การขอตำแหน่งวิชาการ ของ ม.ราชภัฎ ม.ราชมงคล ได้ง่ายกว่าของ ม.ใหญ่ นี่คือข้อเท็จจริงในบริบทมหาวิทยาลัยไทย แม้ทุกมหาวิทยาลัยจะสังกัด สกอ. กระทรวงศึกษาธิการ เหมือนกัน แต่คนพิจารณาให้คนละชุดและต่างกันตรงคุณภาพงาน เพราะแต่เดิม ราชภัฎ สังกัดกระทรวงศึกษา
แต่มหาวิทยาลัยรัฐหลัก สังกัดทบวงศึกษา จึงทำให้เกณฑ์และธรรมเนียมใช้จริงๆ มันต่างกัน
ตอนหลังมาปรับให้ใช้เกณฑ์เดียวกัน สังกัด สกอ. เหมือนกัน มี กพอ. เป็นระเบียบให้ยึดเป็นกรอบ
แต่วัฒนธรรมการประเมินของผู้ทรงคุณวฒิของ ม.ราชภัฎ ม.ราชมงคล และ ม.รัฐ หลักก็ต่างกัน
เอาเฉพาะใน ม.รัฐ หลักด้วยกัน ม.นเรศวร ม.บูรพา ม.มหาสารคาม ม.พะเยา ม.วลัยลักษณ์ ม.ใหม่ๆ พวกนี้ก็ขอตำแหน่งวิชาการง่ายกว่า ม.รัฐ หลักดั้งเดิม
เพราะเขาจะส่งไปให้ ม.ในลีคเดียวกันอ่านให้ น้อยมากจะส่งเข้าไปให้อาจารย์ที่สังกัด จุฬาฯ มหิดล ธรรมศาสตร์ ประเมินให้ มากสุดอาจจะส่งไป ขอนแก่น เชียงใหม่ สงขลา
ในขณะที่พวก ม.รัฐหลัก ที่มักติด QS / THE ranking เขาจะส่งไปให้ผู้ทรงคุณวุฒิที่สังกัดในมหาวิทยาลัยที่อยู่ในลีคเดียวกัน คล้ายๆ ไม่ส่งไปต่ำกว่าลีคตัวเอง
ถ้าเปรียบเสมือนฟุตบอล ก็คือ ม.รัฐ หลักใช้ผู้ทรงคุณวุฒิจาก พรีเมียร์ลีค หรือ Divison 1 เท่านั้น
ส่วน ม.รัฐ รองๆ ก็ใช้ Division 2 ด้วยกัน มาประเมินตำแหน่งวิชาการให้กัน พอผ่านก็ค่อยเสนอไปที่สภาวิทยาลัยให้รับรอง
สมัยก่อนก็จะส่งไปแต่งตั้งผ่าน สกอ. มีหลายขึ้นตอน ตอนหลังลดความยุ่งยากลง แต่ก็กลายเป็นว่าผ่านง่ายขึ้นเยอะ
ส่วน ม.ราชภัฎ ราชมงคล เขาก็จะใช้ ลีคเดียวกับเขาเอง คือส่งให้ ม.ราชภัฎด้วยกันอ่าน หรือ ม.ราชมงคล อ่าน ก็นานๆ ส่งมาให้ ม.รัฐ หลักๆ อ่านให้
การขอ ผศ. เป็นด่านแรก ทั้ง ม.รัฐหลัก ม.รัฐรอง และ ม.ราชภัฎ ราชมงคล ก็ใช้เกณฑ์คล้ายๆ กันคือ ใช้บทความ หรือ งานวิจัย อย่างน้อย 1 - 2 เรื่อง
ขึ้นอยู่กับสาขาวิชา และอาจจะใช้หนังสือด้วย ถ้ามีหนังสือก็ใช้งานวิจัย 1 เรื่องได้ แต่ถ้าไม่มีหนังสือก็ใช้บทความวิชาการ + งานวิจัย อย่างละเรื่อง
ถ้าไม่มีหนังสือ ไม่มีบทความวิชาการ ก็ใช้งานวิจัย 2 เรื่อง หลังๆ จะเน้นไปงานวิจัยมากกว่า เพราะเขาอยากส่งเสริมให้ทำวิจัยมากขึ้นและเผยแพร่ลงในวารสารวิชาการ
แม้จะใช้เกณฑ์คล้ายๆ กัน เพราะถูกกำหนดไว้ใน กพอ. ที่ สกอ. ประกาศให้ใช้เป็นมาตรฐานทั้งประเทศ
แต่การได้ ผศ. ของ ม.เล็กๆ รวมถึง ม.ราชภัฎ ราชมงคล จะได้ง่ายกว่า ม.รัฐ หลักๆ เพราะผู้ทรงคุณวุฒิเขาสังกัดอยู่ในลีคเดียวกัน ไม่ค่อยแข็งเท่าไหร่
งานวิจัยที่ใช้อาจจะเผยแพร่แค่ในวารสารราชภัฎ วารสารราชมงคล วารสารมหาวิทยาลัยของไทยทั่วๆ ไปก็ได้ วารสาร TCI กลุ่ม 2 ก็ยังผ่านเลย
ส่วน ม.รัฐ ใหญ่ๆ จุฬา ธรรมศาสตร์ มหิดล เกษตร เชียงใหม่ ลาดกระบัง บางมด ขอนแก่น ม.รัฐ ลีคประมาณนี้ จะขอยากกว่า
เพราะมักต้องใช้งานวิจัยตีพิมพ์ 2 เรื่อง หรือบทความวิชาการ 1 เรื่อง + งานวิจัย 1 เรื่อง ที่ต้องตีพิมพ์ในวารสารไทยที่ สกอ.ยอมรับ ใน TCI กลุ่ม 1
แต่บางที่อาจจะแข็งและหิน จะต้องใช้ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติไปเลย ที่อยู่ในฐาน SCOPUS และ/หรือ ISI ไปเลย ถึงจะผ่าน
หากใช้งานคล้ายๆ กับทาง อ.ราชภัฎ ส่งขอ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยผ่านนะ เพราะ ม.ใหญ่ เขาเข้มข้นในการประเมินมากกว่า
ส่วนในระดับ รศ. พวก ม.ราชภัฎ ราชมงคล ก็ของ่ายกว่า ม.รัฐหลักๆ ที่เอ่ยชื่อข้างบน
ใน ม.ราชภัฎ และราชมงคล ตำแหน่ง รศ. อาจจะใช้เพียงตำรา/หนังสือ 1 เล่ม + งานวิจัยในไทย 2 เรื่อง ในวารสารของไทย TCI กลุ่ม 1 ก็อาจจะขอผ่านแล้ว
แต่ใน ม.รัฐ หลักๆ ไม่มีทางได้เลย ต่อให้ใช้ 3-5 เรื่อง แต่ถ้าลงแค่ในวารสารไทย TCI กลุ่ม 1 ก็ไม่มีทางผ่าน เพราะในลีค ม.รัฐ ใหญ่ เขาเข้มข้นมาก
ต้องใช้งานตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติอย่างน้อย 2 -3 เรื่อง ถึงจะขอ รศ. ผ่าน
ส่วนการเขียนหนังสือ/ตำรา ก็ต้องใช้เช่นกัน แต่มักเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาที่ดี หรือเป็นตำราองค์ความรู้ใหม่ๆ หนังสือที่ให้ความรู้ใหม่ที่คนไม่ค่อยเขียน ถึงมีโอกาสได้
แล้วต้องใช้งานวิจัยอีกอย่างน้อย 2 เรื่อง เผยแพร่ในวารสารระดับนานาชาติอย่างที่บอกข้างบน
แม้เกณฑ์ใน กพอ. กำหนดไว้ว่าขอ รศ. ต้องใช้งานวิจัย 2 เรื่องก็จริง แต่ถ้าใช้ 2 เรื่องขอจริงๆ จะไม่ค่อยผ่าน เพราะมันดูน้อยมากสำหรับพวก ม.รัฐ หลักๆ
เขาต้องใช้ 4-5 เรื่อง เป็นอย่างน้อย แต่ก็แล้วแต่สาขาวิชา เพราะสายวิทย์ สายสังคมศาสตร์ สายศิลป์ สายเกษตร สายแพทย์ ความเข้มข้นในการประเมินต่างกัน
แต่โดยเฉลี่ย พวก ม.รัฐ ในสายวิทย์ จะขอ รศ. ต้องใช้ 5 เรื่อง ขึ้นไป เพราะกันเหนียวกลัวไม่ผ่าน เพราะผู้ทรงคุณวุฒิที่ประเมินนั้นอาจหิน
บางคนอยู่จุฬาฯ มหิดล จะแข็งมาก พวก ม.รัฐ หลักๆ จะส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิที่อยู่ใน ม.รัฐหลักๆ ด้วยกันอ่าน ไม่ส่งไปให้ ม.ราชภัฎ หรือ ม.ราชมงคล พิจารณา
แต่คนขอจะไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่อ่านให้ ซึ่งมีถึง 3 คน ยกเว้นจะใช้เส้นสายมหาวิทยาลัยขอแอบดูรายชื่อ แล้วไปล๊อบบี้ ซึ่งก็อาจจะมีบางกรณีที่ช่วยๆ กัน
การขอตำแหน่งวิชาการ จะว่าง่ายก็ง่ายบางคน เพราะเขาเก่งและขยันทำงาน มีงานออกมาเยอะ
แต่บางทีก็ได้ยาก เพราะบางสาขาให้ยาก มันไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แม้จะมีระเบียบให้ยึดก็จริง
แต่คนประเมินอาจจะไม่ได้มองแค่เกณฑ์ เขามองมากกว่านั้น อาจจะดูความเป็นสากลด้วย
อย่างสายแพทย์ วิศวะ วิทย์ มันก็คนละกลุ่มกัน คนพิจารณาก็คนละคน คนละผู้ทรงคุณวุฒิ และน้ำหนักการให้คะแนนผ่านก็ต่างกัน
กรณีของสาย วิศวะ และเกษตรศาสตร์ จะขอ รศ. ค่อนข้างง่ายกว่าสายแพทย์ และวิทยาศาสตร์
เพราะอย่างวิศวะ เขามีวัฒนธรรมวิชาการเฉพาะของเขา ที่เอาพวก proceedings มาใช้ในการขอตำแหน่งวิชาการได้
แต่คณะวิทย์ คณะแพทย์ จะไม่ยอมเลย ถึงแม้ สกอ. จะอนุญาต แต่ถ้าใครส่ง proceedings มาใช้ขอตำแหน่งวิชาการได้ แต่จะไม่มีทางผ่าน
เพราะ proceedings มันเผยแพร่ง่ายกว่าการส่งไปตีพิมพ์ใน International journals
แต่วัฒนธรรมของทางวิศวะเขาจะไม่เหมือนกับสายอื่น เขามองประเด็นว่าวิศวะก็ทำงานเผยแพร่เพียงเท่านี้ก็ยอมรับได้
ในขณะที่สายวิทย์ วิทย์การแพทย์ และแพทย์ ก็ยังมีความผันแปรในการให้ตำแหน่งวิชาการเลย บางสาขาวิชาของวิทย์ ก็อาจจะเข้มข้นมาก แต่บางสาขาวิชาก็เข้มข้นน้อยกว่า
บางสาขาต้องใช้งานเผยแพร่ในวารสารที่ต้องมีค่า impact factors เท่านั้น บางสาขาก็เอาแค่ที่อยู่ในฐาน Scopus ก็ได้
แต่ภาพรวมคือต้องมี international papers ที่อยู่ในฐานข้อมูลสากลนะ ถึงจะขอผ่าน
ซึ่งตรงนี้ทาง ม.เล็กๆ อาจจะไม่ต้องถึงขั้นนี้ก็ได้ แค่ตีพิมพ์ในระดับชาติของไทยก็อาจจะขอ รศ.ผ่าน
ส่วนสายเกษตรศาสตร์ อาจจะเอาสิทธิบัตรการทำเมล็ดพันธุ์ การปรับปรุงพันธุ์สายพันธุ์พืชและสัตว์มาใช้แทนผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารได้
ทางสายแพทย์ หมายถึงหมอ ก็เช่นกัน หมออาจะใช้เทคนิคที่พัฒนาคิดค้นมาใช้แทนงานวิจัยก็ได้ เมื่อยื่นขอ รศ. แต่ปกติก็จะมี papers ดีๆ สัก 2 เรื่องประกอบไปด้วย
ส่วนวิทย์การแพทย์ เช่น พวกชีวเคมีการแพทย์ ปรสิตวิทยา พยาธิวิทยา สรีรวิทยากรแพทย์ รวมถึงเภสัชศาสตร์ ก็จะใช้เกณฑ์ตีพิมพ์นานาชาติเป็นหลัก
มักต้องใช้ 3-5 เรื่อง คล้ายๆ สายวิทย์ หากต่ำกว่านี้ต้องมีนวัติกรรมอะไรสักอย่างประกอบถึงจะขอผ่าน
สำหรับ รศ. ชื่อภาษาอังกฤษคือ Associate Professor นั้น ที่เมืองไทยก็ถือว่าได้ง่ายกว่าของเมืองนอกมากๆ
เพราะเมืองนอก โดยทั่วๆ ไป ทั้งอังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ผลงานต้องจำวนงานวิจัย 30-50 เรื่องขึ้นไปถึงได้เป็น Assoc. Prof.
ถ้าจะเป็น Prof. ของแต่ละประเทศก็มีเกณฑ์ต่างกัน ทั้งอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เยอรมนี มีเกณฑ์ต่างกัน
อย่าง Assoc. Prof. ของออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ถือได้ว่าเทียบเท่า Prof. ของอเมริกาและญี่ปุ่น เพราะผลงานต้องเยอะมากถึงได้เป็น Assoc. Prof.
้ถ้าจะเป็น Prof. ต้องใช้ผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ 100 เรื่องขึ้นไป ร่วมกับการเคยเขียนหนังสือ ตำรา หรือ book chapters
นอกจากนี้ยังต้องเคยผลิต ป.เอก จบไปหลัก 10 คนขึ้น และได้ทุนต่างๆ มาทำวิจัยมากพอสมควร ถึงได้รับการโปรโมตให้เป็น Prof.
ส่วนของ USA ก็จะใช้ผลงานวิจัยอย่างเดียวก็ได้ แต่ก็มักสัมพันธ์กับอายุและมหาวิทยาลัยที่สังกัดด้วย ว่าจะโปรโมตให้เป็น Prof. แบบใด
ถ้าอายุน้อยแต่ผลงานเยอะ ก็ได้รับการโปรโมตให้เป็น Prof. แต่ถ้าอายุเยอะแล้ว ต้องใช้ผลงานเยอะมากขึ้นตามเท่าตัว หากยังไม่ได้เป็น Prof. นะ
อเมริกาเองก็มี Prof. หลายประเภทมาก ขี้เกียจเขียน เอามาเทียบกับไทยไม่ได้หรอก มันคนละระบบ แต่เขาคุณภาพกว่าเราแน่นอน
ของไทยที่ระดับเป็น Prof. เก่งๆ เจ๋งๆ เท่าเมืองนอกจริงๆ นับได้ไม่ถึง 200 คนในประเทศนี้
ที่เหลือเป็น ศ. แบบผลงานธรรมดา ที่อาจจะดูดีในสายตาคนประเมินระดับหนึ่ง หรืออาจจะมีบางส่วนเป็นเส้นสายบ้าง
ในไทยเกณฑ์ขอ Prof. ใช้ 5 เรื่อง ตีพิมพ์ระดับนานาชาติ/ชาติ แต่มักใช้นานาชาติ เพราะถ้าระดับชาติ ก็ขึ้นอยู่กับธรรมชาติของสาขาวิชานั้นๆ
ถ้า ศ. ด้านภาษาไทย สังคมศาสตร์ อาจจะเอาแค่ในวารสารภาษาไทยก็ได้ แต่ ศ. สายวิทย์ คงยากจะได้ เพราะต้องเผยแพร่นานาชาติเป็นหลัก
แต่ของไทย ไม่ต้องมีถึง 50-100 เรื่อง เหมือนเมืองนอก ก็ขอ ศ. ผ่านได้ เอาสัก 10-20 เรื่อง ส่วนใหญ่ก็ขอผ่านล่ะ
บางคนมีผลงานแค่ 10 เรื่อง เหมือน ศ. ลาดกระบัง ที่มีคนอวยๆ ว่าเก่ง จบ MIT นั่นก็ขอผ่านได้ จากงานไม่ถึง 10 เรื่องด้วยซ้ำมั้ง และมี proceedings ซะเยอะ
ถ้าแบบนี้เมืองนอก ผศ. ยังไม่ได้เลย แต่ก็บ้านเราน่ะ จะไปว่ากันคงยาก มันเป็นแบบนี้มานาน
ยังมี ศ. ผลงานน้อยๆ ได้เป็น ศ. เยอะแยะ สมัยนี้ ใครๆ ก็เป็น ศ. ได้ แต่จะเป็น ศ. มีคุณภาพสู้ Prof. อเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น จีน ฝรั่งต่างๆ ไหม ก็ต้องดูผลงานแต่ลคนไป
เพราะบางคนก็ผลงานเยอะจริงๆ แต่บางคนก็นิดเดียว แล้วได้เป็น ศ. แบบมีพลังภายในช่วย หรือบางคนก็ได้เป็น ศ. ตามธรรมชาติสาขาเขายอมรับแค่นั้นเอง
บางคนอยู่สายแพทย์ วิทย์ ทำวิจัย 40-50 เรื่อง ขอ ศ. 2-3 รอบไม่ผ่านก็มี เพราะด่านหินจากผู้ทรงคุณวุฒิมันเยอะ ธรรมชาติของแต่ละสาขาไม่เหมือนกัน
ไม่อยากวิจารณ์มาก เอาเป็นสรุปว่า ศ. เมืองไทย 90% ไม่สู้เมืองนอก และบางทีสู้ ผศ. ของเมืองนอกด้วยซ้ำ
วิจารณ์นี่ไม่ได้แปลว่าไม่รักประเทศนะ อย่าเข้าใจผิด แต่พูดข้อเท็จจริงอีกมุมให้ฟัง