Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 101
#101, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 15-Apr-12 at 07:54 AM
In response to message #0
กลับมาแล้วคร้าบบบบบบบบบบบบบ สรุปว่าผมก็กลายเป็นคน "ร้อยเอ็ด" ไปซะแล้ว อิๆ
ก่อนอื่น ขอสวัสดีปีใหม่แบบไทยๆ ของเราแก่ทุกคนที่มาติดตามครับ ขอให้สุขีและมั่งมีกันทุกคน รวยๆ กันถ้วนหน้าครับ

------------------------------------------

ตอนที่ 28

บูมค่อยๆ ปล่อยมือออกจากทิวและพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ จริงๆ ถ้าไม่ติดว่ากำลังทำงานอยู่เขาก็คงไม่ขัดข้องที่จะคุยกับแพรว แต่ตอนนี้งานกำลังจะเริ่มในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาจำเป็นต้องเอางานไว้ก่อน บูมจึงพยายามยิ้มแล้วเดินไปหาแพรวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก้มหยิบกระเป๋าของเธอที่ตกลงบนพื้นมาเก็บไว้

"มาทันเวลาพอดีเลยแพรว เดี๋ยวเรามาซักซ้อมกันอีกซักรอบก่อนไหม" บูมพยายามยิ้มทำใจดีสู้เสือ

"ไม่เป็นไรค่ะ แพรวจำได้" แพรวตอบเสียงห้วนแล้วก็ดึงกระเป๋าจากมือบูมมาถือไว้เอง "เราต้องคุยกันนะคะบูม" แพรวบอกแล้วก็เดินลิ่วออกไปข้างนอก ตอนนี้เธอยังไม่พร้อมที่จะคุยอะไรทั้งนั้น ขอเวลาสงบสติอารมณ์สักพัก ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นอาจจะโวยวายไปแล้ว แต่แพรวเลือกที่จะรักษางานไว้ก่อน อีกอย่างคงไม่เป็นผลดีนักถ้าเธอจะตีโพยตีพายหรือทะเลาะกับบูมให้คนอื่นเห็น

บูมหันไปสบตากับทิว เห็นแววตาหวาดหวั่นของทิวแล้วเขาก็รู้สึกสงสารไม่น้อย ยิ่งทำให้เขาตระหนักว่าเขาจะต้องรีบทำให้เรื่องราวที่ยากลำบากเหล่านี้จบลงโดยเร็วที่สุด เพราะยิ่งปล่อยไว้นานวันก็มีแต่จะทำให้ทิวต้องเจ็บปวดมากขึ้น บางทีเขาก็กลัวว่าทิวจะทนไม่ไหวไปเสียก่อน

"เย็นนี้ คุยกับแพรวให้รู้เรื่องนะบูม" พี่บีมเดินมาบอกเบาๆ เขาบีบไหล่น้องชาย ยิ้มแล้วก็เดินไปถ่ายรูปต่อ คนอื่นๆ ก็เริ่มหันกลับมาสนใจกับการเตรียมงานของตัวเอง แต่ก็ยังคอยชำเลืองและแอบคุยกันด้วยความสงสัยอยู่บ้าง

พอแพรวกลับมา บูมก็มานั่งคุยด้วยและขอซ้อมพิธีการเล็กน้อย ดูเหมือนสีหน้าของแพรวจะดีขึ้นแต่ก็สังเกตได้ว่าการพูดคุยก็ดูไม่สนิทใจเหมือนเดิม ส่วนทิวก็กลับมาวุ่นวายกับการประสานงานและต้อนรับแขกที่เริ่มทยอยเข้ามาในงาน แต่ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนเขาก็รู้สึกไม่สบายใจเพราะดูเหมือนว่าคนอื่นๆ มองเขาด้วยสายตาที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัด บางครั้งเขาก็เห็นแพรวแอบลองมองเขาอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ว่าจะอึดอัดแค่ไหน ทิวก็ยังต้องทำหน้าที่เพื่อให้งานเลี้ยงต้อนรับผู้ที่จะเข้ามาช่วยกันทำงานในโครงการออกมาดีที่สุด เรื่องส่วนตัวคงต้องเอาไว้ทีหลัง

เมื่อถึงเวลาเปิดงาน บูมกับแพรวก็เป็นพิธีกรคู่กันตามที่ตกลงกันไว้ ทั้งสองคนกล่าวต้อนรับคนที่มาในงาน บอกที่มาของโครงการและวัตถุประสงค์ของการจัดงานในวันนี้ จากนั้นก็เชิญตัวแทนจากผู้สนับสนุนขึ้นมากล่าวเปิดงานประมาณ 10 นาที แล้วก็ให้ทิวมานำเสนอรายละเอียดของการทำงานในโครงการว่ามีอะไรบ้าง มีความสำคัญอย่างไร จะแก้ปัญหาอะไร ขั้นตอนเป็นอย่างไร ใช้เวลานานเท่าไร เป็นต้น

ดูเหมือนบูมไม่อาจจะห้ามสายตาชื่นชมของเขาได้เลยเมื่อมองดูทิวที่กำลังนำเสนองานได้เป็นอย่างดี แม้จะมีติดๆ ขัดๆ ไปบ้างในช่วงแรกๆ เพราะทิวค่อนข้างตื่นเต้น แต่พอเริ่มชินเขาก็สามารถนำเสนอได้อย่างไม่เคอะเขินและเป็นธรรมชาติมากขึ้น แพรวสังเกตสายตาของแฟนหนุ่มแล้วก็ได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ ดูเหมือนมันจะชัดเจนจนไม่เหลืออะไรให้ต้องสงสัยแล้วว่าบูมกับทิวรู้สึกยังไงต่อกัน

เมื่อทิวนำเสนอจบลง บูมกับแพรวก็ชักชวนให้แขกที่มาในงานทำกิจกรรมสั้นๆ ด้วยการวาดรูปที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของแต่ละคน เริ่มด้วยการให้วาดภาพทะเลทรายในจินตนาการ จากนั้นก็ให้เติมกล่อง เติมบันได เติมพายุ เติมม้า เติมดอกไม้ลงไปตามลำดับ แล้วจึงค่อยเฉลยว่าขนาดของกล่องก็คืออีโก้ของตัวเรา บันไดเป็นความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อน พายุเป็นมุมมองของเราที่มีต่อปัญหา ม้าคือภรรยาหรือสามีและดอกไม้ก็คือลูกๆ ของเราเอง ลักษณะที่แตกต่างกันของสิ่งที่วาดก็จะบ่งบอกความคิดของเราที่มีต่อสิ่งต่างๆ แตกต่างกันไป จากนั้นก็เชิญให้ทุกคนกินของว่างที่จัดไว้ตามมุมต่างๆ ในห้อง จะเห็นว่างานนี้ก็เป็นงานที่จัดขึ้นง่ายๆ เพื่อให้คนที่จะทำงานร่วมกันได้มาเจอกันและรู้จักกัน จึงไม่มีพิธีรีตรองมาก

พอแขกเริ่มเดินกินของว่างและจับกลุ่มคุยกัน บูมกับแพรวก็หมดภาระการเป็นพิธีกร แล้วต่างคนต่างก็แยกกันเดินไปคุยกับแขกที่มาในงาน ทิวก็เช่นกัน เขาต้องไปคุยกับแขกด้วยเพราะเขาเป็นคนประสานงานหลักและรู้จักทุกคนที่มาในงาน แม้ว่าส่วนมากจะรู้จักแค่ชื่อก็ตาม

แพรวคอยจับตาดูทิวอยู่เกือบตลอดเวลา พอเห็นทิวขอตัวเดินออกไปข้างนอกแล้วเธอก็รีบเดินตามไปทันที พอเห็นทิวเข้าไปในห้องน้ำแพรวก็เลยหยุดยืนรอ พอทิวออกมาเธอก็รีบแสดงตัวให้เห็นว่ามารออยู่และต้องการคุยด้วย

ทิวหยุดชะงัก สายตาเขามีความประหม่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็รู้ว่าแพรวคงไม่ปล่อยให้เขาไปง่ายๆ แน่ๆ แพรวเดินเข้ามาใกล้ สายตาสงสัยปนไม่พอใจนั้นยิ่งทำให้ทิวรู้สึกประหม่ามากยิ่งขึ้น

"ทิว...บอกแพรวได้ไหม ทิวกับบูมเป็นเพื่อนกันจริงเหรือเปล่า" แพรวถามด้วยสายตาและน้ำเสียงคาดคั้น

"คือ..." ทิวกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ไม่คิดว่าคนที่จะต้องถูกถามก่อนคนแรกจะเป็นเขาเสียเอง เขาไม่ได้เตรียมตัวที่จะตอบคำถามนี้เลย

"บอกแพรวมาตรงๆ ได้ไหม แพรวสังเกตมานานแล้วว่าทิวกับบูม...มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา ใช่ไหมทิว ทิวคิดอะไรกับคู่หมั้นของแพรวอยู่หรือเปล่า"

ทิวได้แต่หลบตาลงต่ำ เขาไม่กล้าสู้หน้าแพรวเลย แต่ก่อนที่เขาจะตอบคำถามก็มีเสียงเรียกของบูมดังขึ้น

"แพรว"

แพรวหันไปตามเสียงเรียก พอเห็นว่าเป็นบูมเธอก็เลยต้องหยุด แต่ในใจก็รู้สึกน้อยใจที่เห็นบูมตามมาเพื่อปกป้องทิวโดยเฉพาะ

บูมสาวเท้าเดินเข้ามาหาแพรวด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก "ถ้าแพรวอยากรู้อะไร ถามบูมดีกว่านะแพรว บูมอยากคุยกับแพรวเย็นนี้ ถ้าแพรวพร้อม"

สีหน้าของแพรวดูเศร้าสลดลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เห็นบูมปกป้องทิวแบบนี้แล้วมันก็ตอบคำถามที่เธอสงสัยได้มากกว่าคำพูดเสียอีก "ค่ะ เราต้องคุยกัน แพรวต้องคุยกับบูมแน่ๆ ค่ะ" น้ำเสียงของแพรวแฝงด้วยความเสียใจและผิดหวัง เธอมองหน้าบูม...และทิว...แล้วก็เดินลิ่วกลับเข้าไปในห้องจัดงานตามเดิม

พอแฟนสาวลับตาไปบูมก็เดินมาหาทิวพลางถอนหายใจอย่างหนักใจ เขาบีบไหล่ทิวเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบใจและให้กำลังใจ ทิวคงจะอกสั่นขวัญแขวนกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากทีเดียว

"เราขอโทษนะทิวที่ทำให้นายต้องลำบาก ต่อไปนี้...ทิวไม่ต้องตอบคำถามใคร ถ้าใครอยากรู้ ให้เขามาถามเรา...นะทิว ไม่ว่าใครจะถามอะไรนาย นายไม่ต้องตอบอะไรทั้งนั้น" ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในที่รโหฐานแบบนี้ บูมคงจะกอดทิวเพื่อปลอบใจแล้วล่ะ

แต่สายตาของทิวก็ยังคงมีแววหวาดหวั่นและไม่แน่ใจอยู่เช่นเดิม ใครที่อยู่ในสถานะแบบเดียวกับเขาคงจะรู้ว่ามันทำใจได้ยากแค่ไหน เวลาที่ถูกคนอื่นๆ มองด้วยสายตาเหมือนดูถูกเหยียดหยาม ทิวรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ ในใจเพราะใครๆ ก็คงคิดว่าเขาเป็นมือที่สามที่เข้ามาทำให้คู่รักเขาต้องแตกแยกกัน ใครๆ ก็ต้องคิดแบบนั้น

"เรารู้ว่านายรู้สึกยังไงนะทิว... เอาเป็นว่า... เราจะพยายามทำให้มันจบเร็วที่สุด" นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่บูมจะทำได้ในตอนนี้และเขาก็ควรจะต้องทำให้ได้เสียด้วยสิ

ทิวพยักหน้าเข้าใจ เขารู้ว่าบูมเองก็คงเครียดและหนักใจมากแค่ไหนเพราะเป็นคนที่จะต้องเจอศึกหนักมากกว่าใคร มันกำลังเริ่มขึ้นแล้ว ไม่มีใครตอบได้หรอกว่ามันจะจบลงแบบไหน เขาก็ได้แต่ภาวนาให้ตัวเขาเองสามารถอดทนและต่อสู้ไปกับบูมได้ตลอดรอดฝั่ง

"กลับเข้างานกันเถอะ งานใกล้จะเลิกแล้ว" บูมบอกเบาๆ ก่อนจะเดินกลับไปบูมก็หันมาบอกว่า "เย็นนี้เราคงไม่ได้ไปส่งนายนะ เราคงต้องคุยกับแพรว เดี๋ยวเราจะให้พี่บีมไปส่งนายละกัน"

ทิวพยักหน้ารับ ในใจก็รู้สึกกลัวแทนบูมเหลือเกิน แพรวจะเข้าใจได้ง่ายๆ เหมือนอย่างที่เขาสองคนเคยคิดหรือเปล่าหนอ ผู้หญิงที่กำลังจะเสียคู่หมั้นไปคงไม่สามารถทำใจได้ง่ายขนาดนั้นหรอก ถ้าเป็นเขาก็คงไม่ต่างกัน

--------------------------------------------

"แพรว..." บูมเอ่ยขึ้นเมื่อได้นั่งลงและเตรียมตัวเตรียมใจสักพักแล้ว เขาสบตากับแฟนสาวแล้วก็ตัดสินใจบอกความจริงที่เกิดขึ้น "แพรวฟังดีๆ นะ สิ่งที่บูมจะพูดต่อไปนี้...เป็นความจริงทุกอย่าง มันอาจจะทำให้แพรวตกใจ...เสียใจ...แต่บูมก็จำเป็นที่จะต้องบอกให้แพรวรู้"

ท่าทางของแพรวบอกให้บูมรู้ว่าเธอเตรียมตัวและเตรียมใจที่จะฟังแล้ว จะว่าไปแพรวก็เริ่มทำใจไว้ในระดับหนึ่งแล้วล่ะ หลังๆ มานี้บูมไม่ค่อยไปไหนมาไหนกับเธอ ชวนไปไหนก็ปฏิเสธ เวลาอยู่ที่ทำงานก็มักจะไปขลุกอยู่กับทิวมากกว่าที่จะอยู่กับเธอ ทำให้เธอน้อยใจจนไม่รู้จะน้อยใจยังไงแล้วล่ะ

"จริงๆ แล้ว บูมกับทิว...เรารักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายแล้วล่ะ" ในที่สุดบูมก็ได้พูดสิ่งนี้ออกไปเสียทีหลังจากที่ทนอึดอัดเก็บไว้มานาน

"อะไรนะคะ" แม้ว่าจะเตรียมใจมาในระดับหนึ่งแล้วแต่แพรวก็อดที่จะตกใจไม่ได้ที่ได้ยินเรื่องนี้จากปากของบูมเต็มทั้งสองหู มันเป็นสิ่งที่เธอไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดขึ้นกับเธอได้ น้ำตาของแพรวค่อยๆ ไหลลงมาอาบแก้ม "บูมพูดว่าอะไรนะคะ" แพรวถามด้วยเสียงสั่นเครือ

"บูมกับทิว...รักกัน รักกันมาตั้งนานแล้ว" บูมเองก็รู้สึกเจ็บไม่น้อยเมื่อบอกความจริงออกไป เขาเองก็ไม่ได้อยากทำร้ายแพรวเลย แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างแพรวก็ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับชะตากรรมที่แสนตลกนี้ "บูมขอโทษนะแพรว...แต่ว่า...จริงๆ แล้ว...บูมไม่ได้รักแพรว"

แพรวกำมือแน่น มันแสนจะเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อคนที่เคยคิดว่ารักกัน หมั้นกันและวางแผนที่จะแต่งงานด้วยกันมาบอกเช่นนี้ แพรวรู้สึกเหมือนใครเอามีดมากรีดหัวใจของเธอ แล้วคนที่กรีดนั้นไม่ใช่ใคร ก็คือคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า คนที่กำลังจะเป็นสามีเธอในไม่ช้านี้เอง

"แล้วนี่อะไรคะ นี่คืออะไรคะ" แพรวถามด้วยเสียงสั่นเครือพลางชี้ให้บูมดูแหวนหมั้นที่นิ้วมือของเธอ "ถ้าไม่ได้รัก...แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง"

บูมมองที่แหวนหมั้นนั้นแล้วก็ได้แต่สะท้อนใจ "แพรว...บูมขอโทษ" เสียงบูมแหบพร่า รู้สึกสงสารแพรวอย่างจับจิตจับใจ เขาเองก็มีส่วนผิดที่ปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิดมาจนถึงขั้นนี้ ถ้าเขาขัดขืนพ่อกับแม่เสียบ้างตอนนั้นมันก็อาจจะไม่เป็นแบบนี้เลยก็ได้ "บูมผิดเองแพรว...ทั้งหมดเป็นความผิดของบูมเอง บูมเสียใจที่มันเป็นแบบนี้"

"หยุดพูดว่าเสียใจเถอะค่ะ มันไม่ได้ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น แต่บูมช่วยบอกแพรวหน่อยได้ไหมคะว่า...ถ้าไม่ได้รัก...แล้วเรามาคบกันได้ยังไง"

นั่นสินะ...แพรวไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการคบกันของเขากับแพรวเป็นแผนการของผู้ใหญ่ พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้เห็นเป็นใจ แล้วบูมก็เป็นฝ่ายที่ถูกกำหนดให้เป็นคนเริ่มก่อน ตอนปิดเทอมคราวนั้น บูมกลับมาบ้านแล้วก็ถูกพ่อกับแม่บังคับให้พาแพรวไปดูหนัง ไปเที่ยว พามาที่บ้านและอะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย แพรวไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดอะไรขึ้น กลับคิดไปว่าเขาเป็นคนเข้าไปจีบเธอและต้องการเริ่มความสัมพันธ์นี้เอง มันก็ไม่ผิดที่แพรวจะเข้าใจไปแบบนั้น ไม่ผิดเลยจริงๆ...

"ถ้าแพรวอยากฟัง...บูมก็จะเล่าให้ฟัง" บูมหยุดดูท่าทีของแพรว เมื่อเห็นว่าแพรวไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน เขาจึงเล่าต่อไปว่า "ก่อนที่บูมจะไปเรียนเมืองนอก พ่อกับแม่สั่งห้ามบูมอย่างเด็ดขาดว่าไม่ให้ติดต่อกับทิวอีก จนกระทั่งหลังจากที่บูมจบปีสอง ตอนนั้นบูมกลับมาอยู่ที่เมืองไทยช่วงซัมเมอร์ พ่อกับแม่ก็..." บูมรู้สึกว่าเขาทำใจได้ยากเหลือเกินที่จะบอกแพรวเรื่องนี้ มันคงจะยิ่งทำให้แพรวเสียใจมากขึ้นไปอีกถ้าได้รู้ว่าความสัมพันธ์ของเขากับเธอเกิดขึ้นเพราะแผนการของผู้ใหญ่ หาใช่ความรักไม่

"บูมกำลังจะบอกว่า...ที่บูมมาคบกับแพรว...เพราะว่าถูกพ่อกับแม่บังคับอย่างงั้นเหรอคะ มันจะไม่เหมือนละครน้ำเน่าหลังข่าวไปหน่อยเหรอคะบูม" แพรวแค่นเสียงพูดในตอนท้ายคล้ายจะประชดประชัน

"แต่มันเป็นเรื่องจริงนะแพรว" บูมกระพริบตาถี่ๆ เขารู้สึกอยากจะร้องไห้ สงสารแพรวและสงสารตัวเองที่ไม่เข้มแข็งพอจนปล่อยให้เรื่องมันบานปลาย

"แพรว...บูมรู้ว่าแพรวเสียใจมากแค่ไหน บูมเองก็เสียใจที่ปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิดมาถึงขั้นนี้ ตอนแรก...บูมก็ไม่คิดจะบอกแพรวหรอกเพราะบูมตัดสินใจแล้วว่า...จะไม่ติดต่อกับทิวอีก ก็คงจะแต่งงานมีครอบครัวเหมือนผู้ชายทั่วไป ตลอดเวลาที่บูมไปเรียนที่เมืองนอก บูมไม่เคยติดต่อทิวเลย ไม่เคยมาหาทิว บูมตัดใจแล้ว แต่...พอบูมได้เจอทิวอีกครั้งเมื่อไม่นานนี้ บูมก็รู้ว่า...บูมก็ยังรักทิวอยู่ ทิวเป็นรักแรกของบูมที่บูมไม่เคยลืม ตอนสมัยเรียน ทิวดีกับบูมมาก...มากจนทำให้บูม...ซึ่งคิดมาตลอดว่า...เป็นผู้ชาย คงไม่คิดที่จะรักผู้ชายด้วยกันได้ แต่ทิวก็ทำให้บูม...รักเขา รักมากจนลืมไม่ได้ บูมจึงตัดสินใจว่า...บูมจะขอทำตามหัวใจของตัวเองบ้าง มันอาจจะทำให้แพรวเจ็บปวดในวันนี้ แต่ก็ดีกว่าให้แพรวมารู้ทีหลังว่าบูมเป็น...เป็นเกย์ ถึงตอนนั้น...เราอาจจะเสียใจมากกว่านี้นะแพรว บูมก็เลยคิดว่าให้เราเสียใจตั้งแต่ตอนนี้ ก็ดีกว่ารอให้อะไรมันสายเกินไป แล้วเราจะเสียใจมากกว่านี้ในภายหลัง แพรวเข้าใจบูมใช่ไหมครับ"

แพรวหยิบกระเป๋าถือมาไว้ในมือแล้วก็บอกบูมไปว่า "พอเถอะค่ะ แพรวไม่อยากฟัง บูมไม่ใช่แพรว บูมไม่ใช่คนที่จะต้องเสียหาย บูมไม่ใช่คนที่ถูกหลอก บูมไม่มีวันรู้หรอกว่าแพรวเจ็บแค่ไหน"

พูดจบแพรวก็ลุกขึ้นแล้วเดินลิ่วออกไปจากร้านอาหารทันทีโดยไม่ฟังเสียงเรียกตามของบูม

"น้องครับ เช็คบิลด้วยครับ" บูมเรียกพนักงานเสิร์ฟมาคิดเงิน ก็ใช้เวลาพอสมควรอยู่เหมือนกันกว่าจะเรียบร้อย แต่พอวิ่งตามแพรวออกมาข้างนอก แพรวก็นั่งรถแท็กซี่ออกไปเสียแล้ว

บูมได้แต่ยืนถอนหายใจ คิดๆ ดูแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็ดูจะโหดร้ายกับแพรวมากทีเดียว ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องกลายเป็นเหยื่อความหวังดีของพ่อกับแม่ ผู้หญิงที่หลงเข้าใจผิดว่าคนที่เธอกำลังหมั้นและจะแต่งงานด้วยรักเธอ จนกระทั่งวันนี้ ผู้หญิงคนนั้นจึงได้รู้ว่าทุกอย่างคือแผนการของพ่อกับแม่ ไม่ได้เกิดจากความรักแต่อย่างใด บาปกรรมที่เกิดขึ้นครั้งนี้ใครจะเป็นคนชดใช้ให้เธอ เขาหรือเปล่า... ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเลือกได้... เขาก็ไม่อยากชดใช้ด้วยการแต่งงาน นั่นจะยิ่งเป็นการสร้างบาปกรรมให้แพรวมากขึ้นไปอีก จะให้เขาทำอะไรก็ได้...แต่ต้องไม่ใช่การแต่งงาน

---------------------------------

ในที่สุด แพรวก็ขอลาออกจากการเป็นเลขานุการของบูม แต่ในระหว่างที่ยังหาใครมาแทนไม่ได้ ทิวก็เลยต้องกลายเป็นเลขาฯ ของบูมไปพลางๆ ก่อน จริงๆ งานก็ไม่มีอะไรมาก ให้ผู้ประสานงานทำไปเลยก็ได้ แต่เนื่องจากตอนนั้นแพรวอยากเข้ามาช่วย บูมจึงแบ่งงานของผู้ประสานงานส่วนหนึ่งมาให้แพรวช่วยทำ

แต่หลังจากที่แพรวลาออกไปได้ไม่กี่วัน ทิวก็มาขอลาออกด้วยอีกคน

"ทำไมล่ะทิว นายจะลาออกทำไม นายกำลังเรียนหนังสืออยู่นะ ถ้านายออกไป นายจะไปทำงานอะไร เราไม่อยากให้นายลำบากอีกนะทิว" น้ำเสียงของบูมดูตกใจไม่น้อยทีเดียวที่จู่ๆ ทิวก็เดินเข้ามาบอกเขาว่าจะขอลาออก จริงๆ เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ทิวยังไม่กล้าบอกพ่อกับแม่เรื่องเขากับทิว เขากลัวว่าถ้าเกิดท่านทั้งสองรู้เข้า ทิวจะไม่ได้ทำงานที่นี่และต้องไปตกระกำลำบากอีก บางทีอะไรต่อมิอะไรก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป บางอย่างก็ต้องคิดแล้วคิดอีก

"เรา...มองหน้าใครไม่ติดแล้วบูม เรา...รู้สึกผิดจน...ไม่อยากมาทำงานเลย" ทิวตัดสินใจบอกสิ่งที่เขากำลังเครียดและกังวล แม้จะเพิ่งสังเกตว่าเพื่อนร่วมงานก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจหรือมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนวันที่เกิดเรื่องวันนั้นอีก แต่ทิวก็รู้สึกละอายใจอยู่ดี

"ทิว...ไม่มีใครมองนายอย่างนั้นหรอก ทุกคนเขารู้เรื่องหมดแล้วนะ ไม่เชื่อลองถามเอิร์ธดูสิ" บูมบอกพลางพยักเพยิดไปทางเอิร์ธที่กำลังหันมามองทิวกับบูมด้วยความสนใจ เนื่องจากเอิร์ธนั่งอยู่ไม่ไกลมากจึงพอได้ยินการสนทนากันของทิวกับบูม

"นายหมายความว่าไง" ทิวถามอย่างงงๆ

"เฮ้ยทิว ไม่ต้องออกหรอก อยู่ช่วยพวกเราทำงานต่อเถอะ คนขยันทำงานอย่างทิวหายากจะตาย อยู่ช่วยพวกเราต่อเถอะนะ อย่าเพิ่งออกเลย เรื่องนั้น...พวกเรารู้หมดแล้วล่ะ เราคุยกับบูมแล้ว พวกเราเข้าใจ ไม่มีใครคิดว่าทิวเป็นมือที่สามหรอก" เอิร์ธอธิบาย

ทิวหันไปมองเอิร์ธแล้วก็หันกลับมามองบูม พอเห็นว่าทิวยังคงงงๆ อยู่ บูมก็เลยให้วิทช่วยอีกแรง "ว่าไงวิท วิทอยากให้ทิวออกหรือเปล่า"

หนุ่มตี๋หล่อลุกจากโต๊ะทำงานแล้วก็เดินมาหาทิวกับบูมทันทีที่บูมหันไปเรียก วิทตบไหล่ทิวเบาๆ แล้วก็บอกไปว่า "อยู่ทำงานกับพวกเราเถอะทิว พวกเราเข้าใจความรักของบูมกับทิวนะ ไม่มีใครรังเกียจอะไรเลย ไม่มีใครคิดว่าทิวเป็นมือที่สามด้วย ทิวออกไป บูมก็จะเป็นห่วงทิวแย่เลยสิ" วิทหันไปสัพยอกกับบูมในตอนท้าย

"นี่มันอะไรกัน เรางงไปหมดแล้ว"

ดูเหมือนว่าคำอธิบายต่างๆ ของทุกคนกลับทำให้ทิวงงเสียยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ เอิร์ธก็เลยลุกจากโต๊ะมาคุยด้วยใกล้ๆ อีกคน "พวกเราขอโทษทิวด้วยก็แล้วกันที่เคยมองทิวไม่ดี แต่ตอนนี้พวกเราเข้าใจแล้วว่าทิวกับบูมน่ะ รักกันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยมัธยมเลยใช่ไหมบูม" เอิร์ธหันไปถามยืนยันกับบูมอีกครั้ง บูมพยักหน้าพลางยิ้ม "เพราะฉะนั้น อยู่ช่วยพวกเราทำงานต่อดีกว่านะ แล้วพวกเราก็จะเอาใจช่วยความรักของทิวกับบูมสองคนด้วย"

"ใช่...พวกเราอยากให้ทิวทำตัวตามสบาย ไม่ต้องกังวลหรอก ทุกคนรู้เรื่องหมดแล้วล่ะ ส่วนแพรว...เราก็เห็นใจเขานะ แต่ว่า...ความรักมันบังคับกันไม่ได้ เราเข้าใจ ก็ดีแล้วล่ะที่บูมบอกแพรวเสียตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าไปบอกทีหลัง แพรวจะยิ่งเสียใจมากกว่านี้อีก" วิทสำทับอีกคน

ดูเหมือนว่าทิวจะเริ่มเข้าใจมากขึ้นแล้ว เขาหันไปมองบูม เอิร์ธแล้วก็วิทเพื่อให้มั่นใจอีกครั้งว่าเขาไม่ได้ฟังผิดไป

"ขอบคุณทุกคนนะครับที่เข้าใจเราสองคน" บูมถือโอกาสขอบคุณทุกคนเสียเลย นี่ถ้าเกิดวิทกับเอิร์ธไม่เข้าใจ บรรยากาศการทำงานมันคงแย่ยิ่งกว่านี้ เผลอๆ สองคนนี้ก็อาจจะลาออกไปพร้อมกับแพรวเลยก็ได้ โครงการเขาคงจะมีปัญหาน่าดู

"ทิวเข้าใจแล้วนะ ไม่ลาออกแล้วใช่ไหม" เอิร์ธถามย้ำ

ทิวพยักหน้าน้อยๆ แล้วก็ยิ้มให้กับเพื่อนร่วมงานสองคนด้วยความซาบซึ้งใจ พอทุกคนเข้าใจแบบนี้มันก็ช่วยทำให้ทิวรู้สึกคลายความอึดอัดไปได้มากทีเดียว

----------------------------

ไม่กี่วันหลังจากนั้น เมื่อบูมกลับมาถึงบ้านในเย็นวันหนึ่งเขาก็ถูกพ่อเรียกให้ขึ้นไปหา บูมเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องของแพรวกับเขา เพราะตอนนี้แพรวเงียบหายไป ไม่ได้มาที่บ้านเขานานจนผิดสังเกต พ่ออาจจะสงสัยอะไรบางอย่างก็ได้

บูมขึ้นมาถึงก็เห็นพ่อยืนเอามือไพล่หลังรออยู่แล้ว พอเขานั่งลงพ่อก็หันมาคุยเข้าเรื่องทันที

"คุณโฉมศรีเขาโทรมาบอกพ่อว่าหนูแพรวเขาจะขอถอนหมั้นกับบูม บูมมีปัญหาอะไรกับหนูแพรวเขาหรือเปล่า"

ที่บูมเดาไว้ก็ไม่ผิดจริงๆ แต่เขาไม่รู้เรื่องที่แพรวจะขอถอนหมั้นมาก่อนเลยเพราะเขาไม่ได้คุยกับแพรวมาหลายวันแล้ว

"ว่าไงล่ะบูม ทะเลาะกับหนูแพรวเขาหรือเปล่า มีปัญหาอะไรก็บอกพ่อกับแม่สิ ถ้าแก้เองไม่ได้พ่อกับแม่ก็จะได้ช่วย" คุณลิขิตถามย้ำเมื่อเห็นลูกชายคนเล็กยังเงียบอยู่

"แม่เขายังไม่รู้เรื่องหรอก พ่อยังไม่ได้บอกแม่เขา ว่าไงล่ะบูม มีอะไรก็บอกพ่อมาก่อน" คุณลิขิตไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะบูมกลัวแม่หรือเปล่าถึงได้ไม่กล้าพูด จึงได้บอกไปว่าเขายังไม่ได้คุยกับภรรยาเรื่องนี้เลย

"คือว่า...ผม...กับแพรว..." บูมสบตาผู้เป็นพ่ออีกครั้งเหมือนจะหยั่งดูท่าทีก่อนจะบอกออกไปว่า "เราไม่ได้รักกันครับ"

คุณลิขิตขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เห็นพ่อทำท่าไม่ค่อยพอใจแบบนั้นบูมก็ได้แต่หลบตาและเริ่มรู้สึกกลัวมากขึ้น แต่เขาก็พยายามข่มใจไม่ให้รู้สึกแบบนั้น มาถึงขั้นนี้แล้วเขาจะมัวแต่กลัวอีกไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเรื่องมันก็จะไม่จบเสียที

"แกพูดว่าอะไรนะบูม ลูกกับหนูแพรวไม่ได้รักกัน หนูแพรวก็เลยจะขอถอนหมั้นอย่างงั้นเหรอ แล้วที่ว่าไม่รักกันเนี่ย หมายถึงแกไม่ได้รักหนูแพรวเขาใช่ไหม" น้ำเสียงของพ่อเริ่มดุมากขึ้นจนเกือบจะเป็นตวาด

"ครับ" บูมตอบโดยไม่รีรอ "ผมคิดว่า...พ่อกับแม่...ก็คงจะรู้ดีว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมกับแพรวถึงได้หมั้นกัน"

"นี่แกย้อนพ่อเหรอบูม" คุณลิขิตมองหน้าลูกชายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ถึงตอนนี้บูมถอยไม่ได้แล้ว

"ผมขอโทษครับพ่อ แต่ผมไม่ได้รักแพรว...ไม่เคยรักเขาเลย ไม่ได้อยากแต่งงานกับเขา ผมบอกแพรวตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังดีกว่าที่จะไปบอกเขาตอนที่เราแต่งงานกันไปแล้ว" บูมเริ่มเสียงดังขึ้นมาบ้าง

"บูม" คุณลิขิตตวาดเสียงดัง แต่พอนึกได้ว่าเขาตั้งใจจะไม่ใช้อารมณ์คุยกับบูมในวันนี้จึงพยายามลดท่าทีแข็งกร้าวลง เขาควรจะต้องลองตะล่อมบูมดูก่อน

"เอาอย่างงี้ละกัน พ่อจะยังไม่บอกแม่เขา แต่บูม...ต้องไปเคลียร์กับหนูแพรวให้รู้เรื่อง แล้วพ่อก็หวังว่า...ลูกกับหนูแพรวจะกลับมาเหมือนเดิม"

"พ่อ..." บูมรู้สึกเหนื่อยใจกับครอบครัวของเขาเหลือเกิน ขนาดเขาบอกว่าไม่ได้รักแพรว ทำไมเขายังจะต้องถูกบังคับให้ไปคืนดีกับแพรว ทำไมพ่อกับแม่ไม่เคยฟังเขาบ้างเลย ไม่คิดจะถามเขาสักคำบ้างหรือไงว่าเขารู้สึกยังไงบ้าง

"ออกไปได้แล้ว ก่อนที่พ่อจะโมโหไปมากกว่านี้"

บูมได้แต่ถอนหายใจและงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในเมื่อแพรวอยากจะถอนหมั้นเอง ในเมื่อเขาบอกแพรวไปแล้วว่าไม่เคยรักเธอเลย แล้วเขาจะไปคุยกับแพรวว่ายังไงล่ะ จะให้เขากลับคำอย่างนั้นหรือ

--------------------------

แต่สุดท้าย บูมก็ต้องนัดแพรวออกมาเจอกันเพื่อคุยกันอีกครั้งจนได้ เขาคิดว่าถ้าแพรวยืนยันว่าจะถอนหมั้นกับเขาจริงๆ พ่อกับแม่ของเขาก็คงจะไม่สามารถทำอะไรได้

"บูมได้ยินมาว่า...แพรวจะขอถอนหมั้น" บูมถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจเมื่อเริ่มสนทนา อาหารมาเสิร์ฟแล้วแต่ก็ไม่มีใครแตะต้องแม้แต่คำเดียว คนกรุงเทพนี่ก็แปลกเหมือนกัน ดูเหมือนว่าจะหาที่คุยกันยากขึ้นทุกทีๆ จนต้องเสียเงินมาใช้พื้นที่ร้านอาหารทั้งๆ ที่อาจไม่ได้รู้สึกอยากกินด้วยซ้ำไป

"แล้วบูมไม่ดีใจเหรอคะ" น้ำเสียงประชดนั้นบ่งบอกว่าเจ้าของน้ำเสียงนั้นยังคงเจ็บปวดกับเรื่องที่เกิดขึ้นมากเพียงใด แม้จะผ่านมาเกือบเดือนแล้วแต่แพรวก็ยังเจ็บอยู่เท่าเดิม ไม่ได้ลดลงเลย

"แพรว..." บูมเรียกเสียงเบาด้วยความสะท้อนใจ

"บูมคะ..." แพรวพูดแล้วก็ทำท่าครุ่นคิดเหมือนกับกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง "แพรวมาคิดๆ ดูแล้ว...แพรวว่า...ไม่เห็นจะเป็นไรเลยถ้าบูม...จะเป็นแบบนั้น แพรว...ไม่ถือหรอกค่ะ เรา...แต่งงานกันเหมือนเดิม...ดีไหมคะบูม"

"แพรว" บูมดูจะตกใจกับความคิดนั้นไม่น้อย นี่ขนาดเขาบอกว่าเขาเป็นเกย์ แพรวยังคิดจะแต่งงานกับเขาอีกเหรอ "บูมไม่ได้รักแพรว...แล้วบูมก็เป็นเกย์ แพรวจะมาแต่งงานกับบูมทำไม แพรวจะต้องเสียใจทีหลังนะครับ บูมไม่ได้อยากจะโหดร้ายกับแพรว ไม่ได้อยากทำให้แพรวเสียใจ แต่บูมคิดว่า...การที่บูมทำให้แพรวเสียใจตั้งแต่ตอนนี้ ก็ดีกว่าทำให้แพรวเสียใจในภายหลัง"

"แสดงว่า...ยังไงบูมก็จะให้เราถอนหมั้นกันใช่ไหมคะ" แพรวถามเสียงแข็ง น้ำตาที่รินไหลอาจทำให้บูมรู้สึกสงสารเธอมากทีเดียว แต่ก็ไม่สามารถทำให้บูมรักเธอได้เลย

"มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนแล้วล่ะแพรว" นี่คือความหวังดีสุดท้ายที่บูมจะสามารถหยิบยื่นให้กับคนที่กำลังจะกลายเป็นอดีตคู่หมั้นของเขาได้ "คนเรา...ถ้าไม่ได้รักกัน อยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีความสุขหรอกแพรว"

"แล้วทำไมเมื่อก่อนไม่เห็นมีปัญหาอะไรนี่คะ" แพรวย้อนถามกลับมาเกือบทันที

"มีสิแพรว แค่บูมไม่ได้บอกแพรวเท่านั้นแหละ แต่สักวัน...ยังไงบูมก็ต้องบอก เหมือนกับที่บูมบอกแพรวในวันนี้" บูมไม่รู้ว่าเขาใจดำเกินไปหรือเปล่า แต่ถ้ามัวแต่พูดประนีประนอมอ้อมไปมา แพรวก็อาจจะเข้าใจผิด เรื่องก็จะยิ่งเยิ่นเย้อ สู้เขาบอกไปตรงๆ เลยดีกว่า มันก็คงเจ็บ...แต่มันก็จะจบได้ไว เพื่อให้แพรวได้มีเวลากลับไปรักษาแผลใจ

แพรวหน้าเสียไปทันทีที่ได้ยิน ไม่คิดว่าบูมจะพูดตรงขนาดนั้น บูมไม่รักษาน้ำใจของเธอเลย "สรุปว่า...บูมจะไม่เปลี่ยนใจใช่ไหมคะ" แพรวถามย้ำ "ได้... งั้นบูมคุยกับคุณแม่ทิพย์นภาเองละกัน" แพรวกระแทกเสียงแล้วก็ลุกเดินออกไป

แต่คราวนี้บูมไม่ได้ตามไป คิดๆ แล้วเขาก็รู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย คนที่เสียหายและเจ็บที่สุดก็คือแพรว นี่เขากำลังกดดันและบีบคั้นแพรวมากเกินไปหรือเปล่า ช่างไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาเสียเลย แต่บูมก็ต้องทำ...เพื่อความรัก เพื่อที่จะให้ทิวเห็นว่า...เขาไม่ได้อยู่นิ่งเฉย แต่เขากำลังพยายามที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ความรักของเขากับทิวเป็นจริงขึ้นมาให้ได้ แต่มันเกินไปหรือเปล่า แพรวเป็นคนที่เขาควรต้องมากดดันมากขนาดนี้หรือเปล่า!!!???