Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 291
Message ID: 60
#60, RE: ต้นสน - Repost และตอนพิเศษ
Posted by sarawatta on 04-Jul-11 at 07:00 AM
In response to message #0

ตอนที่ 26: สิ่งที่สนจะไม่ยอมสูญเสีย

เย็นวันศุกร์ก่อนจะกลับบ้านที่จังหวัดนครปฐม สนโทรมาบอกต้นด้วยน้ำเสียงกังวลว่า

“ต้น...พอดีนาเขาจะขอกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่เราด้วย เขาขอลางานไปแล้ว นายคิดยังไง”

ต้นไม่รู้จะบอกความรู้สึกของตนเองอย่างไรเมื่อได้ฟัง ไม่ใช่ว่าต้นลำบากใจแต่เขาเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ลูกสะใภ้จะไปหาพ่อกับแม่ของสามี ถ้านาจะไปก็คงเป็นเรื่องที่สนกับภรรยาต้องตกลงกันเอง “เราขอให้นายกับนาตกลงกันเองดีกว่านะ ไม่ว่านาจะไปหรือไม่ไปเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย”

สนเงียบไป ต้นจึงยืนยันให้สนมั่นใจมากขึ้น “เราคิดอย่างนั้นจริงๆ นะสน นายไม่ต้องห่วงเราหรอก”

“แต่เราอยากไปกับนายสองคนมากกว่านะต้น” สนสารภาพสิ่งที่คิดออกมา

“อย่าทำอย่างนั้นเลยสน ถ้านาอยากไปก็ให้นาไปเถอะ”

“ถ้านาไป นายยังจะไปกับเราหรือเปล่า” สนถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

“ก็แล้วแต่นาย ถ้านายสะดวกใจ เราก็ไปด้วยได้”

“เราไม่มีปัญหาอะไรหรอกต้น แต่ที่เราถามเพราะเราเป็นห่วงความรู้สึกของนาย นายเข้าใจที่เราพูดใช่ไหมต้น” นี่ต่างหากคือสิ่งที่สนกังวล

“เรายืนยัน ถ้านายอยากให้เราไปด้วย เราก็จะไปด้วย มาถึงวันนี้แล้วเราต้องยอมรับความเป็นจริง เราเข้าใจนายนะสน ไม่ใช่ปัญหาของนายหรอก ถ้าเราอยากจะเป็นเพื่อนกับนายต่อไป เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่และยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่าง เราไม่อยากหลบเลี่ยง ถ้าเจ็บ...เราก็จะได้เรียนรู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อไม่ให้เจ็บ อย่าห่วงเราเลย นายก็ใช้ชีวิตของนายอย่างเดิม”

“ต้น...” เสียงของสนเหมือนค่อยๆ หายไป เขารู้สึกเศร้าใจเหลือเกินที่เห็นเพื่อนต้องมีชีวิตที่น่าสงสารเช่นนี้ “พรุ่งนี้เช้าเราจะไปรับนายนะ”
------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนแปดโมงเช้า ต้นลงมายืนรอที่หน้าที่พักของตนเอง สักพักสนก็ขับรถเข้ามา ภรรยาของเขานั่งมาด้วย วันนี้สนใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาวและกางเกงยีนส์ ผิวที่ขาวอย่างคนเหนือและเสื้อผ้าที่ส่ส่งให้สนดูหล่อมากทีเดียว สนลงจากรถแล้วก็วิ่งมาเปิดประตูหน้ารถอีกด้านเพื่อให้นาลง นายกมือไหว้ต้นเมื่อลงมาจากรถ

“สวัสดีค่ะพี่ต้น สบายดีไหมคะ ไม่ได้เจอพี่ต้นเสียนานเลย ไปอยู่ลาวสนุกไหมคะ” นาเริ่มทักทายก่อนพลางยิ้ม

“สบายดีครับ งานหนักนิดหน่อยแต่ก็พอไปได้” ต้นยิ้มตอบ จะว่าไปแล้วนาก็เป็นผู้หญิงที่สวยทีเดียว สนมีภรรยาแบบนี้เขาก็น่าจะพอใจ แต่อะไรหรือที่ทำให้สนดูเหมือนจะมีปัญหากับภรรยา ที่ผ่านมาสองคนนี้ก็ดูรักกันดี รักกันดีจนบางครั้งต้นไม่อยากรับรู้เสียด้วยซ้ำไป

“พี่ต้นนั่งข้างหน้ากับพี่สนนะคะ จะได้คุยกัน”

สนได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกดีใจเพราะถ้าต้นนั่งข้างหน้ากับเขาก็จะได้ไม่อึดอัดจนเกินไป แต่ต้นกลับทำให้สนต้องผิดหวัง

“ไม่เป็นไรครับ นานั่งข้างหน้ากับสนเถอะ ผมยังไงก็ได้ ไม่มีปัญหาครับ” ต้นรู้สึกเกรงใจที่จะต้องแยกสามีภรรยาออกจากกัน

“ต้นนั่งข้างหน้ากับเราดีกว่า ให้นานั่งข้างหลังก็ได้” สนถือโอกาสตัดสินใจเสียเองเพราะเขามีอำนาจบางอย่างในฐานะหัวหน้าครอบครัว แล้วก็หันไปถามภรรยาว่า “พี่ให้ต้นนั่งข้างหน้ากับพี่นะ นาโอเคหรือเปล่า”

“ได้ค่ะ” นาบอกพลางยิ้ม จึงเป็นอันตกลงกันตามนั้น

เมื่อรถวิ่งออกไปแล้ว ต้นกลับรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศภายในรถ เขารู้สึกประหม่าที่จะคุยกับสนอย่างสนิทสนมต่อหน้านา ต้นจึงพูดน้อยลง จึงกลายเป็นนาที่ชวนคุยเสียเองเพราะโดยนิสัยนาเป็นคนคุยเก่งจากการทำงานให้บริการลูกค้าธนาคารซึ่งต้องพูดคุยกับลูกค้าเกือบทั้งวัน เนื่องจากนาไม่ค่อยสนิทกับต้นมากนัก แม้จะรู้จักต้นมาหลายปี แต่เธอก็รู้สึกเหมือนมีช่องว่างบางอย่างอยู่ นาจึงคุยกับสนมากกว่าที่จะคุยกับต้น ทำให้บรรยากาศดูอึดอัดมากขึ้นสำหรับต้น แม้จะมีบางช่วงที่นาหรือสนหันมาคุยกับต้น แต่ต้นก็ตอบสองสามคำแล้วก็เงียบเหมือนเดิม ต้นไม่รู้หรอกว่าสนสังเกตดูอาการนั้นของเขาอยู่และเริ่มรู้สึกกังวลที่ทำให้ต้นต้องอึดอัดใจ

เท่าที่สังเกตดู ต้นไม่เห็นว่าสนกับนาจะมีปัญหากันเลย เพราะทั้งคู่ต่างก็คุยไปหัวเราะไป ต้นจึงได้แต่คอยแอบมองเพื่อน เขาอดที่จะรู้สึกอิจฉาและน้อยใจไม่ได้ มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะรู้สึกเช่นนั้นแม้ว่าต้นจะไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นเลย
------------------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อมาถึงบ้าน สนพาภรรยาและต้นเข้าไปสวัสดีพ่อกับแม่ของเขาก่อน พอคุยกันสักพักสนก็พาภรรยาของเขาเดินตามต้นไปที่บ้านของพ่อกับแม่ของต้นเพื่อสวัสดีและไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกัน สนถือโอกาสนี้ชวนครอบครัวของต้นไปกินข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านเขาบ้างเพราะวันนี้สนตั้งใจจะทำอาหารเลี้ยงทุกคน ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับที่ต้นกลับมาไปด้วย

คุยกันอยู่สักพัก สนจึงพาภรรยากลับไปที่บ้านของเขา ส่วนต้นก็อยู่คุยและใช้เวลากับครอบครัวของเขาเอง ตั้งแต่ที่สนมีแฟนและแต่งงานมีครอบครัว ต้นมักจะถูกพ่อกับแม่ถามเสมอว่าเมื่อไรจะมีแฟนและแต่งงานอย่างสนบ้าง เขารู้สึกอึดอัดใจและกังวลมากทีเดียวทุกครั้งที่พ่อกับแม่ถามถึงเรื่องนี้ ต้นได้แต่ตอบเลี่ยงๆ ไปว่าทำงานหนักและยังรู้สึกสนุกกับการใช้ชีวิตโสดอยู่ แต่พ่อกับแม่ของต้นก็รู้สึกผิดสังเกตอยู่เหมือนกันที่ต้นไม่เคยพาผู้หญิงคนไหนมาให้รู้จักเลย

ช่วงบ่ายแก่ๆ สนก็โทรมาชวนต้นให้มาช่วยเป็นลูกมือในการทำอาหารสำหรับเย็นนี้ ตอนแรกต้นคิดจะปฏิเสธเพราะไม่อยากเจอเหตุการณ์เหมือนตอนเช้า แต่รู้สึกเกรงใจถ้าหากจะไม่ช่วยเพื่อนทำอะไรเลย ต้นจึงตอบตกลง

การที่ต้นมาช่วยเป็นลูกมือของสนในครั้งนี้ทำให้นารู้สึกแปลกใจในความสัมพันธ์ของสามีและเพื่อนขึ้น นาเข้ามาช่วยเป็นลูกมือด้วยเช่นเดียวกัน แต่เธอกลับรู้สึกว่าสนให้ความสนใจต้นมากกว่า หลายครั้งที่สนคอยไปยืนป้วนเปี้ยนอยู่ข้างหลังต้นเพื่อสอนต้นทำอาหาร แววตาของสนดูมีความสุขและเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด เป็นแววตาที่นาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย จริงๆ สนอาจจะมีแววตาแบบนี้เวลาที่อยู่กับต้นมานานแล้วแต่นาอาจไม่เคยสังเกต แต่ครั้งนี้เธอรู้สึกได้ มิหนำซ้ำแววตาที่ต้นมองสนก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย ก่อนหน้านั้นที่ต้นไปทำงานที่ลาว สนดูไม่ค่อยมีความสุข หงุดหงิดและทะเลาะกับเธอเกือบทุกวัน กินข้าวก็เหมือนแมวดมจนผ่ายผอม แต่พอต้นกลับมา สนกลับเปลี่ยนเป็นคนละคน นาเคยปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนๆ ของเธอ ก็ได้รับแนะนำว่าให้ระวังสนแอบไปชอบผู้หญิงอื่น แต่สนก็ไม่เคยเกเรเลย ทำงานเสร็จก็กลับบ้านและไปรับเธอที่ธนาคารตอนสองทุ่มทุกวัน เย็นๆ ก็ออกกำลังกายด้วยเครื่องออกกำลังกายที่เขาซื้อมา หรือไม่ว่ายน้ำบนชั้นดาดฟ้าเพราะสนชอบออกกำลังกาย เมื่อก่อนเขาไปฟิตเนสบ่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้สนเลิกไปเพราะต้องการประหยัดเงินไว้ใช้จ่ายในครอบครัว บางวันก็ทำกับข้าวไว้ให้เธอกิน วันหยุดสนก็ทำงานหารายได้พิเศษอยู่กับบ้าน ช่วยทำงานบ้าน พาเธอไปซื้อของข้างนอกบ้าง หรือไม่ก็ไปหาพ่อกับแม่ สนไม่เคยกลับบ้านดึกเลย บางวันก็อาจจะไปกินข้าวหรือไปหาเพื่อนบ้าง แต่สนก็ไม่เคยเมากลับมาด้วยเหตุผลที่ว่าต้นไม่ชอบ สนเป็นคนที่รักสันโดษมากจนบางครั้งนาก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ เมื่อประมวลจากสิ่งที่เห็นทั้งหมด นาจึงไม่ได้รู้สึกสงสัยในเรื่องนั้นเลย จนกระทั่งวันนี้ที่เธอได้เห็นอะไรบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ ที่น่าสงสัยมากกว่านั้นก็คือต้นไม่เคยมีแฟนเลย เธอไม่เคยได้ยินสนพูดเลยว่าต้นมีแฟนหรือกำลังคบหาใครอยู่ ทำไมต้นอายุจนป่านนี้แล้วถึงยังไม่มีแฟนเลยสักคน ทำไมสามีของเธอจึงชอบไปขลุกอยู่กับต้น ทำไมสนถึงมีแววตาเป็นประกายและมีความสุขมากขนาดนั้นเวลาที่อยู่กับต้น นาชักเริ่มรู้สึกกลัวกับอะไรบางอย่างเสียแล้ว
------------------------------------------------------------------------------------------------
ตกเย็น ครอบครัวของต้นก็มากินข้าวเย็นด้วยกันที่บ้านสน บรรยากาศดูสบายๆ และเป็นกันเองเพราะทุกคนต่างก็รู้จักกันดีอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่สนเริ่มทำงาน เขาส่งเงินมาให้พ่อกับแม่ไม่ได้ขาด พ่อกับแม่ของเขาจึงมีเงินมาใช้ปรับปรุงบ้านช่องให้ดูดีขึ้น ทำรั้ว ทำหลังคา ทาสี ปูพื้นและต่อเติมบ้านให้กว้างขวางน่าอยู่ ถ้าว่างเมื่อไรสนก็จะมาหาพ่อกับแม่เสมอ บางครั้งก็พาไปกินข้าวนอกบ้านหรือไปต่างจังหวัดบ้าง แต่ก็ไม่เคยได้กลับไปที่จังหวัดน่านอีกเลยเพราะไม่ได้มีญาติพี่น้องอยู่ที่นั่นแล้ว

ต้นและพ่อกับแม่นั่งอีกฝั่งหนึ่ง สน ภรรยาและพ่อกับแม่ของเขาก็นั่งอีกฝั่ง สนนั่งติดกับภรรยา เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกๆ เมื่อนาพยายามเอาอกเอาใจและคลอเคลียเขาจนเกินพอดี

“พี่สนเป็นคนน่ารักนะคะ ทำกับข้าวให้นากินตลอดเลย นาเสียอีกทำอะไรก็ไม่เป็น” นาบอกทุกคนด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “อีกอย่างนะคะ พี่สนไม่เคยเหลวไหลเลยค่ะ สองทุ่มปุ๊บก็จะมารับนาปั๊บเลยค่ะ กลับบ้านตรงเวลา ไม่ไปกินเหล้าเมายาที่ไหน”

“แต่งงานกันมาตั้งหลายเดือนแล้ว เมื่อไรจะมีข่าวดีล่ะ” แม่ของต้นถาม

“อ๋อ...ก็นาคุยกับพี่สนว่าอยากจะมีลูกตอนที่พร้อมน่ะค่ะ คงอีกซักปี อาจจะรอให้มีบ้านก่อน นาว่าเลี้ยงลูกในคอนโดไม่ดีหรอกค่ะ คับแคบ เด็กๆ เขาชอบพื้นที่กว้างๆ”

“เหรอลูก แล้วผ่อนคอนโดหมดแล้วเหรอถึงจะไปซื้อบ้าน แล้วจะทำยังไงกับคอนโดล่ะ” แม่ของสนถามด้วยความแปลกใจเพราะลูกชายไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลย

“อ๋อ...ยังผ่อนไม่หมดหรอกค่ะ” นาตอบเสียงอ่อย “แต่ก็อย่างที่นาบอกค่ะว่านาไม่อยากให้ลูกของนาโตในที่แคบๆ แบบนั้น ไม่เป็นผลดีกับเด็กหรอกค่ะ ก็เลยคิดว่าพอได้บ้านแล้วก็จะขายคอนโดแล้วก็มาผ่อนบ้านอย่างเดียว”

สนรู้ว่าทั้งหมดที่นาพูดไปนั้นเป็นความเห็นของเธอเพียงคนเดียว ในความเป็นจริงสนไม่ได้เห็นด้วย แต่พอคุยกันแล้วก็ทะเลาะกัน เพราะนายืนกรานว่าจะต้องซื้อบ้านให้ได้ สนเห็นสีหน้ากังวลของพ่อกับแม่แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจจึงรีบอธิบายว่า “ยังไม่ซื้อตอนนี้หรอกครับแม่ จริงๆ ผมก็ยังไม่อยากซื้อเท่าไร ถ้ามันจำเป็นจริงๆ ค่อยซื้อดีกว่า”

พ่อกับแม่ของสนจึงมีสีหน้าดีขึ้น

“แล้วเมื่อไรต้นจะมีแฟนกับเขาสักทีล่ะลูก อยู่คนเดียวไม่เหงาบ้างเหรอ” พ่อของสนถามบ้าง

ต้นดูตกใจเล็กน้อย เห็นสีหน้าสงสัยของหลายคนแล้วต้นก็ยิ่งประหม่า “อ๋อ...ยังหรอกครับ ผมไม่ค่อยมีเวลาเลยครับ ทำแต่งาน อีกอย่าง ผมก็ยังชอบชีวิตโสดมากกว่าครับ” ต้นอธิบายด้วยเหตุผลเดิมที่เคยบอกพ่อกับแม่ไป

“อย่าโสดนานละกันนะลูก เดี๋ยวจะมีลูกไม่ทันใช้ เดี๋ยวไม่ทันสนมัน” พ่อของสนสัพยอก

ทุกคนหัวเราะขบขัน แต่ต้นกลับหัวเราะไม่ออก เขาสบตากับสนเหมือนกับจะขอกำลังใจจากเพื่อน สนยิ้มให้เขาแต่ก็เป็นยิ้มแปลกๆ ที่ไม่รู้ว่าเกิดจากความรู้สึกอะไรกันแน่

“เพื่อนผู้ชายบางคนของนานะคะ นาไม่เคยเห็นมันมีแฟนเลยค่ะ พวกเราก็สงสัยกันนะคะว่าทำไม แต่มารู้อีกทีก็เป็นเกย์กันหมดแล้ว” นาพูดพลางหัวเราะชอบใจ แต่เธอหาได้รู้ไม่ว่าสิ่งที่เธอพูดนั้นได้จุดประเด็นให้พ่อกับแม่ของต้นสงสัยต้นในเรื่องนั้นขึ้นมาเสียแล้ว

พ่อกับแม่หันมามองต้นด้วยสีหน้าที่ทำให้ต้นรู้สึกหวั่นใจ ต้นได้แต่ฝืนยิ้มและหัวเราะไปกับเขาด้วย สนเฝ้าสังเกตดูอาการนั้นอยู่ตลอด เขารู้สึกสงสารเพื่อนจับจิตจับใจ ตอนนี้ต้นคงรู้สึกอึดอัดมากทีเดียว

“ไม่จริงเสมอไปหรอกครับ ผู้ชายหลายคนที่เขาไม่มีแฟนก็เพราะว่าเขาไม่มีเวลาจริงๆ ก็มี เพื่อนผมหลายคนไม่มีแฟนเพราะทำงานนี่แหละครับ” สนพยายามพูดเพื่อไม่ให้ต้นถูกเพ่งเล็งมากจนเกินไป รู้สึกไม่ค่อยพอใจนักที่นาพูดเรื่องนี้ออกมาโดยไม่ยั้งคิด

ต้นดูเงียบและซึมไปเลย ไหนจะต้องเจอภาพบาดตาบาดใจเมื่อเห็นนาคอยเอาอกเอาใจสามีกันขณะกินข้าว ราวกับจงใจทำให้ต้นเห็นโดยเฉพาะ อีกทั้งพ่อกับแม่ก็เริ่มแสดงอาการสงสัยเขาขึ้นมาจากสิ่งที่นาพูดเมื่อสักครู่นี้ด้วย

“ทำไมพี่ต้นกินข้าวน้อยจังเลย ไม่อร่อยเหรอคะ” นาถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นต้นเขี่ยช้อนไปมา ท่าทางดูเหม่อลอยชอบกล

“อ๋อ...เปล่าหรอก พอดีไม่ค่อยหิวครับ” ต้นแก้ตัว เขาพยายามฝืนยิ้ม

“เป็นอะไรหรือเปล่าลูก ไม่สบายหรือเปล่า” แม่ของสนถามอย่างเป็นห่วง รู้สึกผิดสังเกตอยู่เหมือนกันที่ต้นดูเงียบๆ ไป แถมยังไม่ค่อยคุยกับลูกชายของเธอเลยซึ่งนับว่าผิดปกติมากทีเดียว

“เปล่าครับ พอดีหลังๆ นี้ผมกินน้อยครับ รู้สึกเครียดๆ กับงานก็เลยรู้สึกเหมือนจะเบื่ออาหารนิดหน่อยครับ”

“ทีหลังก็อย่าทำงานเยอะนักสิลูก พักผ่อนบ้าง จะได้มีเวลาไปหาแฟนกับเขาบ้าง” พ่อของต้นแนะนำและพูดติดตลกในตอนท้าย

“ผมจะพยายามครับ” ต้นตอบได้แค่นั้นเพราะไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่านี้

สนได้แต่มองดูเพื่อนอย่างเห็นใจ เขาเข้าใจความรู้สึกของต้นตอนนี้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้เขาช่วยอะไรไม่ได้เลย เขาอยากชวนต้นไปคุยกันสองคนแต่ก็ดูจะไม่มีโอกาส ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แล้วเขาคงจะตัดสินใจไม่ให้นามาด้วยอย่างแน่นอน
------------------------------------------------------------------------------------------------
เช้าวันอาทิตย์ สนต้องพานากลับบ้านไปก่อน ต้นไม่ยอมกลับด้วยโดยให้เหตุผลว่าอยากอยู่คุยกับพ่อแม่ บ่ายๆ จึงจะกลับ สนไม่เซ้าซี้เพื่อนเพราะเข้าใจเหตุผลบางอย่างที่ต้นไม่ยอมไปด้วย เขาก็ไม่อยากให้เพื่อนเจ็บปวดและอึดอัด แค่นี้ต้นก็เจ็บมากพอแล้ว โดยเฉพาะเมื่อคืนนี้

สนเดินไปที่รถซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านแล้วก็ปลดล็อกเพื่อเตรียมยกของมาใส่ อะไรบางอย่างทำให้สนนึกถึงสะพานเหล็กหน้าบ้านต้นที่เขากับต้นมักจะไปนั่งคุยกันเมื่อสมัยยังเป็นเด็ก สนจึงมองข้ามรั้วบ้านของตนเองไปยังจุดนั้นซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก แล้วสนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่ามีคนนั่งอยู่บนสะพานนั้น แม้จะเห็นแค่หลังไกลๆ สนก็รู้ว่านั่นคือต้น ต้นนั่งเหงาและเหม่อลองอยู่ตรงนั้นคนเดียว

“นา...รอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวพี่มา” สนรีบร้องบอกภรรยาซึ่งกำลังเดินออกมาจากบ้าน ในมือถือถุงอาหารเหนือที่พ่อกับแม่ของเขาตั้งใจทำให้สนเอากลับไปกินด้วย

นารู้สึกงงๆ แต่เห็นสามีเดินแกมวิ่งไปทางบ้านต้นแล้วก็เลยเดาว่าสนคงจะไปลาพ่อกับแม่ของต้นนั่นเอง

สนมาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ เพื่อน เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้นนั่งเหม่อลอยเหมือนคิดอะไรบางอย่าง น้ำตาของสนพาลจะไหลออกมาให้ได้ รู้สึกสงสารเพื่อนจับใจ ต้นคงเหงา เจ็บปวดและอึดอัดกับชีวิตแบบนี้ สนค่อยๆ เดินเข้าไปหาเพื่อนอย่างช้าๆ พอต้นได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันมามอง สนเห็นสีหน้าและแววตาของเพื่อนแล้วก็รู้ว่าต้นกำลังมีความทุกข์บางอย่าง

“ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะต้น” สนพยายามพูดด้วยเสียงปกติให้มากที่สุด เขานั่งลงบนสะพานข้างๆ ต้น

ต้นพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ “ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ” ต้นบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ สีหน้าของเขาก็ดูเศร้าจนสังเกตได้ “นายจะกลับแล้วเหรอ”

สนพยักหน้า “นายรู้สึกยังไงบ้าง”

ต้นขมวดคิ้วสงสัยเมื่อเพื่อนถามเช่นนั้นเพราะไม่แน่ใจว่าสนหมายถึงอะไร “ก็...ไม่มีอะไรนี่ เราไม่ได้เป็นไรเสียหน่อย” ต้นพยายามฝืนยิ้มเพราะสงสัยว่าสีหน้าท่าทางของเขาอาจทำให้สนสงสัยอะไรบางอย่าง

“อย่าหลอกเราเลยต้น เรารู้ว่านายรู้สึกยังไง” สนตัดสินใจบอกไป “เราสงสารนายนะต้น จะให้เราทำยังไง เราไม่อยากเห็นนายเป็นแบบนี้เลย” สนพูดพร้อมกับน้ำตาคลอ

ต้นมองหน้าเพื่อนและครุ่นคิด จากนั้นก็หันไปมองข้างหน้าโดยไม่มีจุดหมาย เขาถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่ยากจะบอก “นายอย่าสงสารเราได้ไหมสน” ต้นทำเสียงและสีหน้าจริงจัง “ยิ่งนายสงสารเรา เราก็ยิ่งตัดใจไม่ได้ เราก็ยิ่งเจ็บมากขึ้น” ต้นเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าบ้าง เขาเริ่มระบายสิ่งที่คิดในใจ “บางทีได้เจอนายเราก็มีความสุขนะ แต่บางทีก็...เจ็บปวด มันทำให้เราสับสน ไม่รู้ว่าจะเอายังไง บางทีเราก็อยากจะไปไหนให้ไกลๆ เผื่ออะไรจะดีขึ้น”

สนตกใจทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “นายหมายความว่าไงต้น นายจะไปไหนอีก นายจะหนีเราไปอีกแล้วเหรอ”

“นายเข้าใจเราใช่ไหมสน” ต้นมองเพื่อนด้วยสีหน้าวิงวอน

“เราเข้าใจ แต่เราไม่อยากให้นายไป จะให้เราทำยังไงก็ได้” สนจับมือเพื่อนแล้วบีบเบาๆ “ต้น...ถือว่าเราขอร้องละกัน นายอย่าไปไหนอีก เราจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก” สนวิงวอน “นายไม่อยากให้เราต้องตรอมใจตายใช่ไหมต้น”

ต้นถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น สนเคยพูดอย่างนี้ครั้งหนึ่งแล้วตอนที่เขาหายไปจากบ้านพักสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

“นายเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเรานะต้น ชีวิตเราขาดนายไม่ได้ อย่าหนีเราไปอีกเลย...ได้ไหม เราไม่เคยขอร้องใครเลย นอกจากนาย”

ได้ยินอย่างนั้นแล้วต้นก็ไม่รู้จะค้านอย่างไร เขาก็คงต้องยอมเจ็บปวดต่อไป ต้นพยักหน้าน้อยๆ

“ขอบใจมากนะต้นที่เข้าใจเรา เราสัญญา...เราจะทำอย่างดีที่สุดไม่ให้นายต้องเจ็บปวดอีก” แล้วสนก็ถอนหายใจ เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิตที่เหมือนไม่มีอิสระอะไรเลยในตอนนี้ “เราต้องกลับแล้วล่ะ ไว้เจอกันนะ เย็นๆ เราจะโทรไปหา” สนตบไหล่เพื่อนเบาๆ แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน

ต้นลุกขึ้นตาม เขายิ้มแล้วบอกว่า “เดี๋ยวเราไปส่ง”

สนพยักหน้าพลางยิ้ม “เดี๋ยวเราไปลาพ่อกับแม่ของนายก่อนนะ” เห็นต้นยิ้มได้แล้วสนจึงค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง เขาไม่อยากให้เพื่อนต้องเจ็บเพราะเขาอีกแล้ว เขารักต้นมากเหลือเกิน เขาจะไม่ยอมให้ต้นจากไปไหนอีก สนพร้อมและยินยอมแลกทุกอย่าง แม้กระทั่งยอมเสียในสิ่งที่สนไม่เคยคิดว่าจะต้องเสียไป