Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 291
Message ID: 107
#107, RE: ต้นสน - Repost และตอนพิเศษ
Posted by sarawatta on 18-Jul-11 at 08:06 PM
In response to message #0
ตอนจบมาแล้วครับ ผมให้จบแบบที่พ่อแม่ยังไม่รู้อะไรมาก เพราะคิดว่าเมื่อสองคนนี้รักกันและหนักแน่นมั่นคงแล้ว ความรักก็จะนำทางไปเอง

หลังจากนี้ ก็จะตรวจทานและรวบรวมเป็น PDF ไว้ให้เช่นเคยครับ ส่วนเรื่องใหม่ ขอเวลาอีกนิดครับ ตอนนี้ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาเรื่องอะไรดี

จะสังเกตเห็นว่าผมอาจจะนำเนื้อหาบางส่วนของตอนเก่ามาใส่ไว้ด้วย ไม่ได้ขี้เกียจนะครับ แต่รู้สึกว่ามันดีอยู่แล้วก็เลยเอามาใช้อีก

สุดท้ายก็ต้องขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งที่ติดตามอ่านอย่างเหนียวแน่นมาโดยตลอด ดีใจที่ได้เขียนนิยายแล้วทำให้คนมีความสุข (ไม่มากก็น้อย)
สิ่งที่อยากจะขอในตอนท้ายนี้ก็คือ ขอให้ทุกคนจดจำ "ต้นสน" ไว้ตลอดไปก็แล้วกันครับ
----------------------------------------------------------------

ตอนที่ 33: รักจะนำทางเราไป

“ต้น...ตื่น...ตื่นได้แล้ว” สนวิ่งเข้ามาปลุกเพื่อนในห้องนอนหลังจากที่คุยกับแม่จบแล้ว เขาเก็บความดีใจไว้ไม่อยู่จนต้องรบกวนเวลานอนของเพื่อน

ต้นลืมตาตื่นงัวเงีย สนนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ “มีอะไรเหรอ นี่กี่โมงแล้ว” ต้นถามเสียงอู้อี้

“ห้าโมงเย็น” สนยังคงยิ้มอยู่ “เรามีข่าวดีจะบอกนาย”

“อะไรเหรอ” ต้นค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง

“นาเขาไม่ได้ท้อง”

ต้นเลิกคิ้วด้วยความสงสัย “จริงเหรอ นายรู้ได้ยังไง”

สนค่อยๆ หุบยิ้มลงเพราะจะต้องเล่าเรื่องที่เขาไม่รู้ว่าต้นจะสบายใจที่จะฟังหรือเปล่า “แม่เราบอก พอดีแม่เราพยายามโทรหาเรา แต่เราปิดเครื่อง แม่ก็เลยโทรไปหานา แล้ว...นาเขาก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่ฟัง รวมทั้ง...” สนเว้นจังหวะเพื่อสังเกตความรู้สึกของต้น “รวมทั้งเรื่องที่เราสองคน...รักกัน แล้ว...แม่ก็รู้เรื่องของเราสองคนแล้ว แล้วก็...นาเขาบอกแม่ว่าเขาไม่ได้ท้อง เขาแค่โกหกเราเพราะว่าต้องการจะลองใจเรา”

ต้นเริ่มแสดงสีหน้าไม่สบายใจออกมา “แล้วมันเป็นข่าวดียังไงล่ะสน นาเขาเป็นเมียของนายนะ ยังไงนายก็ต้องดูแลเขาต่อไป”

“ต้น...เราไม่ได้รักนาอีกแล้ว เราบังคับใจตัวเองไม่ได้ คนเรา ถ้าลองไม่มีใจให้กันแล้ว มันจะอยู่กันอย่างมีความสุขได้ยังไง จริงไหม...ไม่ช้าก็เร็ว...สักวันมันก็ต้องถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้ เราคิดว่า...เลิกกันตอนนี้ก็ดีกว่าปล่อยให้อะไรมันสายเกินไป เราตัดสินใจแล้วนะต้น เราจะคุยกับนาเอง นายอย่าห่วงเลยนะ เราจะขอแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยตัวเอง ทุกอย่างมันผิดพลาดมาหมดแล้ว เราย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เราก็ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างนี้ แต่เมื่อมันเป็นไปแล้ว เราก็ต้องยอมรับ นายเข้าใจเราใช่ไหมต้น...รับผิดชอบก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ความรักก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้ามันไปกันไม่ได้ ความรับผิดชอบอย่างเดียวก็คงไม่ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นได้หรอก มีแต่จะอยู่กันอย่างทนทุกข์ทรมานมากกว่า นายอยากเห็นเรามีชีวิตอย่างนั้นเหรอต้น นายไม่อยากเห็นเรามีความสุขเหรอ”

เจอคำถามแบบนี้เข้าไปต้นก็เลยเงียบ เขาอาจจะหวังดีกับเพื่อนได้ แต่พอถึงจุดๆ หนึ่ง คนที่จะต้องตัดสินใจจริงๆ ก็คือสน ไม่ใช่เขา “อยากเห็นสิ” ต้นยืนยัน “ก็เอาเป็นว่า นายตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของนายละกันนะสน ตามที่นายเห็นว่าเหมาะสมที่สุด เราเสนอทางเลือกให้นายมามากพอแล้ว ก็คงถึงเวลาที่นายจะต้องตัดสินใจด้วยตัวเองจริงๆ เสียที เราจะคอยเอาใจช่วยละกัน ไม่ว่านายจะตัดสินใจยังไง เราก็จะเคารพการตัดสินใจของนาย”

สองหนุ่มยิ้มให้กัน สนรู้สึกโล่งใจที่เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว “ขอบใจมากต้นที่นายเข้าใจเรา” แล้วสนก็ทำสายตามีเลศนัยบางอย่าง “แล้วนายจะไม่ถามเราสักคำเลยเหรอว่า พอเราเลิกกับนาแล้วเราจะทำอะไรต่อ”

“ถ้าอยากบอกก็บอกเองสิ เราไม่เห็นอยากรู้เลย” ต้นทำหน้าตาย

“ไม่อยากรู้จริงเหรอ” สนจ้องหน้าเพื่อนพลางยิ้ม

“จริงสิ” ต้นตอบพลางยิ้มเขิน

สนเห็นแล้วก็อดหมั่นเขี้ยวในความน่ารักของต้นไม่ได้จึงรวบตัวต้นมากอดไว้ในอ้อมแขน “นี่แน่ะ กวนเราดีนักใช่ไหม”

ต้นพยายามดิ้นหนี “อะไร...นายไม่สบายไม่ใช่เหรอ”

“ใช่...แต่ก็ยังมีแรงอยู่” แล้วสนก็ขู่ว่า “ถ้านายไม่หยุดดิ้นเดี๋ยวเราจะทำโทษนะ”

ได้ผล ต้นหยุดดิ้นทันทีพลางมองหน้าสน “ทำโทษอะไร”

แล้วต้นก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่ออยู่ดีๆ สนก็ก้มลงมาจูบเขาโดยที่เขาไม่ได้ทันได้ตั้งตัว ต้นได้แต่ตะลึงงันตัวแข็งทื่อ แต่สุดท้ายก็ค่อยๆ โอนอ่อนผ่อนตาม รสจูบของสนอ่อนหวานเหลือเกิน เกินกว่าที่ต้นจะหักห้ามและผลักไสมันออกไปได้ สักพักสนจึงค่อยๆ ถอนปากของเขาออก

ต้นเขินอาย ก้มหน้างุดๆ และพยายามไม่สบตากับสน

สนยิ้มและหัวเราะชอบใจ “ต้น...นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าเวลานายเขิน นายก็น่ารักดีนะ” เขาพยายามสบตากับต้น แต่ต้นก็ยังนั่งก้มหน้าอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่สนทำแบบนี้ แต่ต้นก็ยังรู้สึกเขินอยู่ดี

“ไม่ยอมสบตาเราใช่ไหม ถ้างั้นต้องเจออีกรอบ จะได้หายเขิน ดีไหม” สนสัพยอกด้วยท่าทางทีเล่นทีจริง

ต้นได้ยินอย่างนั้นก็จะรีบลุกหนี แต่สนจับแขนเขาไว้ได้ก่อนเหมือนรู้ทัน "เดี๋ยวก่อนสิต้น"

ต้นหยุดนิ่ง สนขยับตัวตามมา เขาจับไหล่ต้นทั้งสองข้างและหันตัวต้นให้เผชิญหน้ากับเขา ต้นขืนตัวนิดๆ แต่ก็ยอมหันมาในที่สุด สนใช้มือของเขาเชยคางต้นขึ้นมาอย่างช้าๆ จนสายตาของทั้งคู่มาเจอกัน

"สบตาเราสิต้น" สนบอกเบาๆ และยิ้มอย่างอ่อนโยน ต้นพยายามสบตาตามที่เพื่อนบอกแต่บางทีก็หลบตาไปมา

"กอดคอเราไว้ด้วยสิ" สนรู้สึกเหมือนเขากำลังสอนเด็กสาวที่ไม่ประสีประสาเรื่องแบบนี้ ต้นค่อยๆ ทำตามอย่างว่าง่าย สนยิ้มชอบใจ

"ทำตัวสบายๆ นะต้น" แล้วสนก็ค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ ตอนแรกต้นจะขยับหนี แต่แล้วก็เปลี่ยนใจทำตามที่เพื่อนต้องการ สนค่อยๆ ประทับฝีปากของเขาลงอย่างแผ่วเบา แล้วค่อยๆ เพิ่มน้ำหนักขึ้น ต้นรู้สึกเหมือนกำลังตกจากที่สูงจึงกอดสนแน่นขึ้น สนรู้สึกพอใจกับการตอบสนองของเพื่อนมากทีเดียว เขาพยายามสอดลิ้นเข้าไป คราวนี้ต้นให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แม้ว่าสนจะผ่านเรื่องพวกนี้มาพอสมควรแล้ว แต่เขากลับรู้สึกว่า นี่คือรสจูบที่เขาพอใจและมีความสุขมากที่สุด เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดจากความตั้งใจและความร่วมมือของคนสองคนที่รักกัน

ก่อนทุกอย่างจะเตลิดไปไกล สนต้องหักห้ามใจตัวเองเอาไว้แล้วหยุดเสีย ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น แต่อีกไม่นานเขากับต้นคงจะได้ครองคู่กันอย่างมีความสุข

“ขอเวลาเราอีกไม่นานนะต้น แล้วเราคง...จะได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่กับนาย...ตลอดไป”

ต้นยิ้มระคนเขินอายเป็นเชิงตอบรับ สนเห็นแล้วก็อดขำและเอ็นดูไม่ได้
------------------------------------------------------------------------------------------------
วันรุ่งขึ้นสนก็หายไข้และไปทำงานได้ตามปกติ เขาดูอารมณ์ดีทั้งวันจนเพื่อนร่วมงานสงสัย แต่ในใจสนก็ยังคงกังวลอยู่ลึกๆ เพราะเขาตั้งใจจะกลับไปคุยกับนาเย็นนี้ ผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็สุดจะคาดเดา แต่เขาก็จะไม่ปล่อยให้อะไรมันคาราคาซังอีกต่อไป

ตกเย็น สนไปรับนาที่ธนาคารที่เธอทำงานอยู่และกลับมาที่คอนโดด้วยกัน น่าแปลกที่นาดูเงียบๆ และไม่พูดไม่จาจนสนเดาไม่ออกว่าเธอรู้สึกหรือคิดอะไรอยู่ พอกลับมาถึงก็นั่งกินข้าวด้วยกันเงียบๆ ทำให้บรรยากาศดูอึดอัดทีเดียว

“นา...พี่จะขอคุยกับนาหน่อยได้ไหม” สนเป็นฝ่ายที่เริ่มการสนทนาก่อนขณะกินข้าวไปได้สักพัก

“ค่ะ” นาตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าของเธอดูคล้ายกับไม่พอใจแต่ก็ดูเศร้าอยู่ในที

กินข้าวเย็นเสร็จแล้วสนก็นั่งคุยกับภรรยาตรงบริเวณที่ใช้นั่งเล่นในห้อง เห็นสีหน้าเฉยเมยของภรรยาแล้วสนก็รู้สึกลำบากใจพอสมควร แต่วันนี้เขาก็มาไกลจนเกินกว่าจะกลับตัวได้แล้ว

“พี่เสียใจนะนา” สนเริ่มพูดก่อน นาหันมามองเขาเหมือนคิดอะไรบางอย่างแล้วก็หันกลับไปตามเดิม “พี่ก็ไม่ได้อยากให้เรามาถึงจุดนี้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่พี่ไม่คาดคิด” สนถอนหายใจยาว “พี่ก็เคยคิดเหมือนผู้ชายทั่วไป อยากแต่งงาน มีครอบครัว มีลูก พี่ผิดเองที่ไม่ได้สำรวจหัวใจตัวเองให้ดีก่อน จนกระทั่งทุกอย่างเลยเถิดมาจนถึงวันนี้ พี่ขอยอมรับผิดแต่โดยดี ทุกอย่างเป็นความผิดของพี่ พี่ขอโทษ พี่ขอโทษจริงๆ”

“แล้วยังไงคะ ขอโทษแล้วจะมีอะไรดีขึ้น” นาถามเสียงห้วนด้วยท่าทางเฉยเมยเช่นเดิม

“พี่รู้ว่ามันเจ็บปวด พี่รู้ว่ามันไม่ยุติธรรมกับนา ไม่มีอะไรจะชดเชยความผิดพลาดทั้งหมดนั้นได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก แต่พี่ก็อยากให้นาเข้าใจและคิดดูให้ดีๆ” สนพยายามสบตากับภรรยา “คนเรา ถ้าไม่ได้รักกันเสียแล้ว ก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็ว มันก็ต้องถึงทางตัน พี่คิดว่าเราจากกันตอนนี้ดีกว่าที่เราจะปล่อยให้อะไรมันสายเกินไป ถึงตอนนั้น เราอาจจะต้องเสียใจมากกว่านี้”

“พี่สนก็พูดได้อยู่แล้ว แต่คนที่เจ็บ คนที่เดือดร้อน คนที่เสียหายไม่ใช่พี่” นาเริ่มประชดประชัน

“พี่อยากให้เราจากกันด้วยดีได้ไหมนา วันนี้พี่อยากให้เราพูดกันด้วยความเข้าใจ นาก็เห็นแล้วว่า...เรากลับไปเหมือนเดิมไม่ได้ พี่ไม่อยากให้นาพยายามเพราะนาจะเหนื่อยเปล่า นา...เราต้องเลือกแล้วล่ะว่าเราจะอยู่อย่างทุกข์ใจ หรือจะเปิดโอกาสให้เราได้มีชีวิตใหม่อีกครั้ง ถ้านาอยู่กับพี่แล้วไม่มีอะไรดีขึ้น นาก็ควรจะให้โอกาสตัวเองได้เจอคนที่ดีกว่าพี่ไม่ดีกว่าหรือ พี่ไม่อยากให้เราฝืนความจริง มีแต่จะทำให้เราเหนื่อยด้วยกันทั้งสองฝ่าย” สนยังคงพูดอย่างใจเย็น วันนี้เขาสัญญากับตัวเองไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะไม่ใช้อารมณ์กับนาอย่างเด็ดขาด

นาหยุดมองและเริ่มคิดตาม ดูท่าทางแล้วยังไงสนก็คงไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างแน่นอน สนยืนยันหนักแน่นขนาดนั้นเธอก็แทบไม่เห็นหนทางใดที่จะดึงเขากลับมาได้เลย เธอเองก็รู้สึกเหนื่อย หลังจากแต่งงานแล้วเธอกับสนคุยกันดีๆ น้อยมาก ชีวิตแต่งงานมีแต่การทะเลาะกันราวกับคนไม่เคยรักกันมาก่อน

“พี่พูดตามตรงนะนา พี่คิดว่านาก็คงเห็น หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว เราก็พบว่ามีหลายอย่างมากที่เราเข้ากันไม่ได้ คิดกันคนละอย่าง ไปกันคนละมุม มีเรื่องให้ทะเลาะกันแทบทุกวัน พี่บอกตรงๆ ว่า...พี่เหนื่อย และพี่คิดว่านาก็คงเหนื่อยเช่นกัน ถึงวันนี้พี่จะไม่ได้รักต้น พี่ก็คิดว่าเราคงไปกันไม่รอด เพราะเราไม่ยอมกัน ไม่ฟังกัน เอาแต่เหตุผลของตัวเอง พี่อยากให้เราเลิกฝืนความจริง ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น พี่อยากให้เราจากกันด้วยดีแล้วปล่อยให้ชีวิตของเราไปตามทางที่ควรจะเป็น ได้ไหมนา พี่ยินดีจะชดใช้ให้นาทุกอย่าง ทรัพย์สินเงินทองที่พี่พอมีอยู่พี่ก็ยินดีจะยกให้ ไม่ใช่ให้เพื่อชดเชยความผิด พี่รู้ว่ามันทดแทนกันไม่ได้ แต่...นี่คือหน้าที่สุดท้ายของสามีที่จะทำให้ภรรยาคนหนึ่งได้ พี่พานามาแล้ว พี่ก็ไม่อยากให้นาลำบากจนเกินไป ตอนเริ่ม...พี่อาจจะเขียนมันด้วยมือ ตอนจบ...พี่ก็อยากจะใช้มือลบเช่นเดิม ทุกอย่างอยู่ที่นาจะตัดสินใจ ถ้านาคิดว่าเราควรจะอยู่กันไปแบบนี้ พี่ก็จะอยู่ แต่ถ้านาอยากให้โอกาสตัวเองได้เจอคนที่ดีกว่าพี่ เจอคนที่รักนามากกว่าพี่ พี่ก็อยากให้เราจากกันด้วยดี นาคิดว่ายังไงครับ...”

นาถึงคราวที่ต้องยอมแพ้แล้ว “ค่ะ...ถึงขั้นนี้แล้ว นาก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะรั้งพี่ไว้” นาพูดเสียงสั่นเครือแล้วก็ร้องให้ สนเดินไปกอดภรรยาเพื่อปลอบใจ คิดแล้วเขาก็รู้สึกใจหายเหมือนกัน นี่คงจะเป็นกอดครั้งสุดท้ายของเขากับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยา ตลอดสี่ห้าปีที่รู้จักกันมา เขาและเธอก็มีช่วงเวลาดีๆ ให้จดจำหลายอย่างอยู่เหมือนกัน ความผูกพันจึงย่อมมีเป็นธรรมดา “พี่ขอโทษนะนา ยกโทษให้พี่ด้วย” สนอดที่จะร้องให้ตามด้วยไม่ได้ คิดแล้วก็รู้สึกผิดที่เขาได้ทำให้ชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งต้องมาเผชิญชะตากรรมเช่นนี้โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร “พี่ขอบคุณนามากนะ ตลอดระยะเวลาสี่ห้าปีที่ผ่านมาที่เรารู้จักกัน เรามีช่วงเวลาดีๆ มากมาย พี่ซาบซึ้งในความรักที่นามีให้พี่ พี่จะจดจำเอาไว้ตลอดไป พี่ขอให้นาโชคดี ได้พบเจอคนใหม่ที่ดีกว่าพี่ เข้าใจนาและรักนามากกว่าพี่ ขอให้นามีชีวิตใหม่ที่สดใส ฟ้าหลังฝนจะสดใสสำหรับนาเสมอ”

นาปล่อยโฮอย่างสุดกลั้นพร้อมกับกอดสามีที่เธอรักไว้แน่นเป็นครั้งสุดท้าย เธอเองก็อัดอั้นตันใจมาหลายวัน สิ่งที่สนพูดแทงใจดำเธอเข้าอย่างจัง เป็นความจริงที่นาปฏิเสธไม่ได้เลย ในตอนนี้ คงไม่มีอะไรที่ดีกว่าการเผชิญกับความเป็นจริงอย่างกล้าหาญแล้วก้าวต่อไป สนเองแม้จะรู้สึกสะเทือนใจ เขาสงสารนาจับจิตจับใจ แต่เขาก็ต้องใจแข็งและไปต่อไป บทเรียนครั้งนี้เขาจะต้องจดจำไปอีกแสนนาน
------------------------------------------------------------------------------------------------
มรสุมลูกนั้นได้พัดผ่านไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ซากปรักหักพังในหัวใจที่ต้องซ่อมแซมฟื้นฟูอยู่บ้างพอสมควร แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็ยังมีมรสุมอีกลูกที่ต้นกับสนยังจะต้องเผชิญต่อไป อาจจะโชคไม่ดีนักที่ความรักของทั้งสองคนไม่ได้มีอะไรง่ายดายขนาดนั้น ก็ได้แต่หวังว่าความรักที่มั่นคงจะช่วยให้เขาสองคนผ่านพ้นทุกอย่างไปได้ในที่สุด

“นายพร้อมหรือยังต้น” สนถามเสียงเบาเหมือนกระซิบในค่ำคืนหนึ่งหลังจากที่ทุกอย่างพ้นไป

ต้นยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ “แต่เราไม่เคยนะสน” ต้นพูดด้วยสีหน้าเขินอาย แต่นั่นก็เป็นความจริง ต้นไม่เคยมีอะไรกับใครเลยจริงๆ จนกระทั่งทุกวันนี้

“เราก็ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายหรอกต้น” สนบอกพลางขำ “ถ้างั้นเราช่วยกันนะต้น วันนี้เราจะทำให้นายมีความสุขมากที่สุดในชีวิตเลย”

ต้นหน้าแดงเขินอาย สนก้มลงจูบเพื่อนอย่างอ่อนหวานในตอนแรก แล้วก็เปลี่ยนเป็นเร่าร้อนในตอนหลัง เสื้อผ้าค่อยๆ หายไปทีละชิ้นสองชิ้นจนเหลือแต่ตัวเปล่าเปลือย สนสังเกตเห็นรอยแผลเป็นบนแขนของต้นที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ สนจำที่มาที่ไปของรอยแผลนั้นได้เป็นอย่างดีและไม่เคยลืม ถึงเมื่อก่อนเขาจะเคยเกลียดเกย์และกะเทยเพียงใด แต่เขาจะยกเว้นให้ต้นเพียงคนเดียวเท่านั้น

แต่ก่อนที่อะไรต่อมิอะไรจะไปไกลกว่านั้น สนก็บอกต้นว่า “เรารักนายนะต้น รักมากที่สุดในชีวิต”

“เราก็รักนาย” ต้นบอกกลับเบาๆ

แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามธรรมชาติและความต้องการของทั้งสองคน สนเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าเขามีความสุขมากแค่ไหน ความสุขไม่ได้เกิดจากการสนองตอบความต้องการตามธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องเกิดจากความรักด้วย ถ้าขาดความรักไปแล้ว ค่ำคืนนี้ก็จะเป็นเพียงการปลดปล่อยตามธรรมชาติ ไม่มีความหมายพิเศษหรือความลึกซึ้งกินใจแต่อย่างใด พอเช้าแล้วต่างคนก็ต่างไป แต่สนไม่ได้ต้องการชีวิตแบบนั้น เขาต้องการใครสักคนที่รักและเข้าใจเขาจริงๆ สิบเจ็ดปีที่ผ่านมา ต้นก็คือคนนั้น เขาจะไม่ไปไขว่คว้าหาสิ่งนี้จากใครที่ไหนอีกแล้ว
------------------------------------------------------------------------------------------------
รุ่งเช้า สนตื่นขึ้นมาก่อน ต้นนอนกอดและซบอยู่บนหน้าอกของเขาอย่างสบาย สนยิ้มและมองดูเพื่อนอย่างรักใคร่ เขาใช้มือลูบผมต้นเล่นไปมา สักพักต้นก็ตื่น

“ตื่นแล้วเหรอต้น”

พอต้นเริ่มจำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อคืนนี้ แถมตอนนี้เขายังนอนกอดและซบอยู่บนตัวของเพื่อน ต้นจึงรีบผละออก แล้วก็กลับไปนอนบนหมอนของตัวเอง หันหน้าไปอีกทาง

“ต้น หันมาคุยกันก่อนสิ” สนเรียก แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะต้นเขินอายจนเกินกว่าจะกล้าหันมาสบตากับเขาเสียแล้ว สนจึงเขยิบตัวเข้าไปหาแล้วกระซิบเรียกใกล้ๆ หูของเพื่อนว่า

“ต้น...ต้นจ๋า”

ได้ยินสนเรียกเขาแบบนี้แล้วต้นก็ยิ่งเขินไปกันใหญ่ จึงก้มหน้างุดๆ

สนยิ้มชอบใจ ต้นอายแล้วดูน่ารักทีเดียว สนสวมกอดเพื่อนหลวมๆ แล้วก็ถามว่า “นายมีความสุขหรือเปล่า นอนหลับสบายไหม”

ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากต้น สนจึงใช้วิธีโน้มตัวข้ามไปถามคำถามเดิม “ว่าไงต้น นายมีความสุขหรือเปล่า นอนหลับสบายไหม”

ต้นยิ้มอายๆ แล้วพยักหน้าน้อยๆ

“พูดด้วยสิ ไม่ใช่พยักหน้าอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นเราไม่เชื่อนะ” สนคะยั้นคะยอ “มีความสุขหรือเปล่า หลับสบายไหม”

“ก็เราเขินนี่นา” นั่นคือคำแรกที่หลุดออกมาจากปากต้นในเช้าวันนี้ สนยิ้มและขำอย่างชอบใจ

“เดี๋ยวเราจะทำให้นายหายเขินเอง ดีไหม” ว่าแล้วสนก็ก้มลงไปหอมแก้มเพื่อนหนึ่งครั้ง “หายเขินหรือยัง”

ต้นส่ายหน้า ทั้งเขินและทั้งขำ

“ถ้างั้นเอางี้” สนชี้มาที่แก้มของเขาเป็นเชิงบอกให้ต้นหอมแก้มเขาบ้าง “เร็วสิ” สนเร่งเร้า

ต้นจึงค่อยๆ ยื่นหน้ามาหอมแก้มเพื่อนอย่างอายๆ

“หายเขินหรือยัง” สนถามอีกครั้ง ต้นก็ยังส่ายหน้าเช่นเดิม

“งั้นอีกข้าง” สนบอกพลางชี้มาที่แก้มอีกข้าง

“อะไร...เอาเปรียบ” ต้นประท้วง แต่ก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มสนแต่โดยดี ดูเหมือนต้นจะเริ่มเขินน้อยลงแล้วล่ะ

“โอเค จะบอกเราได้หรือยังว่านายมีความสุขหรือเปล่า หลับสบายไหม” สนถามสองคำถามเช่นเดิม

“ก็...มีความสุข” ต้นตอบสั้นๆ แต่สนก็ยังรอคำตอบของอีกคำถามหนึ่งอย่างใจจดใจจ่อ “แล้วก็หลับสบายดีด้วย” ต้นพูดพร้อมกับยิ้ม

“ชื่นใจจัง” สนบอกแล้วก็นอนลงข้างๆ กอดต้นไว้หลวมๆ

สักพักสนก็ลุกขึ้นนั่งเพราะนึกได้ว่าถึงเวลาต้องไปทำงานแล้ว “ต้น...ไปอาบน้ำเถอะ จะได้ไปทำงาน เดี๋ยวสาย”

ต้นลุกขึ้นตามอย่างว่าง่าย เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วยืนขึ้น พอนึกได้ว่าตัวเองไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเลยสักชิ้น ก็เกิดอาการอายแล้วรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป สนมองตามพลางยิ้มและหัวเราะชอบใจ
------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงวันหยุด สนพาต้นกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่นครปฐม ทุกคนที่นั่นรู้เรื่องหมดแล้วว่าเขาเลิกกับนาเพราะปรับตัวเข้าหากันไม่ได้ แต่ก็มีเพียงแม่ของสนเท่านั้นที่รู้เหตุผลอื่นที่มากกว่านั้นด้วย ตอนนี้แม่ของสนทำใจยอมรับได้แล้ว อาจจะเป็นเพราะเธอรู้ว่าต้นเป็นคนดีและรักลูกชายของเธอจริงๆ ตลอดระยะเวลากว่าสิบเจ็ดปีที่เธอย้ายครอบครัวมาอยู่ที่นี่ เวลาที่ยาวนานนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงจนไม่เหลืออะไรให้ต้องสงสัยอีกแล้วว่าต้นดีกับลูกชายของเธอมากแค่ไหน ถึงจะไม่ได้อยากให้ลูกชายมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่เธอก็เข้าใจว่าเธอเป็นเพียงแม่ที่ต้องคอยช่วยสนับสนุนให้ลูกเลือกทางเดินที่เหมาะกับเขาที่สุด ไม่ใช่เหมาะกับเธอ เธอยังจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งอุตส่าห์ไปถอนเงินที่เก็บไว้กว่าสิบปีมาให้ช่วยให้สนได้เรียนหนังสือต่อ นึกถึงทีไรเธอก็อดที่จะน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจไม่ได้ พอรู้ว่าเป็นต้นแล้วเธอก็ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ถ้าเป็นคนอื่น คงไม่ใช่แบบนี้ และเธอก็ได้แต่หวังว่าพ่อของสน รวมทั้งพ่อและแม่ของต้นจะเข้าใจเด็กทั้งสองคนด้วย อาจจะเป็นงานที่หนักแต่เธอก็ต้องช่วยลูกชายและต้นอย่างดีที่สุด

ช่วงแดดร่มลมตก สนพาต้นขี่จักรยานไปตามคลองส่งน้ำและไปตามสถานที่ต่างๆ ที่เขาและต้นชอบไปสมัยเป็นเด็ก ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนประถม มัธยมหรือตลาด แล้วก็จบลงด้วยการมานั่งคุยกันที่สะพานเหล็กหน้าบ้านต้นเช่นเคย

“ไม่น่าเชื่อนะว่าเวลาจะผ่านมาถึงสิบเจ็ดปีแล้ว” ต้นพูดพร้อมกับใช้ขาตีน้ำเล่นอย่างสบายอารมณ์

“ตอนที่นายเจอเราครั้งแรก นายรู้สึกยังไงต้น” สนถามอย่างสบายอารมณ์เช่นกัน

“อืม...ก็สงสารที่นายไม่มีข้าวกิน แต่...เราก็รู้สึกถูกชะตากับนายนะ รู้สึกว่านายน่าคบเป็นเพื่อน แล้วนายล่ะ”

“รู้สึกดี...ตอนนั้นเราคิดในใจว่า...ทำไมเพื่อนใหม่คนนี้ใจดีจัง” สนบอกพลางขำ แล้วถามคำถามที่เขาอยากรู้มานานแล้ว “แล้ว...นายเริ่มชอบเราตั้งแต่ตอนไหนล่ะต้น”

“ขอระลึกชาติก่อน” ต้นว่าพลางหัวเราะ “อืม...น่าจะตอนอายุ 13 ตอนที่...นายซ้อมละครวันแม่ เราเห็นนายเล่นกับ...ชื่ออะไรน้า เราจำชื่อไม่ได้ นั่นแหละ”

“นายหึงเราเหรอ” สนรีบชิงถาม

ต้นหัวเราะแก้เขิน “คงงั้นมั้ง”

“นายรักเรามานานขนาดนั้นเลยเหรอต้น”

ต้นพยักหน้า “ใช่ แล้วนายล่ะ” ต้นถามกลับบ้าง

“อืม...ตอบยากนะ รู้ตัวจริงๆ จังๆ ก็คงตอนนี้แหละ แต่ก่อนหน้านี้ เราแค่รู้สึกว่ามีความรู้สึกบางอย่างในใจที่เราอธิบายไม่ได้ แล้วเราก็ไม่เคยค้นหาคำตอบ แต่ก็มีตอนสมัยเรียนมหาลัย ตอนที่นายหายไปจากบ้าน ตอนนั้นเราเสียใจแล้วก็คิดถึงนายมาก สภาพเราตอนนั้นไม่ต่างจากคนที่กำลังจะตรอมใจตายเลย นายจำได้ใช่ไหม”

ต้นพยักหน้า จริงๆ สภาพของเขาตอนนั้นก็คงไม่ต่างกัน

“นายกลัวหรือเปล่าต้น” อยู่ๆ สนก็ถามคำถามนี้ขึ้นมา

ต้นหันมามองอย่างสงสัย

“เราหมายถึง...ถ้าเกิด...พ่อกับแม่ของเราสองคนรู้ว่าเราสองคนรักกัน นายจะกลัวไหม” สนอธิบายเพิ่มเติม

ต้นส่ายหน้า “ไม่กลัว...แต่ก็...ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่อย่างน้อยเราก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อยที่แม่ของนายเข้าใจ เราคิดว่าต่อไป...แม่ของนายจะช่วยพวกเราได้”

“เราก็คิดอย่างนั้น” สนเห็นด้วย

“ต้น...” สนเรียกเพื่อนเหมือนกับจะบอกอะไรบางอย่างที่สำคัญ “เราไม่รู้ว่านายมั่นใจในตัวเรามากน้อยแค่ไหนนะ ทุกวันนี้เราก็ยังสับสนตัวเองอยู่เลยว่าเราเป็นเกย์หรือเปล่า หรือจริงๆ เราก็คงเป็นแค่ผู้ชายคนหนึ่ง แต่เราอยากบอกให้นายสบายใจว่า...เรื่องผู้หญิง...เราคิดว่าเราก็ผ่านสิ่งเหล่านี้มาหมดแล้วล่ะ แต่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ คือคนที่รักและเข้าใจเราต่างหาก เรื่องพวกนั้นเป็นความต้องการตามธรรมชาติ เป็นความสนุกชั่วครู่ชั่วยาม สุดท้าย คนเราก็ต้องการใครสักคนที่รักเราจริงๆ เราถึงได้มาหานายไงล่ะต้น เราหาสิ่งนี้จากคนอื่นไม่ได้นอกจากนาย เราพูดจากใจจริงนะ” สนเน้นย้ำในตอนท้าย

ต้นยิ้มด้วยความรู้สึกดีใจและสบายใจ อย่างน้อยไม่ว่าสนจะเป็นเกย์หรือไม่ แต่เขาก็ดีใจที่สนเห็นว่าความรักที่แท้จริงคือสิ่งที่มีค่าที่สุด “สน...แค่เราได้มีโอกาสเป็นคนที่นายรัก ได้อยู่กับนาย ไม่ว่าจะนาทีเดียว วันเดียว หรือกี่วันก็ตาม เราก็มีความสุขและพอใจแล้ว อย่างน้อยความฝันของเราก็กลายเป็นความจริง อนาคตอาจเป็นสิ่งไม่แน่นอน อาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ได้ เราไม่มีวันรู้ แต่อย่างน้อย...เรากับนายก็ได้รักกัน ไม่ว่ามันจะเป็นเวลาสั้นๆ หรือนานกว่านี้ มันก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่ากับชีวิตเรามากที่สุด เป็นสิ่งที่เราไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะเป็นจริงได้ เราพอใจที่สุดแล้วล่ะไม่ว่ามันจะเป็นไปยังไงหลังจากนี้” ต้นกุมมือสนไว้ มองหน้าเพื่อนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เราจะไม่บังคับนายนะสน นายรักเราได้แค่ไหน อยู่กับเราได้นานแค่ไหน...ก็แค่นั้น นายไม่ต้องสัญญาอะไรกับเราทั้งนั้น ไม่ต้องผูกมัดตัวเองให้รู้สึกผิดทีหลัง ถ้าหากในอนาคตความรักของเราจะไปต่อไม่ได้ เราขอแค่...ให้เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม...ได้ไหมสน”

สนดึงต้นมาอิงบนไหล่เขาอย่างรักใคร่ ต้นเป็นคนดีเหลือเกิน เขาช่างเป็นคนที่โชคดีที่เกิดมาได้พบกับคนดีๆ เช่นนี้ “เอาเป็นว่า...เราจะรักกันให้ดีที่สุดละกันนะต้น เราไม่รู้หรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่วันนี้ ตอนนี้ เรารักนาย อยากอยู่และใช้ชีวิตกับนาย และเราจะทำให้ดีที่สุด เราไม่สนใจว่าใครจะมองเราสองคนยังไง แต่เราก็พร้อมแล้วที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ถ้านายพร้อม เราก็พร้อม ถ้าเราฝ่าฟันไปด้วยกัน อยู่เคียงข้างกัน ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวแล้วสำหรับเรา โอเคไหมต้น” สนเอียงคอมาถาม

ต้นพยักเป็นเชิงตอบรับ สองหนุ่มยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ทั้งต้นและสนต่างก็ตระหนักแก่ใจว่า มีแต่ความรักเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตคู่มีความสุขได้ ไม่ได้เกี่ยวกับฐานะ ไม่ได้เกี่ยวกับเพศ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าจะเป็นใคร ขอแค่มีใจที่รักกันจริงเสียอย่าง การอยู่ร่วมกันก็เป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์

อันที่จริง การที่คนสองคนซึ่งรักกัน ได้มีเวลาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เป็นสิ่งที่วิเศษและมีค่าที่สุดแล้ว จะคิดกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึงและคาดเดาอะไรไม่ได้ไปทำไม ถ้าเราทำวันนี้ให้ดีที่สุด อนาคตก็ย่อมจะดีตามด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว ต้นกับสนจึงรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ต้องกลัวและกังวล เพราะทั้งสองคนได้ทำทุกวันที่อยู่ด้วยกันอย่างดีที่สุดแล้ว ทำดีที่สุดทุกวันตั้งแต่รู้จักกันมาและก็จะทำให้ดีที่สุดตลอดไป