Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 291
Message ID: 55
#55, RE: ต้นสน - Repost และตอนพิเศษ
Posted by sarawatta on 03-Jul-11 at 10:40 AM
In response to message #0

ตอนที่ 25: อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าคนรักกัน

วันนี้ต้นจะกลับแล้ว พอสนกินข้าวเที่ยงเสร็จแล้วเขาก็รีบขับรถตรงไปสนามบินทันทีด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและดีใจที่จะได้พบเพื่อน หลังจากได้คุยกับต้นวันนั้นและรู้ความรู้สึกจริงๆ ของต้นแล้ว สนก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้น แต่สิ่งที่ทำให้สนหนักใจในขณะนี้ก็คือ บทบาทและหน้าที่การเป็นสามีที่ดี เขาเริ่มเบื่อหน่ายและลำบากใจกับการทำหน้าที่นี้เสียแล้ว สามีภรรยาทั่วไปก็อาจจะทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต่างจากที่เขากับนาเป็นอยู่มากนัก โดยมากก็จะรู้สึกขุ่นเคืองกันใจบ้าง แต่ไม่นานก็หายและสุดท้ายก็จะปรับตัวได้ แต่สนกลับรู้สึกว่ามีอะไรที่มากกว่านั้น ทำไมเมื่อก่อนเขาไม่เคยรู้สึกอย่างนั้นเลย จนกระทั่งเขาได้มีโอกาสพูดเปิดใจกับต้นก่อนที่จะแต่งงานและเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น พอได้คุยกับปั้นจั่นแล้วก็ยิ่งทำให้สนรู้สึกเปลี่ยนไป เขาอาจจะคิดอะไรพิเศษบางอย่างกับต้นอย่างที่ปั้นจั่นบอกหรือเปล่า เมื่อก่อนไม่ใช่ว่าสนจะไม่รู้ว่าต้นคิดอะไรตอนที่เขาตัดสินใจมีแฟน เขารู้ว่าต้นน้อยใจและแอบเสียใจ เขาเองก็ไม่ได้รู้สึกดีที่ต้นรู้สึกเช่นนั้น แต่ชีวิตเขาก็ต้องดำเนินไปตามวิถีทั่วไปของผู้ชายคนหนึ่ง เขาไม่ได้คุยเรื่องนี้กับต้นมากนักในตอนนั้นแต่ก็สังเกตได้จากอาการบางอย่างของต้น สนจึงรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ในใจเสมอที่ทำให้เพื่อนต้องเจ็บแม้ว่าต้นจะไม่เคยพูดหรือเรียกร้องอะไรเลย ทุกครั้งที่เขาไปเที่ยวกับแฟนหรือมีบางช่วงที่ห่างเหินไป เขารู้ว่าต้นเหงา จนทำให้หลังๆ มานี้ต้นทำงานหนักมากขึ้น วันหยุดว่างๆ ต้นก็จะไปหากิจกรรมจำพวกงานอาสาสมัครทำ สนรู้ว่าต้นทำอย่างนั้นเพราะไม่อยากคิดฟุ้งซ่าน ต้นคอยหลบหน้าและหลีกเลี่ยงการเจอเขาอยู่บ่อยๆ เขาเข้าใจว่านั่นก็เป็นทางออกที่ทำให้ต้นไม่ทุกข์จนเกินไป แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม สนก็รู้ว่าต้นรักเขาเช่นนั้นเสมอมา บางครั้งก็ทำให้สนอดคิดไม่ได้ว่าเขามีความสุขอยู่บนความทุกข์ของเพื่อน เพื่อนที่ดีกับเขาเหลือเกิน ดีจนไม่รู้ว่าชาตินี้สนจะตอบแทนให้เพื่อนอย่างไร นอกจากจะไม่ได้ตอบแทนอะไรมากแล้วเขายังกลับทำให้เพื่อนเป็นทุกข์เสียอีก ความรู้สึกผิดหรือเปล่าที่ทำให้สนเปลี่ยนไป แต่ต้นกับนาก็เป็นคนละคน ไม่น่าจะเกี่ยวกันในเรื่องนี้ ถ้าเขารู้สึกผิดกับต้นก็ไม่น่าจะทำให้เขารู้สึกกับนาเปลี่ยนไป มันเป็นเพราะอะไรกันแน่ หรือจะเป็นอย่างที่ปั้นจั่นว่าหรือเปล่า เขาจะเป็นเกย์อย่างนั้นหรือ คิดมาถึงตรงนี้แล้วสนก็เกิดความกลัวขึ้นมาในใจ เขาไม่ชอบคนพวกนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ไม่เคยรู้สึกดีกับคนพวกนี้สักครั้ง เขายกเว้นให้แค่ต้นคนเดียวเท่านั้นด้วยเหตุผลเดียวคือความดีของต้น ถ้าเขาจะเป็นเสียเองเขาก็คงรับไม่ได้อย่างแน่นอน

ความคิดสับสนของสนหยุดลงเมื่อเขามาถึงสนามบิน สนจอดรถแล้วก็ออกมายืนรอเพื่อนอย่างใจจดใจจ่อ เก็บความสงสัยทุกอย่างไว้เพราะการได้เจอเพื่อนคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ไม่นานนักสนก็เห็นต้นเข็นกระเป๋าออกมาจากสนามบินด้วยชุดลำลองสบายๆ สนไม่รอช้ารีบวิ่งไปหาเพื่อนพร้อมกับร้องเรียกอย่างดีใจ ต้นหันมาเห็นสนแล้วก็ดีใจไม่แพ้กัน เขาปล่อยรถเข็นกระเป๋าแล้วก็หยุดยืนรอรับอ้อมกอดจากเพื่อนที่วิ่งมาหา

“ต้น” สนกอดเพื่อนแน่นด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ การรอคอยที่แสนยาวนานได้สิ้นสุดลงแล้ว เขาตื้นตันและดีใจจนไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดมาพูดได้ แค่เสียงที่เขาเรียกชื่อเพื่อนเพียงอย่างเดียวก็บอกทุกความรู้สึกได้ทั้งหมดแล้ว

“สน” ต้นกอดเพื่อนด้วยความรู้สึกที่คิดถึงและห่วงหาไม่แพ้กัน ในตอนนี้ภาษากายสำคัญกว่าคำพูดทุกอย่างเพราะรู้สึกว่าแม้คำพูดจะสวยหรูเพียงใดก็ไม่เท่ากับความรู้สึกและการกระทำที่เกิดขึ้นจริงๆ ณ ตอนนี้

สนปล่อยเพื่อนแล้วจับไหล่ต้นไว้เพื่อจะได้ดูหน้าตาของเพื่อนให้ชัดๆ ทั้งคู่มีหยดน้ำตาปริ่มๆ “ดีใจเหลือเกินต้นที่นายกลับมา สบายดีใช่ไหม เราเป็นห่วงแล้วก็คิดถึงนายทุกวันเลยเพื่อนรัก” สนสังเกตดูเนื้อตัวผิวพรรณของต้นก็เห็นอะไรบางอย่างแปลกไป “ไปทำอะไรมาถึงดำอย่างนี้ล่ะ ดูแข็งแรงขึ้นด้วย”

ต้นยิ้ม หัวเราะแล้วก็ตอบว่า “ก็ทำงานกลางแดดเกือบทุกวัน บางทีก็ต้องใช้แรงงานบ้าง ช่วยเขา” ต้นสังเกตดูเพื่อนบ้าง “ทำไมนายผอมจังเลยล่ะสน เป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงของต้นดูเป็นห่วง

“ก็อย่างที่เราบอกนายไง นายเห็นแล้วใช่ไหมต้นว่านายสำคัญกับเราขนาดไหน ถ้านายไม่กลับมาอีกซักเดือนเราคงเหลือแต่กระดูก” สนพูดติดตลกตอนท้าย แต่ต้นก็รู้ว่าสนไม่ได้พูดเล่น เขาไม่เคยคิดเลยว่าการที่เขาไม่อยู่สามเดือนจะทำให้สนถึงกับกินนอนไม่ได้ถึงขนาดนี้

เห็นต้นทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดสนก็รีบชิงบอกว่า “ช่างมันเถอะ อย่าพูดถึงมันดีกว่า นายกลับมาเราก็ดีใจแล้ว ไม่ต้องไปไหนนานๆ อีกก็พอ”

ต้นพยักหน้า “ถ้านายยังต้องการเราอยู่ เราก็ไม่ไปไหนหรอก เราก็เข็ดแล้วเหมือนกัน”

พอเพื่อนพูดจบสนก็ดึงเพื่อนมากอดอีกให้สมกับที่คิดถึงเสียเหลือเกิน แต่แล้วเขาก็ต้องแปลกใจเมื่อมีผู้ชายคนหนึ่งยืนมองต้นกับเขาอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมไปไหน ดูเหมือนจะอยู่แถวๆ นี้มาสักพักหนึ่งแล้วแต่สนไม่ได้สังเกต สนคลายอ้อมแขนออก สายตายังคงจับจ้องที่ชายแปลกหน้าคนนั้นอยู่

ต้นรู้สึกว่ามีอะไรผิดสังเกตจึงหันไปมองตามบ้าง พอเห็นพี่มั่นคงแล้วต้นก็เพิ่งนึกได้ เขามัวแต่ดีใจจนลืมว่าพี่มั่นคงรออยู่ “ขอโทษทีครับ” ต้นรีบบอกพี่มั่นคงเมื่อนึกได้ แล้วก็หันมาทางสน “สน...นี่พี่มั่นคงนะ ที่เราเล่าให้นายฟังไง” น้ำเสียงของต้นดูประหม่าและไม่มั่นคงเพราะสังเกตเห็นแววตาแปลกๆ ที่สนมองพี่มั่นคง

“สวัสดีครับ” สนยกมือไหว้

พี่มั่นคงรับไหว้ เขาเห็นสีหน้าท่าทางของสนแล้วก็รู้สึกถึงความไม่เป็นมิตรทันที “ชื่อสนใช่ไหม เห็นต้นพูดให้ฟังอยู่บ่อยๆ” พี่มั่นคงพยายามจะผูกมิตรด้วย เห็นสิ่งที่ต้นกับสนแสดงออกเมื่อสักครู่นี้แล้วพี่มั่นคงก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก ต้นบอกว่าสนแต่งงานมีครอบครัวแล้ว ไม่ได้รักต้นแบบนั้น แต่สายตาของต้นกับสนที่มองกันนั้นกลับทำให้เขาต้องทบทวนและคิดต่างออกไป

“ครับ ผมกับต้นเป็นเพื่อนรักกันครับ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ” สนพูดพร้อมกับโอบไหล่เพื่อนไว้คล้ายกับจะบ่งบอกบางสิ่งบางอย่างเป็นนัยๆ

“ผมรู้แล้วล่ะ ต้นเขาเล่าให้ฟังแล้ว เห็นต้นบอกว่าวันนี้สนลางานมารับต้นโดยเฉพาะเลย” พี่มั่นคงหันไปพูดกับต้นในตอนท้าย

ต้นยิ้มด้วยความรู้สึกไม่คอยมั่นคงนัก เขารู้สึกถึงบรรยากาศการสนทนาที่อึดอัดจากอาการของทั้งสองคนในระดับหนึ่งแล้ว

“เดี๋ยวพี่ไปก่อนละกันต้น ต้นจะได้พักผ่อน” พี่มั่นคงบอก เขาก็เริ่มรู้สึกอึดอัดเช่นกัน

“ขอบคุณครับพี่ แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้ครับ” ต้นบอกพลางยกมือไหว้ขอบคุณ

“ครับ ฝากดูแลต้นดีๆ ด้วยนะครับสน คนนี้...ผมห่วงเป็นพิเศษ” พี่มั่นคงจงใจทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ทำให้สนสะดุดใจ

ได้ผลทีเดียวเพราะสนมีปฏิกิริยาบางอย่างตอบสนองทันทีด้วยการขมวดคิ้วสงสัย

“ไม่ต้องห่วงครับ เพื่อนผม ผมรักของผม ผมดูแลเพื่อนผมเป็นอย่างดีมาตลอดอยู่แล้วครับ”

ต้นได้แต่มองหน้าชายหนุ่มอีกสองคนอย่างงงๆ
------------------------------------------------------------------------------------------------
“นายนอนพักผ่อนก่อนดีไหมต้น กลับมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวเราจะทำอะไรให้กิน อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม” สนหันมาถามขณะที่ยกกระเป๋าเดินทางและของที่ต้นซื้อมาฝากไปเก็บเข้าที่ ใบหน้าของเขายิ้มแย้มอย่างมีความสุขตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอต้นที่สนามบินแล้ว

“เราอยากกินต้มยำกุ้งอร่อยๆ อยู่นี่นู่นเขาไม่ค่อยกินอาหารเผ็ดๆ กันเลย เราอยากกิน ได้ไหม” ต้นบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“ได้เลยเพื่อน เดี๋ยวเราจัดให้” สนยิ้มด้วยความยินดี

“เราไม่เหนื่อยหรอก ไม่ง่วงด้วย ให้เราช่วยนายทำด้วยสิ” ต้นนึกสนุก

สนทำท่าครุ่นคิดแล้วก็ตกลง “ได้สิ เราจะออกไปซื้อของข้างนอกแป๊บหนึ่ง นายอยู่นี่นะ นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อน ไม่ต้องไปกับเราหรอก”

“โอเค” ต้นรับคำอย่างงว่าง่าย

สนเดินออกไป ต้นมองตามเพื่อนแล้วก็ยิ้ม อย่างน้อยถึงเขาจะไม่ได้ความรักแบบนั้นจากเพื่อน แต่การที่เขาได้ความรักอย่างเพื่อนที่จริงใจจากผู้ชายคนหนึ่งที่เขาแสนรักมา เขาก็ดีใจและภูมิใจที่สุดในชีวิตแล้ว สนเป็นเพื่อนที่น่ารักกับเขามาตลอด ใส่ใจและให้ความสำคัญกับเขาเสมอ เจ็บยังไงต้นก็รู้สึกว่าคุ้มค่า ได้เห็นรอยยิ้มสดใสมีเสน่ห์ ได้อยู่ใกล้ๆ ผู้ชายที่ดูอบอุ่นคนหนึ่งที่คอยดูแลเขาเป็นอย่างดี แม้ว่าต้นจะลำบากใจบ้างเพราะบางครั้งก็อดรู้สึกหวั่นไหวและคิดไปไกลเวลาอยู่ใกล้ชิดกัน
------------------------------------------------------------------------------------------------
พอสนกลับมาแล้ว ต้นก็ทำหน้าที่เป็นลูกมือที่ดี ช่วยหั่นผักและเครื่องเทศต่างๆ โดยมีสนเป็นผู้คอยกำกับเพราะเขารู้ว่าต้นทำไม่ค่อยเป็น ต่างจากสนที่ทำงานแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะเขาต้องคอยหุงหาอาหารให้พ่อกับแม่ที่ออกไปทำงานนอกบ้านเสมอ ในช่วงหลังๆ มานี้สนพบว่าการทำอาหารเป็นกิจกรรมที่ทำให้เขาผ่อนคลายและได้พักผ่อน เขาจึงมักทำบ่อยๆ ทั้งทำให้ภรรยากิน เวลากลับไปบ้านไปหาพ่อกับแม่สนก็มักจะลงมือทำอาหารเองบ่อยๆ เวลามาหาต้นก็เช่นกัน แต่บางทีก็ออกไปกินข้าวนอกบ้านบ้างถ้าไม่มีเวลาจริงๆ

พอทำต้มยำกุ้งเสร็จแล้ว สนก็จะทำไข่เจียวทอดกับชะอม ต้นก็มีหน้าที่หั่นผักเช่นเคย

“เราอยากทอดไข่เจียว นายให้เราทำนะ” ต้นขันอาสา

สนพยักหน้า “เอาสิ”

พอหั่นผักเสร็จแล้วต้นก็ตอกไข่ใส่ถ้วย สนคอยมายืนคุมอยู่ด้านหลังพร้อมกับสอนวิธีตอกไข่ ในระหว่างนั้น สนแอบมองต้นด้วยความรู้สึกบางอย่างอยู่บ่อยครั้ง จนต้นรู้สึกได้จึงหันกลับมามองสนขณะที่เขามายืนอยู่ด้านหลัง เมื่อสายตาประสานกัน ต่างคนก็ต่างประหม่า หวิวไหวใจสั่น สนรู้สึกเหมือนว่าสายตาที่ฉายแววเศร้าของต้นมีพลังดึงดูดบางอย่าง ในขณะที่แววตาที่แสนจะอบอุ่นของสนก็ทำให้ใจต้นสั่นไหว สนนึกถึงวันนั้น เขายังจำรสจูบนั้นได้ดี สนเคลื่อนใบหน้าเข้าไปหาต้นอย่างช้าๆ ราวกับต้องมนตร์สะกด เป้าหมายของเขาคือริมฝีปากที่น่าจูบของต้น ต้นยืนตัวแข็งทื่อ แต่ก่อนที่สนจะได้ทำอะไร ต้นก็กลับทำลายบรรยากาศนั้นเสีย

“นายเอากระทะมาให้หน่อยสิ”

สนตื่นจากภวังค์ในทันที ในใจก็รู้สึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูก

“ได้สิ” ว่าแล้วก็เดินไปหยิบกระทะมาให้เพื่อน ท่าทางของเขายังดูมึนงงอยู่พอสมควร สนเอากระทะมาตั้งแล้วก็บอกเพื่อนว่า “วันนี้เราจะอยู่กับนายทั้งวันเลยนะต้น เราบอกนาแล้ว นาเขาไม่ว่าอะไร พอดีนาเองก็จะไปหาพ่อกับแม่อยู่พอดี ก็เลยว่าจะค้างที่บ้านพ่อกับแม่”

ต้นพยักหน้ารับรู้ “ชีวิตครอบครัวนายเป็นอย่างไรบ้างล่ะสน”

สีหน้าของสนเปลี่ยนไปทันที จากที่ดูยิ้มแย้มก็ดูเหมือนจะสลดลงเมื่อเจอคำถามที่เขาลำบากใจที่จะตอบ สนถอนหายใจ “ก็ดี”

“ก็ดี...แล้วทำไมถอนหายใจล่ะสน” ต้นมองหน้าเพื่อนอย่างสงสัย

“เดี๋ยวเราเล่าให้ฟังละกันนะ ตอนนี้ทำอาหารก่อนดีกว่า” สนตัดบท

ต้นจึงไม่ต่อความ เขารู้สึกสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างสนกับภรรยามาระยะหนึ่งแล้วล่ะ แต่เห็นสนไม่ค่อยอยากเล่า ต้นจึงได้แต่เก็บความสงสัย ถ้าสนไม่พร้อม ต้นก็จะไม่บังคับอย่างเด็ดขาด

“นายจะกลับบ้านไหมต้น เราว่านายน่าจะกลับนะ พ่อกับแม่คงคิดถึงนายน่าดู พ่อกับแม่เราก็ถามหานายอยู่บ่อยๆ ไปไหม เดี๋ยวเราพาไป วันเสาร์นี้เลย” สนชวนด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

ต้นพยักหน้าพลางยิ้มตื่นเต้นเช่นกัน “ไปสิ เราบอกพ่อกับแม่แล้วล่ะว่าเราจะไป”

“ดีเลย ตั้งแต่ได้รถคันนี้มา เรายังไม่เคยพานายกลับบ้านเลย” สนยิ้มด้วยความหวัง เขาอยากขับรถพาต้นกลับไปที่หมู่บ้านที่เขากับต้นเคยอยู่ในช่วงวัยเด็ก อยากพาต้นไประลึกความทรงจำดีๆ ต่างๆ มากมายที่เล่ากันสามวันสามคืนก็ไม่หมด แค่คิดก็มีความสุขแล้ว แต่สนก็หารู้ไม่ว่าเขาจะยิ่งทำให้ต้นเจ็บอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
-----------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนเย็นๆ ต้นกับสนก็นั่งกินข้าวด้วยกัน สนทำกับข้าวไว้สามสี่อย่างให้พอดีสำหรับกินสองคน ต้นดูจะเอร็ดอร่อยเป็นพิเศษเพราะไม่ได้กินอาหารแบบนี้จากฝีมือเพื่อนมานานหลายเดือนแล้ว สนจึงยิ้มแก้มแทบปริที่เห็นเพื่อนชอบ

“นายน่าจะเปิดร้านขายอาหารนะสน นายทำอาหารอร่อยมากเลยรู้ไหม อีกอย่าง เรารู้สึกว่านายมีความสุขมากเวลาที่ทำอาหาร เอาไหม เดี๋ยวเราหุ้นด้วย”

สนดูสนใจไม่น้อย เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย “น่าสนใจ...เราก็รู้สึกอย่างนั้น เราทำอาหารทีไรเราก็มีความสุข โดยเฉพาะเวลาทำให้นายกิน”

“เอางี้ละกัน ช่วงนี้เรามาลองศึกษาความเป็นไปได้ดูก่อน ถ้านายพร้อม เราจะช่วยเอง”

สนยิ้มด้วยความตื้นตันใจ ต้นคือคนที่พร้อมจะช่วยสนับสนุนเขาทุกอย่าง เขารู้ว่าถ้าเขาอยากทำขึ้นมาจริงๆ ต้นจะเป็นคนสำคัญที่ช่วยให้เขาทำได้

“ขอบใจมากเพื่อน นายดีกับเราจริงๆ นะต้น ดีจนเรารู้สึกผิดที่...” แล้วสนก็หยุดพูดเพราะไม่รู้จะสื่อสารออกไปอย่างไร

“รู้สึกผิดเรื่องอะไร นายไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา” ต้นถามอย่างสงสัย

“ไม่มีอะไรหรอก กินข้าวเถอะ เรื่องเครียดๆ เอาไว้คุยวันหลังดีกว่า วันนี้เราอยากคุยเรื่องที่มีความสุข” สนตัดบท

เมื่อสังเกตดูหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น ต้นเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่าสนต้องมีปัญหาชีวิตบางอย่าง แต่อีกไม่นานนี้สนก็คงจะบอกเขาเอง ต้นจึงไม่เซ้าซี้ถาม
------------------------------------------------------------------------------------------------
กลางดึก สนรู้สึกตัวขึ้นโดยไม่รู้สาเหตุ เขาลุกเดินไปหาน้ำกินในตู้เย็นเสร็จแล้วก็กลับเข้ามานอนต่อ แต่ก่อนจะนอน สนก็หันไปมองต้นที่กำลังนอนอยู่ด้วยความสนใจ สนดึงผ้าห่มที่หลุดไปอยู่บริเวณเอวขึ้นมาคลุมบริเวณอกของเพื่อน แสงไฟจากข้างนอกทำให้เขาเห็นใบหน้าของต้นที่นอนหลับอย่างเป็นสุข สนไม่ค่อยได้มีโอกาสสังเกตใบหน้าของเพื่อนอย่างชัดเจนมากนัก เขาจึงก้มลงมาดูใกล้ๆ ใช้มือปัดผมที่ปรกหน้าผากของเพื่อนออกไป สนมองดูเพื่อนด้วยสายตาอ่อนโยนและเอ็นดู เมื่อสังเกตดีๆ แล้วเขาพบว่าต้นเป็นคนที่น่ารักน่าทะนุถนอมไม่น้อย ในวินาทีนั้น ความรู้สึกอยากพิสูจน์อะไรบางอย่างได้แล่นเข้ามาในความคิดของเขา บางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วที่สนต้องพิสูจน์สิ่งที่เขาสงสัยกับตัวเองมานาน ไม่อย่างนั้นก็คงจะต้องสงสัยต่อไป คิดดังนั้นแล้วสนจึงค่อยๆ โน้มใบหน้าต่ำลงโดยใช้สองมือยันพื้นเตียงนอนไว้ มือข้างซ้ายของเขาคร่อมตัวเพื่อนไว้ เขาอยากจุมพิตริมฝีปากของต้นเพื่อวัดใจว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันหรือเปล่า เขาไม่แน่ใจนักว่าครั้งนั้นเขาทำไปด้วยเหตุผลใด แต่คิดไปคิดมาก็ดูเหมือนเขากำลังจะแอบทำมิดีมิร้ายกับเพื่อนขณะนอนหลับ อาจจะดูไม่ค่อยดีนักถ้าเกิดต้นตื่นขึ้นมาเห็น สนจึงเปลี่ยนใจจากการจุมพิตเป็นหอมแก้มเพื่อนแทน พอทำไปแล้วเขากลับรู้สึกว่าเขาไม่ได้ฝืนความรู้สึกของตัวเองมากนัก กลับรู้สึกดีที่ได้ทำเสียอีก แต่ถ้ามากกว่านี้เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะทำได้ไหม

ในขณะที่สนกำลังคิดเพลินๆ อยู่นั้น ต้นก็เริ่มขยับตัว ด้วยความตกใจว่าเพื่อนจะตื่นแล้วพบว่าเขาแอบทำอะไรมิดีมิร้ายกับเพื่อนอยู่ สนจึงต้องรีบตัดสินใจทำบางอย่างซึ่งจะต้องไม่เคลื่อนไหวมากไปจนผิดสังเกต เขาจึงทำเป็นแกล้งหลับโดยฟุบหน้าลงข้างๆ ใบหน้าของต้นบนหมอนใบเดียวกัน มือข้างซ้ายของเขาพาดอยู่บนอกของต้นเหมือนกับคนที่นอนละเมอแล้วป่ายมือไปโดยไม่รู้ตัว หัวใจสนเต้นตึกตักเพราะเขาไม่รู้ว่าต้นจะทันเห็นอะไรบ้างหรือเปล่า แล้วต้นก็ตื่นจริงๆ ด้วยสิ สนนึกแล้วก็ขำตัวเองในใจ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้เลยให้ตายเถอะ

ต้นรู้สึกแปลกใจพอสมควรที่ตอนนี้สนนอนคว่ำหน้าอยู่บนหมอนใบเดียวกับเขา แถมยังเอามือมาป่ายบนหน้าอกเขาอีก ปกติสนก็ไม่ใช่คนนอนดิ้นและไม่ป่ายแขนขาไปทั่วแบบนี้นี่นา พอเห็นว่าเพื่อนนอนคว่ำหน้า ต้นก็เกรงว่าเพื่อนจะนอนในท่าที่ไม่สบาย จึงค่อยๆ เลื่อนมือของสนลงจากหน้าอกของเขาแล้วก็ลุกขึ้น ต้นค่อยๆ พลิกตัวเพื่อนให้นอนหงายบนหมอนของสนเอง พร้อมจัดแจงผ้าห่มให้เรียบร้อยโดยที่ไม่รู้เลยว่าสนแกล้งนอนหลับอยู่ พอเห็นว่าผมปรกหน้าผากเพื่อน ต้นก็ใช้มือค่อยๆ ปัดออกให้อย่างแผ่วเบา เป็นสัมผัสที่แสดงถึงความรักและห่วงใยที่สนสัมผัสได้อย่างไม่เคลือบแคลงสงสัยแต่ประการใด แล้วสนก็แกล้งทำเป็นตื่นขึ้นด้วยอาการงัวเงียนิดๆ ต้นตกใจแล้วก็รีบชักมือกลับ

“ขอบใจนะ” สนลืมตาแป๋วมองเพื่อน

“ขอบใจอะไร” ต้นถามอย่างหวั่นใจเพราะไม่รู้ว่าสนรู้สึกตัวตั้งแต่ตอนไหนและเห็นอะไรบ้าง

“อ้าว ก็นายช่วยห่มผ้าแล้วก็ปัดผมออกจากหน้าผากเราไง” สนบอกพลางยิ้มอ่อนโยน

ต้นรู้สึกเขินอายจึงล้มตัวลงนอนแล้วหันหน้าไปอีกทาง สนขำเบาๆ เมื่อเห็นต้นรู้สึกเขินอาย ดูๆ ไปก็น่ารักไปอีกแบบ

“นายว่าอากาศเย็นไหม นายเปิดแอร์กี่องศาเนี่ย หนาวหรือเปล่า” สนถามอย่างเป็นห่วงแต่สายตามีเลศนัย

“หนาวเหรอ เดี๋ยวเราไปปรับแอร์ให้” ต้นหันมาถามเพื่อนพลางทำท่าจะลุก แต่สนก็ใช้มือขวางไว้

“เปล่า เราไม่หนาวเท่าไร แต่เราถามว่านายหนาวหรือเปล่า”

ต้นมองหน้าเพื่อนอย่างงงๆ “ก็หนาวนิดหน่อย แต่ห่มผ้าก็อุ่นแล้ว”

“งั้น...กอดเราสิจะได้อุ่นมากขึ้น” ไม่รู้ว่าอะไรที่ทำให้สนกล้าพูดเช่นนั้นออกไป แต่เขาก็พูดไปแล้ว

ต้นมีสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “อะไรนะ” ต้นถามเหมือนไม่แน่ใจว่าเขาฟังผิดหรือเปล่า

“หนาวก็กอดเราสิ จะได้หายหนาวไง” สนทวนซ้ำ ถ้าแสงไฟจากข้างนอกสว่างกว่านี้คงจะเห็นต้นหน้าแดงด้วยความเขินอายอย่างแน่นอน

ต้นพลิกตัวและหันหน้าไปอีกทาง ยิ้มกรุ้มกริ่มของสนทำให้ต้นรู้สึกปั่นป่วนในหัวใจและขัดเขินจนทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว

“ถ้าไม่กอด งั้นเรากอดเองนะ” สนขู่ทีเล่นทีจริง แต่เขาก็ไม่ได้พูดเล่น สนเขยิบเข้าไปใกล้แล้วก็กอดเพื่อนจริงๆ อย่างที่เขาขู่เมื่อสักครู่นี้ ต้นสะดุ้งตกใจแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน

“อุ่นใช่ไหมล่ะ” สนสัพยอกและหัวเราะด้วยความชอบใจที่เห็นเพื่อนเขินอาย นี่คืออีกสิ่งหนึ่งที่สนสามารถทำได้โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ มันช่วยทำให้เขามั่นใจในความรู้สึกบางอย่างมากยิ่งขึ้น ส่วนต้น แม้จะเขินอายแค่ไหน แต่เขาก็รู้สึกดีและมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้นอนอยู่ในอ้อมกอดของคนที่เขารัก ต้นกุมมือของเพื่อนที่อยู่บริเวณหน้าอกของเขาไว้และยิ้มอย่างพอใจ แล้วทั้งสองคนก็หลับไปในสภาพเช่นนี้จนถึงเช้า

ถ้าเพื่อนมานอนด้วย ต้นจะรีบตื่นแต่เช้า สิ่งแรกที่ต้นทำก็คือจัดชุดเสื้อผ้าที่สนจะใส่ไปทำงานแล้วแขวนไว้ให้ เสื้อผ้าที่สนใส่ส่วนมากจะเป็นเสื้อผ้าของต้นเองเพราะสนมีหุ่นไม่ต่างจากเขานัก ความสูงก็พอๆ กัน มีบางส่วนที่สนเอามาเก็บไว้บ้าง บางส่วนต้นก็ซื้อมาให้เพิ่มเติมเช่นชุดชั้นในและผ้าเช็ดตัวซึ่งไม่ควรจะใช้ร่วมกัน เวลาเพื่อนใส่เสื้อผ้า ต้นจะมาช่วยดูแลความเรียบร้อยให้เสมอ ช่วยติดกระดุมแขนเสื้อให้ ดูแลผมเผ้าให้ การดูแลเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เป็นสิ่งที่ภรรยาเขาไม่ค่อยได้คำนึงถึงมากนัก เนื่องจากนาทำงานธนาคารในห้างจึงไปทำงานสายและกลับเย็นๆ ไม่ค่อยได้มีเวลาดูแลสามีทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น มิหนำซ้ำสนยังต้องคอยทำงานบ้านให้แทบทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้ เวลาที่ต้นช่วยดูแล เขาจึงรู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษ ยิ่งรู้ว่าเพื่อนทำให้ด้วยความรักความห่วงใย เขาก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งและเห็นความสำคัญของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เพื่อนคอยใส่ใจเสมอ