Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 291
Message ID: 17
#17, RE: ต้นสน - Repost และตอนพิเศษ
Posted by sarawatta on 14-Jun-11 at 10:41 PM
In response to message #0

ตอนที่ 15: เมื่อความลับถูกเปิดเผย

หลังจากที่เกิดเรื่องแล้ว สนก็เลิกไปหาก้อยโดยปริยาย แม้ว่าก้อยจะยังโทรมาตามบ้างก็ตามแต่สนก็ปฏิเสธที่จะคุยด้วยและไม่ยอมรับโทรศัพท์ เจอหน้าสนก็เดินหนี จนในที่สุดก้อยก็เลิกตามไปเอง สนใช้เวลาทุ่มเทกับการเรียนมากขึ้น เขามีเงินเก็บจำนวนหนึ่งบวกกับเงินที่แบ่งกับต้นคราวนั้นจึงพอจะซื้อโน้ตบุ๊กเป็นของตัวเองสำหรับไว้ทำงานได้ ส่วนต้นนั้นก็ยังคงเรียนไปด้วยและทำงานอาสาสมัครเพื่อสังคมไปด้วย ชมรมของเขาไปได้ดีทีเดียว มีสมาชิกเพิ่มขึ้น มีรายได้จากการบริจาคเข้ามาเพื่อช่วยสมทบทุนการทำกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น บางครั้งต้นก็รู้สึกว่าเขาอยากทำงานแบบนี้มากกว่า ไม่รู้ว่าเขาคิดผิดหรือไม่ที่เรียนวิศวะ จริงๆ เขาก็เรียนได้ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่เขาชอบที่จะทำงานเพื่อสังคมมากกว่า คิดไปคิดมาบางทีเขาก็อยากทำงานองค์กรไม่แสวงผลกำไรเพื่อช่วยสังคม ช่วยเด็ก คนพิการ คนติดเชื้อเอชไอวี อนุรักษ์ธรรมชาติ หรืออะไรทำนองนี้มากกว่าที่จะทำงานบริษัท

ความสัมพันธ์ของต้นกับเจนี่นั้นก็ไม่มีอะไรคืบหน้า เจนี่จึงเลิกล้มความคิดที่จะให้ต้นเป็นคนพิเศษ แต่ก็เป็นเพื่อนกันและไม่มีปัญหาอะไร ต้นรู้ดีว่า ในชีวิตนี้ต้นคงจะรักใครไม่ได้อีกแล้ว ในหัวใจของต้นมีเพียงเพื่อนของเขาเพียงคนเดียวตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ความรักทั้งหมดที่ต้นมีจึงทุ่มเทให้เพื่อนเพียงคนเดียว แม้จะไม่ได้บอกตรงๆ แต่ก็รู้สึกได้จากการกระทำแทบทุกอย่าง เพียงแต่สนไม่เคยเข้าใจว่าต้นทำด้วยความรู้สึกแบบไหนเท่านั้นเอง สนเข้าใจแต่เพียงว่าต้นทำเพราะรักสนอย่างเพื่อนเท่านั้น แต่สนก็มีความสุขกับชีวิตดีที่มีเพื่อนคอยดูแล เจ็บไข้ได้ป่วยก็ช่วยดูแลกัน สนมีปัญหากับการรีดเสื้อผ้า ต้นก็ช่วยรีดให้ เรียนไม่เข้าใจ ต้นก็พยายามสอนให้ทั้งๆ ที่ก็ไม่ได้เรียนวิชาเดียวกัน มีปัญหาอะไรก็คอยช่วยเสมอทั้งเรื่องเล็กน้อยและเรื่องอื่นๆ ต้นคอยสนับสนุนเพื่อนทั้งด้านกายและใจเสมอมาโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทน ไม่ใช่ว่าไม่อยากได้เพราะต้นเองก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง แต่เขาได้เรียนรู้ว่าความรักอย่างผู้ให้มีความทุกข์น้อยกว่าความรักอย่างผู้ขอต่างหาก เขาจึงเลือกที่จะให้มากกว่าขอ
------------------------------------------------------------------------------------------------
ขึ้นปีสามแล้ว ต้นก็ได้กลายเป็นประธานชมรมจิตอาสาเพื่อสังคมตามที่คาดหมาย ยิ่งทำให้ต้นมั่นใจยิ่งขึ้นว่านี่คือทางเลือกของชีวิตที่เขาต้องการ

ปีนี้เป็นปีที่ 11 แล้วที่ต้นกับสนได้เป็นเพื่อนรักกัน ความรักระหว่างเพื่อนก็ยังสม่ำเสมอดี เขามีความสุขที่ได้เห็นเพื่อนเติบโตและได้ช่วยสนับสนุนเท่าที่ทำได้ ต้นยิ่งมั่นใจมากขึ้นไปอีกว่า “รักแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว” เขาจึงไม่เคยคิดที่เรียกร้องหรือทำให้สนรู้ว่าต้นคิดกับเพื่อนอย่างไร แต่ความลับก็ไม่เคยมีในโลก สุดท้ายก็มีเหตุให้สิ่งที่ต้นปิดบังมากว่า 10 ปีถูกเปิดเผยออกมาจนได้

ช่วงเย็นๆ ของวันหยุดวันหนึ่ง สี่หนุ่มลงมานั่งทำงานด้วยกันที่ห้องโถงชั้นล่างอย่างสบายๆ อารมณ์หลังจากกินข้าวแล้ว สนนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของเขา ส่วนต้นไม่มีงานวันนี้แต่เขาก็ช่วยนิกกับปั้นจั่นทำการบ้าน

“เฮ้ย พวกมึงสองคนรู้ไหมว่าต้นจะเก่งเศรษฐศาสตร์เท่าพวกมึงแล้วนะ” สนแซวเพื่อนขณะทำงาน เขาเห็นสองคนนี้ทำการบ้านทีไรก็ต้องถามหาต้นแทบทุกที

“อ้าว ก็พวกกูไม่ชอบคำนวณนี่หว่า” ปั้นจั่นแก้ตัว

“ไม่ชอบแล้วเรียนทำไมวะ” สนถามกลับ

“ก็ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้นี่หว่า” ปั้นจั่นตอบแล้วทุกคนก็หัวเราะ

“พอดีเราเห็นหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์น่าสนใจ ก็เลยยืมจากห้องสมุดมาให้พวกนาย เอาไหม เดี๋ยวเราไปเอามาให้” ต้นบอก นิกกับปั้นจั่นทำท่าทางสนใจ ต้นจึงลุกขึ้นเพื่อจะเดินไปหยิบหนังสือเล่มนั้นบนห้องของเขา สนรีบร้องห้ามว่า

“ไม่ต้องไปหรอก จะเอาอะไร บอกเรามาเดี๋ยวเราไปหยิบให้”

ต้นหยุด นั่งลงกับที่แล้วบอกสนว่า “หนังสือเล่มสีฟ้าน่ะสน เราวางไว้บนโต๊ะทำงานของเรา มีอยู่เล่มเดียว หาไม่ยากหรอก” ต้นบอก หลังๆ มานี้สนดูจะเอาใจเขามากขึ้น ถ้าสนอยากช่วยอะไรต้นจึงไม่ค่อยขัดเพราะเข้าใจว่าเพื่อนก็อยากทำอะไรให้เขาบ้าง แม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ

สนเดินขึ้นไปชั้นสองของบ้านแล้วก็ไปที่ห้องของต้นซึ่งก็อยู่ติดกับห้องของเขาเอง สนสามารถเปิดประตูเข้าไปได้เลยเพราะปกติพวกเขามักจะไม่ล็อกห้องกันยกเว้นตอนออกไปข้างนอก สนไม่ได้เปิดไฟเพราะเห็นว่ามาเอาของแป๊บเดียว เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานของต้นตรงมุมห้องก็เห็นหนังสือเล่มสีฟ้าๆ ตามที่ต้นบอกวางอยู่จึงหยิบขึ้นมา จังหวะที่กำลังจะเดินออกไปนั้นสายตาของเขาก็พลันเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ต้นคงลืมเก็บเข้าที่ มันวางอยู่ตรงมุมๆ โต๊ะใกล้ๆ กับหนังสือเล่มสีฟ้าที่เขาเพิ่งหยิบมานั่นเอง มันอาจจะไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเลยถ้าหากว่าหน้าปกของหนังสือเล่มนั้นไม่ได้มีรูปของผู้ชายที่เปลือยอกและใส่แต่กางเกงในสีขาวตัวเดียว สนวางหนังสือเล่มสีฟ้าลงแล้วหยิบหนังสือเล่มนั้นมาเปิดดูด้วยความอยากรู้ว่ามันคือหนังสืออะไร มือไม้และปากของสนสั่นทันทีที่เห็นรูปภาพข้างในหนังสือเล่มนั้น เขารู้สึกอ่อนแรงจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ต้นมีหนังสือแบบนี้ได้อย่างไรกัน หนังสือที่มีแต่รูปผู้ชายโป๊เปลือย ต้นเป็นเกย์หรือ เขาไม่อยากจะเชื่อเลย ตลอดระยะเวลาที่คบกันมาเป็นสิบๆ ปี เขาไม่เคยรู้เลยว่าต้นเป็นเกย์ และเขาก็เกลียดคนพวกนี้มาก ภาพที่เขาถูกชายคนนั้นพยายามข่มขืนปรากฏชัดขึ้นในหัวของเขา ความหวาดกลัวและขยะแขยงครั้งนั้นฝังลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเขาจนยากที่จะถอนมันออกมาได้ง่ายๆ

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้” สนพึมพำพูดกับตัวเอง

สนเดินลงมาจากห้องของต้นแล้วเอาหนังสือมาให้นิกกั้นปั้นจั่น แต่มืออีกข้างหนึ่งของเขาไพล่หลังเอาไว้เหมือนถืออะไรซ่อนไว้อยู่ สีหน้าเขาดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนทั้งโกรธและผิดหวังปนกันอยู่บนใบหน้านั้น

“ต้น นายเป็นเกย์ใช่ไหม” สนตัดสินใจถาม ทุกคนต่างตกตะลึง โดยเฉพาะต้นที่หน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด

“นายพูดอะไรน่ะสน” ต้นถามเสียงสั่น

“ตอบเรามาสิ ว่านายเป็นเกย์ใช่ไหม” สนถามเสียงดัง แล้วเขาก็เอาหนังสือเล่มนั้นที่ถือไว้ด้านหลังฟาดลงไปบนโต๊ะ

“แล้วนี่อะไรต้น นายมีหนังสือพวกนี้ได้ยังไง” สนคาดคั้นด้วยสีหน้าโกรธและผิดหวังที่เห็นได้ชัดเจนขึ้น

ต้นมองดูหนังสือเล่มนั้นแล้วก็ใจหายวาบ ในที่สุดความลับที่เขาปกปิดเอาไว้ก็ถูกเปิดเผยออกมาจนได้ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้อยากให้ใครรู้เลยโดยเฉพาะสนเพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่สนจะต้องรู้ นิกกับปั้นจั่นเองก็ดูจะตกตะลึงไม่แพ้กัน แม้ว่าจะรู้ว่าต้นเป็นเกย์มาตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่เคยคิดที่จะบอกใครอีก และไม่คิดว่าพอสนรู้แล้วสนจะโกรธอะไรได้ขนาดนั้น

“นายเป็นเกย์ใช่ไหมต้น” สนถามย้ำ “นายไม่ได้คิดกับเราแค่เพื่อนด้วยใช่ไหม เราผิดหวังในตัวนายมากรู้ไหม” สนพูดกึ่งตะโกน ต้นลุกขึ้นแล้วรีบเดินมาจับแขนเพื่อนไว้

“สน เราขอโทษ นายฟังเราก่อนนะ” ต้นอ้อนวอน

ทันทีที่ต้นจับมือเขา ภาพในจิตใต้สำนึกนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง ความรู้สึกเกลียดกลัวขยะแขยงเพิ่มทวีโดยอัตโนมัติ สนผลักเพื่อนออกไปอย่างแรงจนต้นล้มลงกับพื้น

“อย่ามาถูกตัวเรานะ” สนตวาด

“ไอ้สน มึงทำอะไรวะ” นิกกับปั้นจั่นร้องพร้อมกันเพราะคาดไม่ถึงว่าสนจะทำกับเพื่อนถึงขนาดนั้น

ต้นหัวใจสลายแล้ว เขามองหน้าเพื่อนอย่างไม่เชื่อสายตาและไม่เชื่อหูตัวเอง ไม่คิดว่าเพื่อนที่ต้นรักมาก ทุ่มเทความรักให้มาตลอดหลายปีที่ผ่านมาจะรังเกียจเขาได้ถึงเพียงนี้ น้ำตาต้นไหลรื้นเต็มใบหน้าเพราะสุดจะกลั้น

“นายรังเกียจเราขนาดนี้เลยหรือสน” ต้นพูดพร้อมสะอื้น สนเองก็ตกใจไม่น้อย พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปก็สายเสียแล้ว

ต้นลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งขึ้นไปบนห้องทันที เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นสายตาฉายแววรังเกียจจากคนที่เขารัก มันโหดร้ายทารุณเกินกว่าที่เขาจะอยู่ตรงนี้ต่อไปได้ ต้นปิดประตูล็อกห้องแล้วปล่อยโฮอย่างสุดกลั้น

“ไอ้สน มึงทำอะไรลงไปรู้ตัวไหม” ปั้นจั่นตะคอกใส่เขาอย่างเหลืออด

สนเดินหนีขึ้นไปบนบ้าน เสียงต้นร้องให้โฮๆ อยู่ในห้องดังจนได้ยินจากข้างนอก เขาไม่เคยเห็นต้นเสียใจและผิดหวังมากขนาดนี้เลย ต้นร้องให้เหมือนคนที่หมดสิ้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ร้องให้เหมือนคนจะขาดใจ ร้องให้เหมือนคนที่ผิดหวังอย่างที่สุดในชีวิต แต่สนก็ไม่ได้ทำอะไร เขาเข้าไปในห้องของเขา เฝ้าถามตัวเองว่าเขาทำเกินไปหรือเปล่า สนเดินเอาหูไปแนบกับกำแพงห้อง เสียงต้นยังคงร้องให้ไม่หยุดเลย เขาทรุดนั่งลงกับพื้น ชันเข่าแล้วซบหน้าลงบนเข่าของตัวเอง อันที่จริงนั้นเขาก็เสียใจและผิดหวังไม่แพ้กันเลย

“ทำไมนายต้องเป็นแบบนี้ด้วยล่ะต้น” สนรำพันเบาๆ แล้วก็ร้องให้อยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานทีเดียวจนผล็อยหลับไป แล้วก็สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงคนมาเคาะประตูห้องดังสนั่น จริงๆ แล้วน่าจะเรียกว่าทุบมากกว่าเคาะ สนรีบเดินไปเปิดประตูทันที

“ไอ้สน มึงรู้ไหมว่าไอ้ต้นมันเป็นอะไร กูเคาะประตูห้องมันเท่าไหร่มันก็ไม่เปิด” นิกบอก สนรีบวิ่งมาที่ห้องต้นด้วยหน้าตาตื่นทันที เขาเคาะประตูห้องต้นอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากข้างในห้อง

“ไอ้ต้นมันจะคิดสั้นหรือเปล่าวะ” ปั้นจั่นพูดพลางทำสีหน้าไม่ดี สนใจหายวูบ

“มึงพูดอะไรน่ะ” สนตะคอกเพื่อน

“เออ กูพูดไม่ดีหรอก แต่ใครล่ะที่ทำให้ต้นมันเป็นแบบนี้” ปั้นจั่นตะคอกกลับ แต่สนไม่ได้สนใจมากนัก เขาเป็นห่วงเพื่อนของเขามากกว่าในตอนนี้ เขาพยายามเคาะและเรียกต้นแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เขาเริ่มกลัวอย่างที่ปั้นจั่นพูดเมื่อสักครู่นี้ ถ้าต้นคิดสั้นหรือเป็นอะไรไป เขาจะทำอย่างไรดี เขาจะไปบอกพ่อกับแม่ต้นรวมทั้งพ่อกับแม่ของเขาเองว่ายังไง

“โทรหาพี่พิมพ์เร็ว ขอกุญแจสำรองด่วน” นิกนึกได้ ปั้นจั่นรีบหยิบโทรศัพท์มือถือมาแล้วกดหาพี่พิมพ์เจ้าของบ้านทันที ราวๆ ครึ่งชั่วโมงพี่พิมพ์ก็มาถึงด้วยความร้อนรน เธอกำลังจะนอนพอดีแต่ก็ต้องมา สนรีบรับกุญแจมาแล้วไขเข้าไปในห้อง เขาหลับตาแล้วนับหนึ่งถึงสิบในใจ เขาไม่อยากลืมตาแล้วเห็นภาพที่เขาไม่อยากเห็นเลย ในขณะที่คนอื่นๆ กรูกันเข้าไปในห้องแต่สนกลับรู้สึกว่าเขาทำใจได้อย่างยากลำบากที่จะมองหาเพื่อนในห้อง เขากลัวเหลือเกินว่าเขาจะเห็นต้นเป็นอะไรอยู่ตรงไหนสักแห่งในห้องนี้ แต่เมื่อทุกคนหาจนทั่วก็ไม่มี

“ไปดูตรงหน้าต่างซิ ต้นกระโดดลงไปหรือเปล่า” นิกรีบวิ่งไปเปิดหน้าต่างดู ก้มมองลงไปข้างล่างแล้วก็ไม่มีอะไรอยู่ดี

“กระเป๋าเป้ไอ้ต้นมันหายไปว่ะ หนังสือเรียนมันก็เอาไปด้วย แสดงว่ามันออกไปจากห้องแล้วล่ะ” ปั้นจั่นบอกคนอื่นๆ

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ ทำไมต้นถึงหนีไปล่ะ” พี่พิมพ์ถามอย่างสงสัย ทุกคนหยุดมองหน้ากัน

“ทะเลาะกันนิดหน่อยครับ” สนบอกเบาๆ

“หน่อยกับผีอะไรล่ะ” ปั้นจั่นประชดด้วยความหมั่นไส้

“โทรหาต้นซิ” พี่พิมพ์เสนอ สนรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนทันที แต่ก็โทรเท่าไรก็ไม่ติด

“สงสัยต้นจะปิดเครื่องครับ” สนบอก หรือว่าต้นจะกลับบ้านไป แต่ถ้าเขาจะโทรไปที่บ้านต้นเขาจะถามพ่อกับแม่ต้นว่าอย่างไรล่ะ ถ้าเกิดว่าต้นไม่ได้ไปที่นั่นแล้วพ่อแม่ต้นถามว่าต้นไปไหนหรือเกิดอะไรขึ้น เขาจะตอบพ่อกับแม่ของต้นว่าอย่างไร ถ้าโทรไปตอนนี้ก็จะยิ่งทำให้พ่อกับแม่ของต้นตกใจเข้าไปอีก

“ต้นมันจะกลับบ้านหรือเปล่าวะ สนมึงโทรไปถามที่บ้านมันซิ” นิกเสนอ แต่สนรู้ว่าต้นคงไม่ได้กลับไปบ้านอย่างแน่นอน เพราะต้นคงจะเสียใจมาก ตอนนี้ต้นไม่อยากเจอเขาแน่ๆ ถ้ากลับไปที่บ้านเขาก็ต้องตามไปหาเจออยู่ดี

“อย่าเลย เดี๋ยวพ่อกับแม่ต้นจะตกใจ ต้นไม่ได้กลับบ้านหรอก” สนบอก ทุกคนมองหน้ากันเหมือนสงสัยว่าสนรู้ได้อย่างไร

“มึงรู้ได้ยังไงวะ” นิกถามอย่างสงสัย

“กูเป็นเพื่อนต้นมาสิบเอ็ดปี ทำไมจะไม่รู้” สนตอบ

“เป็นเพื่อนกันแล้วก็ทำแบบนี้เนี่ยนะ” ปั้นจั่นประชดอีก สนเจ็บแปลบในหัวใจกับสิ่งที่ปั้นจั่นพูด พี่พิมพ์มองดูเด็กๆ แต่ละคนด้วยสีหน้างงๆ

เมื่อไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน ไม่รู้ว่าต้นไปไหน ติดต่อต้นก็ไม่ได้ ก็คงทำอะไรไม่ได้มากกว่ารอ ก่อนจะกลับพี่พิมพ์กำชับว่าถ้าต้นกลับมาหรือติดต่อต้นได้แล้วให้โทรบอกแกด้วย ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปนอน สนกลับมาที่ห้อง เขาสังเกตเห็นว่าตรงใต้ประตูมีกระดาษแผ่นหนึ่งตกอยู่ จึงหยิบขึ้นมาอ่าน

“สน เรารู้ว่านายคงรังเกียจเรามากและคงรับไม่ได้ที่เราเป็นแบบนี้ เพื่อให้นายสบายใจ เราจะขอเป็นฝ่ายจากไปเอง นายไม่ต้องห่วงเรานะ โชคดีนะเพื่อนรักของเรา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรารักและเป็นห่วงนายเสมอ”

สนอ่านแล้วก็น้ำตาร่วง “ใครบอกนายล่ะต้น ใครบอกนายว่าเรารังเกียจนาย” สนรำพันเบาๆ เขากำแผ่นกระดาษนั้นไว้แน่น