Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 227
Message ID: 21
#21, RE: ผม น้องชาย เพื่อน หนุ่มแปลกหน้าและแฟนสาวของเขา
Posted by อิ๊ก on 22-Nov-11 at 00:10 AM
In response to message #20
ขออภัยที่ช้านะครับ เน็ตผมเชี่ยวมาก - -'

ตอนที่ 6 ที่ที่คุ้นเคย


โยเซฯ แวลลีย์จากอาร์ทิสท์ พอยท์ (Photo by: http://www.yosemitehikes.com)


โยเซฯ แวลลีย์จากทูนเนล วิวในวันหมอกหนา (Photo by: อิ๊ก)

เรากลับถึงที่พักตอนเกือบบ่ายสอง หิวโซมาก กินข้าวหมดกันอย่างรวดเร็ว มีคนถามขึ้นมาว่าจะทำอะไรต่อ เฟมเสนอให้ไปที่จุดชมวิวหุบเขาซึ่งใช้เวลาเดินอีกประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่ซ่าบอกว่าวันนี้เดินไม่ไหวแล้ว เพราะโดดน้ำไปหลายรอบ ขอนอนพักชิลๆ ดีกว่า ภาพของซ่ากับเฟมแก้ผ้าโดดน้ำยังติดอยู่ในสมองของผมตลอด คืนนี้ผมจะต้องชักว่าวในห้องน้ำด้วยภาพเหล่านี้แน่นอน

จู่ๆ เอ็มเดินเข้ามาแล้วถามว่า ใครอยากไปดูต้นไม้ยักษ์ที่มาริโปซ่า กรูฟบ้าง ผมต้องยอมรับว่าถึงจะไม่ไว้ใจหมอนี่นัก แต่เขาก็เหมือนจะรู้ใจผมทุกเรื่องจริงๆ

ที่มาริโปซ่า กรูฟนั้น อยู่ไกลจากโยเซ แวลลีย์ที่เราอยู่ไปประมาณเกือบห้าสิบกิโล เมื่อสามปีที่แล้วผมก็ไม่ได้ไป แล้วก็อยากไปมาก เพราะที่พี่สาวถ่ายรูปมาให้ดูนั้นเหมือนเข้าไปเดินอยู่ในป่าเอลฟ์ในลอร์ดออฟเดอะริงเลย อีกอารมณ์หนึ่งก็ประมาณเกมไฟนอลแฟนตาซี เพราะเกมนี้มีกรูฟอะไรต่อมิอะไรเยอะไปหมด เอ็มบอกว่าพอดีจะมีนักท่องเที่ยวกลับลงไปทางสาย 41 ซึ่งจะผ่านพอดีถ้าเราจะไปก็ติดรถเขาไปได้ เพียงแต่ว่าไปได้ไม่เกิน 4 คนเท่านั้น

เมื่อผมแปลให้ต้นฟัง น้องก็ทำท่าสนใจขึ้นมา ถามว่าผมจะไปไหม และผมตอบว่าไป ตั้งแต่ที่ต้นเริ่มแตกหนุ่ม และเราเริ่มสนิทกันมากขึ้น คือมากกว่าที่เคยสนิทกันตอนที่เขายังเด็กกว่านั้น ถ้าต้นมาอยู่ที่บ้านผม คือไม่ว่ามาเที่ยวช่วงปิดเทอมตอนอยู่ม.ต้น หรือตอนมาอาศัยอยู่ที่บ้านผมตั้งแต่ขึ้นม.4 เขาจะตัวติดกับผมตลอด ถ้าไม่นับหลังเลิกเรียนแล้ว ต้นแทบจะไม่ไปไหนถ้าผมไม่ไปด้วย แล้วผมไปไหน ก็แทบจะต้องมีต้นตามไปด้วยทุกครั้ง ดังนั้นที่ต้นถามว่าผมจะไปไหมก็เท่ากับว่า ต้นจะไปเมื่อผมไป

เฟมขอตัวเพราะอยากไปจุดชมวิวมากกว่า ส่วนซ่าดูลังเลว่าจะตามเฟมไปหรือจะนอนอยู่ที่แวลลีย์ (บริเวณที่เราพักเป็นแวลลีย์หรือหุบเขา) ฝนตามพี่ชายไปแน่นอน ส่วนเนิร์ดยังตัดสินใจไม่ได้ เหมือนว่าอยากจะไปที่จุดชมวิวมากกว่า สุดท้ายผมเลยบอกเอ็มว่า ผมกับต้นจะไปกันสองคน

เอ็มนัดสามโมงครึ่ง แต่ก่อนจะถึงเวลานัด ผมเห็นน้องผมหนีไปคุยกับต่ายลำพังสองคน มองปราดเดียวผมก็รู้ว่าคงมีปัญหาละ สุดท้ายต้นเดินหน้าหงิกมาบอกว่าไม่ไปแล้ว

ผมได้ยินก็รู้สึกโกรธขึ้นมา ตั้งแต่เริ่มสนิทกัน น้องเคยมีอาการงอนแบบนี้อยู่สองสามครั้ง ส่วนใหญ่ผมจะไม่ค่อยซีเรียสแล้วก็เฉยๆ ซะ เพราะยิ่งแรงกลับไป น้องก็จะยิ่งแรงกลับมา วัยรุ่นนะครับ แต่ถ้าปล่อยให้อารมณ์ดีเดี๋ยวมันก็มาหาผมเอง แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกน้อยใจลึกๆ ผมรู้ว่าน้องคงอยากให้ผมตัดสินใจอยู่ด้วยกันที่นี่ แต่ผมอยากไปมาริโปซ่า กรูฟมากเลยยิ่งรู้สึกโมโหกับความเห็นแก่ตัวของน้อง ผมพูดไปแค่ว่า


“จะทำให้ครั้งหนึ่งในชีวิตต้องเสียไปเพราะคนคนหนึ่ง คิดดีแล้วเหรอ”


แล้วก็เป็นอย่างที่คาด มันยิ่งงอนจนหน้าแดง น้ำตาคลอหน่วย แต่ผมโกรธเกินกว่าจะมานั่งโอ๋ เลยหยิบกระเป๋ากล้องแล้วเดินไปรอเอ็มและแม็กกี้ที่จุดนัด

ใกล้ถึงสามโมงครึ่ง เอ็มเดินมาหาผมคนเดียวบอกว่าแม็กกี้เจ็บขา กินยาแก้ปวดแล้วก็ขอนอนพักอยู่ที่เต้นท์ ผมชักจะไม่แน่ใจขึ้นมาถ้าจะต้องไปกับเอ็มแค่สองคน ยอมรับว่าผมไม่ไว้ใจเขาเท่าไหร่นัก

เมื่อรถออกขณะที่โทรศัพท์ยังมีสัญญาณผมก็โทรหาเฟมแล้วฝากให้ดูแลต้นด้วย เฟมรับปากแล้วบอกผมว่าไม่ต้องห่วง สองสามีภรรยาเจ้าของรถชวนเราคุยไปตลอดทาง แต่เอ็มตอบกลับไปคนเดียว ผมแค่ยิ้มรับบ้าง ไรบ้างเท่านั้น แค่รู้สึกตงิดใจตรงที่เขาถามว่า เราจะพักกันที่ไหน และเอ็มตอบเขาว่า ยังไม่ได้คิดเลย


Mariposa Grove of Giant Sequoias (Photo courtesy of Delaware North)

เจ้าของรถพาเราไปส่งจนถึงจุดเริ่มเดินเท้า ผมเห็นมีรถจอดอยู่บ้างที่ลานจอดรถก็ใจชื้นขึ้นมา จากเอกสารแล้วเราคงจะเดินได้แค่ส่วนล่างเท่านั้นเพราะตอนนั้นเกือบสี่โมงแล้ว ฟ้าในช่วงเดือนตุลาจะมืดเร็วพอสมควร อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ผมเริ่มกังวลที่ไม่ได้เอาแจ็คเก็ตตัวที่หนากว่านี้มาด้วย เราเดินเข้าไปได้หน่อยเดียว ก็มีครอบครัวหนึ่งเดินสวนออกมา พอพวกเขาคล้อยหลังไปแล้ว เอ็มก็คว้ามือผมไว้แล้วฉุดวิ่งไปตามทาง อากาศสดๆ ของผืนป่าปะทะหน้าผม เลยรู้สึกสนุกดีเหมือนกัน

เมื่อได้เห็นของจริงใกล้ๆ ผมแทบน้ำตาไหล ต้นไม้ยักษ์นี้คือต้นซิคอยย่ายักษ์ แต่ละต้นมีอายุนับพันปี ผมกำลังยืนอยู่ข้างๆ สิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดมาเมื่อพันกว่าถึงสองพันกว่าปีที่แล้ว ต้นที่ใหญ่ที่สุดที่เรายังเดินไปไม่ถึงนั้น มีอายุถึงสองพันเจ็ดร้อยปี ก่อนพระพุทธเจ้าจะประสูติเสียอีก ผมตั้งใจว่าจะรีบเดินเข้าเดินออก แต่พอเห็นกับตาใกล้ๆ แบบนี้ ผมนึกเสียดายอยากจะมาที่นี่ตั้งแต่เช้า และนึกขอบคุณเอ็มอยู่ในใจ ผมหันไปยิ้มให้เขา เอ็มที่มองผมอยู่แล้ว ก็ยิ้มรับและยักคิ้วตอบ

จุดหมายสุดท้ายของเราในทริปนี้คือต้นซิคอยย่าที่ชื่อแคลิฟอร์เนีย ทูนเนล อุโมงค์แห่งแคลิฟอร์เนีย ชื่อนี้มีที่มาชัดเจน เพราะต้นไม้ต้นนี้ถูกเจาะที่ด้านล่างจนเป็นโพรงที่ใหญ่ขนาดที่รถม้าโบราณของฝรั่งลอดผ่านได้ ถ้าจะให้สมัยนี้ก็ต้องบอกว่า ความกว้างของโพรงนั้น รถมินิคูเปอร์วิ่งผ่านได้สบายฉิว

โชคดีที่มีเอ็มมาด้วย ผมให้เขาไปยืนเป็นแบบในโพรงต้นไม้ เขาเดินไปยืนให้ผมแต่โดยดี และถึงจะหล่อขนาดนั้น แต่ผมก็ให้เขาหันหลังให้ผม เพราะได้อารมณ์มากกว่า

ผมไม่ได้ชื่นชอบการมีรูปตัวเองอยู่ในภาพถ่ายเท่าไหร่นัก แต่พอเอ็มถามว่าผมอยากถ่ายไหมผมก็ยื่นกล้องให้เอ็มทันที ด้วยอะไรก็ไม่ทราบได้ แต่ผมรู้สึกคุ้นเคยกับที่นี่มากๆ คุ้นกับภาพควันไฟที่ลอยเฉื่อยฉิวออกมาจากปล่องควันของบ้านไม้หลังเล็กกลางป่าซิคอยย่ายักษ์ ผมจะเคยมีชีวิตอยู่ในป่านี้มาก่อนรึเปล่านะ

ที่ป่าซีคอยย่ายักษ์นี้ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่า ผู้ที่เข้มแข็ง ไม่ใช่ผู้ที่จะอยู่รอดตลอดไป สาเหตุที่ซิคอยย่าอยู่มาได้นับพันปีนี้ก็เพราะความเปราะของมันนั่นเอง ไม้ซิคอยย่าไม่สามารถเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์ได้ มันจึงไม่ถูกตัดโค่น และปล่อยให้เติบโตมาได้ถึงขนาดนี้ (ไม่นับพวกนักตัดไม้ในยุคหนึ่งที่ทำเพื่อความเท่) เทียบกับไม้เนื้อแข็งส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ได้ถึงร้อยปีก็นับว่าเก่งแล้ว

ผมนั่งกอดเข่าอยู่ในโพรงต้นไม้ เอ็มถ่ายรูปให้ผมไม่รู้กี่รูปก็เดินเอากล้องมาใส่กระเป๋าคืนให้ผม ผมมองหน้าเขาอยากจะพูดว่าขอบคุณ แต่เอ็มกำลังโน้มหน้าหวานๆ ของเขาเข้ามาหาผมแล้ว

เอ็มจูบผม และผมจูบเอ็ม อากาศที่เริ่มเย็นลงทำให้ผมตัวสั่น ผมรู้สึกได้ว่าท่อนแขนแข็งแรงของเอ็มกอดผมไว้อย่างแผ่วเบา ที่ป่ากว้างใหญ่ เราสองคนเหมือนมดตัวเล็กๆ และบริเวณรอบๆ ก็ไม่มีใครอยู่ที่นั่นอีกเลย

เอ็มเอามือมาลูบเป้ากางเกงผม เขาคงสัมผัสได้กับท่อนเนื้อของผมที่ขยายตัวแข็งเกร็ง ผมเอามือลูบไปที่เป้ากางเกงของเอ็มบ้างและพบว่ามันแข็งสู้มืออยู่แล้ว พอผมออกแรงบีบ เอ็มก็จับต้นแขนทั้งสองข้างของผมแล้วยกตัวผมให้ยืนขึ้น เอ็มดันผมประชิดกับผนังของลำต้นไม้แล้วบดลิ้นกับผมอย่างหนักหน่วง มือเอ็มสาละวนกับการปลดซิบกางเกงผมและพยายามล้วงเอาท่อนเนื้อของผมออกมา แต่ผมเจองานง่ายกว่า เอ็มปลดตะขอกางเกงออกตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ พอผมรูดซิบ กางเกงก็เปิดอ้าออก ถึงแม้เขาจะเปลี่ยนจากขาสั้นมาใส่ยีนส์แล้ว แต่ก็ยังคงไม่ได้ใส่ชั้นในผมจึงคว้าท่อนยักษ์ของเอ็มออกมาได้อย่างง่ายดาย เอ็มจูบเก่งมากจนผมเคลิ้มไหว แต่เมื่อท่อนเนื้อของเอ็มอยู่ในมือ ผมก็ต้องผละออกจากจูบของเขาเพื่อมองมันให้เห็นกับตา

มือผมที่กำท่อนเนื้ออยู่นั้น ปิดบังได้เพียงไม่ถึงครึ่งท่อน ส่วนที่เหลือยาวใหญ่โผล่พ้นกำมือผมออกมา ผิวสีแทนของเอ็มนั้นไม่รวมถึงของสงวนของเขาซึ่งคล้ำลงเพียงเล็กน้อยจากสีขาวธรรมชาติ หัวสีชมพูบวมเป่งดูสวยงามมากๆ เอ็มยังคงปล้ำไซร้ผมไม่หยุด เขาละมือออกจากน้องชายของผมแล้วมากอดผมไว้แรงๆ พร้อมไซร้ที่ซอกคอ ผมเสียวจนต้องเขย่งขา ขยับหนีตอหนวดของเขาแต่แขนแข็งแกร่งของเอ็มรั้งผมไว้แน่น

จากนั้นเอ็มยกมือขึ้นมาแล้วกดหัวไหล่ของผมให้นั่งลง

ผมไม่ได้รังเกียจท่อนเนื้อของผู้ชายเลย แต่ก็ใช่ว่าผมจะเคยเอามันเข้าปากบ่อยเสียเมื่อไร แล้วยิ่งเป็นฝรั่งด้วยแล้ว ผมเริ่มรู้สึกกลัว ใจหนึ่งอยากจะเอาลิ้นลงละเลงเลีย อยากใช้ปากครอบเพื่อสัมผัสขนาด ผมจะหาของใหญ่ขนาดนี้ในเมืองไทยคงไม่ง่าย แต่แรงจากท่อนแขนแข็งแกร่งของเอ็มที่กดบ่าผมลงนั้นทำให้ผมเริ่มกลัว

ใบหน้าของแม็กกี้แว่บเข้ามาในหัวของผม ผมเริ่มชะงัก

จากนั้นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของน้องชายผมแว่บเข้ามาในหัว ของผมเริ่มหดลงแล้ว ผมผลักเอ็มออก

แต่เอ็มไม่ยอมออก เขายังพยายามกดผมลงไปและใช้แรงมากขึ้นจนผมเจ็บ ผมเริ่มส่งเสียงดังขึ้นบอกเขาให้หยุด และสุดท้ายผมก็ดิ้นหลุดออกมา

ผมเก็บท่อนเนื้อของผมและรูดซิบ กางเกงยีนส์ของเอ็มเลื่อนหลุดจากสะโพกและเปิดอ้าอยู่ แต่ผมหักใจไม่มองและหยิบกระเป๋ากล้องขึ้นสะพายข้างเดียว

ตอนที่เอ็มเดินเข้ามา เขาใส่กางเกงแล้ว พอถึงตัวผม เอ็มก็กระชากกระเป๋ากล้องผมหลุดจากบ่า ตัวผมเซถลาตามแรงดึงจนเกือบล้ม แต่ผมทรงตัวไว้ได้ เอ็มตะคอกผมเป็นภาษาสเปนซึ่งผมแปลไม่ออกผมหันหลังให้เขาแล้ววิ่ง แต่เขารั้งผมไว้ทันแล้วผลักให้ด้านหน้าผมกระแทกกับผนังต้นไม้เต็มแรง ผมใช้สองมือยันไว้แต่ก็จุกไปเหมือนกัน เอ็มตามเข้ามาประกบข้างหลังผมแล้วดันตัวเขาเข้ามาจนตัวผมแนบกับต้นไม้ เขาพูดเป็นภาษาสเปนอีกซึ่งผมไม่สนใจแล้ว เอ็มปลดตะขอและรูดซิบกางเกงของผมลง แต่ก่อนที่เขาจะดึงกางเกงผมลงไป ผมก็นั่งลงแล้วดิ้นออกมาจนหลุดจากล็อคของเขา

เมื่อเอ็มเดินเข้ามาอีก ผมใช้มือข้างหนึ่งดึงขอบเอวกางเกงยีนส์ขึ้นแล้วยกเท้าถีบที่อกของเขาค่อนข้างแรง เอ็มเซถลาไปทางด้านหลังและล้มก้นจ้ำเบ้า ขณะที่เอ็มนั่งงงอยู่กับพื้น ผมวิ่งไปหยิบกระเป๋ากล้องขึ้นพร้อมคิดหาทางรวดเร็ว แต่ผมไม่สามารถจะหนีเขาไปไหนได้ เพราะเรายังต้องรอโบกรถกลับไปที่แวลลีย์อีก ทางที่ดีที่สุดคือต้องใจดีสู้เสือ ผมค่อยหยิบเอามีดพับสวิสในกระเป๋ากล้องออกมาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงโดยไม่โชว์ให้เอ็มเห็น

ที่ผมกลัวนั้นไม่ใช่จะกลัวโดนข่มขืนนะครับ แต่ผมไม่รู้จะเน้นให้เข้าใจได้มากกว่านี้ยังไงแล้วว่า หน้าตาเจ้าเล่ห์ของเขามันดูไม่น่าไว้ใจจริงๆ และการที่เขามีความสุขกับการเขวี้ยงหินก้อนใหญ่ใส่กระรอกที่อาจจะทำให้มันตายได้นั้น ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะทำอะไรได้อีกบ้าง แม้ว่าผมจะรูปร่างสมส่วนกับความสูง 175 แต่ก็ออกไปทางบางนิดๆ แต่ถ้าเทียบกับเอ็มแล้ว ถึงแม้เขาจะสูงกว่าผมเพียงไม่เกินห้าเซ็นต์ แต่ความหนานั้นผมด้อยกว่าเขาอยู่พอสมควร และถึงแม้ผมจะพอมีดีอยู่บ้าง แต่ใครจะรู้ว่าเขาอาจจะมีดีกว่าผมก็ได้

ผมหมุนเป้ใส่กล้องมาสะพายทางด้านหน้า เมื่อเอ็มยืนขึ้นผมบอกเขาดีๆ ว่าถ้าเราไม่รีบออกไปจะไม่ทันค่ำ เอ็มยืนขึ้นรูดซิบกางเกงปิด แต่ตาของเขามองหน้าผมไม่ลดละ เขาไม่ได้ยิ้มเจ้าเล่ห์อีกแล้ว เอ็มเหมือนกำลังประเมินอะไรอยู่

ผมนึกถึงน้อง คงจะดีแล้วที่ผมให้น้องอยู่ที่แวลลีย์ ผมนึกถึงพ่อแม่ นึกถึงบ้าน นึกถึงเมืองไทย

ผมบอกให้เอ็มเดินนำหน้าไป เมื่อเขาเดินผ่านผม ผมกางขาออกในท่าเตรียมโดยอัตโนมัติ ขณะที่เอ็มเดินผ่านผมไปเขาก็พูดว่า

“I was not gonna hurt you, you know” ชั้นไม่คิดทำร้ายนายหรอก รู้มั้ย แต่ผมยังยืนตั้งท่าอยู่อย่างนั้น เมื่อเอ็มเดินขึ้นหน้าไปแล้ว เขาหันกลับมาถามผมอีกอย่างหัวเสีย

“What are you so scared of?” กลัวอะไรนักหนาหรือ