เมื่อวานพิมพ์ไปแล้วโพสต์ไม่ได้ เลยต้องพิมพ์ใหม่ค่ะตอนเรียนตรีที่ U ต่างประเทศ มีคุณป้าคนหนึ่งเป็น TA กำลังเรียน Ph.D. สาขา Applied Linguistics ค่ะ ซึ่งสามารถเอามาเชื่อมโยงกับด้านวิทยาศาสตร์ได้ดี
ป้าเขาทำวิจัยเกี่ยวกับความผิดปกติของการออกเสียงบางคำ เป็นแนวๆ คล้ายๆ speech pathology แต่ก็วิจัยเชิง Sociolinguistics ด้วยค่ะ
พอถามๆ ไป พบว่าป้าเขาจริงๆ จบ ป.ตรี เกียรตินิยมด้าน Biological Science ที่ U of Hong Kong และปริญญาโท ด้านพันธุศาสตร์ จาก U of British Columbia
ป้าแกไปทำงานเป็นนักวิทย์มา 10 ปี แล้วสนใจแนวความผิดปกติในการออกเสียง และการผันแปรของการใช้คำในคนเชื้อชาติต่างๆ ว่าภาษาแม่มีอิทธิผลต่อการออกเสียงอย่างไร
ก็เอาหลักทางวิทย์มาใช้ช่วยในการทำวิจัย ใช้พวก computer-based technology มาช่วยด้วย และดูลักษณะทางชีวภาพของคนๆ นั้นด้วยค่ะว่าทำไมถึงออกเสียงผิดปกติ
โดยเฉพาะกลุ่มคนป่วยเพดานปากไม่ดี หรือ ลิ้นมีปัญหา เป็นความผิดปกติในศอ นาสิก ด้วยประมาณนี้
แล้วป้าแกอยากเรียนด้านภาษาศาสตร์ประยุกต์แบบแนววิทย์เช่นนี้ด้วย ก็เลยมาเปลี่ยนสายเรียน ป.เอก ด้านนี้
แต่ใน U ที่เราเรียนก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงด้านภาษาศาสตร์ประยุกต์มาก ติด top 20 ของโลก
ป้าแกต้องไปเข้าเรียน Postgraduate Diploma เป็นหลักสูตร 1 ปี เพื่อปรับฐานความรู้ด้านภาษาศาสตร์ก่อน ซึ่งก็เรียนคอร์สเวิร์กเป็นส่วนใหญ่
หลังจากนั้นก็เข้าต่อ Ph.D. ที่เน้นการทำวิจัยเป็นหลัก ในด้านที่กล่าวในข้างต้นค่ะ
ทีนี้พอไปถามๆ ดูหลายๆ คนที่กำลังเรียนต่อ Ph.D. ก็มาจากพื้นฐานด้านวิทย์ น่าจะ 30% ของคนเรียนเลยนะคะ ที่จบตรีจากวิทย์หรือไม่ก็ทั้งตรีและโท
แต่ทุกคนจะมาปรับการเรียนพื้นฐานด้าน Applied Linguistics โดยการเรียน Postgraduate Diploma แบบ 1 ปี
ในมหาวิทยาลัยที่ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ถ้าเรียน M.A. จะใช้เวลาเรียน 2 ปีค่ะ
ยกเว้นบาง U อาจจะเรียน M.A. หรือ M.Applied Linguistics 1 ปี ถ้ามหาวิทยาลัย waive ให้เหลือ 1 ปี จากประสบการณ์การทำงานด้านเกี่ยวข้องอย่างน้อย 2-3 ปี
แต่ไม่ใช่ทุกกรณีที่จะได้เรียน M.A. หรือ M.Applied Linguistics 1 ปี เพราะเขาต้องดูเกรด ป.ตรี ด้วย ต้องได้ระดับเกียรตินิยม
และวิชาที่เคยเรียน ป.ตรี ต้องสัมพันธ์กับที่จะต่อพอสมควร ถึงจะได้หลักสูตร 1 ปี มาเรียน
แต่ถ้าไม่มีประสบการณ์ทำงานและเรียนคอร์สด้านภาษาศาสตร์มาน้อยจะได้เรียน 2 ปี เป็น standard program ค่ะ
ส่วนในอังกฤษมักจะเป็นหลักสูตร Master's degree 1 ปี อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้า Postgraduate Diploma ค่ะ
กรณีของเจ้าของกระทู้ ยังมีความเป็นไปได้ แนะนำว่าคงต้องไปสมัครเรียนที่หลักสูตร ปร.ด. ภาษาศาสตร์ประยุกต์ ที่มหิดลค่ะ
เพราะจะรับคนจบสายวิทย์ไปเรียนค่ะ ไปดูโพรไฟล์ของอาจารย์มหิดล ด้านภาษาศาสตร์ประยุกต์ได้ค่ะ หลายๆ ท่านก็จบสายวิทย์มาก่อนค่ะ
แต่กรณีของเจ้าของกระทู้หากไม่ต้องการเรียน ป.โท ใหม่ อาจจะลองปรึกษาประธานหลักสูตร ป.เอก ภาษาศาสตร์ประยุกต์ ของ มหิดล ดูนะคะว่าจะทำอย่างไร
จากประสบการณ์ของเรานะ คิดว่าทางหลักสูตรจะรับแบบมีเงื่อนไขการเรียนมาให้ค่ะ คือจะให้ จขกท. ไปเก็บหน่วยกิตวิชาคอร์สเวิร์กด้านภาษาศาสตร์ประยุกต์ต่างๆ 20 หน่วยขึ้นไป
เพื่อให้มีฐานความรู้ที่แน่น ก็คล้ายๆ ไปนั่งเรียนกับ ป.โท ด้วย และอาจจะมีบางวิชาไปเรียนกับ ป.ตรี
ที่ให้เงื่อนไขแบบนี้ ก็จะได้ไม่ต้องไปเรียน ป.ตรี หรือโท ใหม่ค่ะ เพราะบ้านเรายังไม่มีหลักสูตร Postgraduate Diploma แบบ 1 ปี เหมือนเมืองนอกค่ะ
ยกเว้นว่า จขกท. จะไปเรียน Postgraduate Diploma สัก 1 ปี (จริงๆ คือเรียน 10 เดือน) ที่ออสเตรเลียก็ได้ค่ะ หรือถ้าไปอังกฤษก็เข้า Master 1 ปีไปเลย (10 เดือน)
ที่ออสเตรเลีย U ที่ดังด้านภาษาศาสตร์ ก็จะมี
- Australian National University (อันดับโลกด้านภาษาศาสตร์ อันดับที่ 13)
- U of Melbourne (Melbourne U.) (อันดับโลกด้านภาษาศาสตร์ อันดับที่ 22 ของโลก)
- Macquarie University (อันดับโลกด้านภาษาศาสตร์ อันดับที่ 36 ของโลก)
แนะนำที่ Macquarie U. ถ้าจะเรียน Postgraduate Diploma 1 ปี หรือ M.Applied Linguistics แบบ 1.5 ปี เพราะ U นี้เขาพัฒนา dictionary ของโลกด้วยค่ะ
อีกอย่าง U นี้มักมีทุนให้นักศึกษา ASEAN ค่ะ ปีละ 10,000 เหรียญ ถ้าเราสมัครไปดูนะคะ อาจจะได้ เพื่อนดิฉันก็ได้ค่ะ จ่ายค่าเทอมก็จะเหลือประมาณ 500,000 บาท
แบ่งจ่ายได้ เทอมละ 250,000 กรณีที่ได้ทุนนะคะ ส่วนประกันสุขภาพก็จ่ายต่างหากเอง แต่ก็ไม่ได้แพงมากไปค่ะ หลักหมื่นค่ะ
ส่วน Melbourne U. ก็มีทุนค่ะ แต่ 5000 เหรียญเอง และ Melbourne U. ก็พัฒนาแบบทดสอบด้านภาษาศาสตร์สำหรับวัดผลนศ. ป.ตรี โท เอก ในประเทศเขา
ร่วมกับ U of Auckland ที่ NZ ซึ่งเป็น U อันดับ 1 ของ NZ ส่วนด้านภาษาศาสตร์อยู่อันดับที่ 46 ค่ะ
จริงๆ U of Auckland ก็มีหลักสูตร Postgraduate Diploma ภาษาศาสตร์ประยุกต์ 1 ปี เช่นกันค่ะ ที่ไม่ได้แนะนำ เพราะไม่แน่ใจเรื่องทุนว่าจะเป็นยังไงบ้าง
เพราะ U ทาง NZ ค่อนข้างคัดเลือกเข้มข้นมาก และเข้าค่อนข้างยากเช่นกันค่ะ
แต่ทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ คุณมีโอกาสได้วีซ่าทำงานหลังเรียนจบนะคะ ทาง NZ คุณจะได้วีซ่าทำงาน (ถ้าสมัครขอ) 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับหลักสูตรค่ะ
ส่วนของออสเตรเลียจะได้ 2 ปี แต่จะไม่มีสิทธิสมัครเป็น PR ได้ และเหมือนกำลังเปลี่ยนแปลงกฎ ออสเตรเลียวุ่นวายนิดๆ เรื่องนี้ค่ะ แต่ทาง NZ ยังดึงดูดคนให้ไปค่ะ
แต่ทางออสเตรเลียก็มีข้อดีคือเมื่อเรียนจบกับเขาแล้วจะได้แต้มส่วนหนึ่งเพื่อเอาไว้สมัคร PR ได้ค่ะ
ระหว่างเรียนวีซ่านักเรียนของคุณจะทำให้ทำงานไปด้วยได้ค่ะ 20 ชม. / สัปดาห์ ถ้าไป Macquarie U. ก็อยู่ Sydney หางานไม่ยากค่ะ
คนรู้จักก็ทำงานร้านอาหารไทย เขาก็ช่วยๆ เด็กไทยอยู่ค่ะ ได้เงินพอค่าที่พักและอยู่กิน ไม่ต้องใช้เงินอื่นอีกเลย
ยิ่งได้ภาษา บางทีไปทำตามห้างที่ต้องรับออร์เดอร์และใช้ภาษาก็จะได้เงินดีอยู่ค่ะ แต่ถ้าไม่ชอบวุ่นวายกับคนก็ไปเก็บผลไม้ ใช้แรงงานหน่อยแต่ก็เงินดีค่ะ
ข้อดีของออสเตรเลียคือได้วีซ่านักเรียนที่ทำงานได้ อังกฤษก็ได้ค่ะ แต่ออสเตรเลียมีข้อดีตรงที่ แบ่งจ่ายค่าเทอมได้ และไม่ขอดู statement เงินหลักล้านค่ะ
แต่ทาง NZ นี่จะค่อนข้างเข้มมาก อาจจะต้องมีเงินในบัญชีหลักล้านค่ะ อังกฤษก็เช่นกันค่ะ มันก็เลยต้องเลือกชั่งใจตามฐานะและคุณสมบัติเราด้วย
ยังไงก็ลองดูทางเลือกอีกทีค่ะว่าจะไปทางมหิดล หรือจะลองไปต่อนอก แล้วค่อยกลับมาต่อเอกที่ไทย
บางทีพอไปจบนอก อาจจะได้มีลู่ทางได้ทุนเรียนต่อ Ph.D. ที่ต่างประเทศแบบ full scholarship นะคะ
อย่าไปเอาคำพูดของคนอื่นมาบั่นทอนทำลายกำลังใจตัวเองค่ะ คนเราต้องมีความฝัน และก็ทำให้มันเป็นจริงได้ ไม่มีอะไรยากเกินความตั้งใจและพยายาม ขยัน และอดทนค่ะ
รูปของ Cate Blanchett ดาราฮอลลี่วู้ดเจ้าบทบาท รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์ Doctor of Letter ที่ Macquarie U. ค่ะ ตัว Cate จบ ป.ตรี ที่ Melbourne U. ค่ะ