สถาบันอยู่ในหลืบ ตั้งไกลปืนเที่ยงไม่ว่า ยังมีประตูกั้น ยังกับห้องปิดตาย เคยไปแวะแคมปัส คืออารมณ์ประมาณว่าโดดเดี่ยว แยกออกมาอาจารย์ที่เอามาอยู่ ก็ซื้อตัวมาจาก มอดังๆ นั่นแหล่ะค่ะ เพราะเคยเป็นอาจารย์ที่มีผลงานดีอยู่แล้ว บางคนก็มาจากคณะวิทย์ มหิดล บางคนก็มาจากคณะวิศวะ ม.เกษตร
แล้วอาจารย์เหล่านี้ก็เอาลูกศิษย์ ป.โท ป.เอก ตัวเองที่เคยเรียนอยู่ที่มหิดล เกษตร หรือจุฬาฯ ให้มาทำแลบที่นั่นด้วย
เข้าไปข้างในก็เห็นชัดว่าเป็นบรรยากาศป่าช้ามาก เน้นสอนเฉพาะ ป.โท / เอก ยังไม่มีปริญญาตรี ถ้าเป็นแค่นี้จะยังจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกไม่ได้
เพราะการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกจะต้องมีหลักสูตร ป.ตรี ด้วย อย่าง AIT ที่ตอนหลังมาติด ทั้งๆ ที่ด้านวิศวะ ถือว่าดังพอๆ จุฬาหรืออาจจะเหนือกว่า
ก็เพิ่งติด เพราะ AIT เปิดให้มีหลักสูตร ป.ตรี ไม่อย่างนั้นจะไม่ติดอันดับโลกใดๆ
ของ VISTEC เขาก็ตั้งเป้าอยู่ว่าอีก 25 ปี หรือ 30 ปี ต้องติด top 50 ของโลกให้ได้
แต่บอกเลยว่ายาก เพราะบรรยากาศการทำงานยังเป็นแบบต้องมีพิธีรีตรองอะไรมากมายอยู่
VISTEC ยังดึงอาจารย์ฝรั่ง มาเป็น adjunct professors เพื่อให้ได้คะแนนผลงานตีพิมพ์เวลาประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัยโลก แต่ก็ยังขาดด้านอื่นๆ
นอกจากนี้ VISTEC ยังให้อาจารย์คนไทยที่เพิ่งจบ ดร. จาก U ดังๆ ของเมืองนอกมาทำงาน เพื่อเน้นผลิต publications ในวารสารดังๆ
ส่วนใหญ่คืออาจารย์เหล่านี้มีประสบการณ์เคยทำ Postdoctoral research หลังปริญญาเอกที่เมืองนอกใน U ดังมา เขาถึงจะจ้างค่ะ
ถ้าไปดูจะเห็นว่าเผยแพร่ลงวารสารดังๆ ทั้งนั้น แต่ยังไงก็ตาม มันเป็นการศึกษาแบบโลกแคบค่ะ เน้นแต่ผลิต publications มันวิชาการแบบนี้ มันไม่ทันสมัยนะคะ
เด็กสมัยนี้ต้องพูดถึง 21st Century skills ไม่ใช่แค่การทำแลบลึกๆ ยากๆ อะไร แต่มันต้องมีทักษะชีวิตด้านอื่น ที่ VISTEC ยังตอบโจทย์ไม่ได้ และคิดว่าไม่น่าจะได้ค่ะ
เพราะอาจารย์กับ ปตท. ยังหลงทางอยู่ค่ะ เรื่องจะพาไปอันดับโลก 50 ของโลกจึงยากมากค่ะ แค่ top 200 ยังไม่ได้เลยค่ะ พูดเลย
แต่ก็ดีแล้วค่ะที่พยายามทำอะไรใหม่ๆ ให้เกิดขึ้น แต่ต้องหาทางตีโจทย์ตลาดการศึกษาของโลกให้ถูกต้องก่อนนะคะ ไม่ใช่จัดเน้นเพื่อเอาแค่ publications นะคะ
ปล.1 อาจารย์เงินเดือนหลักแสนขึ้นนะคะ
ปล.2 มีโรงเรียนกำเนิดวิทย์ กะมาแข่งมหิดลวิทย์ และเตรียมอุดม ด้วยค่ะ
แต่เด็กก็ใช้ชีวิตแบบโลกแคบในป่า ไม่ให้เด็กออกมาฝึกทักษะชีวิต มันจะเป็นการเน้นแต่วิชาการ มันไม่โอเคค่ะ