บทความ วิจารณ์
.
.
.
.ก่อนที่สหรัฐฯจะทำลายประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็จะวางแผนที่เรียกว่า Rolling Plan เป็นแผนระยะสั้นที่วางไว้เป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจากการทำลายความน่าเชื่อถือของผู้นำประเทศนั้นอย่างเป็นระบบ โดยร่วมมือกับพันธมิตรตะวันตกชาติ เมื่อความน่าเชื่อถือเลวร้ายสุกงอม สหรัฐฯจึงเริ่มปฏิบัติการที่เรียกว่า Operation ทางด้านต่างๆ ตัวอย่างที่เด่นชัดที่สุดก็คือ การทำ Operation Iraqi Freedom ของสหรัฐฯ อังกฤษ และออสเตรเลีย ทำลายอิรัก เมื่อ 20 มีนาคม 2546
สหรัฐฯอ้างว่าต้องทำ Operation Iraqi Freedom เพื่อวัตถุประสงค์ 2 อย่าง คือเพื่อหยุดยั้งโครงการพัฒนาอาวุธที่มีพลานุภาพทำลายล้างสูง และเพื่อ Regime Change เพื่อเปลี่ยนระบบการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยและฝ่าฝืนสิทธิมนุษยชนของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน หลังจากปฏิบัติการเสร็จเรียบร้อยแล้ว สหรัฐฯ ก็ออกมายอมรับว่าไม่มีโครงการพัฒนาอาวุธฯดังกล่าวของซัดดัม ฮุสเซน เป็นการเข้าใจผิด แต่ขณะที่กำลังปฏิบัติการเปลี่ยนระบอบการปกครอง คนเกือบทั้งโลกเข้าใจว่าซัดดัม ฮุสเซน เลวอย่างนั้นจริง
20 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯกังวลใจว่าจีนอาจจะเป็นประเทศมหาอำนาจที่พุ่งขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ของโลกได้ 20 ปีที่ผ่านมาสหรัฐฯ จึงพยายามโยนข้อหาใส่จีนอย่างต่อเนื่อง หลายครั้งที่ ส.ส.ในสภาคองเกรสยื่นร่างพระราชบัญญัติปลดปล่อยทิเบต บางครั้งก็ยื่นร่างพระราชบัญญัติปลดปล่อยซินเจียงอุยกูร์ให้เป็นประเทศเอกราชชาติใหม่ ซึ่งสหรัฐฯรู้ว่าร่างเหล่านี้ไม่มีทางผ่านสภาไปได้ แต่ก็บรรจุร่างพระราชบัญญัติเหล่านี้ลงไปในวาระการประชุมก็เพียงเพื่อสร้างรอยด่างให้กับสาธารณรัฐประชาชนจีนเท่านั้น
หรืออย่างที่รัฐบาลสหรัฐฯได้เชิญนางเรบิยา คาเดียร์ ชาวซินเจียงให้ไปตั้ง World Uighur Congress ที่มีศูนย์บัญชาการอยู่ในสหรัฐฯ โดยให้นางคาเดียร์ทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้ชาวอุยกูร์และโจมตีรัฐบาลจีนอย่างต่อเนื่อง
ระยะหลังผู้คนสนใจปัญหาจีนกับทิเบตและปัญหาจีนกับชนชาติอุยกูร์หรือปัญหาระหว่างจีนกับไต้หวันน้อยลง และสหรัฐฯ มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ แทนที่สหรัฐฯจะโทษตัวเองหรือหันไปพัฒนาปรับปรุงเศรษฐกิจของตนให้มีประสิทธิภาพ สหรัฐฯกลับโทษประเทศโน้นชาตินี้ว่าไปทำลายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และถึงขนาดกล้าจับบุคคลสำคัญสัญชาติเป้าหมาย เพื่อใช้ทำลายชื่อเสียงประเทศและนำมาเป็นข้อต่อรอง
อย่างกรณีนางเมิ่ง ว่านโจว ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินและบัญชีของบริษัทหัวเว่ยเดินทางจากฮ่องกงจะไปเม็กซิโกและต้องแวะเปลี่ยนเครื่องที่แวนคูเวอร์แคนาดา แค่แวะเปลี่ยนเครื่องก็ถูกจับและขึ้นศาลแคนาดาข้อหาละเมิดกฎหมายการคว่ำบาตรอิหร่านตามหมายจับสหรัฐฯ และสหรัฐฯขอให้ส่งตัวนางเมิ่งในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังสหรัฐฯ
เกี่ยวกับเรื่องรายละเอียดข้อกล่าวหาที่นางเมิ่งโดนก็คือ โดนหาว่าบิดเบือนข้อมูลทางธุรกิจให้รัฐบาลอเมริกันซึ่งเป็นข้อมูลความร่วมมือและความสัมพันธ์ทางธุรกิจระหว่างบริษัทหัวเว่ยและบริษัทสกายคอมซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่ฮ่องกง สหรัฐฯ บอกว่าหัวเว่ยกับสกายคอมคือบริษัทเดียวกัน นางเมิ่งใช้บริษัทสกายคอมในการทำธุรกรรมกับอิหร่านระหว่าง พ.ศ.2552-2557
ศาลแขวงของรัฐบาลสหรัฐฯในนิวยอร์กออกหมายจับนางเมิ่งตั้งแต่ 22 สิงหาคม 2561 อัยการที่จับยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวแก่ศาลโดยบอกว่ามีความเสี่ยงสูงที่นางเมิ่งจะหนีออกจากแคนาดา กระทรวงการต่างประเทศของจีนและสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำแคนาดาเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนางเมิ่งโดยไวที่สุด
การจับนางเมิ่งเป็นการที่สหรัฐฯยิงปืนนัดเดียวนกตกลงมาทั้งฝูง นกตัวแรกก็คือ สหรัฐฯ ต้องการจะเปิดความเชื่อมโยงระหว่างบริษัทหัวเว่ยกับกองทัพปลดแอกประชาชนจีน เพราะนายเริ่น เจิ้งเฟย พ่อของนางเมิ่งซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทหัวเว่ยและเคยเป็นวิศวกรประจำกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ทำให้ตอนนี้ประเทศต่างๆไม่ซื้ออุปกรณ์จากหัวเว่ยเพราะกลัวการรั่วไหลด้านข่าวกรองและการโจมตีทางไซเบอร์
ส่วนนกตัวอื่น พรุ่งนี้ต้องมาคุยกันต่อ