมุ่งร้าย
มันจะเหมือนขั้วแม่เหล็กที่ผลักคนจิตใจดี ๆ ออกไปค่ะ
เราจึงมักเห็นว่าคนจิตใจดี จิตใจอ่อนโยน คนดีนั่นแหละค่ะ เขาจะเข้ากับคนจิตหยาบคาย จิตที่มีความคิดร้ายบ่อย ๆ ไม่ได้
ถ้าดึงดูดกันด้วยแรงกรรมผูกพันในอดีตชาติมาเข้าคู่กันได้ หรือดึงดูดจากรูปร่างหน้าตาก็ตาม
แต่เขาจะอยู่ด้วยกันได้ไม่นาน เพราะจิตมันจะคนละขั้ว มันจะผลักกัน เพราะคนจิตใจดี กับ คนจิตใจไม่ดี มันจะมีแรงผลักกัน ไม่สามารถเขากันได้
ยกเว้น คนจิตใจดี จะฝึกเมตตาเป็นพื้นฐาน เขาอาจจะหาทางดึงอีกคนขึ้นมาให้ได้ แต่โดยธรรมชาติของจิตมันจะคล้อยลงต่ำได้ง่าย ๆ
ดังนั้น การที่คบคนแบบไหน ก็มักจะเป็นคนแบบนั้นได้ คนจิตใจดี อาจจะคล้อยต่ำลงมาได้ ถ้าเขายังฝืนทนคบไปเรื่อย ๆ แล้วอีกฝ่ายไม่ฝึกจิตให้กุศลตามมาด้วย
ในขณะที่จิตที่มุ่งไปทางมืด ทางมุ่งร้ายของอีกคน จะถูกดึงขึ้นมาได้ยากมาก
ถ้าคน ๆ นั้นเขาไม่มีศรัทธาทางสว่าง ทางกุศล ไม่ได้เชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรม ไม่เชื่อธรรมะคำสอนพระพุทธเจ้า เขาก็จะไม่สนใจ
แล้วเขาก็จะอยู่กับกิเลสตนเองในด้านมืด ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตนเอง หรือเปลี่ยนก็นิด ๆ หน่อย ๆ แล้วสุดท้ายเขาก็จะทนไม่ไหว เพราะเขาปล่อยให้กิเลสด้านมืดตนเองครอบงำตัวเอง
เขาจะเปลี่ยนได้ก็ต่อเมื่อ เจอเหตุการณ์สำคัญ ที่ทำให้เขาทุกข์ทางใจหนักมาก เช่น สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ หรือคนที่เขารัก เป็นต้น
อีกทางคือเขาเผชิญเหตุการณ์ที่ทำให้เขาทุกข์ใจมาก ๆ จากภาวะเจ็บป่วยทางกาย หรือ อาจจะเป็นอุบัติเหตุ เป็นต้น
เป็นเหตุให้เขาต้องนอนพัก ไปไหนมาไหนไม่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนทำให้เขามาทบทวนผลของการกระทำตนเองที่ผ่านมา
กรรมทางใจ (มโนกรรม) จะแสดงผลในช่วงเวลานี้ เพราะคนเราหากไม่ทุกข์มาก ๆ ไม่ทุกข์หนักจริง ๆ จะไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงตนเองค่ะ
ดังนั้น ตอนนี้ สิ่งที่ จขกท. กำลังเผชิญ ถือว่าเป็นความทุกข์ระดับหนึ่ง กรรมทางใจ หรือมโนกรรมนี้กำลังเกิดขึ้น ทำให้เธอมีผลต่อการงาน
ให้ยอมรับเสียค่ะว่ามันเป็นสัญญาณเตือนจากกรรมเก่าที่เราเคยกระทำไว้
เมื่อเรายอมรับผลกรรมนี้ได้ แล้วมาอยู่กับปัจจุบัน (ซึ่งอาจจะยากในสภาวะทุกข์ใจ) โดยการยึดหลักเอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใช้ดับทุกข์
เราก็จะผ่านพ้นวิกฤตปัญหาทางใจและการงาน การเรียน หรือความรักได้ค่ะ
พระพุทธเจ้าท่านทรงเน้นให้เรายอมรับผลของกรรมที่เราเคยกระทำไว้ ไม่หลอกตนเอง เพราะการหลอกตนเองเป็นอกุศลกรรมต่อชีวิตตนเองมาก ๆ ค่ะ
เพราะยิ่งหลอกตนเอง ไม่ยอมรับความจริง มันจะเก็บลงไปในจิตใต้สำนึก แล้วเราก็ไม่เปลี่ยนแปลงตนเอง
เมื่อไม่คิดใหม่ ทำใหม่ ยังคิดในรูปแบบความคิดแบบเดิม ๆ ก็จะสร้างกรรมแบบเดิม ๆ ออกมาอีก
การมีธรรมะยึดเหนี่ยวจิตใจ จะช่วยให้เราเจริญสติ คนที่มีสัมมาสติ (สติทางธรรมคือระลึกรู้ตัวว่าทำอะไรอยู่
เมื่อเรารู้ในการกระทำตน และอยู่กับปัจจุบันได้ จะช่วยให้เราหลุดพ้นทุกข์ได้เร็วขึ้นค่ะ
พูดอาจจะง่ายนะคะ แต่ไม่มีทางจะบังคับจิตได้ค่ะ เพราะอย่างที่บอกธรรมชาติของจิตมนุษย์เราจะฟุ้งซ่านง่าย และคล้อยไหลไปในทางต่ำได้ง่าย
เราจึงมักติดกับกิเลสและทำอะไรแบบเดิม ๆ ที่ทำให้ตัวเองทุกข์อีก
การเจริญสติที่ดีคือ รู้ลมหายใจตนเองว่า หายใจสั้น หรือ หายใจยาว รู้ว่า ตอนกำลังทุกข์ ลมหายใจตนเองนั้นเป็นเช่นไร
แล้วเปรียบเทียบกับลมหายใจที่ความทุกข์มันเริ่มคลายบางโอกาส ว่าเป็นเช่นไร
โดยปกติ หากเราไม่ค่อยทุกข์ใจนัก ลมหายใจเราจะยาวหน่อย แต่ถ้าเริ่มทุกข์ใจมาก ลมหายใจจะสั้นและเร็ว
คนหายใจสั้น หัวใจก็มักเต้นเร็วด้วย แบบนี้อายุจะไม่ค่อยยืนนะคะ เพราะสัตว์อายุสั้น เช่น พวกหนู ก็หายใจสั้น เร็ว และมีอัตราการเต้นหัวใจเร็วด้วย
ส่วนสัตว์ที่มีอัตราการหายใจช้า และหัวใจเต้นไม่เร็ว มักจะอายุยืน ดังนั้น หากเรามีทุกข์เยอะ เพราะสร้างกรรมไม่ดีไว้เยอะ เราก็จะสังเกตได้จากลมหายใจตนเองนี่ละค่ะ
เห็นไหมคะว่าความทุกข์นั้นส่งผลเสียต่อสุขภาพเช่นไร
เราจะไม่ทุกข์มากไปกว่านี้ ถ้าเรายอมรับความจริงและก็หยุดการสร้างเวรกรรมที่ไม่ดีเพิ่มขึ้นมาอีก
หากคิดจะแช่ง จะอยากด่าหยาบคายก็ให้มีสติรู้เท่าทันตัวเองในความคิดว่า กำลังคิดอกุศลกรรมนะ มันจะไม่ดี มันจะเป็นผลเสียต่อชีวิตเราในภายภาคหน้า
เราจะไม่เลือกอยู่ฝ่ายมาร เราจะเป็นฝ่ายเทพ ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายที่กุศลกรรม ถ้ามันจะตายที่เรายืนอยู่ฝ่ายนี้ ให้มันตายไปเลยค่ะ อยากรู้เช่นกันค่ะว่าจะตายเพราะคิดดี พูดดี ทำดีไหมนะคะ
อีกทางให้คิดว่า แค่นี้ ตอนนี้ เวลานี้เราก็ได้รับผลของกรรมเก่าแย่ขนาดนี้แล้ว เรายังไม่เจ็บ ไม่ทุกข์พอเหรอ
ยิ่งเราคิดจะต่อเวร ต่อกรรมไม่ดีไปด้วยวิธีการด่าหยาบคาย คิดแช่งเขา มันจะยิ่งทำให้เราทุกข์กว่านี้แน่ ๆ แล้วผลมันจะไม่จบสวยแน่นอนค่ะ
วันนี้ถ้าเรารู้สึกว่าเราทำสำเร็จ แช่งสำเร็จ หรือด่าเขาสำเร็จ แต่มันจะเกิดใจพยาบาทต่อกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งทำให้ตัวเองจมอยู่กับจิตพยาบาท จะดึงดูดแต่สิ่งไม่ดีมาหาตนเองอีกค่ะ
เพราะคนดี ๆ เขาจิตใจดี เขาจะรับรู้ได้ เพื่อนดี ๆ ก็จะค่อย ๆ หายไปจากชีวิตเรา เหลือแต่คนที่มีจิตใจ นิสัยคล้าย ๆ กันอยู่ร่วมกัน
แต่ธรรมชาติของคนคิดไม่ดี มักจะอยู่รวมกันได้ไม่นาน สุดท้ายก็จะทะเลาะหรือบาดหมางใจกัน
ดังที่เราเห็นเป็นประจำในกลุ่มก้อนที่มีนิสัยไม่ดีเหมือน ๆ กัน ก็มักจะทะเลาะกันไม่เร็วก็ช้าค่ะ เพราะผลกรรมเขาแสดงผลให้เป็นแบบนั้น
ตอนนี้เราสามารถหยุดสร้างกรรมไม่ดีต่อตัวเองได้ ด้วยการยอมรับความจริงเสียว่าอาจจะเป็นผลของกรรมเก่าเราเองที่เคยก่อไว้ในอดีตชาติ (เราไม่สามารถรู้ได้ถ้าไม่เคยปฏิบัติธรรมขั้นสูง)
หรืออาจจะเป็นกรรมเก่าในชาตินี้นี่แหล่ะค่ะ ที่อาจจะเคยพลั้งเผลอ หรืออาจจะเจตตาไม่ดีกับใครไว้เมื่อนานมาแล้ว
อย่าลืมว่าส่วนใหญ่กรรมเมื่อให้ผลนั้น ไม่ใช่คนเดิมที่เราเคยไปทำกับเขาไว้ แล้วคนเดิมจะกลับมากระทำคืนกับเรานะคะ แต่มันจะมีแรงดึงดูดอะไรสักอย่าง ให้คนอื่นมากระทำเราคืนค่ะ
เหมือนกรรมแห่งความรักนั่นแหละค่ะ เคยทำไม่ดีกับคนรักเก่าไว้ยังไง เมื่อเวลาผ่านไป จะมีคนใหม่ถูกดึงดูดเข้าม แล้วคน ๆ นั้นจะมาทำคืนกับเรา เหมือนที่เราเคยไปทำไว้กับคนอื่นค่ะ
ตราบใดที่เรายังไม่ยอมรับความจริง และไม่ยอมรับผลของกรรมที่เราเคยกระทำไว้ แล้วยังดิ้นรน แล้วหาทางเอาคืน
ยังใช้วิธีคิดแบบเดิม ๆ กระทำแบบเดิม ๆ กรรมก็จะไม่หมดค่ะ ยิ่งเป็นการสร้างกรรมไม่ดีเพิ่มค่ะ
ทางที่จะช่วยได้ดีที่สุด คือ เราต้องทำให้ตรงกันข้ามกับแบบเดิม ๆ ทีเราเคยกระทำมา หรือหากเคยทำดีมาตลอด
แต่ยังไม่ได้รับผลของการสร้างกรรมดีนั้นไว้ ก็ต้องทำดีให้มากขึ้นกว่าเดิมค่ะ
เพื่อสร้างบุญกุศลจากกรรมดีที่เราทำให้มากที่สุด แล้วมันจะหลุดพ้นทุกข์ตรงนั้นได้ แต่ไม่ใช่ยังไปทำแบบเดิม ๆ
เช่น บางคนไปเจอคนใหม่หักอกคืน คราวนี้ก็ยิ่งไปกันใหญ่ คิดแก้แค้นเอาคืนคนอื่น หรือ เที่ยวนอนกับคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย
เพื่อให้ลืมทุกข์ บอกเลยว่า ยิ่งจะหนักกว่าเดิม ไม่ได้ผลแน่นอนค่ะ จะหนีไปสุดขอบโลก ไปเที่ยวภูเขา ทะเล สวยงามเท่าใด
แต่หากไม่ยอมรับผลกรรมตนเคยก่อไว้ และไม่คิดจะสร้างบุญกุศลใหม่เพิ่ม (สร้างกรรมดี) ก็ไม่มีทางหลุดพ้นค่ะ
เพราะเป็นการสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีกไหงคะ เหมือนเติมตะกอนดินลงโอ่ง (สมมุติว่ากรรมไม่ดีเปรียบเสมือนตะกอนดิน) มันก็จะยิ่งทำให้น้ำขุ่นเรื่อย ๆ
ในขณะที่ไม่สร้างกรรมดี (บุญกุศล) จากวิธีการคิดที่กุศล เช่น ไม่แค้น พยาบาท คิดดี คิดในทางบุญ มีจิตเมตตา อะไรแบบนี้
แล้วก็หมั่นทำบุญกุศล รักษาศีล สวดมนต์และเจริญภาวนาได้ แบบนี้ค่ะ จะพาเราหลุดทุกข์และกรรมเก่าไม่ดีได้
เหมือนว่าเราเติมน้ำลงโอ่งไงคะ น้ำใส ๆ ก็จะเพิ่มมากขึ้น เมื่อเวลาตักน้ำไปใช้
ตะกอน (กรรมไม่ดีที่เคยทำไว้) อยู่ด้านล่างก็ไม่ฟุ้งขึ้นมานัก เพราะน้ำปริมาณมากพอ จากการสร้างบุญกุศลขึ้นมา
แต่ถ้าเอาน้ำไปใช้เรื่อย ๆ เหมือนเอาบุญเก่าไปใช้ น้ำก็ลดลงเรื่อย ๆ แรก ๆ ทำเลว ทำชั่ว คิดร้าย คิดไม่ดี พูดไม่ดี หยาบคาย ด่าคนอื่นประจำ ก็เลยยังไม่ค่อยให้ผลนัก
เพราะกรรมเก่าที่เป็นกรรมดี (เปรียบเสมือนน้ำ) ยังมีเกือบเต็มโอ่ง
แต่เมื่อตักน้ำออกไปเรื่อย ๆ ไม่คิดสร้างกรรมดี (บุญ) ใหม่เพิ่ม เธอก็เตรียมตัวเตรียมใจลงเหวนรกได้เลยค่ะ ไม่ต้องเป็นนรกหลังตายนะคะ แค่บนดินก่อนตายนี่แหละค่ะ
เมื่อเวลามันถึงจุด ผลกรรมเก่าที่ไม่ดี ทั้งสะสมไว้จากอดีตชาติและชาตินี้จะเล่นงานจนทุกข์ทางใจหนักเลยค่ะ อะไร ๆ ก็ช่วยไม่ได้
จะไปไหว้พระขอพร หรือ อธิษฐานใด ๆ ก็จะไม่ได้ผลค่ะ เพราะบุญบารมี บุญกุศลตนไม่ทำ ไม่สร้างไว้
เทวดา เทพ พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใด ๆ ก็ช่วยเราไม่ได้ เพราะเราไม่สร้างบุญกุศลไว้ให้มากพอที่ท่านจะมาช่วยเราค่ะ
ก็ถ้าคิดตามหลักตรรกะง่าย ๆ เทวดา เทพ พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ท่านจะเลือกช่วยคนที่ประมาททางธรรม หมั่นแต่สร้างกรรมไม่ดีไว้เหรอคะ ? คงไม่น่าจะใช่จริงไหมคะ
ดังนั้น ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธรรมะ จะเป็นเสมือนเกราะคุ้มครองตัวเรา และเปรียบเสมือนมีเทวดาคุ้มครองตัวเรา ก็เช่นนี้ค่ะ เพราะคนมีธรรมะที่ปฏิบัติได้นะคะ ไม่ใช่ธรรมะแต่ปาก
เช่น มีศีลดี ไม่ชอบโกหก ไม่ให้ร้ายผู้อื่น แล้วก็ยึดหลักพรหมวิหาร 4 คือ มีเมตตาจิต มีความกรุณา หวังให้คนอื่นพ้นทุกข์ และก็มีมุทิตา
ยินดีและชื่นชมคนอื่นที่กระทำดี และอุเบกขาเป็น คือ ปล่อยวางได้ ปล่อยวางเป็น
เมื่อเราเห็นว่าเขากระทำไม่ดี เราเมตตาเขา กรุณาเขา มุทิตาเขาก็แล้ว เขาไม่รับความปรารถนาดีของเรา เราก็ต้องอุเบกขาได้ค่ะ
อุเบกขาในที่นี้ไม่ใช่ทำตัวโง่ ๆ เอ๋อ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็ปล่อยไปนะคะ แต่เรามีสติรู้เท่าทันว่าคน ๆ นี้เป็นคนเช่นไร อ๋อ เขาเป็นคนเช่นนี้เอง
ให้ยึดหลักอุเบกขาว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมนะ หากเขาทำไม่ดีต่อไป เขาจะได้รับผลกรรมไม่ดี (กรรมชั่ว) ของตนเองไม่เร็วก็ช้า มั่นใจได้เลยค่ะ
กฎแห่งกรรมนั้นเที่ยงตรงเสมอ แต่เราไม่สามารถไปบังคับให้กรรมแสดงผลเร็วหรือช้าได้ค่ะ เพราะมันขึ้นอยู่กับบุญเก่า
กรรมดีเก่าที่เขาเคยทำมาไว้ด้วย แต่ให้เชื่อค่ะว่า กรรมไม่ดีที่สร้างไว้ ยังไงก็จะแสดงผลแน่นอน ไม่เร็วก็ช้า
เพราะเมื่อน้ำเขาเริ่มลด และไม่ขยันทำเพิ่ม หรือทำบุญแบบไม่ถูกวิธี แบบเอาเงินโกงไปทำแบบนี้ ก็ไม่เกิดบุญเท่าไหร่
หรือทำบุญเสร็จก็มาทำกรรรมไม่ดี ว่าร้าย ให้ร้ายคนอื่น หรือด่าคนนั้นคนนี้ไปทั่ว แบบนี้ก็เกิดทำบุญและบาปไปพร้อม ๆ กัน
ส่วนตัวเรา เมื่อเน้นรักษาศีล จะเกิดบุญที่สูงกว่าการให้ทานทางวัตถุหรือเงินเสียอีกค่ะ เพราะศีลจะทำให้เราไม่ไปเบียดเบียนใคร
ไม่ใช่ใครก็ทำได้นี่คะ ถ้าทุกคนมีศีล (แค่ศีล 5) หมด บ้านเมืองก็สงบแล้วค่ะ แต่มันไม่ได้ง่าย ๆ ไงคะ
ถึงได้บอกว่าแค่รักษาศีลได้นี่คือบุญระดับกลาง ที่สูงกว่าการทำบุญแบบให้ทานเสียอีกค่ะ การบริจาคเงิน 10 ล้าน 100 ล้าน ก็ยังไม่ได้บุญเท่ากับการรักษาศีลได้ครบ อันนี้ประเสริฐกว่ามากค่ะ
ยิ่งพอรักษาศีลได้ แล้วใช้ธรรมะข้ออื่น ๆ เช่น มีความอดทน (ขันติ) มีพรหมวิหาร 4 แบบที่กล่าวข้างต้น
พร้อมกับมี อิทธิบาท 4 เช่น ฉันทะ คือ พึงพอใจในงานที่ตนทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ได้ผลดียิ่งๆ ขึ้นไป
มีวิริยะ (ขยันหมั่นเพียร) มีวิมังสา ความรู้จักแก้ไขปรับปรุงตนเองเสมอ เธอจะรุ่งโรจน์แน่นอนค่ะ
ไม่เร็วก็ช้า ไม่ช้าก็เร็ว เหตุคือดี ผลก็ย่อมดีเสมอ สร้างกรรมดีไว้ จะให้ผลเป็นกรรมชั่วจะเป็นไปได้เช่นไร ไม่มีทางค่ะ
แต่ตอนนี้ทำดีอาจจะยังไมได้ดี เพราะมีวิบากกรรมเก่าอยู่บ้าง ดังที่เปรียบน้ำกับตะกอนดินในโอ่งค่ะ
แต่อย่าย่อท้อค่ะ ถ้าทำดีแค่นิดหน่อยแล้วยังไม่ได้ดี ก็ต้องทำดีเพิ่มขึ้นค่ะ หมั่นศึกษาธรรมะ เธอจะเข้าใจแนวทางการทำดี ทำกุศลผลบุญ ตามแนวทางกุศลกรรมค่ะ
อย่างน้อย ๆ ก็ทำตามแนวทางบุญกิริยาวัตถุ 10 ได้ สัก 5-6 ข้อ เธอก็ได้บุญมาสะสมแล้วค่ะ
คนอ่านธรรมะ ฟังเทศน์ฟังธรรม ก็เป็นบุญค่ะ และเป็นหนึ่งในมงคลชีวิต 38 ประการ ที่ปุถุชนควรพึงปฏิบัติค่ะ
ดังนั้น อย่าเพิ่งย่อท้อค่ะ ผลกรรมไม่ดีนั้น มันมีอยู่ทุกคนทีติดตัวมาตั้งแต่อดีตชาติ
และอาจจะพลั้งเผลอหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์กระทำไว้ในชาตินี้ แต่เราต้องดึงสติตัวเอง ให้กลับมาอยู่กับปัจจุบัน
เริ่มต้นทำดีใหม่ ทำในสิ่งที่ดีเป็นบุญกุศล เพื่อหนีจากวิบากกรรมเก่าที่ไม่ดี และยอมรับผลของวิบากกรรมเก่าที่ไม่ดีเสีย
แล้วเริ่มต้นทำดี อย่าไปก่อกรรมไม่ดีเพิ่ม ต่อไปชีวิตเธอก็จะเจริญรุ่งเรือง มีชีวิตที่ดีเองค่ะ ทุกด้าน
เทวดา พรหมเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก็จะคุ้มครองเธอเอง ต่อให้เธอไม่อธิษฐานอะไร ท่านก็จะแอบช่วยเธอเองค่ะ
แต่ถ้าคนที่เน้นแต่สร้างกรรมไม่ดี อธิษฐานยังไงก็ไม่ขึ้นค่ะ รอกินแต่บุญเก่า กรรมดีเก่าเท่านั้น
เมื่อของเก่าถูกใช้ค่อย ๆ หมดไป คราวนี้แหล่ะ ก็เหลือแต่ตะกอนดินเต็มโอ่ง รับผลกรรมไม่ดีนั้นไปเต็ม ๆ ค่ะ
ดังนั้น ให้เชื่ออย่างจริงใจค่ะว่า กรรมนั้นมีจริง และให้ผลจริง ไม่ว่าจะกรรมดี หรือ กรรมชั่วก็ตาม ทำสิ่งใดไว้ย่อมให้สิ่งนั้นกลับคืนมา
เหตุคือดี ผลก็ย่อมดี เหตุไม่ดี ผลไม่มีทางจะดีได้ ไม่มีทางเลยจริง ๆ ค่ะ เพียงแต่ว่า มันยังไม่ถึงเวลาแสดงออกเฉย ๆ นะคะ
เมื่อกรรมดีเธอจะให้ผล เทวดา ฟ้าดิน ทุกอย่างก็อำนาวยให้หมด ประหนึ่งวันนั้นเธอทำไมโชคดีอะไรไปหมด
แต่ถ้าวันไหนกรรมไม่ดีให้ผล (เพราะหมั่นสร้างแต่กรรมไม่ดี และไม่ค่อยทำกรรมดีให้เป็นบุญกุศล)
บอกเลยค่ะว่า วันนั้นต่อให้ไปบนบาน ขอพรเจ้าพ่อ เจ้าแม่ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใดก็ตาม ก็ไม่มีทางมาช่วยเราได้
เพราะผลกรรมไม่มีอะไรลบล้างได้ อำนาจกรรมยิ่งใหญ่ที่สุด ดังนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงสรรเสริญเรื่องกรรมและกฎแห่งกรรมมาก ๆ เลยค่ะ
เพราะเป็นธรรมะที่พระองค์ทรงค้นพบ ว่ามันให้ผลจริง และให้ผลตามติดตัวติดตามชาติได้ด้วยค่ะ ไม่มีวันเลือนหาย
ท่านจึงเน้นสอนให้เราสร้างแต่กรรมดีไว้ให้มาก แล้วก็ลดการสร้างกรรมไม่ดี จนกระทั่งไม่ทำเลยให้ได้
เพื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของเราเองที่จะไม่มีผลกรรมไม่ดีตามมาทำร้ายเราทั้งร่ายกาย โรคภัยไข้เจ็บ หน้าที่การงาน ความรัก
และมโนกรรมที่รุนแรงจนทำให้เราทุกข์ใจจนแทบเสียสติค่ะ ดังนั้น อย่าแช่งใคร อย่าไปพยาบาทใครค่ะ
ต้องฝึกเจริญเมตตาค่ะ เพราะการผูกใจเจ็บ พยาบาท สาปแช่งจะให้ผลตามติดชาติได้ เอาแค่ชาตินี้เธอก็จะเจอเรื่องร้าย ๆ กลับคืน หลังทำสำเร็จค่ะ
หากใครเคยพลาดทำแล้วก็ยังพอแก้ไขได้ค่ะ คือ ต้องสร้างกรรมดี สร้างบุญกุศลและตั้งใจ ตั้งจิตให้แน่วแน่ว่าจะไม่ทำอีก และก็รับรู้ผลกรรมที่ตนกระทำแล้ว
แล้วก็ขอให้สร้างกรรมดีใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ แทน
เมื่อยังผูกใจเจ็บ ยังแค้นเขา เพราะเขากระทำกับเราให้เจ็บปวดเสียใจจริง ๆ ทั้งการงาน การเรียน หรือ ความรัก ใครมีความรู้สึกนี้
ย้ำว่า ตอนนี้อย่าคิดทำอะไรที่เป็นแช่งด่า พยาบาท จิตมุ่งร้ายเลยค่ะ เพราะมันจะกลายเป็นกรรมที่ไม่ดีต่อเราไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ที่แน่ ๆ คือ จะมีผลต่อชนกกรรม (กรรมที่ทำให้เราไปเกิดใหม่) หากไม่สามารถปฏิบัติธรรมไปจนถึงนิพพาน หรือไม่ได้มีกุศลกรรมมากพอจะไปสวรรค์ เธอจะต้องไปอบายภูมิ
หรือเกิดมาเป็นสัตว์หรือเดรัจฉานเพื่อมาตามแค้นค่ะ
ชนกกรรมนั้น สำคัญมาก ๆ จิตสุดท้ายของมนุษย์ก่อนดับ ก่อนตาย จิตของมนุษย์ทุกชนเผ่า ทุกชาติ ทุกศาสนา ไม่เว้นแต่คนไม่มีศาสนา
ต่อให้ปลอบใจตนเองว่าฉันไม่แคร์ ไม่เชื่ออะไรก็ตามค่ะ จิตจะเป็นไปตามผลกรรมที่ตนเคยสร้างไว้
จิตสุดท้ายจะไม่มีใครควบคุมได้ สิ่งที่เราทำเป็นอาจิณกรรม (กรรมที่ทำเป็นประจำ)
ถ้าเป็นกรรมดี จะพาคน ๆ นั้น ไปทางสว่าง ทางกุศล ไปทางที่ไม่ใช่อบายภูมิ เช่น พรหมภูมิ สวรรค์อะไรเช่นนี้
แต่ถ้าขยันสะสมกรรมไม่ดี กรรมชั่วทั้งความคิดหรือทางใจ (มโนกรรม) ทางคำพูดด่าหยาบคาย ชอบด่าว่าคนอื่น ชอบพูดจาเสียดสีทำร้ายจิตใจคนอื่น
แม้กระทั่งการเขียนด่าตามโซเชียลประจำ (วจีกรรม) และยิ่งหากลงมือกระทำอะไรก็ตามที่ไม่ดี ที่ทำให้คนอื่นได้รับความเสียหาย ไม่ทางกายก็ทางใจไว้
เมื่อเป็นการลงมือกระทำที่เรียกว่ากายกรรมก็จะติดตา ติดในจิตตนเองนานและคงทนค่ะ จิตสุดท้ายมันจะดึงเอาเรื่องพวกนี้แหละค่ะ ออกมาพาเธอไปอบายภูมิ
เราจะหยุดตรงนี้ได้ไหมคะ ถ้าเราเริ่มหยุดได้ แล้วจะเจริญสติ สร้างบุญบารมีใหม่ (ตามแนวทางธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้อง)
ธอก็อาจจะหนีพ้นจากชนกกรรมที่พาไปเกิดเป็นสัตว์ หรือ จิตไปลงอบายภูมิได้ค่ะ
สิ่งที่แล้ว ๆ มาเราต้องยอมรับผลกรรมตนเอง หยุดหลอกตนเอง หยุดสร้างกรรมไม่ดี และตั้งใจให้แน่วแน่ว่าจะทำแต่กรรมดี เพื่อตนเอง และครอบครัว
เมื่อเธอทำได้ เธอก็จะทำให้ครอบครัวภูมิใจ ก็จะมีแต่คนดี ๆ เข้ามาหาเธอค่ะ แล้วก็จะผลักคนไม่ดีออกไปจากชีวิตด้วยกฎแห่งธรรมชาติ คือ หลักธรรมและกรรมที่พูดถึงไปข้างต้นค่ะ
อย่างน้อยถ้าเรารักตัวเอง เราก็ต้องสำรวจตนเองและจะไม่ก่อกรรมไม่ดีให้ตัวเองจริงไหมคะ หรือถ้าไม่รักตัวเอง ก็ต้องรักใครสักคน พ่อ แม่ หรือใครสักคนที่เธอรักมาก
อย่าให้เขาได้รับผลกระทบจากผลกรรมไม่ดีที่เราไปก่อไว้ค่ะ เพราะเขาจะทุกข์ใจไปด้วยกับเรา เมื่อกรรมไม่ดีส่งผล เพราะความผูกพันเขาจะทุกข์ไปกับเราด้วยแน่นอนค่ะ
เพราะพ่อ แม่ ลูก คือบุคคลที่เคยทำกรรมร่วมกันมาในอดีตชาติ ใครคนใดคนหนึ่งทำสิ่งไม่ดีในชาตินี้ คนในครอบครัวย่อมทุกข์ใจไปด้วยเป็นแน่แท้ค่ะ ไม่มีทางปฏิเสธได้
เช่น ลูกทำตัวไม่ดี ไปก่อเรื่องไว้ พ่อ แม่ก็ต้องได้รับผลทุกข์ทางใจไปด้วย เพราะความผูกพัน
แม้ผลกรรมจะตกเป็นของลูกทั้งหมด แต่พ่อ แม่ ก็ต้องได้รับความเดือดร้อนไปด้วยจากการกระทำของลูก ดังข่าวต่าง ๆ ที่เราเห็นบ่อย ๆ จริงไหมคะ
เพราะฉะนั้น หากคิดจะลงมือกระทำอะไรใด ๆ ที่ไม่ดี ต้องให้คิดถึงคนที่เรารักและคนที่เขารักเราด้วยค่ะ
เพราะมันจะส่งผลต่อเขาได้ ไม่มากก็น้อย แม้เราไม่รักใครเลย ก็ต้องนึกถึงตนเองตอนจะทุกข์ใจอย่างหนักค่ะ
ไม่มีใครหยุดมโนกรรมได้ง่าย ๆ ค่ะ กรรมที่ให้ผลแรงใด ๆ ก็ตาม
เช่น ฆ่าคน เป็นกายกรรม ทำร้ายคนก็เป็นกายกรรม ด่าว่าใครหยาบคาย จนเคยชินปาก ก็เป็นวจีกรรม แต่เมื่อผลกรรมให้ผล
กายกรรมอาจจะทำให้เราโดนฆ่า หรือติดคุก หรือโดนสังคมลงโทษจนแทบไม่มีที่ยืน ดังที่เราเห็นเป็นประจำ
ส่วนวจีกรรมอาจจะทำให้คนดี ๆ ไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนปากร้าย หรือคนที่เขาจริงใจ มิตรแท้ก็อาจจะไม่มีเลย เพราะคนชอบด่าคนอื่นใครดี ๆ ก็ไม่อยากคบด้วย
ไม่ว่าจะกายกรรม หรือ วจีกรรม หากให้ผลแล้ว มันไม่ใช่แค่ระดับนั้นค่ะ มันจะให้ผลมาถึงมโนกรรม คือ ความรู้สึกเรา กรรมทางใจมันเป็นความรู้สึก เราจะทุกข์ใจ จนรู้สึกแย่ไป
ผลกรรมใด ๆ ที่เวลาย้อนกลับคืนเรา (รวมถึงไปทำให้คนที่เขารักและห่วงใยเราเดือดร้อนด้วย เช่น พ่อ แม่ คนที่เขารักเราหรือเรารักเขา) มันก็จะแสดงออกทางใจ เป็นทุกข์ทางใจ เป็นมโนกรรมเสมอค่ะ
ไม่มีใครหนีพ้น แต่จะดับทุกข์ให้ลดลงได้ยังไง ต้องศึกษาธรรมะและปฏิบัติให้ได้ค่ะ
ย้ำว่า มโนกรรมและจิตสุดท้ายจึงมีผลต่อทุก ๆ คนค่ะ ต่อให้คนไม่นับถือศาสนาใด ๆ ไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชื่อเรื่องภพชาติ แต่เธอจะได้เจอเองเมื่อถึงเวลาของมันค่ะ
แม้จะมีใครมาบอกว่า ยังทุกคนมันก็ตายกันหมดละวะ เพื่อสร้างกำลังใจด้านมืดปลอบใจตนเองก็ตาม แต่จะบอกว่ามันจะไม่เป็นแบบที่เขาคิดค่ะ
ทุกคนในโลกนี้เมื่อเกิดมาแล้ว ต้องรอเวลาสังขารเปลี่ยนแปลง เจ็บป่วย แก่ แล้วก็ตาย เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่มีใครห้ามได้ ไม่มีใครควบคุมได้ ไม่เป็นดังปรารถนาใครให้หยุดได้ แม้แต่ความรักก็เข้าข่ายนี้ค่ะ
ทุกคนต้องจากกันไปแล้วก็สุดท้ายไม่มีตัวตนอีกเลยในโลกนี้
แต่.....มันไม่ได้จบแค่นั้นไงคะ โดยเฉพาะช่วงท้าย ๆ ก่อนตายค่ะ เธอจะไม่มีวันควบคุมจิตตนเองได้สมปรารถนาเหมือนตอนแข็งแรง ปกติดีได้หรอกค่ะ
คนชั่ว คนไม่ดีที่หลงในโมหะ หลงในการทำไม่ดี หรือแม้แต่คนที่หลงตน ไม่เชื่อการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เชื่อภพชาติ ไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมก็ตาม
ตอนนี้อาจจะบอกตนเองได้ว่าไม่แคร์ ไม่จริงอย่างนั้นอย่างนี้
แต่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะช่วงท้าย ๆ ของชีวิต จะเกิดนิมิตแห่งกรรมและนิมิตที่บอกเลยค่ะว่าตนเองจะไปไหนในภายภาคหน้า กาลหน้า
และต่อให้ยังฝืนใจกัดฟันว่าฉันไม่เชื่อต่อไป แต่จิตช่วงท้าย ๆ (แม้แต่ฝรั่ง คนชาติอื่น ๆ ก็เป็นค่ะ) มันจะเพ้อและแสดงผ่านนิมิตออกมาเองค่ะ
ยิ่งถ้าตอนนี้ยังแข็งแรงดีอยู่แต่บางทียังชอบฝันร้าย มีนิมิตไม่ดี เหมือนตัวเองไปอยู่ในสถานที่ที่อันตราย คล้ายมีวิญญาณ ที่มืดมิด นี่เป็นลางบอกแล้วค่ะว่าจิตคนนั้นจะไปไหนตอนตาย
นี่แหละค่ะที่ พระพุทธเจ้าท่านทรงค้นพบและตรัสรู้เรื่องนี้ว่าใคร ๆ ในโลกนี้ ไม่ว่าชาติไหน ศาสนาใด ไม่นับถือศาสนาอะไรก็ตาม
จะเกิดมา รวย จน หล่อ สวย หน้าตาธรรมดา อวัยวะสมประกอบปกติ คนพิการ เรียนเก่ง เรียนไม่เก่ง เป็นหมอ เป็นพระสงฆ์ เป็นปุถุชน ก็ตาม
เหล่านี้จะมีจิตสุดท้ายที่ไปไม่เหมือนกันค่ะ เพราะผลจากการสร้างกรรมดี หรือ กรรมไม่ดีไว้
ดังนั้น ถ้าสร้างกรรมดี (กุศลกรรม) กรรมชั่ว กรรมไม่ดี (อกุศลกรรม) ไว้แตกต่างกัน ไม่มีทางจะไปสงบเหมือนกันค่ะ ไม่มีทางเลย
ใครจะหลอกตนเองยังไงก็ตาม แต่ยิ่งอายุเพิ่มขึ้น จะได้เผชิญกรรมทางใจมาแสดงออกให้รู้ก่อนค่ะ
จากนั้น ยิ่งพยายามหลอกตนเอง เก็บลงไปในจิตใต้สำนึก ฉันไม่เชื่อ ฉันไม่แคร์ ฉันเริ่ด ฉันถูกต้องเสมอ
แล้วก็ยังทำกรรมมืด กรรมไม่ดีต่อไป ทั้งมโนกรรม วจีกรรม กายกรรม อย่างใดอย่างหนึ่งไว้เยอะ ๆ
วันที่กรรมไม่ดีพร้อมแสดงออกมา ให้ทุกข์ทางใจมาก ๆ เป็นมโนกรรมที่จะมีผลต่อชีวิตตัวเอง และไม่คิดเปลี่ยนตัวเองอีก
ก็รอเลยค่ะว่า ชนกกรรม (กรรมที่จะพาไปเกิด) จะไปยังไง จิตสุดท้ายจะพาไปไหน รู้ได้จริง ๆ ค่ะ
ดิฉันไม่รู้จะเอาอะไรเป็นประกัน ว่าเห็นคนป่วยและคนที่ทุกข์ทางใจหนักเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
เห็นมามากพอว่าเป็นดังคำอนที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้จริง ๆ จึงมาเล่าให้ฟังและมันสอดคล้องกับธรรมะที่ท่านทรงตรัสสอนไว้ทุกอย่างค่ะ
จึงเชื่อได้ 100% ว่า จิตสุดท้ายพาไปภพภูมิไหนรู้ได้ในชาตินี้เลยค่ะ นี่เป็นเหตุให้ดิฉันเริ่มปฏิบัติธรรมในขั้นสูงขึ้นและอยากเผยแพร่ให้พวกเราทราบกันค่ะ
ดังนั้น ถ้าเธอคนที่อ่านอยู่ รักพ่อ แม่ รักใครสักคน ก็ต้องพากันไปในทางกุศลค่ะ คนรักกันก็ต้องพากันไปในทางบุญ ทางกุศล ทำให้ได้ ให้ธรรมะเป็นทานคือยิ่งใหญ่มาก
แต่ถ้าทำไม่สำเร็จก็ต้องอุเบกขาและปล่อยให้เป็นตามไปตามกรรมของแต่ละคน แต่มันมีทางอยู่ค่ะ ก็คือเราต้องฝึกเจริญเมตตา ทำสมาธิ กรรมฐานแล้วก็แผ่เมตตาให้คนนั้น
แผ่ให้พ่อแม่เรา คนที่เรารัก และคนที่อาจจะทำให้เราเจ็บปวดเสียใจ แค้นเคืองใจ ถ้าเราทำเป็น นอกจากเราจะได้เจอแต่สิ่งดี ๆ มีอานิสงค์ผลบุญดี ๆ แล้ว เขาก็จะดีกับเราด้วยค่ะ
ถ้าเธอสนใจแนวทางดับทุกข์และไม่ผูกใจพยาบาท ไม่แค้นเคือง ไม่อยากสร้างกรรมไม่ดีใหม่ให้ตนเองและไม่สร้างเวรกรรมกับเขา
ครั้งหน้าดิฉันจะเขียนแนวทางการอโหสิกรรมและแผ่เมตตาให้ศรัตรู หรือคนที่เคยทำร้ายจิตใจเราให้ค่ะ
แต่เธอต้องเชื่อมั่นก่อนนะคะว่า กรรมนั้นมีผลจริง และคิดอยากสร้างกรรมดีให้ตนเอง
ต้องอยากเป็นคนเจริญเมตตาได้ และอยากมีเส้นทางกุศลกรรม ที่จะไปทางสว่างจริง ๆ ถึงจะเกิดสิ่งดี ๆ ตามมาค่ะ ถ้าไม่ต้องการก็จะติดกับเส้นทางเดิม ๆ
เหมือนบางคนที่เขาทุกข์แบบเดิม ๆ ก็ยังทำแบบเดิม ๆ ชีวิตก็เลยได้ผลเดิม ๆ สุดท้ายก็มาโทษชะตากรรม โทษฟ้า ดิน โทษไปหมด ทั้งคนรอบข้างแต่ลืมโทษผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้
ถ้ายังไงก็บอกมาอีกทีแล้วกันนะคะ เพราะก็เขียนค่อนข้าวยาวแล้ว เดี๋ยวจะเบื่อและรำคาญเสียก่อนค่ะ แล้วดิฉันคงจะพักก่อนค่ะ พอดีทำงานดึกค่ะ