น้องพูดถึงกฎไตรลักษณ์ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนแต่น้องกลับไม่เข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเรื่อง "กรรม" ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการมีชีวิตอยู่เพื่อให้กรรมดี เป็นบุญหนุนนำชีวิต
ไม่ให้กรรมชั่วหรือกรรมไม่ดี ไม่ว่าจากอดีตชาติและปัจจุบันชาติมาดึงเราให้ตกต่ำและจากไปโดยยังมีกรรมไม่ดีติดตัวไปเยอะ
หากเราคิดสั้น ฆ่าตัวตายก่อนเวลา ก็จะเป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่งต่อตัวเอง ภพหน้าโลกหน้าจะยิ่งมืดมิดกว่าปัจจุบัน
เพราะการเกิดเป็นมนุษย์ได้นี่คือหนึ่งในภพภูมิที่ดีที่สุด ที่สามารถสร้างบุญกุศลได้ แต่น้องอาจจะมีจิตที่อ่อนแอในช่วงเวลาหนึ่ง จึงทำให้น้องคิดเช่นนี้
หากศึกษาพระธรรมคำสอนไม่ครบตอน ไม่ครอบคลุม หรือตีความธรรมะตามจิตตัวเองเท่านั้น จะทำให้ชีวิตเราหลงทางได้
จึงต้องยึดหลักธรรมพื้นฐาน คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ให้กับชีวิตตนเอง เมื่อทำถึงที่สุดต้องอุเบกขาให้ได้ และต้องเชื่อในกฎแห่งกรรม
โดยไม่ยอมแพ้ต่อเก่ากรรมหรือปล่อยให้วิบากกรรมเก่าทำร้ายชีวิตตัวเอง แต่ต้องพร้อมใช้สติ เพื่อมองปัญหาได้ จนเกิดปัญญาว่า
กรรมดีใหม่จะพาเราไปในทางสว่าง และทุกครั้งที่เกิดความคิดซ้ำๆ ย้ำคิดย้ำทำ ให้ใช้สติไตร่ตรองให้รู้เท่าทันความคิดฟุ้งซ่านนั่นว่ามันก็แค่ความคิดที่ผ่านเข้ามา
มันมาแล้วก็ผ่านไป นี่ต่างหากคือความหมายหนึ่งในกฎไตรลักษณ์ ว่ามันไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน มันมาก็หายไป ดังนั้น ความทุกข์ ความเจ็บปวด ความเศร้า
มันก็แค่สิ่งที่ปรากฎแว๊บไปมา ไม่คงทน ไม่เที่ยง ไม่อยู่กับเราตลอดไป และตลอด 24 ชม. มันไม่ได้ฝังในหัวเราตลอด แต่มีเวลาอื่นที่เราคิดอย่างอื่นด้วย
เมื่อเรามองออกว่ามันไม่ใช่สิ่งคงทน และก็แค่ฝุ่นฟุ้งในหัว ก็ยอมปล่อยวางได้ และรู้เท่าทันมันว่า มันแวะมาเยี่ยมเราอีกแล้ว ก็แค่นั้น เดี๋ยวมันก็จากไป
ในขณะเดียวกันก็พร้อม ทำให้ชีวิตตัวเองไปเจอสิ่งที่ดีขึ้น สุดท้ายถึงมาที่กฎไตรลักษณ์ ที่ไปในทางสว่าง คือ การปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับอารมณ์ใด ๆ ไม่ว่าสุข หรือ ทุกข์
มองเห็นตัวเองให้ออกว่า การมีชีวิตอยู่นั้นมีความหมาย เพราะคือการสร้างกุศลต่อผู้อื่นและตัวเอง จะพาไปในทางสว่างในโลกหน้า
ถ้าตายไปแบบมืดมน ชีวิตก็ย่อมมืดมน ไม่มีทางสว่างได้เลย รู้ว่าน้องคงไม่ได้อ่าน แต่หวังว่าคนอื่นที่กำลังจะฆ่าตัวตายจะได้อ่านแล้วใช้สติหยุดคิดไว้
ยังไงก็ขอให้น้องปลอดภัยนะ