We have no responsibility for the contents in this web community!

ถ้าเข้ามาแล้วพบว่ากระทู้ไม่เรียงตามวัน/เวลา ให้คลิ๊กตรงคำว่า Date/Time ที่อยู่ตรงแถบสีม่วงๆ นะครับ


ห้ามลงประกาศโฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ยกเว้นสปอนเซ่อร์!!!!!

*** ห้ามใช้เนื้อที่บอร์ดเพื่อแอบแฝงขายบริการทางเพศ ***

RBR Section


Register
สมัครสมาชิก


What's RBR?
ต่ออายุสมาชิก

**** ส่วนบริการเข้าบอร์ดลับเฉพาะสำหรับสมาชิก RBR (บอร์ดรูป Devil), (บอร์ดวีดีโอ Zombie) ต้องการติดต่อสอบถาม ส่งเมลล์ที่ ryubedroom@yahoo.com เท่านั้น ****

กรุณาคลิ๊กที่นี่และ Bookmark ไว้ด้วยครับ

PalmPlaza.us

Subject: "【✪❤▐ ❤✪ อัปไลน์ที่รัก ✪❤▐ ❤✪ 】"     Previous Topic | Next Topic
Printer-friendly copy     Email this topic to a friend    
Conferences Story Club Topic #518
Reading Topic #518
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

"【✪❤▐ ❤✪ อัปไลน์ที่รัก ✪❤▐ ❤✪ 】"
 
06-Jan-13, 08:00 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
  

ก่อนที่จะเขียนเรื่องนี้ให้อ่านกัน อยากจะขอออกตัวสักนิดครับว่า
นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมธุรกิจขายตรงแต่ประการใด
แต่เกิดจากการที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสงานประเภทนี้และได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ
อาจจะเป็นเรื่องที่คนข้างนอก (ผมเองก็เคยเป็นคนข้างนอกมาก่อน) และคนที่อยู่ข้างในเห็นไม่เหมือนกัน
รู้ไม่เหมือนกัน เข้าใจไม่เหมือนกัน และมีทัศนคติที่แตกต่างกัน
แต่ก็เป็นงานอีกรูปแบบหนึ่งที่สุจริตและมีแง่งามหลายอย่างที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อนครับ
ถือเสียว่าเรามาเรียนรู้และเข้าใจมุมมองบางอย่างจากงานประเภทนี้ละกันครับ
อีกประการหนึ่ง เรื่องนี้ดัดแปลงและต่อเติมมาจากประสบการณ์จริงส่วนตัวของผม
แต่โดยภาพรวมแล้วก็คือเรื่องแต่งครับ มากกว่า 90% จะเป็นส่วนที่แต่งขึ้น

ดีใจมากๆ นะครับที่จะได้กลับมาเขียนนิยายให้คนที่เคยติดตามได้อ่านกันอีกครั้ง
เรื่องนี้จะเปลี่ยนแนวมาเขียนแบบ Romantic comedy เป็นครั้งแรกครับ ให้กำลังใจกันหน่อยนะครับ

---------------------------------------------------------------------------

อัปไลน์ที่รัก - บทนำ

ให้ตายเถอะ ผมไม่เคยคิดเลยว่า...ในชีวิตนี้ผมจะได้มาข้องเกี่ยวกับธุรกิจอะไรแบบนี้

ดาราที่พอจะมีชื่อเสียงอย่างผม มีแฟนคลับมากมาย มีคนรู้จักมากมาย แต่ต้องมาทำธุรกิจที่คนทั่วไปมองว่าน่ารังเกียจแบบนี้

เป็นเพราะ "ไอ้หมอนั่น" คนเดียว แล้วผมไปหลงคารมมันอีตรงไหนล่ะเนี่ย

ชอบหน้าก็ไม่ชอบ กวนประสาทก็เท่านั้น โอ๊ย........แล้วทำไมผมต้องมาทำธุรกิจนี้กับ "มัน" ด้วย

ถ้าเกิดแฟนคลับผมเขารู้ขึ้นมา ถ้าเกิดพี่ๆ ในวงการเขารู้ว่าผมทำธุรกิจนี้ ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

ปกติเขาก็หาว่าผมเป็นพระเอกตกอับอยู่แล้ว แล้วนี่ยังมาขาย "ยัวร์เวย์" เข้าไปอีก ก็ยิ่งไปกันใหญ่

คงได้ตกอับกันจริงๆ ก็งานนี้แหละ ต้องมาขายสบู่ ขายผงซักฟอก ขายยาสีฟัน โธ่.....ชีวิต

โอ๊ย.........แล้วใครใช้ให้นายไปหลวมตัวเซ็นใบสมัครล่ะ ปฏิเสธก็ได้นี่นา

นั่น.........โทรมาอีกแล้ว จะตามไปเซ็นเตอร์อีกใช่ไหมเนี่ย จะให้ไปฟังอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จะถูกสะกดจิตหมู่หรือเปล่า

ผมจะเอายังไงดี ผมควรจะไปลาออกดีไหม เขาบอกว่าลาออกได้ภายใน 90 วัน แถมได้เงินคืนด้วย

บอกเขาไปเลยดีกว่าว่าผมไม่ทำ ผมทำไม่ได้หรอก ผมไม่ชอบงานขายของ ไม่รู้จะไปขายให้ใคร

โอ๊ย........ไม่รับสายก็โทรมาอยู่นั่นแหละ จะตามอะไรกันนักกันหนา ผมไม่ได้มีเวลาเยอะนักนะคุณ

วันๆ ไม่มีอะไรทำหรือไงถึงได้โทรตามอยู่ได้ทั้งวัน

ชักรำคาญละ รับก็ได้วะ

"ฮัลโหล นี่คุณ ผมไม่ได้มีเวลาว่างมากนักนะครับ ผมเป็นดารานะ งานผมก็เยอะแยะ จะโทรตามทำไมนักหนาครับ" นี่แน่ะ ไม่ต้องฟังอีร้าค่าอีรมอะไรทั้งนั้น ผมเล่นงานก่อนเลยละกัน

เงียบไปสามวินาที อิๆ แสดงว่าคงอึ้งไปเหมือนกันแหละที่โดนว่าแบบนี้ สมน้ำหน้า...

"อ้าว...งั้นก็แสดงว่าคุณก็ตั้งใจไม่รับโทรศัพท์ผมล่ะสิ"

ตายละ ลืมไปว่าต้องวางฟอร์มหน่อย มันรู้จนได้ว่าผมแกล้งไม่รับโทรศัพท์ อย่างว่า...ทำงานพวกนี้มาเยอะก็คงรู้ทันหมดแหละ แต่ช่างเถอะ ผมไม่เห็นต้องสนใจเลย รู้จักกันก็เปล่า ญาติพี่น้องก็ไม่ใช่

"ก็ผมเห็นมีมิสคอลมาตั้งหลายอัน แล้วคุณจะโทรมาทำไมหลายครั้งนักหนา ผมก็สมัครให้แล้ว ยังต้องการอะไรอีกครับ รู้ไหมว่าผมถ่ายละครอยู่" ผมทำเสียงเข้มข่มซะเลย

"อ้าว...ก็ไหนเมื่อวานคุณบอกผมว่าคุณไม่มีงานวันนี้ไง โกหกกันหรือเปล่า ไม่ดีนะครับ อาจารย์ผมเขาสอนว่า ก่อนจะสอนให้ใครทำธุรกิจ เราต้องสอนให้เขาเป็นคนดีก่อน ถ้าโกหกก็แสดงว่ายังเป็นคนไม่ดีนะครับ อย่างนี้ต้องรีบมาเรียนรู้เลย จะได้เป็นคนดีกับเขาบ้าง"

ผ่าง!!! นี่มันเล่นตอกกลับซะผมหน้าหงายเลย หนอยแน่ บังอาจมากนายคนนี้

"ก็...พอดีเขาจะถ่ายซ่อมด่วนไง ละครมันจะออกอากาศแล้วเขาก็เลยให้ผมมาถ่ายซ่อมวันนี้เลย" ผมรีบเฉไฉเป็นพัลวัล เอาวะ ยอมเป็นคนเลวโกหกพกลมสักวัน ก็ผมไม่อยากไปจริงๆ นี่นา

"เขาใช้บ้านคุณเป็นโลเคชั่นถ่ายเหรอเรื่องนี้"

อะไรของมัน!!! ถามบ้าๆ อะไรเนี่ย ผมงงไปหมดแล้ว หรือว่าเขาจะรู้ว่าผมอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหน แล้วเขารู้ได้ยังไง

"อย่าโกหกบ่อยนะคุณ มันไม่ดีนะครับ เนี่ย...ผมยืนรอคุณอยู่หน้าบ้านคุณอยู่ เห็นผมไหมครับ ลองมองลงมาจากหน้าต่างสิ ผมยังเห็นคุณเลย"

อะไรนะ!!! ผมตกใจจนแทบช็อก แต่พอหันลงไปมองข้างล่าง นายหมอนั่นก็ยืนยิ้มเผล่อยู่จริงๆ ด้วย มันรู้จักบ้านผมได้ไง

หมดกัน สงสัยผมคงต้องไปกับมันแล้วล่ะวันนี้ ไม่รู้จะเลี่ยงยังไงแล้ว

ไอ้ที่ฟังๆ เขาพูดมามันก็ดีอยู่หรอกนะ แต่ไม่ว่าจะยังไง........................

คุณผู้อ่านครับ ช่วยผมด้วย ผมไม่อยากขาย "ยัวร์เวย์" เลย ฮือๆๆๆๆ

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP |
|
| boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน
Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

1. "RE: 【✪❤▐ ❤✪ อัปไลน์ที่รัก ✪❤▐ ❤✪ 】"
In response to message #0
 
06-Jan-13, 08:03 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   อัปไลน์ที่รัก - ตอนที่ 1

"อะไรครับเนี่ย หนังสืออะไรเหรอครับ" ผมถามอย่างสงสัยเมื่อสาวใหญ่สาวน้อยสี่ห้าคนมายืนออกันอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกับรอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้าด้วยความชื่นชม หนึ่งในนั้นยื่นของให้ผมพร้อมกับบอกว่า

"หนังสือรวมภาพของพี่เล็กไงคะ พวกเราทำเองกับมือเลยนะคะ เปิดดูเลยค่ะ พี่เล็กต้องชอบแน่ๆ"

น้ำเสียงที่ตื่นเต้นนั้นทำให้ผมรับหนังสือที่น้องเขายื่นมาให้พร้อมกับต้องรีบเปิดดู เพราะผมเองก็อยากรู้ว่าสาวๆ กลุ่มนี้ทำอะไรมาให้

"ชอบมากๆ เลยครับ โห...ทำให้พี่ดีขนาดนี้เลยเหรอครับเนี่ย แต่ว่า...ให้พี่ซื้อได้ไหม เห็นพวกเราทำอะไรมาให้เยอะแยะมากมายแบบนี้แล้วรู้สึกเกรงใจ จริงๆ ไม่ต้องก็ได้นะ แค่ให้กำลังใจกันก็พอแล้ว จริงๆ นะครับ" ผมไม่รู้ว่าพูดประโยคแบบนี้ไปกี่ครั้งแล้ว แต่บรรดาแฟนคลับของผมก็ไม่เคยมีใครทำตามที่ผมขอร้องเลยสักครั้ง พวกเขาก็ยังคงทำของมาให้ ซื้อของมาให้กิน จัดงานวันเกิดให้และอะไรต่อมิอะไรอีกสารพัด ไม่ว่าผมจะพูดอย่างไรก็ดูจะไม่ได้ช่วยทำให้สิ่งเหล่านี้น้อยลงไปเลย

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่เล็ก พวกเราตั้งใจทำให้จริงๆ ค่ะ พี่เล็กไม่ต้องซื้อหรอก ถึงซื้อพวกเราก็ไม่เอาเงินอยู่ดี" สาวน้อยคนนั้นรีบตอบ

ผมได้แต่ยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจ จะปฏิเสธก็ไม่ได้ จะควักเงินออกมาให้ก็ใช่ที่ ก็เขาตั้งใจทำให้นี่นา ผมก็คงต้องรับไว้อีกตามเคย

"ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ แต่ทีหลังไม่ต้องให้อะไรมากมายแบบนี้ก็ได้นะครับ พี่พูดจริงๆ แค่มาให้กำลังใจก็พอ" ผมพยายามย้ำอีกครั้งทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าเดี๋ยวอีกไม่นานนี้ผมก็ต้องได้สิ่งของมาจากพวกเขาอีก ทั้งจากกลุ่มใหม่และกลุ่มเดิมที่มีอยู่ แล้วผมก็คงต้องพูดแบบนี้ซ้ำๆ อีกเช่นเคย ไม่รู้สิ ผมเกรงใจพวกเขาจริงๆ นี่นา แค่มาให้กำลังใจ แค่คอยติดตามผลงานสม่ำเสมอ แค่ได้มาพบปะพูดคุยกันในโอกาสพิเศษเช่นวันนี้ ผมว่ามันก็เพียงพอแล้ว ผมไม่ต้องการให้พวกเขามาเสียเงินกับผมเลยจริงๆ

"วันนี้มีคาราโอเกะด้วยนะคะพี่เล็ก" สาวน้อยอีกคนร้องบอกพร้อมกับทำหน้ายิ้มๆ อย่างมีเลศนัย

ผมรีบร้องอ๋อทันทีเพราะรู้ว่าแฟนคลับของผมอยากให้ทำอะไร "อ๋อ...ได้ ได้ ได้ เดี๋ยวพี่ร้องเพลงเพี้ยนๆ ให้ฟังวันนี้" ผมบอกอย่างเห็นเป็นเรื่องขำ ก็มันจริงนี่นา ผมน่ะร้องเพลงทีไรก็เพี้ยนตลอด

"แหมพี่ก็...พี่เล็กก็ร้องเพลงเพราะนะคะ ว่าไปนั่น ตอนที่พี่ประกวดร้องเพลงหนูก็ตามดูอยู่นะคะ ไม่เห็นจะเพี้ยนเท่าไรเลย" แฟนคลับของผมพยายามปลอบใจ แต่ยังไง้...ยังไง...ผมก็คิดว่าตัวเองร้องเพลงเพี้ยนอยู่วันยังค่ำ

"เพี้ยนสิครับ คอนเซ็ปต์ผมต้องร้องเพลงเพี้ยนอยู่แล้ว" ผมเถียงพลางขำเบาๆ แล้วก็หันไปมองอีกทางเมื่อมีแฟนคลับอีกกลุ่มเพิ่งมาถึงและเรียกชื่อผม

"แต่ตอนประกวดเดอะไชนิ่งสตาร์พี่ก็ได้ตั้งที่สามนะคะ" น้องคนนั้นยังคงแก้ตัวให้ผมอยู่

"โธ่...ผมรู้น่า ที่เขาโหวตให้ผมเพราะเขาคงสงสารคนร้องเพลงเพี้ยนๆ อย่างผมหรอก ก็เลยให้ที่สาม ขอบคุณนะครับที่โหวตให้ผม" ผมพูดพร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณให้กับตากล้องจำเป็นที่ตามถ่ายผมอยู่เป็นระยะๆ

จากนั้นจึงผละตัวไปดูแลกลุ่มที่เพิ่งเข้ามาใหม่ วันนี้เป็นวันแรกที่ผมจัดมีตติ้งกับแฟนคลับ ผมออกเงินครึ่งหนึ่งสำหรับค่าใช้จ่ายในการจัดมีตติ้งในสวนอาหารชานเมืองกรุงเทพ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งแฟนคลับช่วยกันออกให้ แม้ว่าผมจะบอกว่าไม่ต้อง แต่พวกเขาก็ไม่ยอมครับ ผมก็เลยต้องยอมให้พวกเขาช่วยออกด้วย ไม่งั้นมีเคืองหรืองอนกันแน่ๆ เลยครับ

ขณะที่ผมไปทักทายกับแฟนคลับอีกกลุ่มที่เพิ่งมาถึงร้านอาหารที่เรานัดกันไว้นั้น สายตาผมก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ดูก็รู้ว่ามีเชื้อจีนมาแบบเต็มๆ เลยเพราะดูตี๋ซะขนาดนั้น อายุคงจะรุ่นราวคราวเดียวกับผมนี่แหละ เขานั่งอยู่เงียบๆ ตรงม้านั่งห่างจากกลุ่มแฟนคลับผมออกไปเล็กน้อย ผมขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย ปกติแฟนคลับผมส่วนมากจะเป็นผู้หญิงหรือไม่ก็ "ชายไม่แท้" ทั้งหลาย ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน หรือว่าจะเป็นแฟนคลับผมด้วย แต่ดูท่าทางของเขาก็ไม่ได้ส่อกิริยาไปทางนั้นเลย

ด้วยความสงสัย หลังจากที่ทักทายกับแฟนคลับที่เพิ่งมาถึงแล้ว ผมก็เดินปรี่มาหาชายหนุ่มคนที่ว่าทันที พอไปใกล้ตัว ผมก็ยิ้มพร้อมกับร้องทัก

"สวัสดีครับ เพิ่งมาใหม่เหรอครับ ผมไม่เคยเห็นหน้าคุณเลย ทำไมไม่เข้าไปรวมกลุ่มกับพวกเราล่ะครับ เดี๋ยวอาหารจะมาเสิร์ฟแล้ว จะได้กินด้วยกัน เชิญเลยครับ"

สงสัยวันนี้ผมจะก้าวขาออกจากบ้านผิดข้างไป ไม่นึกเลยว่าแค่ผมทักทายด้วยไมตรีจิตจะทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับผมชนิดที่คาดไม่ถึงทีเดียว เขาพูดเสียงเขียวขึ้นมาว่า

"ผมเนี่ยนะเป็นแฟนคลับคุณ หลงตัวเองมากไปหรือเปล่า คิดว่าเป็นดาราแล้วจะต้องมีแต่คนชอบหรือไงครับ"

น้ำเสียงโมโหและท่าทางไม่พอใจของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้ผมถึงกับสะดุ้งและหน้าซีดไปพอสมควร หนอยแน่ะ ถามดีๆ แล้วทำไมจะต้องมาว่ากันแบบนี้ด้วย ไปกินรังแตนมาจากไหนกัน จะไปรู้ได้ยังไงว่าไม่ใช่แฟนคลับ ก็เห็นมานั่งอยู่ในที่ที่ผมนัดแฟนคลับไว้ก็เลยสงสัยเท่านั้นเอง ถามดีๆ ทำไมจะต้องอารมณ์เสียขนาดนั้นด้วย

"อ๋อ...ขอโทษครับ ผมก็แค่ถามดูเท่านั้นแหละครับ พอดีเห็นคุณมานั่งแถวๆ นี้ก็เลยเข้าใจผิด" ผมบอกพลางทำท่าจะเดินหนี อารมณ์ที่ดีๆ มาทั้งวันกลับต้องมาหงุดหงิดกับเจ้าหมอนี่ซะแล้ว ไม่ได้ๆ วันนี้เป็นวันดีของผม จะมาหงุดหงิดกับคนแบบนี้ในตอนนี้ไม่ได้ แฟนคลับผมเขาตั้งใจจัดงานนี้ให้ ผมจะต้องยิ้มแย้มเข้าไว้

"ผมมาเป็นเพื่อนแฟนผม เขาเป็นแฟนคลับคุณ ก็ไม่ได้อยากจะมาหรอกนะ เสียเวลา ไร้สาระ"

ผมต้องหยุดชะงักและหันมามองชายหนุ่มขี้หงุดหงิดคนนี้เป็นรอบที่สอง รู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย อย่างน้อยก็พอเข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ทำหน้าบูดบึ้งแบบนั้น

"อ๋อ...งั้นก็เข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหารด้วยกันก็ได้ครับ จะได้ทานข้าวด้วยกัน ไม่เห็นเป็นไรเลย" ผมพยายามทำน้ำเสียงให้ดูปกติ แต่ไม่ชอบขี้หน้าหมอนี่เลยให้ตายสิ เก๊กท่าก็ปานนั้น อยากรู้จังว่าเป็นแฟนของแฟนคลับคนไหนของผม ทำไมถึงมาชอบผู้ชายหน้าตากวนประสาทแบบนี้ได้

"ไม่...ขอบคุณ ผมไม่ใช่กะเทยนะครับจะได้ไปนั่งคุยแต่กับกลุ่มผู้หญิงแบบนั้นได้"

นั่น...เอาอีกจนได้ จริงๆ ผมไม่น่าหันมาคุยกับหมอนี่อีกให้มันหลอกด่าเลย ชักจะมากไปแล้วนะ มาว่าผมเป็นกะเทยเหรอ

"ตามใจละกันครับ เดี๋ยวผมจะให้เขาเอาอาหารมาเสิร์ฟให้ตรงนี้ละกัน เผื่อคุณหิว" ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจนิดๆ แต่ข้างในจริงๆ แล้วไม่พอใจอย่างมาก แล้วก็ทำท่าจะเดินหนีอีกครั้ง แต่สิ่งที่เจ้าหมอนั่นพูดตามมาก็ทำให้ผมต้องหันกลับมามองอีกเป็นรอบที่สามจนได้

"ไม่ต้องมายุ่งกับผมหรอก ไปจัดการแฟนคลับของคุณเถอะ ผมไม่ได้อยากมากินอะไรซะหน่อย"

ผมต้องนับหนึ่งถึงสิบในใจเพราะกลัวจะอดโมโหไม่ได้ อยากจะตะคอกถามกลับไปเหลือเกินว่า "พูดดีๆ ไม่เป็นหรือไง" แต่ก็ต้องข่มใจครับ ไม่ได้ๆ วันนี้ผมจะมีเรื่องกับใครไม่ได้ เสียภาพลักษณ์แย่เลย มีนักข่าวจากหนังสือดารามาด้วย ไปดีกว่า อย่าอยู่ตรงนี้กับคนประสาทๆ แบบนี้เลย

ว่าแล้วผมก็เดินหนีออกมาจริงๆ จะพูดอะไรอีกผมก็จะไม่หันกลับไปให้มันหลอกด่าแล้ว ถ้าไม่เห็นว่าเป็นแฟนของแฟนคลับผมนะ ได้เห็นดีกันแน่ หน้าตาก็ดีหรอกนะ แต่ปากนี่ไม่ไหวเลย

--------------------------------------------------------------------------------------------

แต่ในระหว่างที่กินข้าวกับแฟนคลับของผมอยู่ ผมก็เห็นเจ้าหมอนั่นเดินหน้าบึ้งมานั่งกินข้าวกับพวกเราด้วยครับ รู้ละว่าเป็นแฟนใคร น้องน้ำฝนนี่เอง แฟนคลับสาวสวยที่ตามมาเชียร์ผมได้หลายเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าน้องน้ำฝนไปพูดอะไรกับเจ้าหมอนั่นถึงได้ยอมมานั่งกินข้าวด้วยกัน เขานั่งอยู่ห่างจากผมพอสมควร แต่พอได้ยินน้องน้ำฝนเรียกชื่อเจ้าหมอนั่น ผมก็แทบจะสำลักข้าวที่กินอยู่เลยทีเดียว

"พี่ขนมมานั่งตรงนี้สิคะ" น้องน้ำฝนเรียกพลางกวักมือให้มานั่งใกล้ๆ กับเธอ ดูเหมือนต้องใช้สายตาดุแกมบังคับด้วย เจ้าหมอนั่นถึงได้ยอมมานั่งด้วย

คนอะไรวะชื่อ "ขนม" หน้าตากวนประสาทแบบนั้นมีชื่อน่ารักๆ แบบนี้ด้วยเหรอ ไม่เข้ากับหน้าเลยจริงๆ ชื่อขนมนี่เอง มิน่าล่ะ ผมได้ยินคำว่า "ขนม" แว่วมาให้ได้ยินบ่อยๆ ตอนแรกก็นึกว่าแฟนคลับผมเขาพูดถึงขนมหรือของหวานกัน

นายขนมนั่นนั่งลงแล้วก็หันแวบมามองผมพร้อมกับขึงตาใส่ ตอนนั้นผมก็แอบขำชื่อเขาอยู่พอดี ก็เลยยักคิ้วใส่ไปทีหนึ่ง มีธุรกิจร้อยล้านพันล้านต้องทำหรือไงนะ กับอีแค่พาแฟนมาข้างนอกไม่นานแค่นี้ทำไมจะต้องอารมณ์เสียขนาดนั้นด้วย

แต่ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า เพราะตลอดเวลาที่ผมคุยกับแฟนคลับของผม เจ้าหมอนี่ก็ดูเหมือนจะคอยจับตามองผมอยู่ตลอด บางทีหันไปเจอทีไรก็เหมือนเขาคอยมองดูผมอยู่ รู้สึกว่าจะทำหน้าเป็นผู้เป็นคนมากขึ้นละ ค่อยดูน่ารักสมชื่อขึ้นมาหน่อย

พอถึงตอนที่ผมต้องออกไปร้องเพลงให้แฟนคลับฟัง เจ้าหมอนั่นก็เล่นทำเอาซะผมขาดความมั่นใจไปเลย รู้งี้ผมไม่หันไปมองมันดีกว่า เพราะพอผมร้องไปได้สักพัก ผมก็เห็นมันนั่งขำผมอยู่ ใช่...ผมรู้ว่ามันต้องขำผมแน่นอน คนที่วัวสันหลังหวะอย่างผมรู้ดี ผมร้องเพลงเพี้ยน มันคงขำที่ผมร้องเพลงเพี้ยนนั่นเอง ดูมันสิ ดูมันขำเข้า ถึงมันจะไม่ขำออกเสียง แต่สายตามันมองมาที่ผมแล้วก็ขำ

น้องน้ำฝนเหมือนจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเห็นน้องเขาตบไหล่เจ้าขนมนั่นแล้วก็พูดอะไรบางอย่าง คงจะบอกให้มันหยุดหัวเราะนั่นเอง แต่ผมไม่ไหวแล้ว ผมจึงตัดสินใจที่จะหยุดร้องก่อนที่เพลงจะจบ

"ไม่เอาดีกว่าครับ พี่ไม่อยากทรมานพวกเราแล้ว ฟังคนที่เขาร้องเพลงเพราะๆ ดีกว่าครับ มา...ใครมาช่วยร้องแทนผมหน่อย"

"ไม่เป็นไรค่ะพี่เล็ก ร้องเพลงเพี้ยนก็น่ารักไปอีกแบบนะคะ ร้องต่อเถอะค่ะ พวกเราอยากฟัง" น้องน้ำฝนรีบชิงพูดให้กำลังใจ คนอื่นๆ ก็พลอยเห็นด้วยและคะยั้นคะยอให้ผมร้องต่อ ผมก็เลยต้องร้องเพลงเพี้ยนๆ ให้พวกเขาฟังต่อไป ดีที่ว่าเจ้าหมอนั่นเลิกขำผมละ คงจะโดนน้องน้ำฝนดุนั่นเอง แต่หน้ามันนี่ไม่ได้ดูว่าจะสำนึกอะไรตรงไหนเลย ให้ตายสิ ผมไม่ชอบหน้าเจ้าหมอนี่เลยจริงๆ ไม่เอา อย่าไปสนใจมัน อย่าหันไปมองมัน ผมบอกตัวเองอย่างนั้นแล้วก็ทำแบบนั้น นั่นแหละจึงทำให้ผมร้องเพลงต่อได้จนจบเพลง ท่ามกลางความโล่งใจของตัวเองและคนอื่นๆ จบได้เสียทีก็ดี เฮ้อ...หรือว่าผมควรจะไปเรียนร้องเพลงให้มันเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย เผื่อจะได้เป็นนักร้องกับเขาบ้าง เป็นช่องทางใหม่ในการหารายได้

------------------------------------------------------------------------------------------

"ร้องเพลงเพราะพิลึกเลยนะครับ"

เสียงจากคนข้างๆ ทำให้ผมหยุดชะงักและหันไปมอง นายขนมนั่นเอง ดันมาเข้าห้องน้ำเวลาเดียวกับผมเสียด้วย ดูมันยิ้มเยาะผมสิ หงุดหงิดชะมัดเลยมาเจอนายคนนี้ ผมหันกลับมาสนใจกับการล้างมือของตัวเองต่อ ไม่ได้พูดอะไร เช็ดมือแห้งแล้วผมก็เดินออกมาจากห้องน้ำ แต่แปลกที่เจ้าหมอนั่นเดินตามผมมา

"เมื่อเช้าอ่านข่าวในเน็ต เขาว่าคุณเป็นพระเอกตกอับเหรอ เห็นว่าเล่นไปตั้งหลายเรื่องแล้วก็ไม่ได้ออกอากาศ"

นั่น...มันตามมาเยาะเย้ยผมนี่เอง จะเอายังไงกับผมกันแน่นายคนนี้ ผมไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาถึงได้ตามมาราวีผมไม่เลิกแบบนี้

ผมหยุดเดินแล้วหันไปมองด้วยสายตาที่บอกให้รู้ว่าผมไม่พอใจ แต่ดูเขาก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไรเลย

"เรื่องของผม" ผมตอบด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าอำมหิตที่สุด

"ทำอาชีพนี้มันก็แบบนี้แหละคุณ ต้องทำใจ บางทีนะ...เราเส้นไม่ใหญ่เท่าเขาก็สู้เขาไม่ได้หรอก"

เขาเล่นทำเอาผมมึนอีกรอบ นี่ตกลงเขากำลังปลอบใจผมหรือกำลังเยาะเย้ยผมกันแน่ ผมเลยได้แต่เงียบ ทำตัวไม่ถูกจริงๆ กับพฤติกรรมแปลกๆ ของนายคนนี้

"เออนี่...ผมขอเบอร์คุณหน่อยได้ไหมล่ะ เผื่อมีอะไรจะได้ติดต่อกัน"

อะไรนะ! ผมงงเป็นไก่ตาแตกอีกรอบ ทำท่ากวนประสาทผมมาเกือบทั้งวันยังมีหน้ามาขอเบอร์ผมอีกเหรอ มาไม้ไหนของเขาล่ะเนี่ย

"อะไรนะครับ คุณจะขอเบอร์ผมไปทำไม คุณก็ไม่ใช่แฟนคลับผมซะหน่อย จะมาติดต่อผมเรื่องอะไรเหรอครับ ผมไม่ให้หรอก"

"อ้าว...ก็เผื่อว่าคุณอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากผมไง รู้จักกันไว้ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรนี่ครับ"

ดูมันพูดเข้า ผมเนี่ยนะจะต้องไปขอความช่วยเหลือจากมัน แค่รู้จักวันแรกผมยังอยากจะตั๊นหน้ามันสักร้อยรอบ ไม่ได้คิดอยากจะเจออีกเลย ให้ตายเถอะ

"อ๋อ...ผมคงไม่มีอะไระจะต้องไปขอความช่วยเหลือจากคุณหรอกครับ ชีวิตผมก็ดีอยู่แล้ว ถึงละครจะถูกดองบ้าง แต่ผมก็มีงานเรื่อยๆ ไม่ได้ลำบากอะไร ขอบคุณนะครับที่อุตส่าห์เป็นห่วง" ผมตอบด้วยน้ำเสียงหยิ่งๆ แล้วก็เดินหนี

"เดี๋ยวผมไปขอจากน้ำฝนก็ได้ เขาก็น่าจะมีเบอร์คุณอยู่หรอก"

เสียงหมอนั่นพูดตามมา แต่ผมไม่สนใจอะไรทั้งนั้น อยากจะโทรมาก็โทรมาเลย ถ้าผมไม่พูดด้วยซะอย่างก็ไม่เห็นต้องไปกังวลอะไร ผมก็มีสิทธิ์เลือกอยู่แล้วว่าจะคุยหรือไม่คุยกับใครก็ได้

-----------------------------------------------------------------------------------------------

"สวัสดีครับคุณเล็ก จำผมได้ไหมครับ ที่เจอกับคุณเมื่อสองวันก่อนไงครับ"

อยู่ๆ ก็มีไลน์จากคนที่ผมไม่รู้จักดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังจะขึ้นไปเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าชนิดหนึ่งอยู่ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าใคร ตอนนั้นจำไม่ได้จริงๆ ครับ อีกอย่าง คนที่แอ๊ดผมมาก็มีเยอะ จนบางทีผมไม่ได้ระวัง เผลอรับแอ๊ดเขาไปทั่วเหมือนกัน

"ใครครับ จำไม่ได้จริงๆ" ผมตอบกลับไปขณะนั่งให้ช่างแต่งหน้าทำผมให้

"คุณเล็กน่าจะจำผมได้แม่นนะ ผมกวนประสาทคุณจะตาย"

เท่านั้นแหละครับ ผมก็นึกออกทันที นายขนมนั่นเอง ใช่...จำได้แม่นเลยล่ะ แม่นมากๆ ด้วย ผมเพ่งดูรูปในมือถือดีๆ ก็เห็นว่าเป็นนายขนมจริงๆ นี่ผมไปรับแอ๊ดมันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วนี่จะมากวนประสาทอะไรผมอีก

"อ๋อ...จำได้ครับ แต่ตอนนี้ผมไม่สะดวกคุย ไว้คุยทีหลังนะครับ" ผมรีบตัดบทไป

แต่เจ้าหมอนั่นก็ยังส่งไลน์ตอบกลับมาอีกสองสามครั้งแล้วก็เงียบไป ด้วยความอยากรู้ว่าเขาคุยอะไรมา ก่อนขึ้นไปบนเวทีผมก็เลยแอบเปิดอ่านซะหน่อย

"ครับ ไม่เป็นไรครับ ไว้สะดวกค่อยคุย"

"ขอโทษนะครับที่วันนั้นทำตัวไม่ค่อยน่ารัก พอดีผมหงุดหงิดอะไรบางอย่าง อย่าถือสากันนะครับ"

"ยังไงก็สู้ๆ นะครับ งานทุกอย่างมีปัญหาเหมือนกันหมด ทุกปัญหามีทางออกสำหรับคนสำเร็จ แต่คนที่ไม่สำเร็จ ทุกอย่างเป็นปัญหาครับ"

แน่ะ...พูดอะไรเข้าท่าก็เป็นเหมือนกันแฮะ ก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อยที่ยังรู้จักขอโทษ นึกว่าจะไม่รู้ตัวเสียอีกว่าทำอะไรลงไป

ผมเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงเมื่อพิธีกรบนเวทีประกาศเรียกชื่อผม ช่วงนี้มีงานเข้ามาค่อนข้างเยอะ หลังจากที่ละครเรื่องหนึ่งที่ผมแสดงไว้นานแล้วออกอากาศไปก็ดูเหมือนว่าจะช่วยให้กระแสของผมกลับมาอีกครั้ง ผมเข้าวงการมาหลายปีแล้วล่ะ แต่ที่ผ่านมายังไม่ค่อยรุ่งเท่าไรนัก ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในสื่อบ้าง มีคนพอรู้จักบ้าง มีงานเข้ามาบ้าง แต่ละครที่ผมเล่นไว้หลายเรื่องก็โดนดองเกือบจะทุกเรื่อง มีเรื่องที่เพิ่งจบไปนี่แหละที่พ้นจากการถูกดองเก็บ งานก็เลยมีเข้ามาเยอะในช่วงนี้ ผมต้องทำงานหนักมากทีเดียว ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่บ้านเท่าไรนัก แต่ก็สนุกดีนะครับ ในช่วงที่เรายังอายุน้อยอยู่ ยังมีแรงอยู่ ก็ต้องรีบกอบโกยก่อนที่ช่วงนี้จะหมดไป มีงานก็ยังดีกว่าไม่มีงานทำ

เชื่อไหมครับว่า นายขนมไลน์มาหาผมทุกวันเลย นี่ก็ปาเข้าไปวันที่ห้าแล้วที่เขายังคงไลน์มาคุยกับผมเป็นประจำสม่ำเสมอ ทุกครั้งที่คุยกัน เขาจะมีคำพูดหลายๆ คำพูดที่ทำให้ผมต้องฉุกคิดเสมอ เช่น

"ตอนวัยรุ่น เรามีแรง มีเวลา แต่ไม่มีเงิน พอทำงาน เรามีแรง มีเงิน แต่ไม่มีเวลา พอเราแก่ตัวลง เรามีเวลา มีเงิน แต่ไม่มีแรง แล้วเราจะไปใช้ชีวิตตอนไหนกัน"

อืม...ก็จริงของเขา ทุกวันนี้ผมก็ไม่มีเวลาไปทำอะไรอย่างอื่นเลย ก้มหน้าก้มตาทำงานอย่างเดียว แฟนก็ยังไม่มีกับเขาเพราะไม่มีเวลาไปหา เฮ้อ...

"งานที่มั่นคงเขาไม่ได้วัดกันตอนที่ทำหรอกครับ แต่เขาวัดกันตอนที่หยุดทำแล้วเรายังเหลืออะไรต่างหาก"

อืม...ก็ถูกอีก เพราะงานที่ผมทำ หยุดทำแล้วก็ไม่มีรายได้หรอก ยังไงก็ไม่มั่นคง มีทางเดียวก็คือ กอบโกยให้ได้มากที่สุดในช่วงที่ยังมีชื่อเสียงอยู่ แต่บางที ได้มามากก็ใช้ไปมากเหมือนกัน

"สามสิ่งที่รอไม่ได้ในชีวิตก็มี สุขภาพ การตอบแทนและความสำเร็จ" ก็ประมาณว่า เราจะผลัดการดูแลสุขภาพไว้หลังจากที่เราสำเร็จแล้วไม่ได้ สุขภาพต้องดูแลตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ใช่ทีหลัง ถ้าเรารอ มันอาจจะสายเกินไป การตอบแทนก็รอไม่ได้ วันนี้เราอายุเท่านี้ อีกสิบปีเราก็อาจจะไม่แก่มาก แต่พ่อกับแม่อาจจะรอเราไม่ไหว ต้องรีบตอบแทนให้เร็วที่สุด ส่วนความสำเร็จ จะทำให้เรามีมากขึ้น เราจะดูแลสุขภาพและตอบแทนคนที่มีบุญคุณกับเราได้มากขึ้น ดูแลคนอื่นๆ ได้มากขึ้น

อืม...ก็จริงของเขานะ ทุกวันนี้ผมทำงานหนัก ก็พอดูแลพ่อแม่ได้บ้าง แต่ให้ได้แต่เงิน ไม่ค่อยมีเวลาให้ สุขภาพก็ไม่ค่อยได้ดูแล ความสำเร็จก็ยังไม่มาก จะดูแลตัวเองก็ยังแทบจะไม่รอดเลย ก็ดูแลคนอื่นๆ ได้ลำบากอยู่

เอ...เขาไปเอาความคิดดีๆ แบบนี้มาจากไหนกันนะ ตอนนั้นผมสงสัยมากเลย เห็นท่าทางกวนประสาทๆ แบบนั้นไม่น่าจะมีความคิดดีๆ แบบนี้ได้

แต่ไฮไลท์มันอยู่ตรงนี้ครับ

"ผมอยากเจอคุณเล็กครับ มีวันว่างๆ ช่วงนี้ไหมครับ มากินข้าวด้วยกัน"

เอ...นายหมอนี่คิดอะไรกับผมกันแน่ รู้จักกันก็ครั้งเดียว ไม่ได้ประทับใจอะไรด้วย ทำไมถึงคุยกับผมได้ทุกวัน ทำไมถึงอยากชวนผมไปกินข้าวด้วย แปลกมาก เขาเป็นเกย์แล้วชอบผมหรือเปล่า... แต่หน้าตาท่าทางก็ไม่น่าใช่นะ หรือว่าอยากจะเป็นเพื่อนกับผม แต่ก็กวนประสาทซะขนาดนั้น

โอ๊ย...นี่เขาชวนผมไปกินข้าวด้วยทำไมล่ะเนี่ย ผมมีว่างตอนเย็นๆ อยู่วันหนึ่งพอดี แต่ไม่รู้จะตอบตกลงดีไหม ผมนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่ามีเหตุผลอะไรเขาถึงอยากเจอผม อยากชวนผมไปกินข้าวด้วย เอาไงดี....


TO BE CONTINUED

-----------------------------------------------------------------
ป.ล.
จะอัปเดตให้สัปดาห์ละ 1-2 ตอนนะครับ
บางตอนอาจจะเจาะลึกเข้าไปถึงวิธีการทำงานแบบนี้เพราะผมอยากให้เรารู้ลึกมากขึ้น มากกว่าแค่รู้เผินๆ
บางคนอาจจะรู้สึกว่านี่ไม่ใช่แบบที่หลายคนรู้จัก ใช่ครับ.......
ไม่ใช่แบบที่เราส่วนมากเคยรู้จักแน่นอนครับ ถ้าเป็นสิ่งที่รู้อยู่แล้วก็ไม่น่าสนใจใช่ไหมครับ
มาเจาะลึกและตีแผ่อาชีพนี้กันครับ!!!

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
BBcream
Guest

2. "RE: 【✪❤▐ ❤✪ อัปไลน์ที่รัก ✪❤▐ ❤✪ 】"
In response to message #1
 
29-Jan-13, 05:36 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ชอบครับ สนุกมากครับ รออยู่นะ

/ปล. จากคนค่าย U


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
sarawatta
Member since 12-Jan-11
234 posts, Rate this user

3. "RE: ❖█❖█❖█❖ อัปไลน์...ที่รัก♡ ❖█❖█❖█❖ ⓛⓞⓥⓔ"
In response to message #2
 
29-Jan-13, 06:01 PM (SE Asia Standard Time)
Click to EMail sarawatta Click to send private message to sarawatta Click to add this user to your buddy list  
   อัปไลน์...ที่รัก - ตอนที่ 2


"ฝน วันนี้พี่เพิ่งได้โบนัสมา ว่าจะชวนฝนไปกินข้าวเย็นด้วยกัน เย็นนี้ฝนว่างไหม"


"ไม่ได้หรอกค่ะ วันนี้ละครเรื่องใหม่ของพี่เล็กจะออกอากาศวันแรกนะคะพี่ขนม ฝนอยากดู อยากให้กำลังใจพี่เล็กน่ะค่ะ ไว้วันหลังได้ไหมคะ"


"โธ่ฝน...นี่ฝนเห็นดาราคนนั้นสำคัญกว่าพี่อีกเหรอ พี่เป็นแฟนฝนนะ"


"...................................."


"ฝน...นานๆ ทีเราจะได้ไปกินข้าวด้วยกัน ฝนไม่อยากไปกินข้าวกับพี่เหรอ"


"อ้าว...ก็พี่ขนมไม่ได้นัดล่วงหน้าก่อนนี่คะ อีกอย่าง...พี่ขนมเองก็ทำแต่ยัวร์เวย์ พอฝนว่าง พี่ก็ไม่เคยว่าง ดาวน์ไลน์ของพี่สำคัญกว่าฝนอีก ฝนต่างหากล่ะที่เป็นฝ่ายต้องน้อยใจ...ใช่ไหมคะ"


"ฝน.... ฝนก็รู้ว่าพี่ทำก็เพื่ออนาคตของเราสองคนนะ"


"ค่ะ ทราบค่ะ แต่ถ้าไม่มีเวลาแบบนี้ ฝนว่า...ไม่ต้องมีอนาคตก็ได้มั้งคะ"


"ฝน..."


"ไว้วันหลังละกันนะคะพี่ขนม ฝนอยากดูละครที่พี่เล็กเล่นจริงๆ เราก็ไปกินวันอื่นก็ได้อยู่แล้วนี่คะ ร้านก็ไม่ได้เปิดวันนี้วันเดียวซะหน่อย แต่วันนี้ละครออนแอร์วันแรก ยังไงฝนก็พลาดไม่ได้หรอกค่ะ"


"....................................."


น้ำฝนวางสายไปแล้ว เจได้แต่รู้สึกโกรธกรุ่นในใจ เขาอุตส่าห์ทำงานหนักแทบเป็นแทบตาย ตั้งใจว่าจะชวนแฟนสาวไปกินข้าวด้วยกันสักมื้อในบรรยากาศดีๆ แต่กลับถูกปฏิเสธเพียงเพราะติดดารา แฟนสาวของเขาอยากดูละครของนายเล็กนั่นมากกว่าจะไปกินข้าวกับเขาเสียอีก


ดีละ...ชอบมันมากนักใช่ไหม


ⓛⓞⓥⓔ ▇▇▇ ◙ ☼ ◙ ▇▇▇ ◙ ☼ ◙ ▇▇▇ ⓛⓞⓥⓔ


"นั่งสิครับ"


เสียงนุ่มๆ ของนายขนมบอกพร้อมกับขยับเก้าอี้ให้ผมด้วย อืม...เป็นสุภาพบุรุษกับเขาก็เป็นแฮะ ผมนั่งลงพร้อมกับกล่าวขอบคุณเบาๆ


"อยากกินอะไรก็สั่งเลยนะครับ" เสียงนุ่มๆ บอกอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้ม


เอ...ว่าแต่ผมทำไมผมต้องรู้สึกใจหวิวๆ กับรอยยิ้มของเขาด้วย พอดูใกล้ๆ แล้ว หมอนี่หน้าตาหล่อไม่ใช่เล่น ผิวพรรณดีมาก ขาวเนียนละเอียด ผิวหน้าใสไม่มีรอยสิวเลย แสดงว่าดูแลตัวเองดีมากๆ ผมเสียอีกที่ผิวคล้ำแดดบ่อย มีสิวและริ้วรอยพอสมควร แม้ว่าจะดูแลหนักแค่ไหน แต่การทำงานหนักแทบทุกวันของผมก็ทำให้เกิดปัญหาผิวพรรณบ่อยๆ


ผมรับเมนูที่นายขนมส่งมาให้ นายขนมก็หยิบมาอ่านด้วยเช่นกัน ต่างคนต่างก็ไม่รู้ว่าเริ่มสนทนาอย่างไร


พอสั่งอาหารเสร็จแล้ว นายขนมก็เริ่มชวนคุย


"ไปเล่นฟิตเนสที่นั่นบ่อยๆ เหรอครับ"


"ครับ" ผมตอบพลางยิ้มกึ่งเม้มริมฝีปาก นายขนมไปรับผมมาจากฟิตเนสแล้วก็พาที่ร้านอาหารแห่งนี้ ก็ดูดีพอสมควร ราคาไม่แพงนัก


"เมื่อก่อนผมก็ไปฟิตเนสบ่อยๆ นะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีเวลาไป จริงๆ ก็ไม่ได้ไปนานแล้วล่ะครับ"


"ครับ" ผมพูดสั้นๆ ยังไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับหมอนี่ดี


นายขนมคงรู้สึกยุ่งยากใจเล็กน้อยที่ผมไม่ค่อยคุย เขาหันไปมองรอบๆ สักพักก็หันกลับมาคุยใหม่


"ออกมาข้างนอกแบบนี้ ไม่กลัวคนจำได้เหรอครับ"


"ผมยังไม่ดังขนาดนั้นหรอก ละครผมก็ถูกดองตั้งหลายเรื่องนี่ครับ" ไม่รู้ว่าผมประชดหรือเปล่า แต่เจ้าหมอนั่นก็ดูสะอึกไปเหมือนกัน


"เดี๋ยวก็ดังแล้ว เมื่อวานผมยังดูละครที่คุณเล่นเลย ฝนก็โทรมาคะยั้นคะยอให้ผมดูทุกวัน แต่ผมไม่ค่อยชอบดูทีวีเท่าไร ไม่ค่อยมีเวลาครับ"


"งานเยอะเหรอครับ" ในที่สุดคำถามแรกก็หลุดปากผมไป


"อืม...ครับ ก็มีเกือบทุกวัน แต่ก็สนุกดีครับ ผมชอบงานแบบนี้ ตอนแรกก็ไม่ชอบหรอกครับ ไม่คิดจะทำด้วย แต่พอศึกษาดีๆ ลองๆ ทำดู ทำไปทำมา ก็รู้สึกชอบ ผมได้เรียนรู้อะไรดีๆ หลายอย่างจากงานนี้"


เอ...ทำงานอะไรของเขานะ ผมสงสัยในใจแต่ก็ยังไม่ได้ถามอะไรออกไป


"อ้อ...ผมไม่ได้ชื่อขนมนะ ผมชื่อเจ"


"อ้าวเหรอครับ แล้วทำไมน้องน้ำฝนเขาเรียกคุณว่าขนมล่ะครับ" ผมถามด้วยสีหน้าสงสัย


"อ๋อ...ตอนเด็กๆ ผมชอบกินขนมไง กินจนอ้วนเลย ตอนเด็กๆ ผมอ้วนมากเพราะกินขนมเยอะ ม้ากับป๊าแล้วก็ญาติๆ ก็เลยเรียกผมว่าขนม เป็นฉายาประจำตัวไปเลย ฝนเขาก็เลยเรียกตามญาติๆ ผมมั่ง แต่ว่า...คุณเล็กเรียกผมว่าเจก็ได้ เรียกขนมแล้วผมรู้สึกแปลกๆ ปกติที่บ้านจะเรียกกันครับ ไม่ค่อยให้คนข้างนอกเรียก"


"อ๋อ...ครับ" ผมรับคำ ตอนที่เขาเล่าผมก็ขำเล็กน้อย


อาหารมาเสิร์ฟแล้ว ผมกับเจก็เลยหยุดคุยกันไปพักหนึ่งเพื่อประทังความหิว ไม่นานนัก เจก็เริ่มชวนผมคุยต่อ


"มีนิทานจะเล่าให้ฟังครับ"


ผมเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย จะมาไม้ไหนอีกล่ะครับคุณเจ ผมไม่ใช่เด็กๆ นะครับจะได้มาเล่านิทานให้ฟัง แต่ผมก็ได้แค่คิดในใจครับ ไม่ได้พูดอะไรออกไป


"มีชายขี่ม้าคนหนึ่งเดินทางมาถึงแม่น้ำ แต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าแม่น้ำนั้นลึกมากแค่ไหน ถ้าไม่ลึกมากเขาก็จะได้ขี่ม้าข้ามไป บังเอิญเขาหันไปเห็นเด็กน้อยคนหนึ่ง น่าจะเป็นคนแถวนี้ เขาก็เลยไปถามเด็กน้อยคนนั้นว่า 'หนูๆ แม่น้ำนี่ลึกหรือเปล่า เราจะข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งได้ไหม' เด็กน้อยคนนั้นก็หันมาตอบว่า 'ไม่ลึกหรอก ดูเป็ดพวกนั้นสิ ขามันสั้นนิดเดียวมันยังเดินข้ามแม่น้ำได้เลย' แล้วชายคนนั้นก็ดันเชื่อเด็กคนนั้นเสียด้วย เขาเดินข้ามแม่น้ำไปแล้วก็จมน้ำตายทั้งม้าและคน"


เจเล่าพร้อมกับทำเสียงราวกับกำลังเล่านิทานให้เด็กน้อยฟัง ผมก็เลยอดยิ้มไม่ได้


"นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การเลือกเชื่อคนเป็นสิ่งสำคัญ อย่างเช่นเวลาที่เราจะทำงานอะไรสักอย่าง ถ้าเราไปถามคนที่ทำงานอยู่แล้วเขาก็จะบอกว่าดี แต่พอไปทำจริงๆ ก็อาจจะเป็นเหมือนชายคนนั้นก็ได้ สุดท้ายชีวิตก็ไปไม่รอด"


แน่ะ มีสรุปให้ด้วย ผมแอบขำในใจ


"อืม...ก็จริงนะครับ ตอนเข้าวงการใหม่ๆ ผมก็เคยเจอ" ผมบอกแค่นั้น ไม่ได้คิดจะเล่าอะไรต่อหรือยกตัวอย่างให้เขาฟัง แล้วก็หันมากินข้าวต่อ


"ผมว่าก็น่าจะเจอนะครับ งานในวงการบันเทิง ผมรู้ว่าเบื้องหลังมีอะไรที่ไม่ดีเยอะ"


"ครับ เดี๋ยวนะครับ" ผมบอกแล้วก็รีบควักโทรศัพท์ขึ้นมารับ ผู้จัดการส่วนตัวผมโทรมานั่นเอง เขาคงโทรมาบอกเรื่องค่าตัวงานเดินแบบงานหนึ่งที่ผมรับเอาไว้ คุยเสร็จแล้วผมก็หันมาคุยกับเจตามปกติ


"พอดีอีกสองวันผมต้องไปเดินแบบที่เชียงใหม่ครับ"


"อ๋อ ท่าทางช่วงนี้จะมีงานเยอะนะครับ" เจถามแล้วก็ตักอาหารใส่ปาก


"ครับ" ผมตอบแค่นั้น ไม่คิดจะขยายความเพิ่มเติม


"คุณเล็กอยู่กับคุณพ่อคุณแม่หรือเปล่าครับ"


"อ๋อ...ไม่ครับ พ่อกับแม่ผมอยู่ที่สิงห์บุรี ตอนนี้ผมอยู่คนเดียวครับ แต่ว่าน้องชายก็ทำงานที่กรุงเทพนี่แหละครับ บางทีเขาก็มาหาผมบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอหรอกครับ ต่างคนต่างทำงาน แล้วก็มีพี่สาวอีกคนครับ อยู่สิงห์บุรี ก็ได้พี่สาวนี่แหละครับช่วยดูแลพ่อแม่ให้" ผมบอก ในใจก็นึกสงสัยว่ามาถามเรื่องครอบครัวผมทำไม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ดันเล่าไปซะเยอะเลย


"เป็นดาราคงได้เงินเยอะ แบบนี้พ่อกับแม่ก็คงสบายนะครับ"


"ใครว่าล่ะครับ...รายจ่ายผมก็เยอะ ไหนจะค่าจ้างผู้จัดการส่วนตัว ค่าเดินทางทั้งรถ ทั้งเครื่องบิน ค่าโทรศัพท์ ค่าเสื้อผ้า ค่าเครื่องสำอาง สารพัดค่า เป็นดาราได้เงินเยอะก็จริง แต่รายจ่ายก็เยอะครับ ผมยังไม่กล้าซื้อรถใช้เลย"


"โห...แล้วอย่างนี้รายได้แต่ละเดือนนี่พอไหมครับ"


"ก็แล้วแต่ บางช่วงที่ไม่มีงานก็ต้องใช้เงินเก็บที่มีอยู่ ช่วงนี้มีงานก็ได้เยอะหน่อยครับ ก็พอมีเก็บ แต่ผมก็ไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองหรอกว่าจะดังได้นานแค่ไหน เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าทางช่องเขาจะดันผมมากแค่ไหน เดี๋ยวนี้ดาราหน้าใหม่ๆ เข้ามาเยอะครับ"


"ใช่ครับ เดี๋ยวนี้ผมแทบจะจำชื่อดาราไม่ได้เลย จำได้แต่รุ่นเก่าๆ" เจบอกพลางขำ


"แล้ว...พอมีเวลาว่างบ้างไหมครับเนี่ย" เจถามต่อ


"ช่วงที่ไม่ค่อยมีงานก็ว่างเกือบทุกวันครับ แต่ช่วงนี้ผมทำงานเกือบทุกวัน ก็ดีครับ ดีกว่าไม่มีอะไรให้ทำ เป็นดาราก็ต้องอยากให้มีงานเข้ามาอยู่แล้วล่ะ แต่ก็พอมีว่างบ้าง ว่างทั้งวันอาจจะไม่ค่อยมี แต่มีว่างเป็นช่วงเวลา อย่างวันนี้ผมก็ว่างช่วงเย็นๆ แต่พรุ่งนี้ผมจะไม่ว่างตั้งแต่เช้ามืดจนดึกเลย"


"แล้วคุณเล็กชอบทำอะไรเวลาว่างๆ ครับ ผมนะครับ ชอบเล่นกับหมา ที่บ้านจะเลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง แต่ไม่ค่อยมีเวลาเล่นกับมันเท่าไร"


"อ๋อ...อ่านหนังสือมั้งครับ ก็อ่านบ้าง... แล้วก็...ดูหนัง ผมชอบดูหนังเพราะว่าเผื่อจะช่วยให้แสดงเก่งขึ้น นอกนั้นก็ไปเที่ยวบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ไปหรอกครับ เปลืองเงิน"


"ครับ อืม....ว่าแต่ว่า...คุณเล็กคิดจะทำงานในวงการบันเทิงไปอีกนานแค่ไหน เด็กใหม่ก็เยอะนะครับ"


"ผมเหรอ...อืม ผมคิดว่าผมน่าจะอยู่ได้อีกสัก 4-5 ปี แล้วก็คงจะไปหาธุรกิจส่วนตัวทำแล้วครับ แต่ถ้ามีบทดีๆ ถึงจะเล่นเป็นพ่อ ผมก็อยากเล่นนะครับ แต่งานในวงการนี้มันไม่ยั่งยืนหรอก ผมก็คงต้องหาลู่ทางเตรียมไว้เหมือนกัน เมื่อก่อนผมเคยคิดอยากเปิดร้านเช่าหนัง แต่ก็ยังไม่ได้คิดจริงๆ จังๆ มากครับ ไม่ค่อยมีเวลาคิดด้วยมั้งครับ"


เจพยักหน้ารับรู้แล้วก็คุยต่อ


"แล้ว...ถ้าสมมติว่า มีคนเอาเงินมาให้คุณเล็กสามล้านบาทวันนี้ แล้วให้คุณเล็กเปิดร้านเช่าหนังเลย คุณเล็กจะทำได้ไหมครับ"


"อืม...ไม่ได้หรอกคุณ ที่ก็ยังไม่มีเลย ไหนจะต้องจ้างคนอีก มันต้องใช้เวลาเตรียมครับ มีเงินปุ๊บก็ทำปั๊บไม่ได้เลยหรอกครับ"


"ผมว่าทำธุรกิจแบบนี้หรือทั่วๆ ไปก็เสี่ยงนะครับ อย่างเปิดร้านเช่าหนังก็ขึ้นอยู่กับทำเลด้วย เปิดแล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีคนมาเช่าไหม หรือวันข้างหน้าเกิดเทคโนโลยีมันเปลี่ยนไป อย่างเดี๋ยวนี้คนเขาก็โหลดหนังจากอินเตอร์เน็ตมาดูกัน ไม่ค่อยมีใครเขามาเช่าหนังไปดูหรอกใช่ไหมครับ"


"อืม...ก็จริงของคุณ แต่อย่างว่าแหละครับ จะทำธุรกิจอะไรมันก็เสี่ยงทั้งนั้นแหละครับ มันก็ต้องทำอะไรสักอย่างอยู่ดี ไม่งั้นจะเอาอะไรกินล่ะครับ อยู่เฉยๆ เราก็อดตาย" ผมบอกพลางขำ นายเจก็ขำไปกับผมด้วย


"แล้วขนม เอ๊ย...เจทำงานอะไรอยู่ครับตอนนี้" ผมเกิดอยากรู้ขึ้นมาบ้างเสียอย่างนั้น แหม...ก็เล่นถามข้อมูลผมซะเยอะ เรื่องอะไรจะยอมให้ล้วงถามอยู่คนเดียวล่ะครับ


"อ๋อ...ผมทำธุรกิจส่วนตัวอยู่ครับ แต่เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังครับว่าเป็นอะไร"


นั่นแน่ะ มีกั๊กด้วยแฮะ แต่เอาเถอะ ผมก็ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้นหรอก


"คุณเล็กรู้ไหมว่า ผมเจอคนที่ทำงานหนักๆ หลายคนนะ สุดท้ายคนเหล่านี้ก็ไม่ได้ใช้เงินที่ตัวเองหามา เอาไปให้หมอกันหมด ทำงานหนักก็ต้องดูแลสุขภาพดีๆ ด้วยนะครับ ครูผมสอนว่า...มีเงินมากมายแค่ไหนก็ซื้อสุขภาพดีไม่ได้ แต่สุขภาพดีจะทำให้เราหาเงินมากมายแค่ไหนก็ได้"


ผมขมวดคิ้วสงสัยเล็กน้อย เขาทำงานอะไรของเขานะ มีครูด้วย แต่ที่พูดมาก็ถูกทุกอย่าง


"ก็ใช่แหละครับ แต่ถ้าไม่ทำงานก็ไม่เงินนะครับ บางทีงานมาก็ต้องไปทำ สุขภาพก็ต้องเอาไว้ก่อน ที่คุณเจบอกผมตอนนั้นมันก็ใช่ สุขภาพรอไม่ได้ การตอบแทนรอไม่ได้ ความสำเร็จรอไม่ได้ แต่มันก็มีหลายๆ อย่างนะครับที่ทำให้เราต้องรอ..."


"ครับ...ก็อาจจะใช่ แต่จริงๆ แล้วมันก็มีวิธีช่วยให้เราดูแลสุขภาพแม้ว่าจะทำงานหนักๆ แบบนี้ได้ด้วยนะครับ เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังทีหลัง"


เอ...สงสัยจะขายอาหารเสริมอยู่ ผมแอบคิดในใจ


"ถ้าให้เลือกระหว่าง 'การให้' กับ 'การตอบแทน' คุณเล็กจะเลือกอะไรครับ"


"ผมเหรอครับ เลือกการให้มั้งครับ ไม่รู้สิ ทุกวันนี้นะ ถ้าผมเห็นใครลำบากผมก็ช่วยนะ เห็นขอทานผมก็ให้เงินประจำแหละ เพื่อนคนไหนเดือดร้อนผมก็ช่วย ผมว่าการให้ก็ทำให้เรามีความสุขนะ ผมเลือกการให้ครับ" ผมตอบอย่างมั่นใจพร้อมกับรอยยิ้ม


"อืม...ครับ รู้ไหมครับคุณเล็ก ครูผมเขาสอนว่า...การตอบแทนคือการบ้านของชีวิต เอาง่ายๆ การที่คุณเล็กประสบความสำเร็จเป็นดาราที่มีชื่อเสียงในทุกวันนี้ ก็ต้องมีคนคอยช่วยสนับสนุนใช่ไหมครับ ต้องมีคนเบิกทางให้เรา ตอนเด็กๆ พ่อแม่ก็เลี้ยงดูเรา หรืออาจจะมีใครอีกหลายคนที่หยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้เรา หยิบยื่นโอกาสดีๆ ให้เรา ครูผมจึงเน้นย้ำเรื่องนี้เสมอครับว่าให้พวกเรารู้จักตอบแทนบ้าง โดยเฉพาะการตอบแทนพ่อกับแม่ของเรา เพราะคนเหล่านี้คือคนที่ช่วยเรามาก่อน ก่อนที่เราคิดจะให้คนอื่นๆ ที่อาจไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรามากนัก เราควรจะให้คืนคนที่เคยช่วยเราก่อน จริงไหมครับ เหมือนกับเวลาที่เราจะสร้างบ้าน ถ้าที่ดินเป็นหลุม เราก็ต้องถมให้เต็มก่อนใช่ไหมครับถึงจะสร้างบ้านได้"


ผมพยักหน้าและเออออตามไปด้วย ก็จริงของเขานั่นแหละ ผมก็เพิ่งได้คิด จริงด้วยสินะ กว่าผมจะมายืนตรงจุดนี้ได้ มีคนมากมายที่ได้ช่วยเหลือผมและหยิบยื่นอะไรดีๆ ให้ บางคนผมก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำ


"แล้ว...ระหว่างโชคดีกับมีบุญ คุณเล็กเลือกอะไรครับ"


"อืม...โชคดีมั้งครับ ใครๆ ก็อยากโชคดีนะครับ อย่างผม มีงานเข้ามา ได้เป็นดาราดังก็ถือว่าเป็นโชคดีนะครับ แต่มีบุญ...มีบุญยังไงเหรอครับ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ครับ" ผมทำสีหน้างงๆ ตอนนี้อาหารที่กินหมดแล้ว ผมก็เลยนั่งฟังเฉยๆ


"โชคดีก็คือว่า...เราได้ทำในสิ่งที่เราชอบไงครับ เช่น เราเรียนวิศวะมาก็ได้ทำงานที่เกี่ยวกับวิศวะ แต่ถ้ามีบุญ เราก็จะเป็นคนที่รักในทุกสิ่งที่ทำ หลายคนนะครับ เลือกที่จะทำสิ่งที่ตัวเองรัก แม้ว่าสิ่งที่ทำนั้นจะไม่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ นอกจากชีวิตของตัวเองไม่ดีขึ้นแล้ว ชีวิตคนที่อยู่ข้างหลังก็ลำบากด้วย ครูผมบอกว่าถ้าเราทำแบบนั้นก็แสดงว่าเรา...คิดไม่เป็น อาจจะถึงขั้นเห็นแก่ตัวด้วยซ้ำที่คิดถึงแต่ความชอบของตัวเอง แต่ไม่คิดว่าจะต้องทำอะไรอีกบ้างเพื่อให้ครอบครัวดีขึ้น แต่บางคนนะครับ เขาทำอะไรก็ได้ทั้งสิ่งที่ถนัดและไม่ถนัด เพื่อที่จะได้ดูแลครอบครัวได้ แต่ว่าก็ต้องเป็นงานสุจริตด้วยนะครับ"


โห...พูดดีมากๆ เลยนะเนี่ย หลายครั้งผมก็คิดแบบนั้น ใครๆ ก็อยากทำสิ่งที่ตัวเองรักทั้งนั้นแหละ แต่บางทีเราก็ลืมคิดถึงคนที่อยู่ข้างหลังเราไป อืม...ผมต้องทบทวนชีวิตผมใหม่เลยนะครับเนี่ย


"แล้ว...คุณเล็กเชื่อเรื่องการมีครูไหมครับ"


"ครูอะไรเหรอครับ"


"ก็ครูที่คอยสอนเราไงครับ"


"ก็...เชื่อนะครับ อย่างตอนที่ผมเข้ามาในวงการใหม่ๆ ผมก็ต้องเรียนการแสดง เรียนการเดินแบบถ่ายแบบ เรียนรู้การใช้ชีวิตในวงการบันเทิง ก็ต้องมีคนคอยสอนครับ ถ้าไม่มีคนสอนก็คงจะลำบากเหมือนกัน"


"ใช่ครับ ครูผมบอกว่า...อาชีพที่ดีที่สุดก็คือคืออาชีพที่มีคนสอน เราไม่จำเป็นต้องเอาหัวไปโขกฝาเองเพื่อให้รู้ว่าเจ็บใช่ไหมครับ เราใช้ประสบการณ์ของคนที่สำเร็จแล้วมาทำงานได้ ผมเล่าอะไรสนุกๆ ให้ฟังอีกสักเรื่องนะครับ"


ผมพยักหน้า เริ่มรู้สึกสนุกไปด้วย เวลาที่เขาเล่า ผมว่าเขาทำหน้าตาได้น่ารักดี


"มีชายสองคน เป็นคนบ้านนอกครับ เขาทั้งสองคนเพิ่งเข้ามาทำงานในกรุงเทพวันแรก พอมาถึงกรุงเทพชายคนที่หนึ่งพอดีเห็นร้านกาแฟก็เลยชวนชายคนที่สองไปนั่งกินกาแฟกัน ชายคนที่หนึ่งสั่งกาแฟร้อน ราคา 30 บาท ส่วนชายคนที่สองสั่งกาแฟเย็น ราคา 40 บาท พอกาแฟมาเสิร์ฟ ชายคนที่หนึ่งพอได้กาแฟแล้วก็รีบคนๆ แล้วก็รีบกินกาแฟให้หมดภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ชายคนที่สองสงสัยก็เลยถามว่าทำไมต้องรีบกินขนาดนั้น ชายคนที่หนึ่งก็ตอบว่า อ้าว...ถ้ารอให้กาแฟมันเย็นผมก็เสียเงิน 40 บาทสิครับ"


ฟังจบแล้วผมก็อดขำไม่ได้ ดูเหมือนนายเจจะพอใจมากทีเดียวที่ทำให้ผมขำได้


"เรื่องนี้ก็สอนว่า ไม่สำคัญหรอกครับว่าเรารู้อะไรมา แต่เราเข้าใจมันยังไงต่างหาก ใช่ไหมครับ"


"อ๋อ..." ผมลากเสียงยาวพลางขำ นายคนนี้ก็มีอะไรตลกๆ ดีแฮะ คุยด้วยแล้วก็หายเครียดจากงานไปเยอะเลย


"การเรียนรู้สำคัญใช่ไหมครับ ถ้าคนเรียนรู้กับคนที่ไม่เรียนรู้ทำได้เหมือนๆ กัน การเรียนรู้ก็ไม่มีความหมายใช่ไหมครับ ครูผมเขาสอนว่า ชีวิตคนเราต่างกันที่การเรียนรู้ คนชั้นหนึ่งให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เป็นอันดับแรก คุณเล็กเห็นด้วยไหมครับ"


ผมก็พยักหน้า ไม่มีอะไรให้แย้งได้เลย แต่...ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ย นายคนนี้ต้องการอะไรกันแน่ ที่นัดผมมากินข้าวแล้วคุยเรื่องพวกนี้ ผมว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง แต่เหมือนนายเจจะรู้ละว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่


"ถ้ามันมีงานที่ทำก็มีรายได้ หยุดทำก็มีรายได้ ตายไปแล้วก็ยังส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลานได้ งานที่ไม่ได้ไปขอคนแต่ช่วยเหลือคน งานที่มีคนคอยสอนตลอดเส้นทางตั้งแต่เริ่มจนสำเร็จ งานที่สอนมุมมองชีวิตดีๆ ให้ งานที่สอนให้เราคิดบวกทุกสถานการณ์ งานที่สอนให้เราดูแลตัวเองเพื่อที่จะไปดูแลคนอื่นๆ ได้ งานที่เราไม่เอาเปรียบใคร คุณเล็กสนใจที่จะทำงานแบบนี้ไหมครับ อย่าเพิ่งถามว่าทำได้หรือเปล่า งานมันจะสอนเราเองครับ แต่อยากให้ตอบว่าน่าทำหรือเปล่าครับงานแบบนี้"


ผมฟังแล้วก็งงไปกว่าสิบวินาทีได้เพราะฟังแล้วก็ยังนึกไม่ออกว่างานที่เขาบอกมานั้นมันคืองานอะไร


"อืม...ก็น่าทำนะครับ" ผมครุ่นคิด ขมวดคิ้วยับย่น นึกไม่ออกจริงๆ ว่ามันมีงานแบบนี้ในโลกนี้ด้วยหรือ


"ว่าแต่มันเป็นงานอะไรเหรอครับ หยุดทำแล้วก็ยังมีรายได้ มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่น่ามีมั้งครับงานแบบนี้"


"มีสิครับ คุณเล็กรู้ไหมว่าในโลกนี้ เรามีรายได้แค่ห้ารูปแบบเท่านั้น คุณเล็กรู้จักรายได้ห้ารูปแบบไหมครับ"


"ไม่รู้จักเลยครับ มันมีอะไรบ้างครับ"


"รายได้แบบที่หนึ่งเรียกว่ารายได้แบบได้ครั้งเดียว หมายถึงทำเมื่อไหร่ก็ได้เงินเมื่อนั้น เช่น งานแสดงของคุณนี่แหละ งานจบก็ได้เงินใช่ไหมครับ หรือเปิดร้านขายของ วันไหนเปิดร้าน วันนั้นก็มีรายได้ วันไหนไม่ได้เปิดก็ไม่มีรายได้ หยุดทำก็ไม่ได้ อย่างป๊ากับม้าผมนะครับ ทำธุรกิจขายแอร์ ก็ต้องทำทุกวัน เปิดร้านทุกวัน เช้าเปิดร้าน เย็นๆ สองสามทุ่มก็ปิดร้าน แล้วก็ดูทีวี นอน แทบไม่เคยออกไปไหนเลย ออกไปห่างบ้านนิดเดียวก็แทบจะหลงทางแล้วครับ"


"รายได้แบบที่สองเรียกว่ารายได้แบบขั้นบันได พ่อแม่ที่ไม่อยากให้ลูกได้รายได้แบบที่หนึ่ง ก็ส่งลูกไปเรียนใช่ไหมครับ ให้กลับมาทำงานมีเงินเดือน เป็นเจ้าคนนายคน รายได้แบบนี้ก็คือรายได้ของคนทำงานประจำ ทำงานข้าราชการ เงินเดือนก็อาจจะขึ้นทุกปี ปีละ 5-10% ราวๆ นี้ ก็ดูเหมือนจะมั่นคง แต่เงินเพิ่มไม่กี่พันบาทก็ไม่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนใช่ไหมครับ แล้วเรากำหนดความสำเร็จเองได้ไหมครับ เช่น ปีหน้าจะเป็นซีอีโอ ก็ไม่ได้ใช่ไหมครับ ถ้าจะเป็นก็ต้องแย่งกัน ต้องเลื่อยขาเก้าอี้เขา วันไหนเขาจะเลิกจ้างก็กำหนดไม่ได้ เกิดเจอวิกฤติ เกิดมีคนรุ่นใหม่ไฟแรงดีกว่า เขาก็จ้างคนใหม่ เราก็เหมือนเครื่องใช้สำนักงานที่หมดอายุการใช้งานแล้ว ก็ต้องทิ้งใช่ไหมครับ งานแบบนี้ก็มีป้ายบอกหมดเวลา ความสำเร็จก็ส่งต่อให้ลูกหลานเราไม่ได้"


"รายได้แบบที่สาม เรียกว่ารายได้แบบถดถอย ตรงกับงานที่คุณเล็กทำเลยครับ งานแบบนี้ตอนแรกๆ ที่มีชื่อเสียงจะมีเงินเยอะ รายได้เยอะ แต่พอชื่อเสียงเริ่มหมด รายได้ก็จะลดลง ถึงขั้นไม่มีเลย จริงไหมครับ ถ้าไม่รู้จักเก็บ ก็จะลำบากตอนแก่ บางคนทำงานหนัก เสียสุขภาพ เคยได้ยินใช่ไหมครับที่ดาราบางคนต้องตาบอดจากการทำงานกับแสงไฟบ่อยๆ ได้เงินมาเยอะก็จริง แต่ก็ต้องลำบากทีหลัง"


อืม...อันนี้ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับเพราะผมก็กลัวเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ยิ่งทำงานที่ใช้สายตาสู้กับแสงไฟบ่อยๆ ผมก็ยิ่งกลัว


"รายได้แบบที่สี่ เรียกว่ารายได้แบบเจ้าของกิจการ ก็คือรายได้ของคนที่มีกิจการเป็นของตัวเอง เช่น เปิดร้านอาหาร เปิดโรงแรม อะไรทำนองนี้ งานแบบนี้ก็ดูดีใช่ไหมครับ เป็นเจ้าของกิจการเอง ถ้าอยากได้เพิ่มก็ต้องลงทุนเพิ่ม แต่ก็เสี่ยง บางทีการเมืองเอย ภัยธรรมชาติเอย สภาวะเศรษฐกิจเอย ก็ทำให้รายได้ขึ้นๆ ลงๆ ตลอด หลายคนนะครับก็เป็นคนสองบุคลิก อยู่บ้านเป็นอีกแบบหนึ่ง อยู่ที่ทำงานเป็นอีกแบบ หลายคนก็เครียด หลายคนก็มีปัญหาสุขภาพ แล้วก็หยุดทำไม่ได้ด้วยครับ"


"ส่วนรายได้แบบที่ห้า เรียกว่ารายได้แบบทวีคูณครับ ทุกคนจะเริ่มจากศูนย์เท่ากัน แต่จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น รายได้แบบนี้พอหัวเชิดขึ้นแล้วก็จะขึ้นตลอด ไม่มีลง และหยุดทำได้ด้วยครับ"


ได้ฟังแล้วผมก็ตาโตนิดหน่อย ในโลกนี้มันมีรายได้แบบนี้ด้วยหรือเนี่ย ผมชักสนใจเสียแล้วสิ


"งานที่ผมจะชวนคุณเล็กทำก็เป็นงานที่ให้รายได้แบบที่ห้านี่แหละครับ สนใจไหมครับ" เจถามพลางยิ้มเหมือนซ่อนความลับอะไรไว้ เขาปลุกเร้าผมมาจนถึงจุดสุดยอดของมันแล้ว


"เหรอครับ สนใจสิครับ ว่าแต่มันงานอะไรเหรอครับ ทำไมมันดูดีไปหมดแบบนี้ บอกผมได้ไหมครับคุณเจ"


น้ำเสียงที่ตื่นเต้นของผมทำให้เจยิ้มย่องอย่างพอใจ


"บอกได้ครับ งานนั้นก็คือ.....


....ยัวร์เวย์ครับ"


!!!!!!?????


ยัวร์เวย์ ผมครุ่นคิดในใจ มันคืออะไรหรือ ชื่อคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินมานานแล้ว อ๋อ...รู้แล้วล่ะ พี่สาวผมเคยขายเมื่อก่อน แล้วก็เลิกทำไป อะไรนะ นี่สรุปว่าที่คุยมาดิบดียืดยาวทั้งหมดนี้ ก็เพียงเพื่อจะชวนผมขาย "ยัวร์เวย์" เหรอ


โธ่... แต่ยัวร์เวย์หรือเอ็มแอลเอ็มอื่นๆ ที่ผมเคยเห็น เคยได้ยินหรือรู้จักไม่ใช่แบบนี้เลยนี่นา ผมได้ยินแต่เรื่องไม่ดีๆ มาทั้งนั้นเลย แต่สิ่งที่นายเจพูดมา ถ้าบอกว่าเป็นงานของยูเอ็นผมยังจะเชื่อมากกว่าเสียอีก


แต่อย่างว่าแหละ คนที่ทำงานพวกนี้ก็ต้องหาวิธีหลอกล่อคนเข้าไปเป็นเหยื่อให้ได้ คิดว่าจะหลอกคนอย่างผมได้เหรอ หนอยแน่...ที่ชวนผมมากินข้าวด้วยก็เพราะต้องการหลอกให้ไปขายยัวร์เวย์นี่เอง ผมก็อุตส่าห์รู้สึกดีด้วย ความรู้สึกดีๆ เมื่อครู่นี้หายไปแทบจะหมดเลยเมื่อรู้ว่าเขามาชวนทำยัวร์เวย์


"คุณเล็ก ผมไม่รู้ว่าคุณรู้จักยัวร์เวย์มาแบบไหนเพราะมันมีคนทำธุรกิจนี้หลายกลุ่ม แต่ผมอยากจะบอกคุณเล็กว่า ยัวร์เวย์ไม่ใช่งานขายของชวนคน เพราะถ้าขายของเราคงหยุดทำไม่ได้ ครอบครัวผมเปิดร้านขายแอร์มา 30 กว่าปี จนป่านนี้ก็ยังหยุดทำไม่ได้เลย มาเรียนรู้กับผมก่อน อย่าเพิ่งพูดว่า 'ไม่' ถ้ายังไม่ได้ศึกษาและฟังให้เข้าใจดีพอ คุณเล็กอาจจะเสียโอกาสที่สำคัญในชีวิตได้ งานนี้เราช่วยเหลือคนไม่ได้ขอคน ช่วยเหลือคนไม่ได้ขอคน ช่วยเหลือคนไม่ได้ขอคน"


นายเจย้ำประโยคสุดท้ายให้ผมฟังถึงสามรอบด้วยกัน ราวกับแผ่นเสียงตกร่องในสมัยก่อน แต่มันก็ทำให้ผมต้องคิด มันเป็นงานแบบนั้นจริงๆ หรือ แล้วมันจะไปช่วยคนยังไงล่ะในเมื่อมันเป็นธุรกิจ ธุรกิจก็ต้องเอากำไร ก็ต้องมีรายได้ ต้องแย่งชิงผลประโยชน์กัน


"แล้วมันต้องทำยังไงเหรอครับ ถ้าไม่ขายของ ถ้าไม่ชวนคน แล้วมันจะหยุดทำได้ยังไงล่ะครับ"


ผมตัดสินใจถามออกไป ในใจเริ่มรู้สึกกลัวว่านายคนนี้จะใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกล่ออะไรผม การฟังจากนี้ผมจึงต้องฟังอย่างตั้งใจมากเป็นพิเศษ ไม่ได้หรอก ผมเคยได้ยินว่าคนพวกนี้ใช้เทคนิคสะกดจิตหรือหลอกล่อคนได้เก่งมาก


"ครูผมสอนว่า...คนสำเร็จเขาจะให้ความสำคัญกับวิธีคิดมากกว่าวิธีการ แต่ผมก็พอจะให้ภาพที่เห็นได้ง่ายๆ แบบนี้ครับว่า...ยัวร์เวย์ก็คืองานสร้างระบบหรือเครือข่าย เราจะสร้างระบบเครือขายของผู้ใช้สินค้าขึ้น คนที่เข้ามาในเครือข่ายของเราเขาก็จะแค่เปลี่ยนที่ซื้อสินค้า จากที่เขาเคยซื้อที่อื่น เอากำไรไปให้เจ้าของห้างที่รวยอยู่แล้ว เขาก็เปลี่ยนมาซื้อที่ช็อปของยัวร์เวย์แทน เอากำไรมาแบ่งให้ผู้บริโภคด้วยกัน พอเราสร้างเครือข่ายผู้บริโภคไว้จนเข้มแข็งมากพอแล้ว ระบบที่เราสร้างไว้ก็จะให้รายได้แบบ passive income กับเรา ก็คือรายได้ที่แม้ว่าเราจะไม่ได้ทำงานนี้แล้วแต่เราก็ยังมีรายได้ใช้เพราะยังมีการบริโภคสินค้าในกลุ่มเครือข่ายของเราอยู่ แต่เงินที่เราจะได้ เป็นเงินที่ยัวร์เวย์จ่ายให้ต่างหาก ไม่ได้แบ่งมาจากกลุ่มเครือข่ายของเรานะครับ เราไม่ได้เอาเปรียบใคร ใครมาก่อนมาหลังไม่สำคัญ คนที่ทำงานมากก็จะได้มาก คนที่ไม่ทำอะไรก็จะไม่ได้อะไร มาทีหลังแต่ขยันมากกว่าก็สำเร็จก่อนได้ แต่จำไว้เสมอนะครับ งานนี้ไม่ใช่งานขอคนแต่ช่วยเหลือคน"


อืม...ฟังดูดีและเข้าท่ามากๆ ทีเดียว แต่...บอกตรงๆ ว่าผมก็ยังไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ มันช่างต่างจากยัวร์เวย์ที่ผมรู้จักราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว


"ยัวร์เวย์คือ...ไม่น่าเชื่อครับ" เจย้ำประโยคเด็ด


ใช่...ถ้าเป็นแบบที่เขาว่ามาจริงๆ ผมก็ว่ามันไม่น่าเชื่อเลยครับ


เห็นทีผมคงจะหนีเงื้อมือหมอนี่ไม่รอดแน่วันนี้ ถ้าไม่หลงคารมก็คงต้องสมัครเพราะเกรงใจแน่ๆ!!!


ⓛⓞⓥⓔ ▇▇▇ ◙ ☼ ◙ ▇▇▇ ◙ ☼ ◙ ▇▇▇ ⓛⓞⓥⓔ


TO BE CONTINUED

Sarawatta


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top
Baron
Guest

4. "RE: ❖█❖█❖█❖ อัปไลน์...ที่รัก♡ ❖█❖█❖█❖ ⓛⓞⓥⓔ"
In response to message #3
 
30-Jan-13, 08:18 PM (SE Asia Standard Time)
 
   ขายมายเวแขางดีฝ่า


  Alert แจ้งลบข้อความนี้ | IP | boyplaza.net Gay Movies หนังใหม่อัพเดททุกวัน เริ่มต้น 50 บาทเท่านั้น โหลดได้ไม่จำกัด 3 วัน Printer-friendly page | Edit | Reply | Reply With Quote | Top

Conferences | Topics | Previous Topic | Next Topic

*** ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บเพจนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และ ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง
ห้ามโพสข้อความ รูปภาพ ไฟล์ที่มีลิขสิทธิ์ ที่สร้างความเสียหายให้แก่บุคคลอื่น
ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link "แจ้งลบข้อความ" ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือแจ้งมาได้ที่ ryubedroom@yahoo.com

Our Sponsor


Copyright Palm-Plaza,Inc. All Rights Reserved.


 free counters