Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 366
Message ID: 0
#0, ความแตกต่างระหว่างเรื่องจริงกับฝัน BY ธารา สราญชล
Posted by เครื่องโพสฟอร์เวิร์ดเมล์ on 06-Jan-12 at 11:00 PM


ความแตกต่างระหว่างเรื่องจริงกับฝัน

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542 ให้นิยามความหมายของคำว่า ฝัน ดังนี้


ฝัน น. การเห็นเป็นเรื่องราวเมื่อหลับ, โดยปริยายหมายถึงการนึกเห็นในขณะที่ตื่นอยู่ ซึ่งไม่อาจจะจริงได้


ก. เห็นเป็นเรื่องราวเมื่อหลับ, นึกเห็น, นึกเห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

จากนิยามดังกล่าวแสดงว่า ฝัน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่คู่กับมนุษย์ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติ, ศาสนาหรือฐานะทางสังคมเป็นอย่างไรก็ตาม จัดได้ว่าเป็นสิ่งสากลที่มนุษย์ทั่วโลกรู้จักโดยมีหลักฐานชัดเจน
ได้แก่ ทุกภาษาในโลกนี้จะต้องมีคำว่า ฝัน


อยู่ในภาษาของตนเองเสมอเพียงแต่จะเรียกแตกต่างกันในแต่ละภาษาเท่านั้น แต่ก็สื่อถึงความหมายเดียวกัน นอกจากนี้ฝันยังเกิดขึ้นได้อย่างอิสระปราศจากการควบคุมใดๆของมนุษย์

ฝันจัดเป็นนามธรรมไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยสัมผัสทั้ง 5 ของร่างกายมนุษย์ อันได้แก่ การมองเห็น, การรับรส, การได้กลิ่น, การได้ยินเสียงและการรับสัมผัสทางกาย เนื่องจากฝันนั้น ไร้รูปให้ตาได้มองเห็น, ไร้รสชาติให้ลิ้นได้สัมผัส, ไร้เสียงให้หูได้ยินและไร้แม้แต่กระทั่งสมบัติทางกายภาพ เช่น สถานะ, อุณหภูมิให้สัมผัสทางกายได้รับสัมผัส

แต่ในทางกลับกันเมื่อใดก็ตามที่สัมผัสทั้ง 5 ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่งหรือมากกว่าสามารถรับรู้ได้แสดงว่าสิ่งเร้านั้นเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านหลายๆท่านคงจะเคยประสบกับตนเอง ได้แก่ ฝันว่าได้ถ่ายปัสสาวะ ซึ่งการที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นเพียงแต่ฝันไปหรือปัสสาวะรดที่นอนจริงๆก็โดยการอาศัยสัมผัสทั้ง 5 เป็นเครื่องพิสูจน์ โดยที่เมื่อตื่นนอนแล้วสัมผัสได้ว่ามีปัสสาวะเปื้อนเสื้อผ้าและที่นอน, จมูกได้รับกลิ่นปัสสาวะรวมทั้งเห็นคราบปัสสาวะบนเสื้อผ้าและที่นอน นั่นหมายถึงผู้อ่านนอกจากจะฝันว่าได้ถ่ายปัสสาวะแล้วยังได้ปัสสาวะรดที่นอนจริงๆอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมีอีกวิธีหนึ่งเมื่อผู้อ่านกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่รู้สึกสับสนว่ากำลังอยู่ในความเป็นจริงหรือกำลังอยู่ในฝัน นั่นก็คือการขอความช่วยเหลือจากบุคคลรอบข้างหรือที่พบเห็นช่วยในการยืนยันและพิสูจน์ว่าสถานการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องจริงหรือฝันได้ โดยผู้อ่านขอความกรุณาให้เขาหรือเธอสร้างสิ่งเร้าที่สัมผัสทั้ง 5 ของผู้อ่านสามารถรับรู้ได้ตั้งแต่หนึ่งอย่างขึ้นไปก็จะสามารถแยกแยะได้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือฝัน

ยกตัวอย่าง เช่น ผู้อ่านได้พบเห็นบุคคลที่ในความเป็นจริงนั้นมีโอกาสน้อยมากที่จะได้พบกัน ก็ขอความกรุณาให้เขาหรือเธอจับมือและพูดคุยกับผู้อ่าน ซึ่งเมื่อได้จับมือและพูดคุยกันแล้วนั้นก็เป็นการพิสูจน์นี่คือเรื่องจริงไม่ใช่ฝัน แต่ก็ไม่ควรใช้วิธีการนี้บ่อยครั้งนักเพราะผู้อ่านควรที่จะเชื่อมั่นในสัมผัสทั้ง 5 ของตนเอง


ผู้เขียนขอยกตัวอย่างประสบการณ์ตรงของผู้เขียนเรื่องหนึ่งโดยเรื่องมีอยู่ว่า ผู้เขียนได้ไปปฏิบัติงาน ณ สถานที่แห่งหนึ่งเป็นการชั่วคราว ทำให้ผู้เขียนจำเป็นต้องนอนพักค้างคืน ณ สถานที่แห่งนั้นเป็นเวลาหนึ่งคืน ซึ่งในขณะที่ผู้เขียนกำลังเคลิ้มหลับแต่ยังไม่หลับสนิทนั้นผู้เขียนรู้สึกว่าที่ปลายเตียงเหมือนมีน้ำหนักกดทับลงมาด้วยความสงสัยทำให้ลืมตามองไปยังปลายเตียง


ทันใดนั้นก็ได้พบเห็นสิ่งที่คิดว่าไม่เคยได้พบเห็นมาก่อนและก็ไม่ควรจะได้พบเห็นด้วย ซึ่งก็ได้แก่ การได้พบเห็นสุภาพสตรีในชุดไทยโบราณในลักษณะที่ผู้เขียนเชื่อไม่มีทางที่จะอยู่ในสภาพปกติอย่างแน่นอน เนื่องจากเธอมีลักษณะดังนี้

1. ร่างของเธอโปร่งแสงสามารถมองเห็นทะลุถึงผนังห้องที่อยู่ด้านหลังได้

2. เธอไม่มีสายตาอันเป็นมิตรและรอยยิ้มอย่างมีไมตรีให้กับผู้เขียนก็เนื่องจากเธอมีแต่เพียงโครงหน้าโดยปราศจากอวัยวะต่างๆที่ควรจะมีบนใบหน้า นั่นก็คือ เธอไม่มีดวงตา, จมูกและริมฝีปากบนใบหน้าของเธอ


3. เธอปรากฏตัวเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย


สถานการณ์ดังกล่าวสร้างความสะพรึงกลัวและสับสนให้กับผู้เขียนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริงหรือฝันก็เพราะว่าผู้เขียนอยู่ในช่วงที่กำลังจะหลับสนิทจึงเกิดความไม่แน่ใจว่าได้เห็นเธอในฝันหรือได้เห็นเธอจริงๆ


ผู้เขียนจึงตั้งสติและไปทำการสอบถามบุคคลากรผู้ปฏิบัติงานประจำ ณ สถานที่แห่งดังกล่าวจำนวนทั้งสิ้น 3 ท่านก็ได้รับคำตอบในทำนองเดียวกันว่าเป็นเหตุการณ์จริงที่มักจะเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติงานชั่วคราวอยู่สม่ำเสมอ จึงทำให้ผู้เขียนสามารถเชื่อและยอมรับได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน โดยการอาศัยสิ่งเร้าจากบุคคลอื่นๆในที่นี้คือเสียงคำบอกเล่าซึ่งสามารถรับรู้ได้ด้วยการได้ยินเสียงของหูมาช่วยยืนยันการมองเห็นซึ่งสามารถรับรู้ได้ด้วยตากับความรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดทับลงที่ปลายเตียงซึ่งสามารถรับรู้ได้ด้วยสัมผัสทางกาย


สิ่งที่ตามมาคือผู้เขียนต้องพยายามนอนหลับสนิทให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้จนถึงเวลาตื่นนอนเพื่อไปปฏิบัติภาระกิจในวันรุ่งขึ้นและก็สามารถผ่านพ้นเวลาที่แสนลำบากไปได้ด้วยดี
มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝันและเมื่อฝันเกิดขึ้นแล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไร, จะอยู่ในความทรงจำและความสนใจหรือไม่


สิ่งที่ตามมาเป็นอันดับแรกคือเจ้าของความฝันจำเป็นจะต้องแยกแยะให้ออกว่าอะไรคือเรื่องจริงและอะไรคือความฝันเพราะต้องไม่ลืมว่าตัวเจ้าของฝันนั้นจะต้องอยู่ในโลกของความเป็นจริงต่อไปหลังจากที่ฝันจบลง ส่วนการจะพิจารณาฝันในลักษณะใดหรือทำฝันให้กลายเป็นจริงนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าของฝันจะเป็นผู้ตอบตัวเองต่อไป