ด้าน International Outlook มันคะแนนแค่ 7.5% เองนะคะ ไม่ได้เยอะมาก ต่อให้ได้เกือบเต็ม แต่ถ้าด้าน Citations, Research Volume และ Teaching ได้น้อย
ก็ไม่ได้ทำให้อันดับดีขึ้นนะคะ
ที่มอแม่ฟ้าหลวงได้อันดับดีระดับมหิดลหรือใกล้เคียงกัน ก็เพราะนางได้ Citations เยอะค่ะ หลายคนยังไม่รู้จริงนะเนี่ย ที่โพสต์ๆ มา
จะบอกให้ทราบนะคะว่า ม.แม่ฟ้าหลวง ได้จ้าง Professor ฝรั่งมาหลายคน แต่มีบางคนเป็นระดับ editors ของวารสารที่มีชื่อเสียง มีผลงานวิจัยที่มี citations เยอะด้วย
จนได้รางวัลจาก Web of Science (ISI) และ SCOPUS ด้วย และได้รางวัลจากหน่วยงานต่างๆ ในไทยด้วยว่าเป็นผู้มี citations เยอะอันดับสูงสุดของประเทศไทย
แล้วอาจารย์ของ ม.แม่ฟ้าหลวง ไม่ได้เยอะไงคะ ทำให้สัดส่วนอาจารย์ ต่อ citations เลยสูง
บางมหาวิทยาลัยได้ citations สูงใกล้เคียง ม.แม่ฟ้าหลวง แต่เมื่อนำมาเทียบกับสัดส่วนอาจารย์ประจำที่มี (ที่มีจำนวนเยอะ) ก็ทำให้ได้คะแนนตรงนี้น้อย
อย่าลืมว่า Citations ใน THE นางคิดถึง 30% นะคะ ถ้าได้คะแนนหมวดนี้เยอะ มหาวิทยาลัยแห่งนั้นก็นำลิ่วสูงขึ้นมาเลยค่ะ
เพราะการทำงานวิจัยให้ได้มีคุณภาพและมีคนไปอ้างอิงเยอะ (เรียกว่า citations) ไม่ได้ง่าย ๆ นะคะ ส่วนใหญ่ต้องลงวารสารที่มีค่า Impact Factor (IF) สูงหน่อย
หรืออย่างน้อยเป็นวารสารในระดับ Q1 และ Q2 ถึงมีโอกาสได้รับ citations สูง
แม้ว่าตีพิมพ์วารสาร IF ต่ำ หรือ Q3 - Q4 บางครั้งอาจจะได้รับการอ้างอิงสูง แต่ก็เป็นส่วนน้อยค่ะ
ดังนั้น ม.แม่ฟ้าหลวง นางมีรางวัลให้พวกอาจารย์ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Q1 Q2 และค่า IF สูงๆ ได้เงินพอสมควรเลยค่ะ แล้วส่งเสริมจ้างอาจารย์แบบนี้ไว้หรือดึงมาช่วยทำวิจัย
และไม่รับอาจารย์เยอะเกินจำเป็น จึงทำให้นางได้คะแนนหมวด citations สูง
แต่จะเหมือนบางรีบอกว่านางได้คะแนน teaching น้อย เพราะนางมาเน้นแต่ทำวิจัย และยืมตัวอาจารย์มออื่นมาสอนด้วย ทำให้สัดส่วนคะแนนนี้ของนางต่ำค่ะ
ส่วน Research Volume ปริมาณงานวิจัยและชื่อเสียงงานวิจัยของนางก็ไม่ได้เยอะนัก เพราะอาจารย์ยังไม่เยอะ และมีแต่อาจารย์ใหม่ ๆ เยอะ
ในหมวดนี้จะมี reputation survey ถามถึงชื่อเสียงอาจารย์คนนั้นและผลงานวิจัยจากมอนั้นว่าดังแค่ไหน คิดคะแนน ถึง 18% (จาก 30%)
พวกอาจารย์ใหม่ๆ ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก จึงทำให้ ม.แม่ฟ้าหลวงนางได้คะแนนน้อยค่ะ
แต่อย่างที่บอกนางได้ citations เยอะ เพราะมี Professor คนหนึ่งเป็น editor ของวารสารทางความหลากหลายของเห็ดคนหนึ่ง ที่มี ciations เยอะที่สุดในประเทศค่ะ
Professor คนนี้มีเมียคนไทยด้วยนะคะ แต่ก็เห็นเปลี่ยนเมียบ่อยบ๊อย ว้ายยย อย่าว่าเมาท์มอย แกเป็นคนอังกฤษค่ะ แล้วย้ายมาประจำอยู่ที่มอแม่ฟ้าหลวง
เราจะเห็นว่าบางทีเกณฑ์ของ THE มันมีข้อเสียเรื่องนี้แหละค่ะ เพราะเน้นคะแนนส่วนวิจัยและ citations มากเกินไป อย่างละ 30% รวมกันก็ 60% แล้ว
หลายๆ มหาวิทยาลัยในเกาหลีใต้ เช่น POSTECH และ Korean Advance of Science and Technology และสิงคโปร์ จึงนิยมจ้าง Professors ฝรั่ง ๆ เก่งๆ มาอยู่ประจำ
เพื่อปั่นคะแนนส่วน Research volume และโดยเฉพาะ Citations ค่ะ เราจึงมักเห็นมอที่ไม่ใช่ขนาดใหญ่มาก (รวมถึงสถาบัน เช่น Karolinska Institutet ของสวีเดน)
ที่เน้นสายวิทย์เป็นหลักจะได้อันดับโลกค่อนข้างดีมากกว่าสถาบันใหญ่ ๆ ที่มีหลายสาขาวิชา รวมถึงมีสายสังคมศาสตร์ ภาษา และศิลป์ค่ะ
มันเป็นทริกในการสร้าง ranking ใน THE ที่ต้องหา Professors เก่งๆ มาอยู่ แล้วทาง Professors ก็เต็มใจเพราะได้เงิน ได้ชื่อเสียง รางวัลต่าง ๆ มากมาย
จึงเป็นเหตุผลที่ทาง QS กับ THE เคยทะเลาะกันเรื่องการแบ่งสัดส่วนคะแนนในแต่ละหมวด และเกณฑ์การประเมินที่คิดต่างกัน
เพราะ QS ไม่อยากให้มีน้ำหนักด้าน citations กับ research volume สูงไป (THE รวมกันคือ 60%) แต่ QS ใช้แค่ citations 20% แล้วไปใช้เกณฑ์อื่นแทน
QS เกรงการปั่น ranking จากการการจ้างหา Professors ที่ทำงานวิจัยเก่งๆ และสร้าง citations ได้เยอะ มาลงใน U ที่มีเงินซื้อตัวมา
แล้วใช้วิธีลดจำนวนบุคลากรลงเพื่อให้ได้สัดส่วนคะแนนดี เขาถึงทะเลาะกันและแยกตัวออกจากกัน เพราะแต่ก่อนสองที่นี้อยู่ด้วยกันค่ะ
ดังนั้น เวลาเราจะดู ranking ก็ต้องดูควบคู่กัน 2-3 สำนัก ที่เป็นที่ยอมรับก็คือ QS THE และ Academic Ranking of World Universities (ARWU) ประกอบกันด้วยค่ะ
เพราะแต่ละสำนักก็มีข้อเด่น ข้อด้อยต่างกันค่ะ อย่าง THE ก็เหมาะกับสถาบันเก่าแก่ที่เปิดมานาน มีบุคลากรเก่งๆ ที่โดนจ้างไว้ มีงบประมาณวิจัยเยอะ
นอกจากนี้สำหรับ THE ถ้าไม่ใช่สถาบันเก่าแก่ ก็สามารถพัฒนา ranking ให้สูงได้ ด้วยวิธีจ้าง Professors เก่งๆ ที่มีงานวิจัยเยอะและสามารถสร้าง citations สูงได้
ควบคู่กับจำกัดบุคลากรไม่ให้มีจำนวนเยอะไป เพื่อให้สัดส่วนคะแนน citations ต่อบุคลากรสูง หรือ research volume ต่อ บุคลากรสูงด้วย
และสำคัญคือต้องเน้นสายวิทย์เป็นหลัก เหมือน Postech ของเกาหลีใต้ทำ ตอนนี้ VISTEC (สถาบันที่ ปตท. สร้างขึ้น) ของไทยก็กำลังดำเนินรอยตาม Postech
เพราะ VISTEC หวังว่าจะติด World ranking ให้ได้ภายใน 10 ปี ตอนนี้ Vistech ก็จ้างอาจารย์จากจุฬา มหิดล ที่โพรไฟล์ดีๆ ให้ย้ายไปอยู่ จ่ายเงินเดือนสูง
และก็จ้างรุ่นใหม่ที่โพรไฟล์ดีจบ U ดังๆ และจ้าง Professors ฝรั่งให้มาเป็น adjunct professor ด้วย
ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่าจะเป็นยังไง แต่สรุปไว้ก่อนว่า สถาบันเก่าแก่หลายที่ในไทย อย่าได้ประมาท เพราะทุกอย่างมันไม่จีรังยั่งยืน มันเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา
ส่วนที่ทำได้ดีแล้วก็ต้องรักษามาตรฐานให้ดีขึ้น แต่ยังไงก็ต้องอย่าลืมเรื่อง Teachning ให้เด็กมีคุณภาพก่อน เพราะถ้าการสอนไม่ดี จะทำวิจัยได้ไม่ดีด้วยเลยจริงๆ
เพราะการทำวิจัยทุกวันนี้มาจากอาจารย์ที่เก่งๆ ที่จ้างไว้ แต่น้อยมากที่มาจากผลงานนักศึกษาปริญญาตรี ต้องพัฒนาหลักสูตรที่จะให้ ป.ตรี ได้ทำวิจัยและเผยแพร่ผลงานให้ได้
ส่วนระดับบัณฑิตศึกษาก็จะต้องเข้มข้น มีผลงานตีพิมพ์มากขึ้น แต่ก็อาจจะสร้างสภาวะกดดันใหักับนักศึกษา ป.โท ป.เอก บางคนได้ เพราะอาจารย์บางคนก็ใช้งานเด็กเยี่ยงทาส
มันก็ไม่รู้จะหาจุดพอดีได้ไหม ก็ต้องหาทางกันต่อไป พวก U เก่าแก่ดังๆ ในเมืองนอก เขาทำได้ เพราะมันมีเงินวิจัยเยอะและค่าเทอมก็แพง จึงมีเงินจ้างอาจารย์เก่งๆ ได้เยอะ
มีทุนวิจัยเยอะตามไปด้วย แล้วด้าน teaching เขาก็ทำได้ดี เพราะมีเงินสำหรับลงทุนต่าง ๆ ทุกอย่างเริ่มที่เงินด้วย บ้านเราอยากให้มหาวิทยาลัยอันดับโลกดี
ก็ต้องลงทุนด้วยเงินจริงๆ และต้องหาอาจารย์เก่งจริงๆ ไม่ใช่อาจารย์เด็กเส้น อาจารย์คนของตัวเอง ที่มีในมหาวิทยาลัยหลายแห่งเกิน 50% เป็นคนไม่เก่งจริงและเป็นเส้นสายมา
แบบนี้ยากนะกว่าจะก้าวไปได้ เพราะอาจารย์เหล่านี้ทำวิจัยไม่เก่งหรือตีพิมพ์แต่ผลงานที่ไม่ค่อยดี วารสารไม่ได้มาตรฐาน หรือก็แค่ติด Q4 หรือไม่ติดใน SCOPUS กับ ISI เลย
ปัญหามันเยอะจริง ๆ ยากที่จะพิมพ์อธิบายหมด