Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 291
Message ID: 3
#3, RE: ต้นสน - Repost และตอนพิเศษ
Posted by sarawatta on 14-Jun-11 at 10:16 PM
In response to message #0

ตอนที่ 4: คำสัญญาของสน

ระหว่างที่รอหมอทำแผลให้ต้นอยู่นั้น สนก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พ่อแม่ของเขาและพ่อแม่ของต้นฟัง พ่อกับแม่ของต้นดูจะเป็นเดือดเป็นแค้นมากทีเดียว

"ทำไมมันถึงได้เลวอย่างนี้ คอยดูนะผมจะให้ตำรวจลากคอมันเข้าคุกให้ได้ ทำได้แม้กระทั่งกับเด็กไม่มีทางสู้ จิตใจมันทำด้วยอะไร" พ่อของต้นพูดอย่างโกรธเกรี้ยว

"เอาเลยพี่ ให้ต้นมันทำแผลเสร็จก่อนเดี๋ยวเราไปโรงพักกัน" แม่ของต้นว่า เธอเรียกพ่อกับแม่ของสนว่าพี่เพราะทั้งคู่มีอายุมากกว่า แต่ก็ไม่ห่างกันมากนัก

"คนแบบนี้เอาไว้ไม่ได้หรอก อยู่ไปก็คงไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก นี่ดีนะที่ต้นกับสนมันไม่เป็นอะไรมาก" แม่ของสนเห็นด้วยแล้วก็หันมากำชับกับสนว่า

"ต่อไปแม่ไม่ให้สนไปทำงานคนเดียวอีกแล้วนะลูก คนสมัยนี้ไว้ใจไม่ได้ ไอ้เราก็คิดว่ามีลูกชายก็ไม่น่าจะมีปัญหาแบบนี้ ที่ไหนได้"

สนนิ่ง เขาดูเงียบและไม่พูดอะไรเพราะรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนมากกว่าสิ่งอื่นใดในตอนนี้ เฝ้ารอแต่ว่าเมื่อไรหมอจะทำแผลให้ต้นเสร็จเสียที เขาอยากเห็นหน้าเพื่อน อยากขอบคุณเพื่อนที่อุตส่าห์เสี่ยงชีวิตมาช่วยเขาไว้ ไม่อย่างนั้นป่านนี้เขาก็คงถูกผู้ชายโรคจิตคนนั้นกระทำชำเราไปแล้ว แค่คิดเขาก็รู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันที ตอนนี้สนเองก็ยังคงรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนและเสียขวัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ไม่หาย เหตุการณ์นั้นได้สร้างความรู้สึกหวาดระแวงในจิตใต้สำนึกของเขาไปเสียแล้ว

สักพักหมอก็ออกมาบอกว่าทำแผลให้ต้นเสร็จแล้ว แต่ต้องให้ต้นนอนโรงพยาบาลหนึ่งคืนเพราะแผลลึกพอสมควร อาจจะบวมอักเสบได้ ฟังจบแล้วสนก็ปรี่เข้าไปในห้องเพื่อดูอาการเพื่อนก่อนใคร เขานั่งลงข้างเตียง เห็นเพื่อนเจ็บแทนแล้วก็ทำให้สนถึงกับน้ำตาซึม

"ต้น นายเป็นไงบ้าง” สนถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง “ขอบใจมากนะที่มาช่วยเรา แถมยังต้องมาเจ็บตัวเพราะเราอีก"

"ไม่เป็นไรหรอกสน เราเป็นเพื่อนนายเราก็ต้องช่วยนาย แล้วนายล่ะเป็นอะไรหรือเปล่า ไอ้นั่นมันทำอะไรนายบ้าง" ต้นถามกลับด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเพื่อนเช่นกัน

"เราไม่เป็นอะไรมากหรอก โชคดีที่นายมาช่วยได้ทันเวลา ว่าแต่นายเจ็บมากหรือเปล่าล่ะ" สนมองดูบริเวณต้นแขนข้างขวาของต้นที่มีผ้าพันแผลอยู่ด้วยความสงสาร

"ไม่เป็นไรหรอก พอทนได้" ต้นตอบพลางยิ้มและหัวเราะเบาๆ เขาไม่อยากให้สนต้องกังวลกับเขามากนัก

"สน...เพื่อนเขามีบุญคุณกับเรานะลูก ต่อไป สนต้องคอยดูแลเพื่อน ช่วยเพื่อน ที่สำคัญ ถ้าเพื่อนมีปัญหาก็อย่าทิ้งเพื่อนเป็นอันขาดนะลูก" พ่อของสนบอกพลางย่อตัวลงข้างๆ และใช้มือแตะไหล่ลูกชายเบาๆ สนเงยหน้าขึ้นมองพ่อและทุกๆ คนที่ยืนอยู่ข้างหลังแล้วตอบว่า

"ครับพ่อ ผมสัญญาครับ ผมจะคอยดูแลต้น ผมจะไม่ทิ้งต้นครับ" สนพูดด้วยความมั่นใจ แม้จะไม่มีใครบอกเขา เขาก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าจะดูแลเพื่อนคนนี้ให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการตอบแทนที่ต้นได้ช่วยชีวิตเขาไว้และยังเป็นเพื่อนที่ดีกับเขาตลอดมา สนหันกลับมามองเพื่อนตามเดิม สายตาของเขาฉายแววมาดมั่นที่จะทำอย่างที่สัญญาไว้

พอถามไถ่อาการกันพอสมควรแล้ว พ่อแม่ของสนและพ่อของต้นก็พาสนไปแจ้งความที่โรงพัก ส่วนแม่ของต้นอาสาอยู่เป็นเพื่อนต้นที่โรงพยาบาลเอง

ก่อนออกไปจากห้อง สนหันมาบอกต้นว่า "เดี๋ยวเรามานะต้น เราจะมานอนเป็นเพื่อนนาย"

ต้นยิ้มเป็นเชิงตอบรับ
------------------------------------------------------------------------------------------------
พอมาถึงสถานีตำรวจ ครอบครัวของสนได้แจ้งข้อหาพยายามข่มขืนผู้เยาว์แก่ชายโรคจิตคนนั้นซึ่งอาจถูกลงโทษจำคุกนานถึง 20 ปี พอเสร็จธุระแล้ว สนก็กลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วขี่จักรยานไปโรงพยาบาลอำเภอซึ่งอยู่ไม่ไกลนักเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนต้น พอไปถึงโรงพยาบาลก็เห็นแม่ของต้นนั่งอ่านหนังสืออยู่ ส่วนต้นหลับไปแล้ว เขาจึงเข้าไปคุยกับแม่ของต้นและเล่าให้ฟังว่าเขาไปแจ้งความอะไรไว้บ้าง ตอนนี้ตำรวจกำลังออกตามหาตัวชายโรคจิตคนนั้นอยู่ คาดว่าจะจับตัวได้ไม่ยากเพราะรู้ตัวแล้วว่าเป็นใคร คุยกันได้สักพักต้นก็ตื่น

"สน...เราปวดฉี่น่ะ พาเราไปห้องน้ำหน่อยสิ" ต้นบอกด้วยเสียงเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน

สนรีบกุลีกุจอไปช่วยประคองเพราะต้นใช้แขนข้างหนึ่งไม่ได้จึงทำให้ลุกไม่สะดวก เขาพาต้นไปที่หน้าห้องน้ำแล้วก็ถามว่า "ให้เราเข้าไปช่วยข้างในไหม"

"ไม่เอา เราทำเองได้น่า" ต้นบอกพลางหัวเราะ แม่ของต้นก็พลอยหัวเราะไปด้วย

สนช่วยเปิดประตูให้ต้นเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างระมัดระวัง สายตาคอยมองเพื่อนด้วยความเป็นห่วง "เสร็จแล้วบอกเรานะ เดี๋ยวเราช่วยเปิดประตูให้"

สนกำชับก่อนที่จะช่วยปิดประตู พอได้ยินเสียงลูกบิดประตูดังอีกครั้งเขาก็รีบบอกต้นว่า "นายไม่ต้องเปิดเองหรอกเดี๋ยวเราเปิดให้" สนบอกพลางใช้มือเปิดประตูให้ต้นอย่างระวัง

เขาพาต้นกลับมานอนบนเตียงตามเดิมแล้วก็นั่งคุยกับต้นอยู่ข้างๆ คุยกันได้ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น แม่ของต้นเดินไปเปิดก็เห็นเพื่อนชายหญิงของต้นหกเจ็ดคนยืนออกันอยู่ เพื่อนๆ ที่ทราบข่าวมาเยี่ยมต้นนั่นเอง เด็กๆ เดินเข้ามาข้างในห้องแล้วก็กรูเข้าไปถามต้นกันใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นยังไงบ้าง หนึ่งในนั้นมีเพื่อนชายของต้นคนหนึ่งที่มีท่าทางกระตุ้งกระติ้ง พอรู้ว่าต้นไปช่วยสนไว้ได้ทันก่อนที่จะถูกชายคนนั้นข่มขืน เขาก็พุ่งมือมาเกาะแขนสนเพื่อจะถามว่าสนเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วก็เลยเกิดเรื่องขึ้น สนสะบัดมือออกโดยอัตโนมัติและผลักเพื่อนของต้นคนนั้นจนกระเด็นล้มลงก้นจ้ำเบ้า

"อย่ามาถูกตัวกูนะเว้ย" สนว่าด้วยเสียงดังลั่น เขาดูไม่พอใจอย่างมาก ทุกคนทำหน้างงและมองหน้ากันไปมาเลิ่กลั่ก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้สนหวาดกลัวและระแวงผู้ชายกระตุ้งกระติ้งเป็นอย่างมาก และเขาก็เป็นอย่างนั้นนับตั้งแต่นั้นมา กะเทยคนไหนก็ตามที่เข้ามาทำก้อร่อก้อติกหรืออยู่ใกล้เขาจะถูกเขาไล่เตะจนวิ่งหนีแทบไม่ทัน หลายครั้งสนก็สบถด่าด้วยคำพูดแรงๆ ที่แสดงอาการรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้ไม่มีกะเทยคนไหนกล้าเข้าใกล้สนอีกเลย

"เฮ้ย ไอ้สน อีรุ่งมันก็ถามมึงดีๆ มึงไปผลักมันทำไมวะ" เพื่อนคนหนึ่งของต้นถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขาเรียกเพื่อนชายที่กระตุ้งกระติ้งว่า "อีรุ่ง" เพราะทุกคนก็เรียกแบบนี้กันทั้งโรงเรียน

"กูเกลียดไอ้พวกกะเทยผิดเพศพวกนี้ มันทำไม่ดีกับกู แถมยังทำให้เพื่อนกูต้องมาเจ็บตัวอีก" สนตอบกลับไปอย่างฉุนเฉียว ถ้าเป็นเพื่อนคนอื่นๆ ต้นกับสนจะพูดมึง-กูซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ระหว่างต้นกับสนแล้ว ทั้งสองไม่เคยพูดมึง-กูด้วยกันเลย จะเรียกว่า “นาย-เรา” เสมอ

ต้นเห็นท่าทางไม่ดีจึงรีบปรามเพื่อน "สน...ใจเย็นๆ ก่อน" แล้วต้นก็หันไปบอกเพื่อนๆ ว่า "เดี๋ยวพวกมึงกลับไปก่อนนะ กูไม่เป็นไรมากหรอก เดี๋ยวกูจะไปเล่าให้ฟังที่โรงเรียน"

พอเห็นบรรยากาศไม่ดี เพื่อนๆ ของต้นจึงต้องพากันกลับ ต้นก็ฉลาดพอที่จะไม่ต่อว่าเพื่อนเพราะเขาพอเข้าใจความรู้สึกของสนซึ่งกำลังเสียขวัญกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นอยู่ จึงชวนคุยเรื่องอื่นเพื่อให้สนสบายใจขึ้น ความเข้าใจในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้นี่เองที่ทำให้สนรักเพื่อนของเขามาก
------------------------------------------------------------------------------------------------
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา สนจะคอยดูแลต้นเป็นอย่างดี ไม่มีใครสามารถรังแกเพื่อนเขาได้เลย และก็เป็นอันรู้กันทั้งโรงเรียนว่า "เพื่อนสน ใครอย่าแตะ" ในช่วงหลังๆ นั้นสนไม่ค่อยได้ออกไปทำงานช่วยพ่อแม่บ่อยนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าพ่อกับแม่ของสนอยากให้สนมีเวลาเรียนมากขึ้นเนื่องจากเห็นว่าผลการเรียนของสนดีขึ้นมาก เกรดเฉลี่ยสามกว่าๆ แล้ว นอกจากนี้ น้าสาวของสนที่อยู่เมืองนอกก็ส่งเงินมาให้ใช้บ้าง แม้จะไม่ทุกเดือนแต่ก็ทำให้ครอบครัวเขาลำบากน้อยลงกว่าเดิม สนจึงมีเวลามากขึ้น ตอนเย็นๆ เขามักจะเล่นเตะบอลกับเพื่อนๆ ก่อนกลับบ้าน บางทีต้นก็ไปนั่งดูหรือไม่ก็ลงไปเล่นด้วย การเล่นกีฬาทำให้สนมีรูปร่างที่แสดงถึงความเป็นหนุ่มมากขึ้น เขาเป็นคนที่หุ่นดีมาก สูงและผิวขาวตามแบบฉบับของคนเหนือ บางครั้งเวลาต้นนั่งดูสนเล่นฟุตบอล พอเห็นสนถอดเสื้อแล้วก็ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน ต้นเริ่มสงสัยตัวเองแล้วว่าตัวเขาอาจจะเป็นเกย์ แต่เขาแทบจะไม่มีท่าทางใดๆ ที่ดูเหมือนผู้หญิงเลย นอกจากหน้าตาที่ออกหวานหน่อยๆ และนิสัยที่ไม่ชอบเล่นกีฬาหรือทำงานที่ต้องใช้กำลัง แต่อย่างไรก็ดี ต้นก็พอทำได้ในระดับหนึ่งเพราะต้นก็ยังเล่นเตะบอล บาสเกตบอลหรือทำงานที่ใช้กำลังอยู่บ้าง จึงไม่มีใครสงสัยรวมถึงครอบครัวของเขาเองด้วย แม้ว่าต้นจะยังไม่ค่อยแน่ใจว่าเขาเป็นอะไรแน่ แต่สิ่งหนึ่งที่ต้นตระหนักดีก็คือ ถ้าหากต้นเป็นเกย์จริงๆ แล้ว ต้นจะไม่มีวันบอกสิ่งนั้นกับสนอย่างเด็ดขาดเพราะเขากลัวต้องเสียเพื่อนไป
------------------------------------------------------------------------------------------------
แม้ว่าต้นกับสนดูจะเป็นเด็กดีและตั้งใจเรียน แต่ในสังคมปัจจุบันที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ยั่วยุและล่อแหลม บางครั้งก็ทำให้ไขว้เขวไปได้เหมือนกัน พอเริ่มขึ้น ม.3 สนก็ถูกเพื่อนชวนไปกินเหล้าและสูบบุหรี่ แต่สนก็แอบทำไม่ให้ครู พ่อกับแม่หรือต้นเห็น บางทีก็แอบไปสูบหลังโรงเรียน ในห้องน้ำหรือนอกรั้วโรงเรียน ส่วนเหล้านั้น บางทีเพื่อนก็จะเอามาให้สนลองกินเวลาที่เจอกันในหมู่บ้านบ้าง ส่วนต้นจะไม่แตะสิ่งเหล่านี้เลยเพราะการปลูกฝังของครอบครัวที่ค่อนข้างมีระเบียบ จะเห็นได้ว่าต้นถูกสอนให้เก็บหอมรอบริบเงินตั้งแต่เด็ก ถ้ามีเงินเหลือต้นจะต้องเอาเงินมาหยอดกระปุก พอเต็มแล้วก็จะเอาไปฝากธนาคารเป็นประจำ

ไม่นานนักต้นก็เริ่มระแคะระคายกับพฤติกรรมนอกลู่นอกทางของสนจากคำบอกเล่าของเพื่อนคนอื่นๆ ที่เคยเห็น แม้ต้นจะรู้สึกเป็นห่วงอนาคตของเพื่อน แต่เขาก็คงจะไปห้ามปรามสนตรงๆ ไม่ได้ ต้นรู้ว่าถ้าเขาพูดดีๆ และมีเหตุผล สนจะฟังเขาเสมอ ที่สำคัญ ต้นก็เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่สนจะยอมรับฟัง

วันหนึ่ง ในขณะที่ต้นซ้อนท้ายจักรยานสนกลับบ้านหลังจากเลิกเรียน ต้นได้กลิ่นบุหรี่ตอนสนคุยด้วยจึงตัดสินใจถามว่า "สน นายสูบบุหรี่หรือเปล่า"

สนอึ้งและเงียบไปสักพัก เขาไม่คิดว่าเพื่อนจะรู้ด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เขาไม่เคยโกหกเพื่อนเขาจึงต้องตอบตามตรง "ใช่"

"แล้วนายกินเหล้าด้วยหรือเปล่า" ต้นถามอีก

"ใช่" สนยอมรับแต่โดยดี ต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่เหมือนใช้ความคิดอะไรบางอย่าง

"นายอย่าบอกพ่อกับแม่ของเรานะต้น" สนขอร้องเพื่อน

"ทำไมล่ะสน" ต้นถามเสียงเรียบ

"เรากลัวพ่อกับแม่เราเสียใจ" สนบอกเพื่อนเสียงอ่อย

"ถ้านายกลัวพ่อกับแม่เสียใจ แล้วนายทำอย่างนั้นทำไมล่ะสน" คำถามง่ายๆ จากต้นช่วยทำให้สนคิดได้ เขาจึงเงียบไปพักใหญ่

พอถึงบ้าน ต้นลงจากรถจักรยานแล้วก็เดินมายืนด้านหน้าเพื่อนด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม "เราไม่ห้ามนายหรอกนะสน แต่เราอยากให้นายคิดดีๆ ถึงผลที่จะตามมาในวันข้างหน้า คิดถึงอนาคตและครอบครัวของนายด้วย นายเป็นความหวังของพ่อแม่นะสน” ต้นเว้นจังหวะ “จริงๆ เราก็ไม่ชอบคนที่กินเหล้าสูบบุหรี่หรอกนะ แต่นายเป็นเพื่อนเรา ไม่ว่านายจะเป็นยังไงนายก็จะเป็นเพื่อนเราเสมอ เราเป็นห่วงนายนะสน เป็นห่วงจริงๆ ในฐานะที่เราเป็นเพื่อน เราไม่สบายใจเลยที่เห็นเพื่อนที่เรารักกำลังเดินทางผิด ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง เราคงจะเป็นเพื่อนที่แย่มาก"

สนเริ่มสำนึกได้ เขาดึงมือต้นมาจับไว้แล้วตบเบาๆ สองสามที "เราสัญญาต้น เราจะไม่ทำแบบนี้อีก ขอบใจนายมากที่เตือนสติเรา นายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเรานะต้น" สนบอกเพื่อนจากใจจริง สองหนุ่มน้อยยิ้มให้กัน มันคือรอยยิ้มแห่งมิตรภาพและความเข้าใจที่ไม่สามารถจะหาจากใครอื่นได้ง่ายนักในโลกใบนี้ที่มีแต่การแข่งขัน