Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 375
Message ID: 79
#79, RE: ร.ด.หฤโหด ไตรภาค
Posted by หนุ่ม น.ศ. on 03-Jul-12 at 09:59 AM
In response to message #0
ร.ด.หฤโหด ภาค 3

ตอนที่ 1

" อยู่นี่เอง กูหาตั้งนาน "
ผมพูดด้วยความยินดีพลางเอื้อมมือไปหยิบกระติกน้ำสีเขียวแก่ใบใหญ่ลงมาจากชั้น วางของชั้นบนสุด แล้วเดินกลับเข้ามาในห้อง นำกระติกน้ำใบนั้นวางไว้ข้างๆ เป้สนามที่ยัดของใช้ประจำตัวของผมลงไปจนแทบปริ ชุดนักศึกษาวิชาทหารสีเขียวแก่วางอยู่บนพื้นห้อง หมวกเบเร่ต์และเสื้ออ่อนสีกากีแกมเขียวก็วางอยู่แถวนั้น ผมเดินไปหยิบเข็มขัดซึ่งขัดหัวจนเป็นสีทองสุกปลั่งออกมาจากตู้เสื้อผ้า แล้ววางไว้ข้างเป้สนาม
" เสร็จซะที เฮ้อ ! เหนื่อยว่ะ "
ผมพูดแล้วเดินมานั่งบนเตียง มองข้าวของและเสื้อผ้าที่วางอยู่บนพื้นด้วยความภาคภูมิใจ รอมาตั้งนาน.. พรุ่งนี้แล้วสินะ.ที่ผมจะได้กลับไปยังที่ที่ผมรักอีกครั้ง และครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว...
ผมเอนตัวลงนอนบนเตียง แล้วหลับตา คิดถึงวันแรกที่ผมได้เข้ามาสัมผัสชีวิต ร.ด. ความรู้สึกในวันนั้นกับวันนี้มันช่างแตกต่างกันเหลือเกิน ไม่นึกว่าเด็กผู้ชายอ่อนแออย่างผมจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ระหว่างที่เรียนร.ด. มาได้ถึงวันนี้ การเรียนร.ด. หล่อหลอมให้ผมเข้มแข็งและอดทนมากกว่าเดิม ทำให้ผมกลายเป็นลูกผู้ชายเต็มตัว ไม่ใช่เด็กอ่อนแอเหมือนเมื่อตอนที่ยังไม่ได้เรียน
ผมคิดถึงภาพเก่าๆ ในอดีตแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ วันแรกที่ผมเริ่มเรียนร.ด. นั้น ผมมีแต่ความตื่นกลัว วิตกกังวล และไม่ได้อยากจะเรียนเลย ไม่น่าเชื่อว่าเวลาแค่ 5 ปี จะทำให้ผมเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ขนาดนี้
ผมยังจำเรื่องราวทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้นได้ดี
...................

ที่ศูนย์การกำลังสำรอง กรมการรักษาดินแดน ( ชื่อเดิมของศูนย์ฝึกร.ด.ใหญ่ ) ริมถนนวิภาวดีรังสิต
วันนี้เป็นวันแรกที่ผมได้มีโอกาสมาที่นี่ ความจริงผมไม่ได้อยากมาเลยแต่ก็ต้องมาเพราะพ่อบังคับผม วันนี้จะมีการทดสอบสมรรถภาพร่างกายของเด็กผู้ชายชั้นม. 4 ที่มีความประสงค์จะเรียนร.ด. ทุกคนที่อยากจะเรียนร.ด. จะต้องเข้ารับการทดสอบกันทั้งนั้น ถ้าทดสอบไม่ผ่านก็ไม่มีสิทธิ์เรียน ต้องรอเกณฑ์ทหารอย่างเดียว ผมในตอนนั้นอายุเพิ่งจะ 16 ปี ยังเป็นเด็กหนุ่มหน้าใสที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่มเปรี๊ยะๆ มาได้ไม่นาน ร่างกายกำลังฟิตเต็มที่ ผมไม่เคยคิดที่จะมาทดสอบในวันนี้เลย เพราะผมไม่ได้อยากเรียนร.ด. แต่ผมอยากเป็นทหารเกณฑ์ !
ผมเคยเล่าความตั้งใจนี้ให้พ่อฟัง พ่อฟังแล้วก็ร้องเสียงหลง
" อะไรนะ ลูกอยากเป็นทหารเหรอ คิดดีแล้วเหรอลูก เป็นทหารไม่ได้สบายและก็สนุกอย่างที่ลูกคิดนะครับ มันต้องอดทนอย่างมาก ลูกไปเป็นกับเค้าไม่ได้หรอก "
ผมรีบเถียงทันที
" ทำไมผมจะเป็นไม่ได้ล่ะพ่อ ผมก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกันนะ คนอื่นเป็นได้ ผมก็ต้องเป็นได้สิ เป็นทหารสนุกดีออก "
พ่อลูบกบาลผม แล้วสอนว่า
" หนุ่มลูกพ่อ พ่อเชื่อว่าถ้าลูกจะเป็นทหารน่ะ ลูกก็เป็นได้ แต่หนุ่มครับ ลูกไม่รู้หรอกว่าเป็นทหารน่ะต้องเจออะไรบ้าง ทหารต้องอดทน มีชีวิตลำบากมาก พ่อไม่ได้พูดเกินจริงนะ และทหารต้องพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อด้วย เวลามีสงคราม ทหารก็จะต้องถูกส่งไปรบ นั่นแหละถูกส่งไปตายชัดๆ ถ้าลูกพ่อถูกส่งไปที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แล้วเป็นอะไรขึ้นมา พ่อจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง "
ผมนิ่งเงียบไป พ่อเลยพูดต่อ
" เรียนร.ด. แทนก็แล้วกันนะลูก "
ผมยังคงมีความคิดที่จะไม่เรียนร.ด. ไฟหนุ่มของผมคุกรุ่นอยู่ในใจไม่หยุด คิดแต่จะเป็นทหารให้ได้ วันนี้พ่อก็บังคับให้ผมลองมาทดสอบดูก่อนทั้งๆ ที่ผมไม่อยากมา แต่สุดท้ายผมก็ต้องมา เพื่อนๆ ของผมมาแทบจะทั้งระดับเพราะใครๆ ต่างก็อยากจะเรียนร.ด. กันทั้งนั้น ผมเองพอเห็นความตั้งใจของเพื่อนๆ ที่อยากจะเรียนร.ด. ก็ชักอยากจะเรียนขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังลังเลอยู่เพราะผมก็อยากเป็นทหารเหมือนกัน
การทดสอบสมรรถภาพร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ฐาน คือ วิดพื้น ซิตอัพ และวิ่งรอบสนาม 2 ฐานแรกจะมีกำหนดว่าให้ทำกี่ครั้งภายในเวลาที่กำหนดซึ่งผมจำไม่ได้แล้ว ส่วนฐานวิ่งก็จะกำหนดเวลา ให้วิ่งได้กี่รอบในเวลาที่กำหนด ผมผ่านฐานวิดพื้นและซิตอัพไปอย่างง่ายดายเพราะไม่ยาก แค่ออกแรงทำเร็วๆ ก็ได้แล้ว แต่กลับมาตกฐานวิ่งเพราะผมวิ่งได้ช้ากว่ากำหนด เป็นอันว่าผมตกฐานที่ 3 ซึ่งก็หมายความว่าทดสอบไม่ผ่าน ไม่มีสิทธิ์เรียนร.ด. คนที่สอบผ่านฐานวิ่งมีไม่ถึง 20% ส่วนใหญ่เพื่อนของผมจะตกฐานนี้กันทั้งนั้น พวกที่ผ่านก็ดีใจกันใหญ่ รีบไปลงชื่อกับครูฝึก และได้สิทธิ์เป็นนักศึกษาวิชาทหารทันที พวกที่ไม่ผ่านก็มองกันตาละห้อย ผมเองคิดว่าไม่ผ่านแบบนี้ก็หมายความว่าไม่ได้เรียน งั้นผมก็ต้องเป็นทหารล่ะสิเนี่ย ดีใจจริงๆ
แต่ผมก็ดีใจได้ไม่นาน เพราะไม่กี่สัปดาห์ก็มีหนังสือแจ้งมาที่โรงเรียนของผมว่า ทางกรมการรักษาดินแดน รับผู้ที่มารับการทดสอบซึ่งเขาใช้คำว่า " ผู้ที่ติดสำรอง " ทั้งหมด เข้าเรียนร.ด. ได้ เป็นอันว่าทุกคนได้เรียนร.ด. กันหมด ผมก็จ๋อยเลย ต้องเรียนร.ด. จนได้
ชั้นม.4 ของผมมีคนไม่เรียนร.ด. ไม่ถึง 5 คน แปลกแต่จริง! 3 ใน 5 เป็นกะเทยที่รอเกณฑ์ทหารด้วยจุดประสงค์บางอย่างที่ไม่ค่อยจะน่าฟังนัก และอีก 2 คนเป็นคนพิการซึ่งเขาคงไม่สามารถเรียนร.ด. ได้แน่นอน
สัปดาห์แรก ทุกคนต้องมาสมัครเรียนร.ด. ถ่ายรูปทำบัตรประจำตัวนักศึกษาวิชาทหาร รับตำรา และเข้ารับการปฐมนิเทศ หลังจากนั้นจึงเริ่มเรียนในสัปดาห์ถัดไป ผมเรียนครั้งละ 4 ชั่วโมง มีทั้งภาคเช้าและภาคบ่ายแต่เรียนแค่ภาคเดียวเท่านั้น ภาคเช้าเรียน 8.00-12.00 น. ภาคบ่ายเรียน 13.00 ? 17.00 น. ตอนปี 1 ผมเรียนภาคบ่าย เราต้องรีบมาเข้าแถวรวมพลตอนเที่ยงกว่าๆ เพื่อฟังข่าวสาร สวดมนต์ กล่าวคำปฏิญาณ จากนั้นจึงแยกย้ายไปฝึก มีพักเป็นระยะๆ ตามเสียงกริ่ง พอเกือบจะ 5 โมงเย็นก็มารวมพลยังที่รวมพลอีกครั้ง ฟังครูฝึกพูด แล้วจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน
1- 2 สัปดาห์แรกที่ยังไม่ได้เครื่องแบบ ทุกครั้งที่ไปฝึกต้องแต่งชุดนักเรียนไปก่อน เตรียมเสื้ออ่อนสีกากีแกมเขียวคอกลมกับหมวกเบเร่ย์ที่ซื้อมาไปด้วย พอได้เวลาฝึกก็เปลี่ยนเป็นเสื้ออ่อน ใส่หมวก ดังนั้นในสัปดาห์แรกๆ ผมและเพื่อนๆ จึงได้มีโอกาสแต่งชุดน่ารักๆ แบบนี้ คิดถึงตอนนั้นทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ ผมและเพื่อนๆ ใส่เสื้ออ่อนสีกากีแกมเขียวบางๆ ใส่หมวกเบเร่ย์ นุ่งกางเกงนักเรียนสีดำ สวมถุงเท้าขาว และรองเท้าบาจาสีดำ แต่งอย่างนี้เหมือนกันทุกคน ครูฝึกก็ฝึกท่าพื้นฐานก่อน เช่น ฝึกท่าตรง ท่าหัน ( ขวาหัน , ซ้ายหัน , กลับหลังหัน ) ท่าพัก ( พักตามระเบียบ , พักตามสบาย , พักแถว , เลิกแถว ) ท่าเคารพ ( วันทยหัตถุ์ ) ท่าวิ่ง และท่าอื่นๆ อีก รวมทั้งฝึกแถวชิด หัดเข้าแถวหน้ากระดาน ปิดระยะ หรือเปิดระยะ , แถวตอนเรียงหนึ่ง หรือแถวตอนตั้งแต่เรียงสองขึ้นไป ฝึกกันกลางสนาม แดดร้อนเปรี้ยงๆ แต่ก็ยังฝึกไม่หนักเท่าไหร่เพราะทุกคนยังใหม่อยู่ ครูฝึกยังไม่โหดมากนัก เรียนภาคบ่ายนี่แย่จัง แดดร้อนมาก
พอสัปดาห์ต่อๆ มาได้เครื่องแบบมาใส่แล้ว ฝึกกลางแดดเริ่มร้อนเพราะแต่งเต็มยศเลย ไม่ได้ใส่แค่เสื้ออ่อนบางๆ และกางเกงขาสั้นแบบเมื่อก่อนแล้ว ต้องใส่เสื้อหนาๆ กางเกงขายาว ถุงเท้าหนาๆ รองเท้าหนักๆ ใส่ห่วงที่ขาด้วย ต้องหัดเตะตีนให้ดังกุบๆๆ การฝึกก็เริ่มโหดขึ้น ครูฝึกสั่งทำโทษบ่อยขึ้น ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจโดนทำโทษยกหมู่ หรือยกหมวดเลยทีเดียว นอกจากฝึกท่ามือเปล่าแล้วยังฝึกท่าอาวุธ คือถือปืนด้วย ปืนก็หนักมาก ถือแล้วก็แทบหมดแรง ฝึกแถวชิด วิ่งเข้าแถวท่ามกลางแดดจัด ช่วงนี้ถือว่าฝึกหนักที่สุด ตากแดดตลอดจนผิวของผมที่เคยขาวๆ เปลี่ยนเป็นสีคล้ำเลย ผมโดนครูฝึกด่าหลายครั้งเพราะทำอะไรเงอะงะงุ่นง่าน ไม่ทันใจเขา แต่น่าสังเกตุว่าถึงแม้ผมจะโดนด่า แต่ผมก็ไม่เคยโดนทำโทษคนเดียวเลย ครูฝึกจะทำโทษทั้งหมวด หรือทั้งหมู่มากกว่า ตอนแรกๆ ที่ผมโดนครูฝึกด่า ผมน้อยใจมาก คิดว่า..ทำไมวะ กูก็ทำดีที่สุดแล้ว ยังจะมาด่ากูอีก กูทำผิดตรงไหน ทำไมต้องเจาะจงด่าแต่กูด้วย ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่า จริงๆ แล้ว ครูฝึกมันด่าคนอื่นอีกตั้งหลายคน ไม่ได้ด่าผมคนเดียว
โดนด่าหนักเข้า ผมก็ท้อใจ ไปปรึกษาพ่อ พ่อก็สอนให้ผมอดทน อย่าผูกใจเจ็บครูฝึก พ่อบอกผมว่า
" ครูฝึกน่ะก็เหมือนคนในสังคมทั่วไป มีทั้งครูฝึกดี และครูฝึกเลว ครูฝึกเลวบางคนก็บ้าอำนาจ ถ้าโดนทำโทษก็ทำไปเถอะลูก อย่าไปแสดงอาการว่าโกรธให้เขาเห็น ไม่งั้นจะโดนหนักกว่าเดิม เขาจงใจด่าและเล่นงานลูกคนเดียวเสียเมื่อไหร่ล่ะ "
ผมจึงอดทน เวลาโดนครูฝึกด่า ถึงจะโกรธแค่ไหน ก็ใช้วิธีกัดริมฝีปากจนเจ็บ ไม่ตอบโต้ ไม่เถียง ไม่แสดงว่าโกรธ ก้มหน้ายอมรับผิดอย่างเดียว เวลาโดนทำโทษร่วมกับเพื่อนๆ ก็ทำไปจนเต็มใจ ครูฝึกอาจจะสั่งให้วิดพื้น 30 ครั้ง แต่แล้วคำสั่งต่อมาก็ลดเป็น 20 ครั้ง นี่เองทำให้ผมรู้ว่าจริงๆ แล้ว ครูฝึกที่ฝึกพวกเรามาตลอด 3 ปี เป็นครูฝึกที่นับว่า " ใจดี " ไม่เหมือนกับตอนปี 4 ปี 5 ที่เจอครูฝึก " โหด " แต่ความจริงผมก็ไม่รู้สึกว่าโหด อาจเป็นเพราะตอนนี้ผมปรับตัวได้แล้ว
ถึงผมจะอดทนเพียงใดก็ตาม ก็ยังโดนครูฝึกด่าเป็นระยะๆ สัปดาห์ที่ฝึกท่าอาวุธ และฝึกยิงปืน ผมโดนด่าบ่อยที่สุด สัปดาห์ที่ฝึกท่าอาวุธ ปืนของผมเกิดขัดข้องทำให้ทำท่าอาวุธได้ไม่ถนัด แต่ครูฝึกไม่สนใจ ด่าผมไปก่อน ส่วนสัปดาห์ที่ยิงปืนก็โดนด่าอีก หาว่าทำอะไรชักช้า น่ารำคาญ ครูฝึกด่าผมต่อหน้าเพื่อนๆ ความรู้สึกของผมในตอนนั้นมันแย่มาก ผมโกรธและเกลียดครูฝึก ผมอายเพื่อนเหลือเกิน ผมคิดว่าเพื่อนๆ ต้องคิดว่าผมเป็นไอ้โง่สมองนิ่มปัญญาอ่อนแน่ๆ ถึงได้ทำอะไรไม่ถูกใจครูฝึกไปหมดทุกอย่าง ซึ่งความจริงเพื่อนๆ ของผมไม่มีใครคิดแบบนั้นเลย ทุกคนไม่ได้ใส่ใจที่จะจำเรื่องของผมด้วยซ้ำไป แป๊ปเดียวก็ลืมกันหมดแล้ว แต่ผมเสียความรู้สึกมาก บอกพ่อว่าผมไม่อยากเรียนร.ด. แล้ว ผมทนอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่ได้ ผมอ่อนแอเกินไป พ่อก็คอยปลอบโยนและให้กำลังใจผม จนผมเริ่มปรับตัวได้ และเข้มแข็งขึ้นทุกวันๆ
หลังจากสัปดาห์ฝึกอันหฤโหดผ่านไป ทุกคนเริ่มสบายเพราะได้เข้าเรียนในห้องเรียนมากขึ้น ผมก็สบายใจขึ้นบ้าง เรียนในห้องเรียนผมเรียนได้ไม่มีปัญหาอะไร ห้องเรียนแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ
1. ห้องเรียนบนตึก สำหรับเรียนวิชาทหารทั่วไป แบบธรรมเนียมทหาร กิจการพลเรือน ประวัติศาสตร์สงคราม ฯลฯ ห้องเรียนแบบนี้มีพัดลมเย็นสบาย เรียนเหมือนเรียนที่โรงเรียน มีครูฝึกมาบรรยายหน้าห้อง
2. ห้องเรียนอัฒจันทร์ สำหรับเรียนวิชายุทธวิธี บุคคลทำการรบในเวลากลางวัน และกลางคืน วิชาอาวุธ ฯลฯ เราต้องขึ้นไปนั่งบนนี้เป็นแถวเรียงกันไป ครูฝึกก็บรรยายอยู่ด้านล่าง ถ้าเป็นวิชาอาวุธก็จะเอาอาวุธมาตั้งโชว์ไว้หน้าห้อง ห้องเรียนแบบนี้ร้อน แต่ก็สนุกไปอีกแบบเพราะได้นั่งติดกับเพื่อนๆ ผู้ชายเป็นฝูง กลิ่นสาปชายเป็นสิบๆ กลิ่นอบอวลเต็มห้อง นั่งสูดกันมันส์ไปเลย
ถ้าเรียนในห้องเรียน ผมมักไม่ถูกทำโทษเพราะผมจะไม่คุยและไม่เล่นขณะเรียน แต่จะโดนทำโทษตอนฝึกกลางแจ้งมากกว่า ผมเริ่มเรียนรู้ที่จะทำตัวกลมกลืนไปกับเพื่อนคนอื่นๆ ครูฝึกไม่มาเพ่งเล็งผมอีกต่อไป ถ้าด่าก็จะด่าแบบรวมๆ ถ้าสั่งทำโทษก็สั่งทำโทษทั้งหมวด ผมเริ่มโดนด่าน้อยลง ในที่สุดผมก็ชนะใจตนเอง สามารถข่มความโกรธที่เคยมีต่อครูฝึกได้ ไม่เก็บเอามาคิดเป็นอารมณ์
ผมพยายามแต่งตัวให้เรียบร้อย ขัดหัวเข็มขัด ขัดรองเท้าจนมันวาว ครูฝึกจะได้ด่าผมเรื่องนี้ไม่ได้ หัดตะเบ๊ะให้เท่ห์ๆ เวลาเจอครูฝึกหรือเวลาฝึก หัดเดินให้ดูสง่างามตามที่ครูฝึกสอนว่า ลูกผู้ชายต้องเดินให้ " อกผาย ไหล่ผึ่ง หลังตึง ควยตั้ง " หัดพูดดังๆ พูดชัดถ้อยชัดคำให้สมกับเป็นชายชาติทหาร แต่ผมก็ยังมีปัญหาอยู่เรื่องหนึ่ง นั่นคือ เรื่องผมบนกบาล
สัปดาห์แรกๆ ครูฝึกตรวจผมบ่อยมาก ตามกฏต้องตัดผมทรงนักเรียน กบาลขาวเกรียน 3 ด้าน เห็นหนังกบาลแบบเต็มๆ ข้างบนก็ต้องสั้น เหมือนทรงผมตอนผมอยู่ม. ต้น ถ้าผมยาวกว่านี้ครูฝึกก็ไล่ให้ไปตัดผมทันที มีคนโดนไล่ให้ไปตัดผมเยอะมาก ตัดที่ร้านในศูนย์ฝึกนี่แหละ
ผมก็เคยถูกไล่ให้ไปตัดผมด้วยเพราะวัน นั้นลืมตัดผมมา จำไม่ได้ว่าตอนปี 1 หรือปี 2 นับเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงในชีวิตผมเลยทีเดียว เขาตัดซะสั้นเกรียนมากๆๆ แถมแหว่งไปนิดนึงด้วย เห็นหนังกบาลขาวจั๊ว จนเหมือนโดนจับโกนผมเลย! ผมอายเพื่อนที่สุด จำได้ว่าพอตัดเสร็จ ผมกับเพื่อนๆ ที่โดนตัดผมเหมือนๆ กันก็เข้าไปนั่งเรียนแอบๆ ในห้องเรียนอัฒจันทร์ เพื่อนคนอื่นๆ เห็นกบาลผมก็ร้องฮือฮากันใหญ่ คงคาดไม่ถึงว่าผมจะโดนตัดจนสั้นถึงขนาดนี้ ผมงี้อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี นั่งก้มหน้างุดๆ อยู่นาน พอช่วงพักไอ้อ๊อตก็เข้ามาพูดกับผมว่า
" ทรงผมเท่ห์จังว่ะหนุ่ม นายเท่ห์ขึ้นเยอะจริงๆ "
ผมยิ้มๆ ไม่ตอบอะไรเพราะอายกบาลเต็มทน ในจำนวนคนที่โดนไล่ไปตัดผมวันนั้น ผมว่าของผมสั้นที่สุดแล้วมั๊ง ซวยเฮี้ยๆ เลย! วันต่อมาผมไปโรงเรียนก็โดนเพื่อนล้ออยู่นาน จนผมเริ่มยาวเหมือนเดิมถึงได้เลิกล้อ
หลังจากคราวนั้น ผมก็ตัดผมมาสม่ำเสมอ ตัดมาเองจากร้านแถวบ้านดีกว่ามาโดนตัดที่นี่ เพราะตัดเองยังไงๆ เขาก็ไม่ตัดจนสั้นเกรียนเท่าที่นี่หรอก แล้วผมก็ไม่เคยโดนไล่ให้ไปตัดผมอีกเลย เข็ดจนตายจริงๆ!
ตลอดทั้งปี ผมต้องไว้ผมทรงนักเรียนมาตลอด ไม่ต่างกับตอนอยู่ม. ต้น แต่ไว้ทรงนี้ก็เย็นสบายดี ไม่มีรังแค อาจจะจะอายหนังกบาลในช่วงวันแรกๆ ที่ตัดผมมาใหม่ๆ แต่นานไปก็ชิน
เรียนมาจนครบ 20 สัปดาห์ ก็มีการสอบภาคปฏิบัติ คือการสอบท่ามือเปล่า ท่าเคารพ ท่าหัน สอบเข้าแถวแบบต่างๆ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดก็คือการสอบฝึกเบื้องต้นนั่นเอง ผมก็สอบด้วยความตั้งใจ ให้ทำอะไรลุยทำทุกอย่าง การสอบของปี 1 ไม่ยากนัก ทุกคนสอบกันได้ และอีกวันก็เป็นสอบภาคทฤษฎี ที่ศูนย์ฝึกร.ด. เป็นข้อสอบปรนัยเหมือนข้อสอบที่โรงเรียน ผมก็ทำอย่างเต็มความสามารถ และผมก็สอบผ่านไปได้ด้วยดี
ในที่สุด ผมและเพื่อนๆ ทุกคนก็สอบผ่านร.ด. ชั้นปีที่ 1 และได้เลื่อนขึ้นไปเรียนในชั้นปีที่ 2