มันแล้วแต่ดวงจริงๆคะของฉัน ตอนขึ้น ม.6 แม่ตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ชีวิตฉันหมดไปกับ การไป รพ ไป ชม เพื่อพาแม่ไปฉายแสง แทบจะทุกเดือน
พอกำลังจะสอบเข้า ม. 1-2 อาทิตย์ แม่เสีย
พอเรียนจบ กำลังจะหางาน ยายมาป่วยอีก เป็นฉันต้องเฝ้ายายอีก เพราะน้องฉันดันได้งานก่อน ภาระคนว่างงานเลยเป็นฉันที่ต้องเฝ้ายาย
จนดีขึ้น ผ่านเวลามาเป็นปีกว่าๆ ลูกพี่ลูกน้อง ต้องผ่าตัดสมองอีก น้ามาขอให้ไปช่วยเฝ้าร้าน เพราะคนอื่นไม่ว่าง กูต้องไปเฝ้าร้านน้าอีก หลายเดือน แทนที่จะได้ตั้งใจหางาน กลายเป็นวันๆ ทำให้คนอื่น ลื่มเรื่องงานตัวเองไปเลย
พอจะกลับมาหางาน กลายเป็นว่าฉันตกงานมาเกือบ 2 ปี หางานไม่ได้ เลยเรียนต่อโท
พอกำลังจะจบ เหลืออีกแค่ 1 เดือน ช่วงนั้นกำลังทำเล่มจบ ใกล้เต็มที มี คนรู้จักฝากงานให้ เขาต้องการคนด่วน เงินเดือนดี บริษัทดีด้วย
ตอนนั้นสองจิตสองใจมาก เพราะถ้าเอางาน ต้องทิ้งเรียนเลย เพราะเขาจะเอาคนด่วน
ถ้าเอาเรียน ต้องทิ้งงาน เพราะถ้าจับปลาสองมือ คนฝากให้จะเสียอีก
กูเลยเลือกเรียนก่อน เพราะใกล้จบเต็มที
พอจบ กำลังจะหางาน ยายป่วยหนักเข้า icu อีก ตรวจเจอมะเร็งสมอง เป็นกูต้องเฝ้าอีก เข้าๆออกๆ icu อยู่เกือบปี
สุดท้ายยายเสีย พอยายเสีย ที่นี้กูก็กลับมาหางาน ด้วยความที่จบไปนาน ไม่มี ปสก ก็ตกงานยาว มาจนทุกวันนี้ เลยคะ
จะว่าไป ก็โทษใครไม่ได้ เพราะถ้าตอนนั้นฉันเลือกที่จะหางาน ไม่เฝ้า ไม่ทำร้านให้น้า ฉันอาจจะมีงานทำดีๆไปแล้วก็ได้ แต่นั้นแหละคะ ฉันเลือกแล้ว
ตอนนี้ ที่บ้านกลายเป็นมองกู เป็นคนไม่เอาไหน หางานทำไม่ได้ จนแก่ แต่ไม่เคยนึกเลย ว่าตอนยายป่วย น้องป่วย แม่ป่วย ใครเฝ้า ใครดู
อย่างตอนแม่เสีย ฉันเฝ้าแม่จนแม่จากไปนะคะ นอนกลับแม่ ที่ รพ จนวันสุดท้ายเลย เป็นอะไรที่เศร้ามาก ตอนนั้น
แต่ก็ไม่เสียใจนะคะ แม่เราเอง ว่าเราแย่แล้ว มองดูญาติห่างๆ เขาแย่กว่าอีก ทั้งเรื่องการเงิน เรื่องงาน
แต่ที่กูเซ็งสุดๆคือ ญาติกูที่ว่าแย่เรื่องการเงิน แต่เขาดีเรื่องครอบครัวคะ มีญาติพี่น้องปรึกษา พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ช่วยเหลือกันได้ทุกเรื่อง
แต่บ้านฉัน เหมือนต่างคนต่างอยู่คะ พูดอะไรไป ปรึกษาอะไรไป เหมือนเข้าหูซ้ายออกหูขาวคะ ฉันเลยปลงๆคะ ทุกวันนี้ฉันคุยกับพ่อค้ากาแฟ แม่ค้าขายข้าว มากกว่าคุยกับคนที่บ้านอีกคะ
ยิ่งเห็นเพื่อนๆรุ่นเดียวกันมีครอบครัวแล้ว ยิ่งเศร้า แก่มาจะอยู่อย่างไงวะ อยู่กับใคร น้องแท้ๆก็แต่งงานแยกไปอยู่อีกจังหวัด คงจะยากที่จะกลับมาอยู่ด้วยกัน