จุดกำเนิดแบรนด์ Lexus ของค่าย Totyota เจ้าของสัญลักษณ์หัวลูกศร ยานยนต์ระดับพรีเมียมประสิทธิภาพสูง ราคาแพง เกิดจากการประชุมของผู้บริหารระดับสูงของ Toyota Motor เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1983 การประชุมในครั้งนั้น ประธานบริษัท Toyota ในขณะนั้น (Mr.Eiji Toyoda) กล่าวในที่ประชุมว่า บริษัท Toyota ควรพิสูจน์ความเป็นเลิศของตัวเองในทางวิศวกรรมยานยนต์ ด้วยการลงมือสร้างรถยนต์ในระดับ Luxury และยกระดับของแบรนด์ใหม่ ที่แตกหน่อออกไปจาก Toyota โดยกำหนดให้มีสมรรถนะสูงสุด เทียบเท่า หรือดีกว่ารถยนต์หรูหราของพวกอเมริกันและยุโรป ด้วยความเชื่อมั่นว่า รถแบรนด์ใหม่ล่าสุดของค่าย Toyota จะกลายเป็นการเปิดหน้าใหม่แห่งประวัติศาสตร์ของวงการรถยนต์เลยทีเดียว
บริษัท Toyota Motor ระดมทีมงานและขุมกำลังทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทีมช่าง นักออกแบบชั้นหัวกระทิทั้งญี่ปุ่นและอเมริกัน ทีมงานของฝ่ายผลิตและทีมวิศวกร เพื่อสานฝันภารกิจอันท้าทายยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ และเพื่อก้าวเข้าสู่ความเป็นเจ้าแห่งรถ Luxury Car ของโลก ที่รู้จักกันต่อมาในนาม Lexus หลังจากนั้นมีการกำหนดใช้ชื่อในโครงการทดสอบ วิจัยรถยนต์แบรนด์ใหม่นี้ ว่า F1 ตามมาด้วยการยกทีมงานทั้งหมดไปศึกษาถึงความเป็นไปได้ในเชิงวิศวกรรมที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวลายาวนานหลายปี
เนื่องจากสหรัฐฯ ในช่วงเวลานั้น (ค.ศ. 1983) ถือได้ว่าเป็นตลาดรถยนต์ระดับหรูที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงเป็นตลาดรถยนต์ขนาดใหญ่ กับเป็นรากฐานของแบรนด์ใหม่ๆ ที่มักนิยมเปิดตัวในสหรัฐอเมริกา ทีมงานของ Toyota ในครั้งนั้น ใช้วิศวกรมากถึง 1,400 คน ช่างเทคนิค 2,300 คน และช่างเครื่องยนต์อีก 220 คน ซึ่งแต่ละคนเป็นมืออาชีพที่ทำงานอยู่ในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์สาขาต่างๆ ที่เข้าร่วมกันใช้แนวความคิดใหม่ๆ พัฒนาเทคโนโลยีกับรูปลักษณ์ในการสร้างรถยนต์แบรนด์ Lexus ให้ออกมาเทียบเท่า หรือดีกว่าแบรนด์รถหรูจากเยอรมัน ที่ครองตลาดอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
สิ่งที่ทีมวิศวกรของค่ายสามห่วงมุ่งเน้นเป็นพิเศษ คือ การคิดค้นโครงสร้างของตัวรถ เปลือกตัวถังแซสซีส์และระบบความปลอดภัย วิศวกรของ Lexus ในแผนก Body Shell หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่พัฒนาเปลือกตัวถัง มีงานหนักล้นมือรออยู่อีกมาก การที่จะทำให้รถยนต์แบรนด์ใหม่ของ Toyota ซึ่งมุ่งไปยังลูกค้าระดับบน มีคุณสมบัติในการทนต่อแรงบิด หรือการงอตัวที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือนได้อย่างสมบูรณ์แบบ รถยนต์แบรนด์ใหม่ต้องสามารถรองรับการขับขี่ในเกือบทุกสภาวะ ด้วยระบบช่วงล่างที่ไม่เป็นรองค่ายรถยนต์คู่แข่งสัญชาติเยอรมันและอเมริกัน
ในระยะเริ่มแรก วิศวกรและนักออกแบบตัวถัง ทำงานประสานกันด้วยการใช้ Model ดินเหนียวจำนวนมากเพื่อสร้างรถต้นแบบ รวมถึงรถคันจริงที่จะใช้ในการขับทดสอบกว่า 450 คัน แล้วนำไปทำการวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์จำลองแบบ Finite Element Analysis ที่ช่วยในการตรวจสอบโครงสร้างของตัวถัง เพื่อกำหนดค่าสมรรถนะในระดับสูงสุด ทั้งยังช่วยในการพิจารณาจุดเสริมแรงที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด ในขณะที่ตัวถังถูกทำให้มีน้ำหนักน้อยลง เพื่อทำให้รถยนต์ Lexus คันแรกสุดในสายการผลิต กลายเป็นยนตรกรรมที่สูงด้วยคุณภาพเหนือรถยนต์เกรดพรีเมียมทั่วไป โปรแกรมพิเศษถูกกำหนดขึ้นเพื่อใช้ในการต่อต้านการเสื่อมสภาพ หรือ Body Aging จึงถูกบรรจุไว้เป็นหัวใจหลักของการสร้างสรรค์รถยนต์แบรนด์ Lexus
ทั้งนี้ เริ่มจากตัวถังที่ต้องผ่านการเคลือบป้องกันสนิมด้วย Zinc-Iron ทั้งบริเวณด้านนอกและด้านใน หรือ Double ZC-FE Layer ทำให้ตัวถังได้รับการป้องกันสนิมอย่างสมบูรณ์แบบ จากนั้นจะทำการเคลือบสี Zinc-Iron Alloy บนผิวด้านนอกอีกครั้ง (เป็นเทคโนโลยีที่ก้าวไกลมากในช่วงปี ค.ศ. 1985) เพื่อทำให้สีมีการเกาะยึดที่ทนทานและให้ความเงาแวววาว เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนดังกล่าว รถ Lexus ทุกคันยังต้องผ่านขั้นตอนการพ่นสีจริงอีกถึง 5 ขั้นตอน เพื่อทำให้สียึดเกาะกับผิวตัวถังมากที่สุดและสร้างความเงางามเทียบเคียงรถยนต์ อย่าง BMW / Jaguar / Mercedes Benz / Rolls Royce / Bentley
ในระหว่างปี ค.ศ. 1985-1988 ก่อนที่การผลิตรถ Lexus โมเดลแรกสุดจะเริ่มต้นขึ้น รถต้นแบบของ Lexus ที่ใช้ชื่อรุ่นเป็นรหัสตัวเลขว่า LS400 มีเครื่องยนต์แบบ V8 ขนาด 4.0 ลิตร วางตามยาวด้านหน้า-ขับเคลื่อนด้วยล้อคู่หลัง ได้ผ่านการทดสอบอย่างโชกโชน ทั้งในห้องทดลองของโรงงาน รวมถึงการวิ่งทดสอบในสภาวะที่มีความแตกต่างกันอย่างสุดขั้วบนถนนจริงทั่วอเมริกาเหนือ การทดสอบอย่างเข้มข้นทั้งในโรงงานของ Lexus เอง และบนถนนสาธารณะ เพื่อตรวจสอบสมรรถนะของรถต้นแบบทุกคันในทุกสภาพดินฟ้าอากาศและทุกสภาพของถนน นอกจากจะวิ่งทดสอบอย่างหนักในทางปกติทั่วไปแล้ว Lexus ยังใช้สนามทดสอบสำคัญๆ จากทั่วทุกมุมโลก ทั้งในสนามแข่งขันรถยนต์ชั้นนำในยุโรปและอเมริกา รวมกับการวิ่งบนถนนปกติ รวมเป็นระยะทางทั้งหมดของการวิ่งทดสอบกว่า 4.3 ล้านไมล์
รถต้นแบบ LS400 ถูกนำไปวิ่งทดสอบอย่างหนัก ทั้งในสหรัฐอเมริกา เยอรมนี เบลเยียม สวีเดน และแคนนาดา การวิ่งทดสอบบนถนนของทางด่วนในประเทศเยอรมนี หรือในสภาพการจราจรที่ติดขัดตามเมืองใหญ่ทั่วโลก แม้แต่การวิ่งทดสอบอย่างหนักท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ รวมถึงการวิ่งบนถนนที่เต็มไปด้วยหิมะของแถบขั้วโลกเหนือ รถต้นแบบ Lexus LS400 ทุกคันต้องวิ่งผ่านอุโมงค์สนามแม่เหล็กไฟฟ้า เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของระบบไฟในตัวรถ
โฉมหน้าใหม่ของวงการผลิตรถยนต์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว นี่คือยุคทองของ Lexus อย่างแท้จริง ณ วันนี้คำทำนายของประธานคนเก่า Mr.Eiji Toyoda ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า รถยนต์หรูหราในความคิดของตระกูล Toyoda ได้รับการพัฒนาและผลิตอย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอน รวมถึงผ่านการทดสอบอย่างหนักหน่วง จนทำให้แบรนด์ Lexus ผงาดขึ้นในวงการรถยนต์ระดับสูง หรือ Luxury Car ได้อย่างสง่างามสมศักดิ์ศรี ด้วยการกำหนดนิยามของแบรนด์ว่า "ยานยนต์ปฏิวัติ"
เดือนพฤษภาคม ปี ค.ศ. 1985 ทีมงานนักออกแบบ 5 คน ของ Toyota ย้ายฐานไปที่ Laguna Beach ซึ่งอยู่ห่างจากเมือง L.A. ไปทางใต้ราว 50 ไมล์ มันคือ สถานที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อมที่ดี Laguna Beach มีทัศนียภาพที่งดงาม รวมถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้ ก็มีความสนใจในเรื่องของยานยนต์เป็นพิเศษ นี่คือสถานที่สำคัญของ Lexus สำหรับการมาปรากฏตัวใน Laguna Beach เพื่อลงมือทำงานวิจัยเกี่ยวกับการเลือกซื้อรถยนต์หรูหราของพวกอเมริกัน รวมถึงการเช่ารถระดับสูงมาทำการขับขี่ทดสอบ เพื่อเก็บข้อมูลเปรียบเทียบระหว่างข้อดีข้อด้อยของรถคู่แข่งในแต่ละรุ่น แต่ละโมเดล
ทีมงานออกแบบและวิจัยของ Lexus ในยุคเริ่มต้น ประกอบด้วย Kumihiro Uchida หัวหน้าทีมออกแบบภายนอก Shigetoshi Odawara / Tadao Ohtsuki / Masahiko Kawazu และ Hisashi Seto ได้เริ่มงานที่ Calty ซึ่งเป็นสำนักงานดีไซน์ของ Toyota Motor ในสหรัฐฯ ทั้งนี้ สำนักงานดังกล่าวตั้งอยู่ใกล้กับ New Port Beach ทั้งหมดได้ร่วมทำงานกับ Michikazu Masu ดีไซเนอร์ที่ทำงานอยู่ก่อนแล้ว รวมถึง Dennis Campbell หัวหน้าทีมออกแบบของสำนักงาน Lexus Calty
Kumihiro Uchida หัวหน้าทีมออกแบบได้ทบทวนความหลังขณะที่อยู่ในสหรัฐฯ ว่า รถยนต์ทุกคันจะดูแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ทีมงานไม่สามารถสร้างรถยนต์ Lexus เพื่อชาวญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียว ทั้งยังไม่สามารถคาดหวังให้ตัวรถมีสภาพตามที่ต้องการในสำหรับการใช้งานในทวีปอเมริกาเหนือ หรือในทุกๆ ที่บนโลกใบนี้ แต่มันจะมีการเชื่อมโยงกันในการใช้งานมากกว่ารถหรูยี่ห้ออื่นๆ การออกแบบทรงและมิติของตัวรถ มีการคำนึงถึงอาคารบ้านเรือนที่ใช้จอดรถ ความกว้างของถนน เปรียบเทียบกับขนาดของรถยนต์ซาลูนหรูรุ่นอื่นๆ ของคู่แข่งบนถนน จากการประเมินผลด้วยการนำเอาสิ่งแวดล้อมและสภาพการขับขี่ต่างๆ เข้าด้วยกัน
เมื่อถึงเวลาเดินทางกลับญี่ปุ่น ทีมออกแบบ Lexus ในยุดแรกเริ่มได้นำเอา Concept Design พร้อมแบบร่างและหุ่นจำลองย่อส่วนของรถยนต์ต้นแบบกลับไปด้วย สำนักงานที่ Calty ในสหรัฐอเมริกา มีส่วนอย่างมากในการทำรถ Model ขนาดเต็มสัดส่วน พร้อมข้อเสนอแนะที่ดีในด้านไลฟ์สไตล์ของอเมริกันชน ที่นิยมเลือกซื้อรถหรูหรา ซึ่งเน้นพื้นที่ของการใช้สอยที่กว้างขวาง ใหญ่โตกว่ารถยนต์หรูของเยอรมัน
แบบจำลองที่ Kumihiro Uchida หัวหน้าทีมออกแบบนำกลับมาญี่ปุ่นไม่ไช่แบบแรก โดยแบบจำลองของรถรุ่น LS มีการดำเนินงานก่อนหน้านี้หลายรูปแบบแล้ว และถึงแม้ว่ารถต้นแบบ LS400 รุ่นพื้นฐานจะได้รับการยอมรับจากผู้บริหาร แต่ก็ยังต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อความลงตัวก่อนที่จะขึ้นสู่สายการผลิต ทีม Design ของ Lexus ต้องการจะทำให้ LS400 มีรูปทรงที่ถูกต้องตามหลักอากาศพลศาสตร์ หรือแอร์โรไดนามิกส์ เป็นส่วนหนึ่งในงานวิศวกรรมขั้นสูงในวงการยนตรกรรม รูปทรงที่ถูกต้องตามหลักอากาศพลศาสตร์ มีค่าสัมประสิทธิแรงเสียดทานอากาศอยู่ในเกณฑ์ดี ต้องคงความสง่างามตามแบบฉบับของแบรนด์หรูเอาไว้ทุกกระเบียดนิ้ว การทดสอบในอุโมงค์ลมหลายครั้ง ทำให้ดีไซน์สุดท้ายของรถรุ่นแรกสุด LS400 จากแบรนด์หัวลูกศร ได้รับการยอมรับในเดือนพฤษภาคมปี ค.ศ. 1987 สองปีหลังจากนั้นกระบวนการผลิตก็ได้เริ่มต้นขึ้น
สำหรับการขัดเกลารูปทรงของ LS400 ได้มีความพยายามที่จะทำให้รถ Lexus รุ่นแรกสุดคันนี้ออกมาดูดีและโดนใจผู้ใช้รถยนต์หรูหรา ราคาแพงทั่วโลก การก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในแบรนด์ Lexus เกิดจากการยึดมั่นในปรัชญาและเป้าหมายที่บริษัท Toyota ปฏิบัติกันมายาวนานกว่า 70 ปี นั่นคือ ปรัชญา "ลูกค้าคือคนสำคัญ" ความมั่งคั่งและมั่นคงของบริษัท เป็นผลผลิตจากความพึงพอใจของลูกค้าที่มีให้เมื่อเลือกใช้สินค้าคุณภาพสูง ในราคาที่สมเหตุผล รวมถึงความมั่นใจในการบริการหลังการขาย ที่ต้องมีประสิทธิภาพเหนือกว่า Toyota บริษัทแม่ที่มียอดจำหน่ายรถยนต์สูงที่สุดในอันดับต้นๆ ของโลก
ทีมทดสอบได้นำรถต้นแบบ Lexus คันแรกรุ่น LS400 ออกวิ่งในย่านความเร็วสูงบนถนน Autobahn ตลอดทั้งวัน ซึ่งบางช่วงของเส้นทางทดสอบ ทีมทดสอบของ Lexus ใช้ความเร็วในระดับท็อปสปีด เพื่อตรวจสอบในเรื่องของการระบายความร้อนและการทรงตัวในสภาพอากาศและอุณหภูมิที่แตกต่างกันจากเช้าจรดค่ำ หลังจากนั้นจึงกลับมาที่สหรัฐอเมริกา เพื่อให้พวกอเมริกันลองประเมินผลของการนั่งในตำแหน่งด้านหลัง
วัสดุที่ใช้ตกแต่งภายใน ความสะดวกสบายในการขับ การบังคับควบคุม รวมถึงเสถียรภาพของการทรงตัว วิศวกรของ Lexus จะทำการประเมินผลต่างๆ เหล่านี้บนท้องถนนของอเมริกาไปอีก 10 เดือน หลังจากนั้นจะทำการปรับปรุงช่วงล่างจากข้อมูลที่ได้รับในการทดสอบอย่างหนักที่ยุโรป เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นลงแล้ว ทีมทดสอบจะย้ายตัวรถไปที่เยอรมัน เบลเยียม และกลับมาที่อเมริกาอีกครั้ง เพื่อทำการปรับแต่งช่วงล่างครั้งสุดท้าย ซึ่งเป็นการปรับช่วงล่างแบบ Air Suspension ในขณะนั้น ช่วงล่างแบบนี้ถือได้ว่ามีความทันสมัยไฮเทค และให้ความนิ่มนวลมากกว่าช่วงล่างแบบปกติ
ฤดูร้อนของปี ค.ศ. 1987 ทีมวิศวกรด้านเครื่องเสียงติดรถยนต์ของ Lexus ได้ทำการติดตั้งชุดเครื่องเสียงลงในรถตัวอย่างของ Toyota รุ่น Cressida โดยมีการตกแต่งภายในห้องโดยสารให้เหมือนกับ LS400 ทุกอย่าง จุดประสงค์ในการทดลองครั้งนี้ คือ เป้าหมายในการพัฒนาระบบเสียงให้มีความเหมาะกับรสนิยมของพวกอเมริกัน ซึ่งต้องนำจุดดีจุดด้อยมาเปรียบเทียบกับรถหรูของค่ายอื่นๆ เช่น BMW 535i ที่ใช้ชุดเครื่องเสียงของ Alpine รถสปอร์ต Corvette ใช้ชุดเครื่องเสียงและลำโพงของ Bose รถลีมูซีนคันโต Lincoln Continental ใช้เครื่องเสียง JBL แต่กับมาตรฐานของรถ Lexus คืออะไรก็ได้ที่ดีที่สุด และเหมาะสมกับรูปแบบของห้องโดยสารมากที่สุด
หลังจากการประเมินผลอย่างหนัก เพื่อทำให้เกิดมาตรฐานใหม่ในประสิทธิภาพของเครื่องเสียงติดรถยนต์ ช่วงปลายปี 1988 รถต้นแบบ LS400 ทั้ง 3 คันได้รับการติดตั้งเครื่องเสียงจาก Nakamichi โดยได้รับการตัดสินว่ามีความเหมาะสมของระดับเสียงอยู่ในขั้นดีเยี่ยม (ต่อมา Lexus พัฒนาเครื่องเสียงรถยนต์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นอีกครั้ง ด้วยการร่วมมือกับบริษัทเครื่องเสียงชั้นนำของโลก Mark levinson)
ระหว่างการทดสอบการติดตั้งระบบเสียงให้กับ LS400 ในฤดูหนาวของปี ค.ศ. 1987-1988 ทีมงานทดสอบรถ Lexus ได้เดินทางพร้อมกับรถยนต์ต้นแบบไปที่ประเทศสวีเดน เพื่อทำการทดสอบการขับขี่ในสภาพเส้นทางที่เต็มไปด้วยหิมะ กับการใช้งานระบบ Traction-Control พร้อมกับระบบป้องกันล้อล็อกในระหว่างการเบรก ABS ช่วงต้นเดือนมกราคม 1988 ทีมทดสอบย่อยอีกทีมหนึ่งกำลังวิ่งทดสอบในสภาพอากาศที่เย็นจัดของประเทศแคนนาดา ร่วมกับบริษัทผู้ผลิตยางชั้นนำ ที่นำยางของตนเองลงทดสอบบนทางที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งและหิมะปกคลุม
9 เดือนก่อนหน้าการผลิตจริง จะเริ่มต้นขึ้น รถ Lexus LS400 เปิดผ้าคลุมเป็นครั้งแรกที่ Los Angeles กับเมือง Westchester NewYork ฝ่าย PR ของ Lexus ได้เชิญเจ้าของรถ Luxury ในสหรัฐฯ ให้ได้รับชมและทดลองนั่งก่อนใคร ซึ่งในบูธของ Lexus ปราศจาก Logo ใดๆ ของแบรนด์ทั้งสิ้น ที่นี่เองแขกที่ได้รับเชิญ จะได้กรอกรายละเอียดของแบบสอบถาม เกี่ยวกับราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการให้ความเห็นเกี่ยวกับตัวรถ หลังจากการทดสอบขับขี่อีกด้วย ขณะที่ทีมวิศวกรและดีไซเนอร์ของ Lexus ได้ทำการประเมินข้อมูลของลูกค้าเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อทำให้รถ LS400 ออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นการบังคับควบคุม ความหรูหราของวัสดุและอุปกรณ์ ความปลอดภัยและสมรรถนะของตัวรถ เพื่อลงรายละเอียดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะมีการขึ้นสู่สายการผลิตออกขายจริง Mr.Nishizawa ผู้จัดการทั่วไปของแผนกบริหารโรงงาน Tahara กล่าวว่า รถ Lexus ทุกคันจากสายการผลิตในสหรัฐอเมริกา จะต้องถูกสร้างขึ้นด้วยคุณภาพของงานประกอบในระดับสูงสุด โรงงานแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นโดยบริษัท Toyota ในปี ค.ศ. 1979-1980 ด้วยอุปกรณ์การผลิตรถยนต์ที่ทันสมัย เพื่อรองรับการผลิตรถ Lexus ทุกรุ่นในยุคแรกเริ่มของการก่อตั้งบริษัท
ด้วยความเพียรพยายามและความตั้งใจในการลงมือลงแรง สร้างงานวิศวกรรมจักรกลชิ้นใหญ่ของทีมวิศวกร Lexus ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมยานยนต์ นักออกแบบและช่างเครื่องทางเทคนิคกว่า 3,000 คน ผสานแรงบันดาลใจของประธานกิตติมศักดิ์จาก Toyota Mr.Eiji Toyoda รถ Lexus LS400 ซึ่งเป็นรถรุ่นแรกสุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทหนึ่งเดียวจากเอเชีย ที่หาญกล้าผลิตรถยนต์หรูหราราคาแพง เทียบชั้นกับคู่แข่งซึ่งเป็นแบรนด์หรูเก่าแก่จากทั่วโลก จึงประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
หลังจากนั้น แบรนด์ Lexus ก็ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบรถหรูเทียบเท่ายนตรกรรมชั้นนำจากยุโรป อย่าง BMW หรือ Mercedes Benz จนกลายเป็นที่ยอมรับทั้งในสหรัฐอเมริกา ยุโรป รวมถึงเอเชีย ในตลาดรถยนต์ Luxury ระดับโลก การทำแบบสอบถามสำรวจความพึงพอใจในระหว่างการใช้งานของลูกค้า ได้ปรากฏผลออกมาว่า รถ Lexus ได้รับคะแนนที่แสดงถึงความพึงพอใจในการใช้ (Car Satisfaction Identity) สูงสุดเหนือกว่ารถยนต์คู่แข่งในระดับเดียวกัน การสำรวจดังกล่าววัดจากความชอบของลูกค้า ต่อสมรรถนะของตัวรถและเทคโนโลยีของระบบควบคุมต่างๆ รูปลักษณ์ที่สง่างาม ความหรูหราของอุปกรณ์ รวมถึงการยอมรับในมาตรฐานของการบริการหลังการขาย ด้วยความเชี่ยวชาญและการเป็นเลิศในการให้บริการ
ความสำเร็จในแง่มุมของการยอมรับจากผู้ใช้รถยนต์ทั่วโลก เป็นเครื่องยืนยันว่า แบรนด์ "Lexus" ไม่เพียงแค่เป็นรถยนต์ที่สมบูรณ์แบบที่ใช้เทคโนโลยีไฮเทคเท่านั้น ตัวรถ Lexus ทุกรุ่นทุกคันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ยังมีระบบความปลอดภัยในระดับสูงสุดและความสะดวกสบายในการใช้งาน ในขณะเดียวกัน ยังเปี่ยมด้วยภาพลักษณ์ของความสง่างาม ที่นำความภาคภูมิใจให้กับผู้ที่ได้ครอบครอง.