ญี่ปุ่นเครียดหนัก เด็ก-เยาวชน ฆ่าตัวตายเป็นประวัติการณ์ สูงสุดในรอบ 32 ปี

รัฐบาลญี่ปุ่นเผย เด็กและเยาวชน ฆ่าตัวตายเพิ่มมากขึ้น สูงสุดในรอบ 32 ปี สาเหตุเพราะถูกกลั่นแกล้งรังแก เครียด และปัญหาครอบครัว กระทรวงศึกษาธิการชี้ ต้องเร่งหาทางแก้ไข ไม่ให้หนักไปกว่านี้

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ปัญหาการฆ่าตัวตายยังคงเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่ญี่ปุ่นพยายามแก้ไข แม้ว่าอัตราการฆ่าตัวตายในภาพรวมจะมีแนวโน้มลดลง โดยในปี 2560 ลดลงเหลือ 21,231 คน จากตัวเลขสูงสุดในปี 2546 ที่มีอัตราการฆ่าตัวตายของชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศอยู่ที่ 34,427 คน แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการฆ่าตัวตายของเด็กและเยาวชนกลับเพิ่มขึ้นอย่างสวนทางกัน

รัฐบาลญี่ปุ่นได้เปิดเผยผลการสำรวจโรงเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา 250 แห่ง ทั่วประเทศ ในช่วงปี 2559-2560 โดยเริ่มเก็บข้อมูล ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ซึ่งเป็นวันเปิดภาคเรียนใหม่ ตัวเลขระบุว่า อัตราการฆ่าตัวตายของเด็กและเยาวชนเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ กลุ่มที่ฆ่าตัวตายมากที่สุด คือนักเรียนระดับชั้นมัธยมปลาย

นอกจากนี้แล้ว สถิติล่าสุดนี้ยังแสดงให้เห็นว่า อัตราการฆ่าตัวตายในช่วงปี 2559-2560 เพิ่มสูงกว่าปีที่ผ่านมาถึง 5 เท่า และเป็นตัวเลขที่มากที่สุดในรอบ 32 ปี เมื่อเทียบกับปี 2529 ที่มีเด็กและเยาวชนฆ่าตัวตาย 268 คน โดยปัจจัยการฆ่าตัวตายมีหลายสาเหตุด้วยกัน ส่วนใหญ่คือ ปัญหาการถูกกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียน ปัญหาครอบครัว และความเครียด

นานาเอะ มุเนะมาสะ ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้กับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ขณะที่เธอยังเป็นนักเรียนมัธยมปลาย วัย 17 ปี เปิดเผยว่า สำหรับเด็กที่ตกเป็นเหยื่อการกลั่นแกล้งรังแกในโรงเรียนนั้น ช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนคือช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุด เปรียบเสมือนได้ขึ้นสวรรค์ เพราะได้พักผ่อนอยู่ที่บ้านกับครอบครัว ไม่ต้องไปเจอเรื่องร้าย ๆ ที่โรงเรียน แต่เมื่อฤดูร้อนสิ้นสุดลง แล้วต้องกลับไปโรงเรียน ความสุขทั้งหมดก็จะหายไป ความวิตกกังวลก็จะกลับมาอีกครั้ง ต้องหวาดระแวง กลัวว่าจะถูกกลั่นแกล้งอีก ด้วยเหตุนี้ เด็กหลาย ๆ คนจึงคิดจบชีวิตตัวเอง

นานาเอะเองก็เป็นหนึ่งในเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งรังแกอย่างหนัก และเคยคิดจะฆ่าตัวตายมาแล้ว แต่เธอสามารถตั้งสติได้ ตัดสินใจออกมาเปิดเผยปัญหานี้ และช่วยเหลือเด็ก ๆ คนอื่นที่ประสบปัญหาเดียวกันกับเธอ

สำหรับปัญหานี้ โคจู มัตสึบายาชิ เจ้าหน้าที่กระทรวงศึกษาธิการ ให้ความเห็นว่า ในแต่ละปี จะมีเด็กมากมายหลายร้อยคนที่ตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง ทางกระทรวงพยายามอย่างมากเพื่อยับยั้งไม่ให้มีโศกนาฏกรรมเลวร้ายเช่นนี้เกิดขึ้นอีก สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือ การสอนและให้ความรู้แก่เด็ก ๆ ว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีปัญหา ให้รีบขอความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด

ถ้าหากเด็กไม่ได้รับความช่วยเหลือเมื่อมีปัญหา ทุกอย่างมันจะสะสมหนักขึ้น หนักขึ้นเรื่อย ๆ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่เคยมองเห็นก็ริบหรี่ลงจนในที่สุดก็กลายเป็นความมืดมิด เมื่อถึงจุดนั้น มันก็สายเกินกว่าจะแก้ไข และในเมื่อไร้แสงสว่าง ไร้หนทาง สิ่งเดียวที่เด็ก ๆ ผู้สิ้นหวัง คิดว่าจะสามารถช่วยให้พวกเขาหลีกหนีจากความทุกข์นี้ไปได้ก็คือ ความตาย

ก่อนหน้านี้ในปี 2559 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมาตรการระยะยาว 10 ปี ตั้งเป้าว่าจะลดอัตราฆ่าตัวตายลงให้ได้ 30 เปอร์เซ็นต์ ภายในปี 2569 มุ่งเป้าไปที่กลุ่มเด็กและเยาวชนโดยเฉพาะ แนวทางการแก้ไขปัญหาที่หลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือ การจัดตั้งที่ปรึกษาพิเศษประจำโรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา เพื่อคอยสอดส่องดูแลและรับฟังปัญหาของเด็ก รวมทั้งเปิดบริการสายด่วนให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง

ทางด้าน โนริอากิ คิตาซากิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า การเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตายของเด็กวัยรุ่น กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างน่าวิตก และสถิติเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ว่าญี่ปุ่นต้องเร่งแก้ปัญหาอย่างจริงจังกว่าเดิม

ปัญหาการฆ่าตัวตายไม่ได้เป็นปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นแค่ญี่ปุ่นประเทศเดียวเท่านั้น ประเทศอื่น ๆ ก็มีเป็นจำนวนมากเช่นกัน โดยข้อมูลจากการสำรวจขององค์การอนามัยโลก ในปี 2559 พบว่า อัตราการฆ่าตัวตายของเกาหลีใต้นั้นสูงกว่าญี่ปุ่น อยู่ที่ 26.9 เปอร์เซ็นต์ ต่อจำนวนประชากร 100,000 คน ขณะที่ญี่ปุ่นมีตัวเลขอยู่ที่ 18.5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนประเทศไทยคือ 14.4 เปอร์เซ็นต์ หนึ่งในสาเหตุสำคัญของปัญหานี้คือ ความเครียดสะสมจากการทำงาน ทั้งนี้ยังพบอีกว่า หลาย ๆ สังคมของประเทศแถบเอเชียตะวันออก ยังคงมีความคิดที่ต่อต้านเรื่องการไปพบจิตแพทย์ หรือการรักษาโรคซึมเศร้า รวมทั้งไม่มีช่องทางช่วยเหลือ ลด หรือยับยั้งการฆ่าตัวตายที่มากเพียงพอด้วยเช่นกัน

https://hilight.kapook.com/view/180033