ตอนหน้าแล้วนะครับที่จะเกิดเหตุการณ์ที่จะทำให้คนอ่านช็อก (คิดว่าน่าจะช็อกนะ)
เตรียมตัวโดนด่าไว้ล่วงหน้าครับ ฮือๆ อย่าด่าแรงนักนะครับ กลัววววว----------------------------------------------------
ตอนที่ 33
ช่วงนี้เป็นช่วงปลายของโครงการแล้ว งานของทิวค่อนข้างยุ่งมากเพราะเขาต้องคอยประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่ประเคนบรรดาสิ่งกีดขวางต่างๆ (street furniture) ไม่ว่าจะเป็นตู้โทรศัพท์ ไฟฟ้า ประปา และอื่นๆ อีกมากมายมาไว้บนทางเท้า ทำให้กีดขวางทางสัญจร ดีที่ว่างานนี้สำนักงานเขตในพื้นที่ลงมาเล่นและช่วยสั่งการด้วย ทำให้ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานเหล่านี้ค่อนข้างดี ปกติการปรับย้ายสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องยากมาก นอกจากจะประสานงานกับหน่วยงานแล้ว ช่วงหลังๆ มีสื่อมาขอสัมภาษณ์บูมถี่มาก แต่บูมก็มักจะให้ทิวหรือเพื่อนๆ ร่วมให้สัมภาษณ์ด้วยเกือบทุกครั้ง ตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาภาพของบูมและเพื่อนๆ จึงปรากฏในสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทีวี นิตยสาร อินเตอร์เน็ต รายการวิทยุ หนังสือพิมพ์และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะใครๆ ต่างก็ชื่นชมความคิดดีๆ ของเยาวชนรุ่นใหม่กลุ่มนี้ที่ลุกขึ้นมาทำสิ่งดีๆ เพื่อสังคม การทำงานของพวกเขาจึงได้รับความสนใจมากจนเกินคาด
แม้ว่าจะเหนื่อย แต่ทิวก็มีความสุขมากที่ได้ทำโครงการนี้ แต่เขาก็รู้ว่าเมื่อโครงการจบ คนที่เขารักมากที่สุดและเป็นที่พึ่งพิงทั้งทายกายและใจเพียงคนเดียวตลอดหนึ่งปีเศษๆ ที่ผ่านมาจะต้องจากไปเรียนหนังสือต่อแล้ว ทิวคิดว่าก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เขาก็ยังพออยู่ได้ เขามีเงินเหลือเก็บจากการทำงานโครงการราวๆ สองแสนบาท ก็น่าจะช่วยทำให้เขาเรียนจบและมีงานทำในช่วงที่บูมไม่อยู่ได้ เขาไม่มีปัญหาที่จะรอ แต่...คุณทิพย์นภากำลังคิดจะทำอะไรหนอ เขารู้สึกกลัวเหลือเกิน
เมื่อทิวเดินเข้ามาในร้าน เขามองหาอยู่พักหนึ่งก็เจอคุณทิพย์นภานั่งรออยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ก็ดูถมึงทึงอยู่ในทีอยู่ตรงมุมห้องด้านในสุด เพราะเธอต้องการคุยในที่เงียบๆ และไม่มีใครสังเกตเห็นได้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่มหาวิทยาลัยปิดภาคเรียน เธอก็เลยมีเวลาอยู่บ้านมากหน่อย แต่ก็ยังคงมีประชุมและงานอื่นๆ เล็กๆ น้อยๆ ที่มหาวิทยาลัย
"นั่งสิ" คุณทิพย์นภาพูดโดยไม่หันมามอง เมื่อทิวนั่งลงตรงหน้าแล้วเธอจึงได้สังเกตดูหน้าตาผิวพรรณของทิว ทิวไม่ใช่คนที่ขาวมากนัก แต่ก็ไม่คล้ำ หน้าตาก็ถือว่าหล่อเหลาทีเดียว แต่ก็แปลกที่ทิวไม่มีท่าทางอรชรอ้อนแอ้นเหมือนผู้หญิงอย่างที่เธอมักจะเคยเห็นในทีวีบ่อยๆ ก็ดูเหมือนผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่ง ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนที่รูปร่างหน้าตาแบบนี้ถึงได้เป็นเกย์กันไปได้ แล้วจะให้มั่นใจได้ยังไงว่าผู้ชายที่เห็นในสมัยนี้จะไม่เป็นแบบนี้กันบ้าง คิดแล้วก็น่ากลัว
"กินอะไรมาหรือยัง อยากกินอะไรก็สั่ง"
ทิวหยิบเมนูอาหารมาดูด้วยท่าทางประหม่าแล้วก็สั่งกาแฟเพียงถ้วยเดียวไป ใครจะไปกินอะไรลงล่ะ คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าพูดอะไรแต่ละทีก็ทำให้เขาแทบจะลืมหายใจ ท่าทางก็ไม่เป็นมิตรจนทิวแทบไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าด้วยซ้ำ บรรยากาศมันดูอึดอัดเสียจนทิวอยากจะลุกหนีไปเลยถ้าเขาทำได้
"เอาล่ะ...มาเข้าเรื่องกันดีกว่า" คุณทิพย์นภาพูดพลางจ้องหน้าทิวเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
"เธอรู้ใช่ไหมว่า...บูมเขาเกิดมาในครอบครัวแบบไหน อยู่ในสังคมแบบไหน แต่ดูท่าทางเธอก็คงจะฉลาดอยู่...ก็คงจะรู้"
แค่เริ่มเรื่องมาทิวก็พอจะรู้แล้วว่าคุณทิพย์นภาต้องการอะไร ไม่ได้ผิดจากที่เขาคาดเดาไว้นัก
"บูมเขาเป็นความหวังและอนาคตของครอบครัวเรา เขาจะต้องมาดูแลกิจการแทนพ่อ เขาจะทำให้การงานบริษัทของเราเจริญเติบโตต่อไป เขาจะเป็นที่เคารพยำเกรง มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในสังคม และที่สำคัญ ฉันก็อยากให้เขาแต่งงานกับผู้หญิงดีๆ ซักคนและมีลูกหลานสืบสกุลของเราต่อไป แต่เธอรู้ไหมว่า...สิ่งที่ฉันพูดมาทั้งหมดมันจะพังลงทันที...เพราะเธอ"
คุณทิพย์นภาเน้นเสียงสองคำสุดท้ายหนักแน่นพร้อมกับจ้องหน้าทิวเขม็ง ทิวแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกกาแฟขึ้นมาจิบ
"ในฐานะที่ฉันเป็นแม่...เธอรู้ไหมว่าฉัน...เจ็บปวดใจแค่ไหนที่ต้องรับรู้ว่า...ลูกชายของฉัน...มีแฟนเป็นผู้ชาย ตลอดระยะเวลาที่บูมเขากลับมาหาเธอ ฉันเป็นทุกข์มากแค่ไหนเธอรู้ไหม เธอคงไม่รู้หรอก...เพราะเธอไม่เคยเป็นแม่ แต่ฉันจะบอกเธอว่า...ฉันเจ็บปวดใจทุกครั้งเวลาที่บูมมาหาเธอ เวลาที่พ่อแม่คนอื่นๆ ถามถึงบูมว่ามีแฟนหรือยัง ฉันก็ไม่รู้ว่าจะตอบคนอื่นว่ายังไง เธอรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไงเวลาที่เห็นลูกชายคนอื่นๆ แต่งงานมีครอบครัว มีลูกสืบสกุล เป็นที่ยอมรับของคนอื่นๆ เธอลองคิดดู...ถ้าวันหนึ่งเขาเป็นประธานบริษัทแล้วคนอื่นๆ ก็รู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ ใครจะเคารพเขา นี่ยังไม่นับญาติพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูงและคนที่เรารู้จัก ฉันคงรับไม่ได้หรอกถ้าหากลูกชายของฉันต้องโดนล้อหรือถูกซุบซิบนินทาว่ามีแฟนเป็นผู้ชาย เมื่อเขาแก่ตัวลงเขาก็จะไม่มีลูกหลานมาคอยดูแลเหมือนคนอื่นๆ ฉันคงปล่อยให้ลูกฉันมีชีวิตแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ"
คุณทิพย์นภาหยุดพูดเพื่อดูว่าทิวมีปฏิกิริยาอย่างไร เมื่อเห็นทิวก้มหน้าไม่พูดไม่จาเธอก็พอจะเดาได้ว่าทิวกำลังถูกต้อนเข้าไปในมุมที่เธอต้องการแล้ว
"ฉันมั่นใจนะว่าเธอ...รักลูกชายของฉันจริง ถ้าเธอเป็นผู้หญิงฉันก็อาจจะไม่ขัดข้อง ถึงแม้เธอจะไม่ได้มาจากครอบครัวผู้ดีอะไรนัก แต่เมื่อเธอเป็นแบบนี้ ฉันพูดตรงๆ ว่า...ฉันรับไม่ได้หรอก ฉันคิดว่าเธอคงจะเข้าใจว่าทำไม"
น้ำตาของทิวค่อยๆ ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาไม่มีคำพูดใดๆ ที่จะโต้แย้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังรู้สึกอะไรอยู่ รู้แต่ว่า เขาผ่านเรื่องราวร้ายๆ มามากมายก็จริง แต่ก็ไม่เคยรู้สึกว่าจะมีครั้งไหนที่จะทำให้เขารู้สึกถึงความต่ำต้อยด้อยค่าของชีวิตได้เท่ากับครั้งนี้เลย
"เธอควรจะรู้ไว้ซะบ้างว่าเธอ...ไม่มีอะไรคู่ควรกับเขา...ไม่มีแม้แต่นิดเดียว ถ้าบูมอยู่กับเธอ เขาก็จะไม่มีอนาคต จะไม่มีใครยอมรับและเคารพเขา เธอรู้ไหมว่าความรักของเธอกำลังทำลายอนาคตเขาอยู่" หากไม่ติดว่าอยู่ในร้านอาหาร คุณทิพย์นภาคงพูดเสียงดังมากกว่านี้ แต่เธอก็ทำได้เพียงกัดฟันและใช้สีหน้าแสดงอารมณ์โกรธเกรี้ยวออกมา
กรามที่นูนเด่นออกมาทั้งสองข้างทำให้ทิวรู้ว่าคุณทิพย์นภารู้สึกโกรธเกลียดเขามากแค่ไหน ทิวน้ำตาไหลพรากอาบแก้มทั้งสองและสะอื้นอย่างน่าสงสาร แต่คุณทิพย์นภาก็ไม่ลดละเพราะเธอรู้ว่าทิวกำลังเพลี่ยงพล้ำจึงต้องใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์
"ถ้าเธอรักเขาจริง เธอก็ไม่ควรทำลายอนาคตของเขา เธอมีลูกให้เขาไม่ได้ เป็นภรรยาที่เชิดหน้าชูตาให้เขาหรือครอบครัวของเราไม่ได้ นี่คือความจริงที่เธอต้องเข้าใจ เธอไม่ควรจะเห็นแก่ตัว ได้ยินไหม เธอไม่ควรจะเห็นแก่ตัว ถ้าเธอรักเขาเธอก็ต้องปล่อยให้เขาไปมีอนาคต อนาคตที่เกย์จนๆ อย่างเธอไม่มีทางให้เขาได้ เธอกำลังเห็นแก่ตัวอยู่รู้ไหม เธออย่าใช้ความรักของเธอทำลายคนอื่น ถ้าเธอรักลูกชายของฉัน เธอก็ต้องปล่อยเขาให้ไปมีอนาคตที่ดีกว่าจะอยู่กับเธอ เข้าใจไหม เธอต้องปล่อยเขาไป" คุณทิพย์นภาหวดกระหน่ำไม่ยั้งและย้ำคำพูดที่จะให้ทิวปล่อยลูกชายของเธอหลายครั้งอย่างไม่ปราณีปราศรัยเพื่อที่จะตอกย้ำให้ทิวรู้สึกผิดว่า...เขากำลังทำลายอนาคตของลูกชายเธออยู่ ก็ได้ผลทีเดียว
ทิวใช้มือสองข้างปิดหน้าแล้วก็ปล่อยโฮ แม้คุณทิพย์นภาจะรู้สึกสงสารอยู่บ้างแต่เธอก็ไม่คิดที่จะหยุดเล่นงานทิว ยังไงลูกชายของเธอก็สำคัญกว่า ต่อให้ทิวขาดใจตายตรงหน้าเธอก็หยุดไม่ได้ อย่าหาว่าเธอใจร้ายเลยละกัน เพื่ออนาคตของลูกเธอทำได้ทั้งนั้นแหละ
"ที่ฉันเรียกเธอมาคุยด้วยวันนี้ เพราะฉันมีเรื่องอยากจะขอร้องเธอ แต่ก่อนที่ฉันจะบอกอะไรบางอย่างกับเธอ ฉันก็อยากให้เธอเข้าใจฉันว่า...ฉันก็เป็นแค่แม่คนหนึ่งที่รักลูกของฉัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ที่ฉันทำทั้งหมด...ก็เพื่ออนาคตของลูกซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่เธอไม่มีวันเข้าใจจนกว่าเธอจะมีลูกเสียเอง"
ทิวเงยหน้าขึ้นมองแม่ของบูมด้วยคราบน้ำตาเต็มหน้า พยายามสะกดกลั้นที่จะไม่ร้องไห้เพื่อที่จะฟังสิ่งที่คุณทิพย์นภากำลังจะบอก
"เช็ดซะ" คุณทิพย์นภาพูดพลางหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้ทิว ทิวก็รับมาแล้วก็ซับคราบน้ำตาที่เปรอะเปื้อนใบหน้า
เมื่อเห็นทิวพร้อมที่จะฟังคุณทิพย์นภาก็บอกสิ่งที่เธอต้องการทันที "ฉันอยากจะขอร้องให้เธอ...เลิกติดต่อกับลูกชายของฉัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เมื่อเขาไปเรียนต่อแล้ว เธอจะต้องไม่ติดต่อเขาอีก ฉันให้เวลาเธอได้อยู่กับลูกชายของฉันถึงแค่วันที่เขาจะเดินทางเท่านั้น และฉันก็หวังว่า...เธอจะเข้าและเห็นใจครอบครัวของเรา หวังว่าเธอ...จะยอมปล่อยบูมไปเพื่ออนาคตของเขา เธอสัญญากับฉันได้ไหม"
เหมือนหัวใจของทิวถูกฉีกขาดสะบั้นออกจากกัน คำขอร้องนั้นมันไม่ต่างอะไรกับการฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น แต่ทิวจะทำอะไรได้ นั่นเป็นลูกชายของเขา ทิวเป็นเพียงคนอื่นที่เข้ามาภายหลัง ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำลายอนาคตของคนที่เรียกได้ว่าเป็นแก้วตาดวงใจของครอบครัวนั้นหรอก
ทิวเดินออกมาจากร้านนั้นราวกับชีวิตได้หลุดลอยไปจากตัวแล้ว โลกทั้งโลกเงียบงันและว่างเปล่าแม้จะมีคนเดินผ่านไปมาอยู่รอบตัว ฝนฟ้าข้างนอกเริ่มตกและกระหน่ำเทลงมาราวกับฟ้าถล่ม ฝนฟ้าคงอยากจะช่วยปลอบใจเขาบ้างจึงได้ร้องไห้เป็นเพื่อน ทิวเดินตากฝนไปโดยไม่รู้สึกถึงความเหน็บหนาว ไม่สนใจที่จะหยุดพักหรือหลบฝน ไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปอีกนานแค่ไหน แต่ก็เดินไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็มาถึงที่ทำงานแล้ว
"ทิว...ไปไหนมา ทำไมตัวเปียกแบบนี้ล่ะ" เอิร์ธถามด้วยความแปลกใจพลางลุกจากโต๊ะแล้วเดินมาหาทิว
"ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไหม เปียกหมดเลย เดี๋ยวผมไปเอาเสื้อในรถมาให้นะ"
ก่อนที่เอิร์ธจะได้วิ่งออกไปทิวก็ทรุดลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรงแล้วก็ร้องไห้ เขาไม่ได้อยากใช้เวลางานในเรื่องส่วนตัวหรอกนะ แต่ทิวไม่ไหวแล้วจริงๆ ทิวไม่สามารถที่จะพูดคำใดออกมาได้นอกจากร้องไห้ ร้องแล้วก็ร้องอีก
"ทิว...นายเป็นอะไร" เอิร์ธนั่งลงข้างๆ พลางถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง อยู่ดีๆ ทิวก็กลับมาด้วยสภาพแบบนี้แล้วก็เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ไม่พูดไม่จาอะไร
"จะให้เราโทรหาบูมไหม เดี๋ยวเราจะบอกให้บูมมาเดี๋ยวนี้เลย" เอิร์ธเสนอ แต่ทิวก็รีบยกมือห้ามไว้พร้อมกับส่ายหน้า
เห็นแล้วเอิร์ธก็ได้แต่สงสาร เขาทำได้เพียงเอามือแตะไหล่และพูดให้กำลังใจเพราะคิดว่าคงไม่สามารถทำอะไรมากกว่านี้ได้ ทิวไม่อยู่ในสภาพที่จะรับฟังเรื่องใดๆ เลย "ใจเย็นๆ ทิว ทำใจให้สบายนะ นายจะกลับบ้านก่อนไหม ไปพักก่อนก็ได้ เดี๋ยวเย็นๆ เราไปรับมาอีกที"
ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากทิว เย็นนี้บูมว่าจะเข้ามาที่สำนักงานเพราะจะเขาจะต้องเริ่มทำรายงานส่งแหล่งทุน เขามีเวลาเพียงเดือนเดียวเท่านั้นที่จะทำรายงานให้เสร็จก่อนจะไปเรียนต่อที่เมืองนอก เย็นนี้พวกเขาจึงวางแผนกันว่าคงจะอยู่ดึกหน่อยเพื่อช่วยบูมทำรายงาน
เมื่อเห็นทิวไม่ตอบเอิร์ธจึงคิดว่าเขาไม่ควรจะรบกวน ปล่อยให้ทิวสงบสติอารมณ์ด้วยตัวเองคงจะดีกว่า "เดี๋ยวเราลงไปเอาเสื้อผ้าในรถเรามาให้นายเปลี่ยนนะ นายรออยู่นี่แหละ" บอกแล้วเอิร์ธก็เดินออกไปแต่ก็ไม่วายหันมามองอย่างเป็นห่วง
----------------------------------------------------------
"เฮ้ยบูม...ทิวเป็นไรไม่รู้ เห็นหายไปเมื่อตอนเที่ยงๆ กลับมาอีกทีก็ตัวเปียกไปหมด แล้วก็เอาแต่ร้องให้ ผมถามอะไรเขาก็ไม่พูด" เอิร์ธตัดสินใจโทรไปบอกบูมขณะที่เดินลงมาเอาเสื้อผ้าที่ชั้นจอดรถใต้ดิน เขาคิดว่ามีแต่บูมเท่านั้นที่จะช่วยทิวได้ตอนนี้
"จริงเหรอเอิร์ธ รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ทิวร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรทิว" บูมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ตอนนี้เขาออกมานำเสนองานกับลูกค้าสำคัญข้างนอกพร้อมกับพ่ออยู่ ปกติพ่อจะไม่ค่อยมานำเสนองานเองเท่าไร แต่คราวนี้เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่น่าจะทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้นมากพ่อจึงต้องมาด้วย
"ผมไม่รู้จริงๆ เห็นหายไปเกือบชั่วโมง พอกลับมาก็เป็นแบบนี้ ตอนนี้ยังนั่งร้องไห้ในออฟฟิศอยู่เลย บูมมาดูหน่อยละกัน ทิวไม่ยอมพูดอะไรเลย เราไม่รู้จะปลอบยังไงแล้ว สงสัยเขาจะเสียใจมาก...แต่ไม่รู้ว่าเรื่องอะไร อ้อ...บูมอย่าบอกนะว่าผมโทรมาบอกบูมเรื่องนี้ ผมถามทิวว่าจะให้ผมโทรมาบอกบูมไหม เขาก็ยกมือห้าม เหมือนเขาไม่อยากให้บูมรู้"
บูมรับคำแล้วก็วางโทรศัพท์ลงด้วยความมึนงง เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้ทิวเสียใจถึงขนาดนั้น ที่ผ่านมาก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรแล้วนี่นา แม่ก็ดูเงียบๆ ไป ไม่ค่อยมากดดันเขามากเหมือนก่อน พ่อก็ยอมรับทิวได้แล้ว เมื่อหลายเดือนก่อนที่เขาพาทิวมากินข้าวกับพ่อ ก็เห็นพ่อพูดคุยกับทิวได้โดยไม่มีปัญหาอะไร แถมพ่อยังให้เขาพาทิวมาหาบ่อยๆ ด้วย เพียงแต่ไม่เคยพาทิวไปที่บ้านเท่านั้นเอง หรือว่าจะเป็นต้อง...แต่เห็นทิวบอกว่าต้องหายไปหลายเดือนแล้ว หรือว่าจะเป็นแพรว...แต่แพรวกับเขาก็ถอนหมั้นกันไปด้วยดีแล้ว แพรวเองก็ยกเลิกที่จะฟ้องร้องเขาด้วย ไม่น่าจะมาทำอะไรกับทิวอีก แล้วทิวกำลังเสียใจเรื่องอะไรกันจนต้องร้องไห้ในที่ทำงานแบบนั้น
-----------------------------------------------------------
แต่กว่าบูมจะมาถึงออฟฟิศก็เกือบสี่โมงเย็น ถึงจะเป็นห่วงทิวมากแค่ไหนแต่เขาก็ต้องรับผิดชอบงานสำคัญไว้ก่อน เขาก็พยายามเร่งอย่างเต็มที่ พอนำเสนองานกับลูกค้าและซักถามกันเรียบร้อยแล้ว บูมก็รีบขออนุญาตพ่อมาหาทิวทันที โชคดีที่พ่อเข้าใจจึงไม่มีปัญหาอะไร
แต่พอมาถึงก็กลับเห็นทิวนั่งทำงานเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แถมยังยิ้มให้เขาอีกตอนที่เดินเข้ามาในออฟฟิศ
"อ้าวบูม...ทำไมมาไวจังล่ะ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยไม่ใช่เหรอ"
แต่บูมก็หน้าตาตื่นรีบปรี่เข้าไปหาทิวที่โต๊ะทำงานทันที "นายเป็นอะไรหรือเปล่าทิว ใครทำอะไรนาย" บูมถามแล้วก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ
ทิวทำหน้าสงสัยพลางมองไปที่เอิร์ธ บูมรู้ได้ยังไงว่าเขา "เป็นอะไร" เพราะเขาเป็นคนบอกเอิร์ธเองว่าไม่ต้องโทรหาบูม เหมือนบูมจะรู้ว่าพลาดไปแล้วจึงรีบพูดกลบเกลื่อนว่า
"อ๋อ...พอดีเราเลิกงานเสร็จเร็วน่ะ...ก็เลยรีบมา ไม่มีอะไรหรอก พอดีเห็นนายนั่งหน้าเครียดก็เลยถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า"
เอิร์ธจึงรอดตัวไป แต่ถึงทิวจะรู้ว่าเอิร์ธบอก ทิวก็คงไม่ว่าอะไรเอิร์ธหรอกเพราะทิวเป็นคนนิสัยดีไม่ชอบมีเรื่องกับใคร
ทิวแต่ยิ้ม แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่แฝงความเศร้าไว้พอรู้สึกได้ ทำให้บูมพอจะเดาได้ว่าทิวคงมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ยังไม่อยากบอกเขาตอนนี้
"กินอะไรมาหรือยัง เอาโกโก้เย็นสักแก้วไหม เดี๋ยวเราทำให้ เอิร์ธด้วย เอาไหม"
อารมณ์ของทิวที่เปลี่ยนไปราวกับว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรเลยทำให้บูมกับเอิร์ธออกจะงงๆ หน่อยๆ บูมไม่ได้คิดว่าเอิร์ธโกหกหรอก แต่เขาอยู่กับทิวมานานจึงพอรู้ว่าทิวยังไม่พร้อมที่จะบอกเท่านั้นเอง คงจะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก บูมชักอยากจะรู้เสียแล้วสิ
"ก็ดีเหมือนกัน เอาเหมือนเดิมเลยนะ" บูมบอกแล้วก็หันไปมองเอิร์ธเพราะต่างก็ไม่เข้าใจทิวด้วยกันทั้งคู่
"เหมือนบูมก็ได้" เอิร์ธบอกด้วยสีหน้างงๆ ไม่แพ้กัน เมื่อกี้ทิวยังร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่เลย แต่พอเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาก็กลับมานั่งทำงานเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ก็ไม่ใช่อะไรหรอก ทำไมทิวจะไม่เสียใจล่ะ แต่เขาคิดว่า...ช่วงเวลาที่เหลืออยู่นี้ เขาอยากจะอยู่ดูแลบูมและทำทุกอย่างให้ดีที่สุดก่อนที่เขาจะไม่มีโอกาสได้ทำอีกแล้ว การที่คนอย่างเขาได้มาเจอผู้ชายดีๆ คนนี้ ได้รักกัน ได้อยู่ในอ้อมแขนที่แสนอบอุ่นในยามหลับไหล ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันและทำอะไรร่วมกันอีกมากมายก็นับว่าเป็นเรื่องโชคดีมากแล้ว คนอีกหลายคนยังต้องวิ่งวนไขว่คว้ากว่าจะได้เจอรักแท้สักครั้งในชีวิต บางคนไม่เจอเลยด้วยซ้ำ แต่ทิวรู้ว่าความรักที่เขาได้มาจากบูมครั้งนี้คือรักแท้ เขาโชคดีที่สุดแล้ว จะเรียกร้องอะไรอีกในเมื่อเขาก็ไม่คู่ควรกับบูมเลยสักนิด เขาไม่ควรจะได้สิ่งนี้มาตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้น...ใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้คุ้มค่าเถอะ อย่ามัวแต่คร่ำครวญ เสียใจและเรียกร้อง เท่ากับเป็นการปล่อยเวลาให้เสียไปโดยไร้ประโยชน์ นายไปมีอนาคตที่ดีเถอะนะบูม โลกของเราสองคนมันต่างกันเหลือเกิน เราคงทำบุญมาด้วยกันแค่นี้ แต่มันก็เป็น "แค่นี้" ที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตของเราแล้วล่ะ
ตกเย็น วิท ลีน่าและแอนเดอร์สันก็มาสบทบด้วย บูมนั่งพิมพ์งานอย่างเอาเป็นเอาตาย คนอื่นๆ ก็คอยหาข้อมูลที่บูมต้องการให้ เอิร์ธกับแอนเดอร์สันช่วยรวบรวมภาพกิจกรรมแล้วก็เอามาตกแต่งให้สวยงาม วิทช่วยรวบรวมข้อมูลและข่าวประชาสัมพันธ์ทั้งหมด ลีน่าช่วยสรุปข้อมูลด้านการเงิน ส่วนทิวกับบูมก็ช่วยกันเขียนสรุปข้อมูลการทำงานและผลจากการทำงานทั้งหมด เนื่องจากผลงานมีค่อนข้างมาก คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสัปดาห์ในการรวบรวมเป็นรายงานให้เสร็จสมบูรณ์
--------------------------------------------------
กลับมาถึงบ้านก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว พอหัวถึงหมอนบูมก็ร้องครางเพราะนั่งนานจนรู้สึกปวดหลัง
"เรานวดไหล่ให้นะ นายลุกขึ้นก่อน" ทิวบอกพลางลุกขึ้นนั่ง บูมก็ลุกขึ้นนั่งตามและหันหลังให้ทิวเพื่อให้เขาช่วยนวดหลังให้
นวดไปสักพักบูมก็บอกให้ทิวหยุดเมื่อรู้สึกดีขึ้น "พอแล้วล่ะ เราหายเมื่อยแล้ว นายเมื่อยบ้างไหมเดี๋ยวเราช่วยนวดให้"
ทิวหยุดมือแล้วก็บอกไปว่า "ไม่เป็นไร ยังไม่ค่อยเมื่อยเท่านายหรอก วันนี้นายคงเหนื่อยน่าดูเลย เราเห็นพิมพ์ไม่หยุด"
"อืม...ช่วงนี้คงต้องเหนื่อยหน่อย เราต้องทำรายงานเสร็จให้ทันก่อนไปเรียนต่อ ไม่งั้นจะโดนแบล็คลิสต์"
ทิวสวมกอดบูมไว้จากข้างหลังแล้วก็ซบลงบนไหล่เขา คิดถึงเรื่องเมื่อกลางวันนี้แล้วทิวก็รู้สึกใจหาย "บูม...เรา...ขอบคุณนายมากที่กลับมาหาเรา นายรู้ไหมว่า...ตลอดเวลาที่นายอยู่ด้วยเรามีความสุขมากแค่ไหน เราไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้...วันที่นายกลับมาหาเราอีกครั้ง...วันที่เราได้รักกัน...ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเหมือนคู่รักทั่วๆ ไป เราโชคดีที่สุดเลยที่คนอย่างเรา...มีโอกาสได้รักนาย"
น้ำเสียงของทิวดูเศร้าๆ ชอบกล บูมกลับคิดไปว่าทิวคงเศร้าเพราะอีกไม่นานเขาก็จะไปเรียนต่อเมืองนอกแล้ว นั่นก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่เขาไม่รู้หรอกว่าทิวเศร้ายิ่งกว่านั้นอีก เพราะทิวคงจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว คราวนี้...คงต้องจากกันจริงๆ จากกันไปจนกว่าจะตายจากกัน
"เราก็เหมือนกันนะทิว...นายเป็นคนที่...วิเศษที่สุดในชีวิตของเราเลยรู้หรือเปล่า"
"ขอบคุณมากบูม" ทิวบอกแล้วก็กอดบูมแน่นขึ้น เขาต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะสะกดกลั้นน้ำตาไว้ บูมกุมมือทิวไว้ตรงหน้าท้องของเขา ต่างคนต่างเงียบไปสักพักเหมือนกับจะให้สัมผัสทางกายได้ทำหน้าที่แทนคำพูดในการถ่ายทอดความรู้สึกบ้าง บางทีมันก็ทำหน้าที่ได้ดีกว่าคำพูดด้วยซ้ำไป
"นอนเถอะทิว ดึกแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้า" บูมบอก
ทิวจึงรู้สึกตัว เขาปล่อยมือจากบูมแล้วต่างคนต่างก็ค่อยๆ ล้มตัวลงนอน "ให้เรากอดนายบ้างนะ" ทิวบอกแล้วก็กอดบูมไว้โดยไม่รอให้บูมตอบรับเสียก่อน
บูมยิ้มแล้วก็ขำ "วันนี้ทิวดูแปลกๆ นะ" แต่บูมก็ไม่ได้ว่าอะไร ปกติเขาจะเป็นคนกอดทิวแล้วก็นอนหลับไป วันนี้ทิวคงอยากเปลี่ยนบทบาทบ้างเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ พอถูกกอดบ้างบูมก็รู้สึกว่าดีเหมือนกัน
แต่บูมก็ไม่รู้หรอกว่า หลังจากที่เขาหลับไปแล้ว ทิวก็นอนร้องไห้เงียบๆ จนกระทั่งหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน
--------------------------------------------------------
"บูม...แม่เป็นไรไม่รู้ ไม่ยอมลงมากินข้าวกินปลาเลย เหมือนจะไม่สบายด้วย พี่จะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมไป เอาข้าวขึ้นไปให้แม่ก็ไม่ยอมกิน บูมรู้ไหมว่าแม่เป็นอะไร บูมทะเลาะอะไรกับแม่หรือเปล่า"
สิ่งที่บีมโทรมาบอกทำให้บูมรู้สึกแปลกใจมากทีเดียว ทิวเพิ่งมีอาการแปลกๆ เมื่อไม่กี่วันนี้ ตอนนี้แม่ก็ทำตัวแปลกๆ บ้างไปอีกคนโดยไม่มีสาเหตุ
"ไม่นี่ครับพี่บีม หลังๆ นี้ผมไม่ได้ทะเลาะอะไรกับแม่เลยครับ" บูมตอบแล้วก็เดินออกจากโต๊ะทำงานไปคุยตรงที่ไม่ค่อยมีคนนัก
"เหรอ...เอ...แล้วแม่เขาเป็นอะไร หรือว่าเขาทะเลาะกับพ่อ"
"ไม่นี่ครับ...ก็เห็นพ่อกับแม่คุยกันปกตินะครับพี่...เอ...ว่าแต่ว่า แม่เขาไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมไปโรงพยาบาลท่าเดียวเลยเหรอครับ"
"ใช่ พี่ว่ามันแปลกๆ นะบูม พี่เห็นแม่เขาซึมๆ ยังไงไม่รู้ พี่ถามอะไรแม่ก็ไม่ค่อยพูด บอกแค่ว่าไม่หิว ไม่กิน ไม่ไปไหนทั้งนั้น อยากอยู่คนเดียว"
"เหรอครับ...แปลกจังเลย แล้วพี่บอกพ่อหรือยังครับ" บูมถามถึงพ่อเพราะวันนี้เขาไม่ได้ไปทำงานที่ออฟฟิศของพ่อ
"ยังเลย...เดี๋ยวพี่ลองถามพ่อดูก่อนละกัน เผื่อพ่อจะรู้ว่าแม่เป็นอะไร แต่เดี๋ยวพี่อยู่ดูแลแม่เอง วันนี้พี่ไม่มีงานที่ไหน"
"ครับพี่...ฝากดูแลแม่ด้วยนะครับ เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะกลับบ้าน"
พอวางสายแล้วบูมก็ขมวดคิ้วอย่างสงสัย ทำไมอยู่ดีๆ แม่ถึงมีอาการแบบนั้นเพราะแม่ไม่ได้ทะเลาะกับใครเลย ไม่ว่าจะเป็นเขาเอง พี่บีมหรือพ่อ เกิดอะไรขึ้นอีกแล้วหรือนี่....
ผ่านไปสามวันแล้วคุณทิพย์นภาก็ไม่ยอมลุกขึ้นมากินข้าว ไม่ยอมไปหาหมอ ไม่ยอมออกจากห้อง ไม่ว่าใครจะพูดหรือโน้มน้าวยังไง ไม่ว่าจะเป็นพ่อ บีมหรือบูม ทุกคนต่างโดนไล่ตะเพิดออกมาจากห้องของแม่ทั้งนั้น คนรับใช้ก็โดนฤทธิ์เดชไปด้วย ทำให้ทุกคนในบ้านกลุ้มใจเป็นอย่างมาก คุณทิพย์นภาเริ่มผ่ายผอมลงอย่างเห็นได้ชัด หากปล่อยไว้แบบนี้คงได้เกิดโศกนาฎกรรมขึ้นในบ้านอย่างแน่นอน
บีมเห็นท่าจะไม่ดีจึงใช้วิธีอุ้มแม่ลงมาจากบ้านแล้วพาไปส่งโรงพยาบาลท่ามกลางเสียงร้องโวยวายของคุณทิพย์นภา
"ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน รักพ่อของแกมากก็ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ปล่อยให้ฉันตายไปเลย ฉันไม่ไป ปล่อยแม่ลงเดี๋ยวนี้นะบีม ปล่อยแม่เดี๋ยวนี้"
แต่บีมก็ไม่ได้ทำตามอย่างที่แม่โวยวาย บูมเปิดประตูรถรอไว้ พ่อก็นั่งตรงที่นั่งคนขับ พอบีมพาแม่เข้าไปในรถได้ บีมก็เข้าไปนั่งด้านหลังกับแม่ บูมนั่งหน้าแล้วพ่อก็ขับรถออกไปทันที นั่นแหละจึงทำให้คุณทิพย์นภาหมดฤทธิ์และยอมไปหาหมอได้ แต่ก็เล่นก็เอาเหนื่อยและเครียดไปตามๆ กัน