https://www.gotoknow.org/posts/231561
เว็บนี้ ควรอ่านค่ะจะได้ความรู้มากมาย
http://phichetchai.blogspot.com/2012/05/blog-post_31.htmlhttp://www.guideubon.com/news/view.php?t=34&s_id=52&d_id=52&page=2
มีข่าวมรณภาพของมหาเถระผู้ใหญ่ ณ วัดมณีวนาราม (วัดป่าน้อย) คือ ท่านเจ้าพระคุณพระธรรมเสนานี ข่าวมีต่อมาว่า น่าจะจัดงานรับพระราชทานเพลิงศพด้วยแบบนกหัสดีลิงค์ อันเป็นพิธีเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองอีสานมานานแล้ว
แต่ปรากฎว่า งานพระราชทานเพลิงศพท่านเจ้าพระคุณพระธรรมเสนานี เมื่อ 14-16 ธันวาคม พ.ศ.2538 มิได้ประกอบพิธีศพแบบเมรุนกหัสดีลิงค์ สร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวอุบลฯ เป็นอย่างมาก เพราะส่วนใหญ่มีความเห็นเช่นเดียวกับคุณวรา ไวยหงษ์ จึงได้เรียนถามเรื่องนี้กับผู้ใหญ่หลายท่าน ได้ความตรงกันว่า พระมหาเถระผู้ใหญ่ที่มรณภาพ ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สูงเป็นพระราชาคณะชั้น "ธรรม" การบำเพ็ญกุศลพิธีศพ ได้มีระเบียบสำนักพระราชวังกำหนดไว้ชัดเจนทุกขั้นตอน อาทิ พระราชทานโกศโถประกอบศพพร้อมด้วยฉัตรเบญจาตั้งประดับ ดังนั้น จึงได้ปฏิบัติตามระเบียบฯ สำนักพระราชวังทุกประการ
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ชาวอุบลฯ ได้แต่คิดว่า " การประกอบพิธีศพแบบเมรุนกหัสดีลิงค์" คงจะไม่มีให้อนุชนคนรุ่นหลังได้เห็นอีกแล้ว
ต่อมาเมื่อ "พระราชรัตโนบล" อดีตเจ้าอาวาสวัดทุ่งศรีเมือง อดีตเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี / ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ได้มรณภาพเมื่อ 26 มีนาคม 2548 พระเทพกิตติมุนี เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี ได้เชิญคณะสงฆ์และผุ้อาวุโสชาวอุบลฯ เพื่อประชุมเตรียมงานพระราชทานเพลิงศพ "หลวงปู่พระราชรัตโนบล" ที่ประชุมได้ยกเรื่อง การประกอบพิธีศพแบบเมรุนกหัสดีลิงค์" ขึ้นมาพิจารณา เพราะชาวอุบลฯ ทั่วไปยังสนใจเรื่องนี้อยู่
ประเด็นการพิจารณาเรื่องนี้มีอยู่ว่า "การประกอบพิธีศพแบบเมรุนกหัสดีลิงค์ จะเป็นการขัดแย้งหรือสอดคล้องกับการพระราชทานเพลิงศพหรือไม่"
ที่ประชุมได้พิจารณาอย่างละเอียดถึงความเหมาะสมทุกๆ ด้านแล้ว มีมติว่า
1. การประกอบพิธีศพแบบเมรุนกหัสดีลิงค์ เป็นประเพณีชั้นสูงแต่โบราณ ที่ชาวบ้านชาวเมืองแสดงน้ำใจเชิดชูเกียรติแด่ผู้ที่สร้างคุณงามความดี สร้างคุณประโยชน์แก่บ้านเมือง เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที อันเป็นคุณธรรมที่น่ายกย่อง เป็นการส่งเสริม การสร้างสรรค์ความดีงามและคุณประโยชน์เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองตลอดไป
2. นกหัสดีลิงค์ เป็นนกในเทพนิยายคล้ายช้าง ซึ่งเป็นราชพาหนะคู่บารมีพระมหากษัตริย์ใน "สงครามยุทธหัตถี" ประกาศเอกราชของชาติไทยในอดีตกาล ช้างเป้นเอกลักษณ์ของชาติไทยในปัจจุบัน ย่อมมีความสำคัญตามตำนานมีฤทธิ์เดชอำนาจอยู่มาก เหาะเหินเวลาได้ เพราะฉะนั้น ศพที่ตั้งอยู่บนสัตว์ในเทพนิยายที่ทรงอานุภาพ "จงอยปากเป็นงวงช้าง ร่างเป็นนก" ผู้วายชนม์ต้องเป็นผู้ที่มีบารมีสูง เป็นที่เคารพศรัทธาของประชาชน จึงเป็นเรื่องที่ดี มีความเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง ปราศจากข้อสงสัย
3. การที่ชาวบ้านชาวเมืองมีความสามัคคี พร้อมใจกันจัดการพิธีศพแบบเมรุนกหัสดีลิงค์แด่ผู้ที่ตนเคารพศรัทธา เสร็จแล้วก็ประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพต่อเนื่องกัน เป็นการแสดงให้เห็นว่า ผู้วายชนม์ได้รับการยกย่องบูชาจากปวงประชาไพร่ฟ้า แล้วได้รับพระราชทานเพลิงศพจากพระมหากษัตริย์ เป็นเกียรติยศอันสูงยิ่งในวาระสุดท้ายของชีวิต ผู้วายชนม์จึงเป็นอริยบุคคลโดยแท้
4. เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามแต่ครั้งดบราณ ที่มีคุณค่าด้านจิตใจ สืบสานให้สอดคล้องกับพิธีการสำคัญในปัจจุบันอย่างเหมาะสมกลมกลืนในลักษณะ "บูรณาการสมานฉันท์" ให้ลูกหลานได้สืบทอดเป้นเอกลักษณ์ของอุบลราชธานีต่อไปชั่วกาลนาน
จากเหตุผลตามมติเป็นเอกฉันท์ทั้ง 4 ข้อ เป็นผลให้จังหวัดอุบลราชธานี จะได้มีการประกอบพิธีศพแบบเมรุนกหัสดีลิงค์ และการพระราชทานเพลิงศพ "พระราชรัตโนบล" ในวันที่ 15-17 มิถุนายน 2548 ณ วัดทุ่งศรีเมือง อ.เมืองอุบลฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างสร้างเมรุแบบนกหัสดีลิงค์อย่างรีบเร่ง โดยฝีมือของ "พระครูเกษมธรรมนุวัตร" เจ้าอาวาสวัดเกษมสำราญ / เจ้าคณะตำบลเกษม อ.ตระการพืชผล และคณะช่างที่ทำงานขยันขันแข็งมาก คุณพ่อบำเพ็ญ ณ อุบล เป็นที่ปรึกษาฝ่ายฆราวาส และคณะกรรมการอีกหลายท่าน ซึ่งเอาใจใส่งานทุกขั้นตอนอย่างทุ่มเท
ชั่วชีวิตของผู้เขียน ได้เห็นเมรุพิธีศพแบบนกหัสดีลิงค์เพียง 3 ครั้งเท่านั้น ได้แก่
ครั้งที่ 1 ศพพระครูวิโรจน์รัตโนบล วัดทุ่งศรีเมือง 10-16 เมษายน 2486
ครั้งที่ 2 ศพพระศรีธรรมวงศาจารย์ วัดสุปัฏนารามฯ พ.ศ.2508
ครั้งที่ 3 ศพพระครูนวกรรมโกวิท วัดมหาวนาราม 26 มีนาคม 2529
และครั้งที่ 4 ที่จะได้เห็นที่วัดทุ่งศรีเมือง 15-17 มิถุนายน 2548
เมื่อเปรียบเทียบปีที่จัดงานแต่ละครั้ง ระยะเวลาห่างกันประมาณ 20 ปี นับว่าเป้นโอกาสดีที่หาได้ยาก ที่จะจัดให้มีพิธีนี้ในปี 2548 เพราะไม่ทราบว่าอีกกี่ปีจึงจะมีงานพิธีเช่นนี้อีก
บทความ "เรื่องราวนกหัสดีลิงค์" ที่นำเสนอครั้งนี้ เป้นผลงานเขียนของ "อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา" ส่วนความเป็นมาของเมรุแบบนกหัสดีลิงค์ และขั้นตอนต่างๆจะได้ทราบจาก "อดีตอัยการชั้นฎีกา" ที่มีชื่อว่า บำเพ็ญ ณ อุบล ในฉบับต่อไป
ประเพณีและความเชื่อเกี่ยวกับการปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ เป็นความเชื่อของกลุ่มไทย-ลาว ที่อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เข้ามาปักหลักปักฐานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นับเป็นเวลาหลายร้อยปี มาแล้ว
ประเด็นหลักใหญ่ของการปลงศพแบบนี้ คือ การให้เกียรติครั้งสุดท้ายกับผู้ตายที่พร้อมด้วยความดีความชอบที่สังคมยอมรับ แสดงถึงอิสริยยศและฐานันดรศักดิ์ของผู้ตายให้ปรากฏต่อสาธารณชน เนื่องจากความเชื่อดั้งเดิมที่เคยมีมาอย่างเคร่งครัดผู้ที่จะได้รับการปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์หลังเสียชีวิต คือ 1.กลุ่มอาญาสี่/อัญญาสี่ ประกอบด้วย เจ้าเมือง อุปฮาด/อุปราช ราชวงศ์ ราชบุตร และ 2.พระเถระชั้นผู้ใหญ่ของชุมชน
ในการปลงศพแบบนี้มีความเชื่อว่านกหัสดีลิงค์เป็นนกที่ยิ่งใหญ่ มีกำลังและฤทธิ์เดชมากมายมหาศาล สมควรที่จะเป็นพาหนะนำพาดวงวิญญาณของผู้ตายไปสู่สรวงสวรรค์
มีตำนานกล่าวถึงหลายตำนาน อาทิ นกหัสดีลิงค์เป็นนกที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เป็นนกที่มีขนาดใหญ่ มีกำลังและฤทธิ์เดชมาก ลักษณะพิเศษคือ มีหัวเป็นช้าง มีร่างกายเป็นนก กินช้างและสัตว์ใหญ่เป็นอาหาร
นอกจากนี้ ยังบินไปจับคนในเมืองต่างๆ เป็นอาหาร เจ้าเมืองจึงหาบุคคลมีฝีมือที่จะสามารถฆ่านกนี้ได้ สุดท้ายเจ้านางสีดารับอาสา ใช้ศรยิงนกหัสดีลิงค์ตาย จึงทำพิธีเผานกนั้น เมื่อเจ้านายสิ้นชีวิตก็จะสร้างหุ่นนกหัสดีลิงค์ โดยวางหีบศพบนหลังนกและทำพิธีเผาไปพร้อมกับศพ กลายเป็นประเพณีสืบต่อกันมา เป็นต้น
ดังนั้น ก่อนมีพิธีเผาศพแบบนี้ทุกครั้งจะต้องทำพิธีสำคัญ คือ ฆ่านกก่อนเพราะเป็นนกร้าย ผู้ฆ่านกจะต้องทำพิธีเชิญเจ้านางสีดาเข้าประทับร่างทรงก่อนใช้ศรยิง โดยผู้ที่จะฆ่านกก็ต้องเป็นผู้หญิงสืบเชื้อสายมาจากเจ้านางสีดา รับช่วงต่อกันมาเฉพาะคนในตระกูลเท่านั้น
ศาสตราจารย์เกียรติคุณอรรถ นันทจักร ผู้เชี่ยวชาญประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้ความเห็นกรณีนี้ว่า การปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ ในภาคอีสานกลุ่มแรก คือ กลุ่มพระวอ-พระตา ถือเป็นต้นเหง้าของสายเมืองอุบลราชธานี ที่เคลื่อนย้ายครัวลาวที่ใหญ่ที่สุดมาอยู่ในบริเวณที่เรียกว่าภาคอีสานของไทยในปัจจุบัน
แต่ที่มีหลักฐานเด่นชัดเป็นช่วงรัชกาลที่ 5 คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้ส่งพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ปกครองมณฑลอุบลราชธานี ช่วงเวลาดังกล่าวมีกลุ่มอัญญาสี่ ขึ้นนกหัสดีลิงค์ถึง 5 คน อาทิ หม่อมเจียงคำ พระอุบลการประชานิตย์ เป็นต้น
ส่วนพระเถระชั้นผู้ใหญ่ของสายเมืองอุบลราชธานี ที่ได้ขึ้นนก หัสดีลิงค์มี 3 รูป อาทิ พระครูวิโรจน์รัตโนบล, พระอริยกวี (อ่อน ธัมมรักขิโต) เจ้าคณะใหญ่เมืองอุบลราชธานี เป็นต้น
การปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ในภาคอีสานตามหลักฐานส่วนใหญ่ที่ทำกันอยู่ไม่กี่แห่ง อาทิ อุบลราชธานี ร้อยเอ็ด มหาสารคาม เป็นต้น
สำหรับการปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ตัวแรก ในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม เดิมค้นพบมี 2 ครั้ง คือ งานพระราชทานเพลิงศพพระครูพิทักษ์โกสุมพิสัย หรือหลวงตาโมง แสนศักดิ์ ณ เมรุวัดโพธิ์ศรี ต.ตลาด อ.เมือง จ.มหาสารคาม วันเสาร์ที่ 1 พ.ค.2519
งานพระราชทานเพลิงศพพระอริยานุวัตร (อารีย์ เขมจารี) ปราชญ์แห่งอีสาน วัดมหาชัย วันที่ 7 เม.ย.2536
แต่หลักฐานใหม่ที่ค้นพบ ปรากฏว่าเคยมีการปลงศพแบบนก หัสดีลิงค์มาก่อนหน้าแล้วครั้งหนึ่ง ในปี 2505 คือ งานพระราชทานเพลิงศพ พระครูสุนทรสาธุกิจ หรือ หลวงปู่ซุน ติกขปัญโญ วัดติกขมณีวรรณ บ้านเสือโก้ก อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ซึ่งเป็นอดีตพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของมหาสารคาม
มีหลักฐานสำคัญ คือ ภาพถ่ายเก่าแก่งานพิธีพระราชทานเพลิงศพ อยู่ที่วัดติกขมณีวรรณ
ช่างที่มาสร้างนกหัสดีลิงค์งานพระราชทานเพลิงศพพระครูสุนทรสาธุกิจ ปี 2505 คือ อาจารย์คำหมา แสงงาม
ส่วนงานพระราชทานเพลิงศพพระอริยานุวัตร ปี 2536 ช่างที่มาทำเป็นฝีมือของพระปลัดสมสิทธิ์ รักตสีโล อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด พร้อมทีมงาน
กลุ่มช่างที่สร้างนกหัสดีลิงค์เดิมนั้นต้องยกให้ช่างสายเมืองอุบลราชธานี ซึ่งเป็นต้นแบบของการสร้างนกหัสดีลิงค์ โดยเฉพาะกลุ่ม ช่างชั้นครู อาทิ พระครูวิโรจน์รัตโนบล ญาท่านกัญญา เป็นต้น อาจารย์คำหมา แสงงาม ก็ไปเรียนจากพระครูวิโรจน์รัตโนบล
การปลงศพแบบนกหัสดีลิงค์ดั้งเดิมในช่วงหลังค่อยๆ คลายความเคร่งครัดลงมา เนื่องจากมีสามัญชนที่จัดงานปลงศพแบบนี้อยู่บ้าง นอกจากจะเสียค่าใช้จ่ายสูงพอสมควรแล้ว ยังมีพิธีการขั้นตอนต่างๆ ที่ยุ่งยากพอสมควร
ทำให้การปลงศพแบบนี้นิยมอยู่ในบางพื้นที่ของภาคอีสานเท่านั้น