Prof. James P. Allison

จบปริญญาตรีวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาจุลชีววิทยา (B.S in Microbiology) จาก The University of Texas at Austin

ปริญญาเอก สาขา วิทยาศาสตร์ชีวภาพ Ph.D. in Biological Sciences จาก The University of Texas at Austin

อันดับมหาวิทยาลัยโลกของ The University of Texas at Austin ของ QS อยู่อันดับที่ 63 ส่วนอันดับของ THE world university ranking 2019 อยู่ที่อันดับ 39

จะเห็นว่าไม่ต้องจบ หมอ ไม่ต้องจบมหาวิทยาลัยในกลุ่มไอวี่ลีค แต่ถ้าเรียนและทำงานอย่างมีความวิริยะ มีความสามารถเฉพาะตัว ค้นคว้าอย่างจริงจังในด้านที่ตัวเองถนัด

ก็กลายเป็นนักวิทย์ระดับโลกได้

ส่วน Prof. Tasuku Honjo จบแพทย์ M.D. จาก Kyoto University

และได้เรียนต่อปริญญาเอกด้านเคมีการแพทย์ (Medical Chemistry) ไม่เลือกเรียนแพทย์เฉพาะทาง

มหาวิทยลัยเกียวโตมีอันดับโลกใน QS อยู่อันดับที่ 35 ของโลก ส่วนอันดับใน THE อยู่ที่ 65 ของโลก

เห็นได้ตามจริงว่า QS และ THE ของสองมหาวิทยาลัยสวนทางกัน แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อความเก่งของคน ดังนั้ัน อย่าไปยึดติดกับ ranking เพราะจริงๆ มันอยู่ที่ตัวเองด้วย 80%

มหาวิทยาลัยให้แค่สิ่งแวดล้อม อาจารย์ และ facilities สนับสนุน แต่ความสามารถอยู่ที่ตัวคนนั้นจะถีบตัวเองให้ขึ้นมาได้แค่ไหน

สังเกตได้ว่าคนที่ค้นพบอะไรยิ่งใหญ่ของโลก ส่วนใหญ่จะเรียนมาทางสายวิทยาศาสตร์พื้นฐานกับวิทยาศาสตร์ในระดับปริญญาเอก เพราะเป็นการทำวิจัยที่จริงจังที่สุด

ไม่ค่อยมีคนเป็นหมอค้นพบอะไรมารักษาโรคเท่าไหร่ มีแต่นักวิทยาศาสตร์ หรือคนจบพื้นฐานหมอแล้วไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านวิทยาศาสตร์อีกที

การทำวิจัยในห้องแลบมันแตกต่างจากนั่งท่องจำและการค้นจาก internet แล้วเอามาบลัฟกัน จึงเห็นว่าสิ่งที่แตกต่างนี้ทำให้คนมีความแตกต่างกัน และเก่งต่างกัน

https://www.newcastle.edu.au/new/attacks-melanoma-with-the-common-cold

เขาค้นแบบแบบสุดยอดมาก ไม่คิดว่าจะค้นพบ ได้ทุนทำวิจัย 20 กว่าล้านเหรียญ ตอนนี้บริษัทอเมริกามาซื้อ 500 กว่าล้านจ้า เพราะมันเวิร์กมาก คนต้องการ CAVATAK® ทั่วอเมริกาและทั่วโลกเลย

ตลกอเมริกาตรงที่ปลูกกัญชาทั้งประเทศ มีแต่คนบอกว่ากัญชารักษามะเร็งได้อย่างนั้นอย่างนี้ นี่ไม่รู้ว่าโดนปั่นหัวยังไง มันได้แค่การเบาเทาปวดและรักษาได้บางส่วนเท่านั้น ถ้ามันรักษาได้หมดจริง อเมริกาไม่มีคนตายเพราะมะเร็งอันดับต้นๆของโลกหรอก

ประเทศไทยน่ะตรงกันข้ามเลย ถึงเหมือนมีคนป่วยเป็นมะเร็งเยอะ แต่จริงๆยังไม่ติดกลุ่ม 50 อันดับประเทศที่มีคนเป็นมะเร็งสูงเลย เพราะอาหารการกินคนไทยมักกินผักและผลไม้ มีสมุนไพรในเครื่องเทศและอาหารเยอะไง ตอนนี้อเมริกาโมโหมาก เน้นทำวิจัยในสมุนไพรเยอะมาก ได้สิทธิบัตรมาแล้วหลายตัว แต่ที่ FDA รับรองให้กินช่วยรักษามะเร็งในขั้นตอนการใช้คีโมมีมาจากสารสกัดจากพืชชนิดหนึ่งกับเห็ดชนิดหนึ่งไปค้นดูเองละกัน

แต่บ้านเราเหรอ มีแต่เห็นด่าคนจะทำวิจัยสมุนไพรทุกที มันเลยไม่ไปไหนสักทีไง แทนที่จะสังเกตว่าทำไมคนบ้านเราไม่ค่อยป่วยมะเร็งสูงเท่าพวกฝรั่ง มันมีปัจจัยจากพันธุกรรมส่วนหนึ่งแต่ก็มีจากอาหารและสิ่งแวดล้อมด้วย คนไทยโชคดีแค่ไหน แต่ก็ต้องผลักดันให้ทำวิจัยให้ครอบคลุมมาทางพืชและเห็ดสมุนไพรด้วย เพราะจีน ญี่ปุ่น อเมริกา อังกฤษ แข่งกันทำเยอะมาก เพราะมันกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้กำจัดมะเร็ง แต่ไม่ใช่ไปฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรงแบบที่เข้าใจกันมาตลอด

หมอไทยบางคนระดับอาจารย์หมอยังคิดวิเคราะห์ไม่ถูกจัด เพราะยึดตำราทฤษฎีเดิมๆ จึงทำให้พากันทำวิจัยไม่ตรงเป้าและก็ตัดบทกันใช้สมุนไพรรักษาโรค อ.หมอบางคนมาสัมภาษณ์เยอะเย้ยสมุนไพรว่าฆ่ามะเร็งไม่ได้ ก็แนะให้คนอื่นไม่ต้องทำต่อ นี่ไงมันเลยทำให้ความรู้ไม่ก้าวหน้า หารู้ไม่ว่ามันไม่ใช่แนวฆ่าเซลล์มะเร็งโดยตรงซะหน่อย มันเป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้มาสู้กับมะเร็งต่างหาก ผลตอนนี้บ้านเราเลยเดินตาหลังชาวบ้านเขา กว่าจะรู้ตัว ก็จะมาเอากัญชาทำตามฝรั่ง ทั้งๆ ที่พืชสมุนไพร พืชต่างๆ เห็นต่างๆบ้านตัวเองเต็มประเทศ เยอะกว่าของฝรั่งไม่คิดทำ มันก็เลยเป็นอะไรที่ไม่ไปไกลไง

ส่วนอาจารย์นักวิทย์บางคนมีเพจก็ใช้เพจไม่เป็น ค้นหาแต่ papers มาพูดว่ามีหรือไม่มีตีพิมพ์แล้ว เออ ถ้ามันมีตีพิมพ์แล้วถึงจะทำวิจัยเหรอไง ถ้าไม่มีก็จะใช้ไม่ได้เหรอไง นี่คือคนเป็นนักวิทย์เหรอ แปลกดีนะ มันเลยไม่ก้าวหน้าเพราะขนาดอาจารย์ระดับนี้ยังคิดไม่ได้ บางอย่างมันไม่เคยค้นพบก็ต้องไปค้นทำวิจัยในแลบสิ แล้วก็คิดให้รอบคอบ เห็นไหมนักวิจัยจีน ญี่ปุ่น ค้นหาจากสิ่งเล็กๆน้อยๆ จนได้รางวัลโนเบลเพียบเลย เพราะเขาไม่รีบด่วนสรุปผลไงว่ามันไม่ได้ผล

น่าคิดว่าคนไทยจบนอกมาร้อยกว่าปีแล้วแต่ทำไมเราซื้ออย่างเดียว ผลิตอะไรไม่เป็น หรือคิดอะไรลึกซึ้งไม่เป็น

เขาบอกอยากรู้สติปัญญาคนประเทศใดให้ดูหนังซีรี่ย์ของประเทศนั้นๆ เห็นจะไม่ผิด

แหมมม เธอ ของแบบนี้มันอยู่สันดานล้วนๆจ๊ะ ก่อนแพ้สงคราม ญี่ปุ่นเขาเริ่มพัฒนาตัวเองมาก่อนอเมริกาจะเข้ามาอยู่แล้ว

ตอนสงครามโลก ญี่ปุ่นนางปิดประเทศ แต่พัฒนาเครื่องบินรบ เรือรบ เรือดำนำ พัฒนาอาวุธ​ชีวภาพ เขามีเขตอุตสาหกรรมเป็นของตัวเองตั้งแต่สงครามโลกแล้ว ตอนนั้นอเมริกาไม่ได้เขามายุ่งอะไรเลยสักแอะ

ญี่ปุ่นเขาไม่ได้นั่งรอใครมาช่วยพัฒนา ไม่รอให้ใครมายึด แต่ญี่ปุ่นจะเป็นฝ่ายไปยึดชาวบ้าน

มันแสดงให้ว่าญี่ปุ่นเขามองการณ์ไกล​ เขามีวิสัยทัศน์​การอยากจะเป็นผู้นำ เป็นผู้พัฒนา เขาให้ความสำคัญกับการทำ R&D มาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่1แล้ว ไม่ได้อยากเป็นผู้ตาม หรืออยู่ใต้ตีนใคร

ของแบบนี้คนอื่นมาสร้างให้ไม่ได้ มันอยู่ที่จิตสำนึกและวิสัยทัศน์ ​ง่ายๆก็คือ คนเรามันไม่เหมือนกัน

สันดานคนญี่ปุ่น กับ คนไทย ไม่เหมือนกันอ่ะจ้ะ

ไทยเราเองควรเชิดชูหมอแสงกันได้รึยัง

เมื่อก่อนเราก็หัวเราะเยาะเขาเหมือนกัน ตอนนี้ชักจะเชื่อแล้วละ ใครศรัทธาทางเลือกใหม่ก็อย่าลืมสนับสนุน ศ นพ ไตรรักษ์ พิสิษฐ์กุล ของจุฬาฯ ด้วยนะ อุตส่าห์ลาออกจาก NIH (National Institutes of Health) ของอเมริกา มาทำวิจัยหายารักษามะเร็งทำนองเดียวกัน ตอนนี้ต้องการทุนอยู่อีกซัก 10 ล้านบาท เห็นว่าอีก 4 ปีสำเร็จแน่

ไม่ธรรมดานะคะอี่ยุ่นนี่ งานวิจัยการแพทย์ก้าวหน้าที่สะสมไว้
เริ่มปรากฏต่อสายตาชาวโลกแล้วค่ะ

โอ้โห้ ในทศวรรษ​นี้​ก็ล่อไปหลายปีแล้ว เจ๋งจัง

คิดเหมือนกุเลย

- ขนลุกทุกครั้งที่คนญี่ปุ่น (ย้ำ) ได้รางวัลโนเบล

https://m.youtube.com/watch?v=C35DrtPlUbc

เห็นแล้วนึกถึงเพลง "มองท้องฟ้า" (Sukiyaki)

ดิชั้นเชื่อว่า : ถ้าคนเราไม่ยอมแพ้...ก็ไม่มีวันยอมแพ้

เหมือนกับทัศนะคติของคนญี่ปุ่นที่ถ่ายทอดสู่ บทเพลงอมตะ

ปล. เมืองไทยก็มีนะค่ะ น้องเป็นกำลังให้

เพจหมอเวร : https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=293418464717968&id=114518109274672

.

ป้าเฒ่าฮะ คือถ้ามะเร็งรักษาได้หายขาดจริง ทำไมอเมริกาถึงยังมีคนตายเพราะมะเร็งละฮะ ขนาด CEO ดังๆรวยๆยังไม่รอดเลย คิดสิฮะคิดๆ

นี่ถ้ามารักษาเมืองไทย ใช้กัญชา ทุเรียนเทศ อังกาบหนู ป่านนี้หายแล้วค่ะ ไม่ต้องไปเกิดเป็นยักษ์ด้วย

ระวังเป็นมะเร็งเองนะ แล้วจะรู้เอง

อีก 4 ปีค่ะ ยิ่งได้ทุนสนับสนุนเยอะ น่าจะสำเร็จเร็วขึ้นดีขึ้นค่ะ

แล้วคนโรคจิตแบบป้าทำอะไรบ้าง นอกจากเห่าหอนด่าคนอื่นในเว็บบอร์ด คุณประโยชน์ก็ไม่มี แต่เที่ยวด่าคนไปทั่วบอร์ด ระวังตายเพราะมะเร็งเองนะป้า

มึงไม่มีความรู้ สักน้อยนิดเหรอว่า ผลงานรางวัลโนเบล ในอดีต
ส่งผลงอกเงยอย่างไรในปัจจุบัน
ด้านการแพทย์ วิธีการรักษาใหม่ๆ ที่ก้าวหน้าพวกนี้
ต่อยอดมาจากผลงานโนเบลที่ได้ในอดีตทั้งนั้น
และผลงานโนเบลการแพทย์ในปัจจุบัน ก็จะส่งผลงอกเงยต่อในอนาคต อีก 10 ปี 20 ปี

โนเบลฟิสิกส์ นี่ก็งอกเงยเป็นเทคโนโลยีก้าวหน้า
ในมือถือ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มึงมีปัญญาแค่ซื้อมาใช้งาน ในทุกวันนี้ไง

อี่พวกโง่เง่า เต่าตุ่น
กูไม่น่ามีเพื่อนร่วมชาติ เป็นคนสติปัญญาต่ำ
ที่บอกผลงานโนเบล เป็นอุปทานหมู่
อี่ดอกกกกกก กูรับไม่ได้สุดๆ

มึงเรียนจบการศึกษาชั้นไหนคะ กูขอถามเถอะ

แล้วคุณมีผลงานอะไรที่เด่นและตีพิมพ์เผยแพร่ดีๆบ้างไหม ก่อนไปว่าคนอื่น เดาว่าแค่ตีพิมพ์ในวารสารระดับ Q1 ยังไม่มีเลยมั้ง

กูไม่ได้ด่ารางวัลโนเบลนิ มึงเข้าใจอะไรผิดมั้ย อ่านดูดีๆมั้ย โง่ซ้ำซาก
กูด่ามึงต่างหาก รู้ตัวมั้ย มึงนะไม่มีแม้แต่ปัญญาจะเข้าใจว่ารางวัลโนเบลคืออะไร ผลงานระดับโนเบลคืออะไร บอกว่าโนเบลเป็นแค่อุปทานหมู่ กูไม่ได้ด่าโนเบล อี่ควายยยย

จะมาถามหางานวิจัยทำหอกอะไร มึงรู้จักเหรอ
แค่สาระนิพนธ์ง่อยๆ จะมีปัญญาอ่านเหรอมึงนะ
กลับไปเรียนให้สูงๆก่อนดีกว่า

แล้วรางวัลโนเบลที่เส้นสายก็มี ไม่ได้อ่านข่าวเหรอ มิสล็อก ก็มีนะยาย

ส่วนคนที่เก่งกว่าแต่ไม่ได้รางวัลก็ยังมีเลย

แต่พวกที่เอาคำว่า "สาระนิพนธ์" มาพูดในกระทู้นี้ รู้เลยว่าในหัวมีแต่ขี้เลื่อยและไม่รู้จักวารสารระดับนานาชาติสากล ที่นักวิจัยดังๆ เขา publish

ส่วน mhr นี่ก็โง่เหมือนเดิม ทุกกระทู้เลย ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเป็นกะเทยเฒ่าผีเฝ้าบอร์ดแบบนี้ เฮ้อ

พี่เอาหมอแสงมาลง เพราะแสดงให้เห็นว่าคนไง่ยังมีอยู่เยอะเหมือนกะเทยรีบนค่ะ

แหม เอามาโยงได้ไงคะอีแก่ ถ้ามึงเก่งป่านนี้มึงคงได้รางวัลนักวิจัยตัวท๊อปของประเทศแล้วมั้ง มึงน่ะผลงาน published paper ระดับนานาชาติ Q1 มีไหมแค่นั้นแหล่ะ อีแก่หน้าผี เฝ้าบอร์ด

ความหมายคือคนไปรับยาเป็นคนโง่

อ้าว ! แล้วที่บอกว่ากินแล้วดีขึ้นนี่คือยังไง
ดีขึ้นแบบโง่ๆ อุปาทานไปเองเหรอ