Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 106
#106, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 16-Apr-12 at 04:24 PM
In response to message #0
ตอนที่ 29

วันหนึ่งหลังจากเลิกงานแล้วบูมก็ขับรถมาส่งทิวที่บ้าน ช่วงหลังๆ นี้เขามาส่งทิวบ่อยขึ้นเพราะไม่ได้ไปส่งแพรวเหมือนแต่ก่อน บางวันเขาก็ค้างกับทิว แต่บางวันก็ไม่ได้ค้าง จริงๆ เขาก็อยากมาค้างทุกวันนั้นแหละ แต่ไม่อยากให้พ่อกับแม่สงสัยมากเกินไปจึงต้องกลับไปนอนบ้านบ้าง

ในขณะที่ทิวกำลังไขกุญแจบ้านอยู่นั้น ก็มีเสียงใครบางคนเรียกมาจากทางด้านหลังด้วยน้ำเสียงที่บูมคุ้นหู

"บูม"

น้ำเสียงที่ดุและแสดงความไม่พอใจทำให้บูมกับทิวหันไปมองแทบจะพร้อมๆ กัน

"แม่" บูมอุทานด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าแม่จะตามมาดักรอเขาถึงที่นี่ ทิวเห็นสายตาของคุณทิพย์นภาที่จ้องเขม็งทั้งบูมและเขาแล้วก็ยืนตัวแข็งด้วยความตกตะลึงและกลัว

"ทำไมทำแบบนี้หา!!!" น้ำเสียงของคุณทิพย์นภาเกรี้ยวกราดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ปกติน้ำเสียงของแม่ก็ดุมากอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าวันนี้จะน่ากลัวมากเป็นพิเศษ

"นี่ใช่ไหมคือเหตุผลที่บูมกับแพรวจะถอนหมั้นกัน แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกคบกับไอ้เกย์นี่ ทำไมไม่ฟังแม่ แม่ผิดหวังในตัวบูมมากรู้ไหม" คุณทิพย์นภาชี้หน้าทิวด้วยในตอนที่เรียกทิวว่า "ไอ้เกย์"

"กลับบ้านไปเดี๋ยวนี้เลยนะบูม แล้วห้ามมาที่นี่อีก"

แปลกที่วันนี้บูมไม่รู้สึกกลัวแม่เหมือนที่ผ่านมาเลย มันถึงเวลาที่เขาต้องเข้มแข็งและเรียกร้องชีวิตส่วนตัวของเขาคืนมาบ้าง

"ผมไม่กลับ"

น้ำเสียงแข็งกร้าวของลูกชายคนเล็กทำให้คุณทิพย์นภาอึ้งไปพอสมควร แต่เธอก็ยังคงแสดงอำนาจในฐานะแม่อยู่ดี "บูม...แม่บอกให้กลับบ้านเดี๋ยวนี้ แม่รับไม่ได้ที่ลูกชายของแม่มาขลุกอยู่กับไอเกย์นี่ ทำไมทำตัวแบบนี้ คิดถึงอนาคตของตัวเองบ้างไหม ถ้าคนอื่นรู้เข้า จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน คุณโฉมศรีเขาไม่เอาเราตายเหรอ หา!!!"

บูมรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจทุกครั้งที่แม่เรียกทิวว่า "ไอ้เกย์" ทำไมแม่จะต้องจิกด่าทิวถึงขนาดนั้น ตอนนี้ทิวหน้าซีดและตกใจกลัวอย่างยิ่ง บูมเห็นแล้วก็แทบจะทนไม่ไหว

"เธอก็เหมือนกัน" คุณทิพย์นภาหันมาเล่นงานทิวอีกคน เธอชี้หน้าทิวแล้วก็พูดต่อไปว่า "ลูกชายฉันกำลังจะมีอนาคต กำลังจะแต่งงานมีครอบครัว แต่เธอกลับมาหลอกล่อลูกชายของฉัน เธอเคยรู้บ้างไหมว่าหัวอกของคนที่เป็นแม่อย่างฉันจะรู้สึกยังไงที่คนอย่างเธอมาทำลายอนาคตลูกชายของฉัน วิปริตผิดเพศยังไม่พอ ยังมาทำลายอนาคตของคนอื่นอีก สมควรแล้วที่สังคมเขาจะรังเกียจ เธอเลิกมายุ่งกับลูกชายของฉันได้แล้ว ได้ยินไหม" คุณทิพย์นภาตวาดเสียงดัง ไม่น่าเชื่อว่าความโมโหจะทำให้คุณทิพย์นภาซึ่งเป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัยชื่อดังสามารถด่าทอด้วยคำหยาบคายเช่นนี้ได้

ทิวได้แต่ยืนตัวสั่นงันงกและร้องให้อย่างน่าสงสาร เขาพูดอะไรไม่ออกสักคำ สิ่งที่คุณทิพย์นภาพูดเป็นความจริงทุกอย่าง บูมอยู่กับเขาก็มีแต่จะเสียอนาคต แม่ที่ไหนก็คงไม่อยากให้ลูกชายของเขามายุ่งกับทิว

"แม่...บูมโตแล้วนะครับ ไม่มีใครหลอกบูม ที่บูมมาหาทิวก็เพราะบูมมาของบูมเอง แล้วที่บูมมา...ก็เพราะว่าบูม...รักทิว...เข้าใจไหมครับแม่ บูมรักทิว" บูมพูดย้ำด้วยเสียงสั่นเครือ เขาสงสารทิวเหลือเกินที่ต้องมาเจอชะตากรรมแบบนี้ร่วมกับเขา

"อะไรนะบูม เมื่อกี้บูมพูดว่าไง" คุณทิพย์นภาแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกชายของเธอซึ่งเป็นผู้ชายจะบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่ารักผู้ชายด้วยกัน

"บูมรักทิวครับแม่" บูมย้ำเสียงดังฟังชัดอีกครั้ง

เพี้ยะ!!!

เสียงฝ่ามือของผู้บังเกิดเกล้าฟาดลงไปบนใบหน้าของลูกชายคนเล็กอย่างเหลืออด เธอรับไม่ได้จริงๆ ยังไงเธอก็ไม่มีวันรับเรื่องนี้ได้อย่างเด็ดขาด "บูม...ทีหลังห้ามพูดคำนี้ให้แม่ได้ยินอีก เข้าใจไหม" แม่ตวาดเสียงดังอย่างโกรธจัด มือไม้สั่นเทาจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้

บูมใช้มือลูบหน้าของตัวเองเบาๆ เขาไม่รู้สึกเจ็บมากนักหรอก แต่แม่ไม่เคยทำกับเขาแบบนี้เลย นี่เป็นครั้งแรกที่แม่โมโหจนต้องทำร้ายร่างกายเขา ทั้งๆ ที่เมื่อหลายปีก่อนแม่เคยโมโหพ่อที่ตบหน้าเขา วันนี้แม่กลับเป็นคนตบหน้าเขาเสียเอง

"บูม" ทิวร้องอุทานเบาๆ เมื่อเห็นบูมถูกแม่ตบหน้าฉาดใหญ่ ทิวแทบจะทนไม่ไหวแล้ว เขาไม่อยากเป็นตัวการที่ทำให้ครอบของใครต้องแตกแยก อีกนิดเดียวทิวก็จะไม่ไหวแล้ว

"บูมเป็นผู้ชาย จะไปรักไอ้เกย์นี่ได้ยังไง" แล้วคุณทิพย์นภาก็หันมาเกรี้ยวกราดกับทิวต่อ "แกไปทำของอะไรใส่ลูกชายฉันหรือเปล่า บอกมาเดี๋ยวนี้นะ"

"ทิว...อย่าฟัง ทิวเข้าไปในบ้านก่อน เดี๋ยวเราตามไป" บูมหันมาออกคำสั่งกับทิว เขาทนเห็นทิวถูกแม่ด่าว่ามากว่านี้ไม่ได้แล้ว

ทิวยังคงมีท่าทางลังเลจนบูมต้องพูดเสียงดังจนเกือบจะเป็นตวาดว่า "ทิว!!! เราบอกให้นายเข้าไปในบ้านไง เข้าไปเดี๋ยวนี้"

ทิวจึงรีบไขกุญแจเพื่อเปิดประตูบ้าน แต่ก่อนที่จะเข้าไป เขาก็ได้ยินเสียงบูมอุทานว่า

"ไอ้ต้อง"

ไม่รู้ว่าต้องมาตั้งแต่ตอนไหน แต่สายตาที่ต้องมองมานั้นได้ฉายแววให้เห็นความเจ็บปวด เจ็บปวดที่เห็นบูมปกป้องอะไรทิวไม่ได้เลย เจ็บปวดที่เห็นทิวต้องถูกด่าทอด้วยถ้อยคำที่ทำให้เขาไม่ต่างไปจากสัตว์หลงทางข้างถนนตัวหนึ่ง ถ้าทิวอยู่กับเขา...ทิวจะไม่เจอเหตุการณ์แบบนี้แน่นอน ทำไมทิวไม่เลือกเขา ทำไมทิวถึงได้ไปเลือกคนที่อ่อนแอและปกป้องทิวไม่ได้เลยแบบนั้น

เมื่อทิวสบตากับต้องและต้องได้เห็นสภาพที่น่าสมเพชของทิวแล้ว ต้องก็หันหลังเดินกลับไปที่รถแล้วก็ขับออกไปทันที ทิวพอจะเดาได้ทันทีว่าต้องคิดอะไร เมื่อสบตากับบูม ทิวก็เห็นแววตาที่เศร้าสลดลงของบูมกับท่าทางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง บูมคงรู้สึกแย่มากที่เขาไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ แถมต้องก็ยังมาเห็นเสียอีก ทิวเดินเข้าไปในบ้านอย่างช้าๆ ถึงเขาจะสงสารและรักบูมมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะอดทนได้อีกสักกี่น้ำ แม่ของบูมดูร้ายกว่าที่เขาคิดไว้มากทีเดียว คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำให้เธอเข้าใจความรักของเขาทั้งสองคน

"แม่..." บูมพูดพลางสะอื้น เขารู้สึกสมเพชตัวเองเหลือทน "แม่รักบูมอย่างที่บูมเป็นได้ไหมครับ มันคือตัวตนของผม ยังไงผมก็เปลี่ยนไม่ได้"

น้ำเสียงเศร้าและอ้อนวอนของลูกชายนั้นทำให้คุณทิพย์นภามีท่าทางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เธอเองก็พอจะรู้ตัวว่าบังคับลูกชายคนเล็กมามากแค่ไหน แต่เธอก็เป็นแม่ที่อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี อีกอย่าง...สิ่งที่เกิดขึ้นมันยากเกินจะรับได้สำหรับเธอ ถ้าบูมแค่มีแฟนใหม่เป็นผู้หญิง เรื่องมันอาจจะง่ายกว่านี้ แต่เรื่องนี้...เธอคงจะยอมรับได้ยาก

"เลิกคบกับไอ้เกย์นี่ซะ อย่าดื้อกับแม่ แล้วอย่าหาว่าแม่ไม่เตือน"

น้ำเสียงที่ต่ำลงและเฉียบขาดนั้นดูน่ากลัวไม่น้อย คุณทิพย์นภาเดินกลับไปที่รถอย่างหัวเสีย คงยังไม่มีประโยชน์ที่จะบังคับบูมให้กลับบ้านตอนนี้ คงต้องพักเรื่องเอาไว้ก่อน แต่เธอคงไม่ยอมให้บูมคบกับทิวง่ายๆ อย่างแน่นอน ถ้าพูดกันดีๆ แล้วไม่ฟังก็เห็นจะต้องใช้ไม้แข็งดูบ้าง

-----------------------------------------------------------

"ทิว...เปิดประตูให้เราหน่อยสิ เปิดประตูหน่อย...ทิว" บูมพยายามร้องเรียกและขอให้ทิวเปิดประตูให้อยู่หลายรอบ แต่ทิวก็ไม่ยอมเปิดและเอาแต่ร้องไห้ บูมรู้สึกเหมือนตัวเองก็จะพลอยขาดใจตามไปด้วย

"ทิว...เปิดประตูให้เราหน่อยสิ" บูมพยามร้องเรียกและเคาะประตูอีกครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล

"นายกลับไปก่อนได้ไหมบูม เราอยากอยู่คนเดียว" ทิวร้องตอบออกมา

"ไม่ได้หรอกทิว เราเป็นห่วงนาย เราทิ้งนายไปตอนนี้ไม่ได้ เปิดประตูให้เราหน่อยนะทิว" บูมพยายามอ้อนวอน แต่ทิวก็ยังไม่ยอมเปิดประตูอยู่ดี

"เราไม่เป็นไรหรอกบูม นายกลับไปก่อนเถอะ" ทิวก็ยังคงยืนยันเช่นเดิม

บูมทรุดตัวลงนั่งพิงประตูอย่างเหนื่อยอ่อน พยายามสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ ตอนนี้เขาจะอ่อนแอไม่ได้ เขาไม่อยากให้ทิวเห็นเขาอ่อนแอเพราะเขาจะต้องเป็นที่พึ่งทางทั้งทางกายและใจให้กับทิว

"ทิว...เราขอโทษนะที่ทำตามที่นายขอไม่ได้ เราจะไม่ไปไหน เราจะนั่งรอนายอยู่ตรงนี้แหละ ถ้านายต้องการเราเมื่อไรก็เปิดประตูออกมาละกัน"

สิ้นเสียงพูดของบูมแล้วก็ดูเหมือนเสียงสะอื้นไห้ของทิวจะค่อยๆ เบาลงไป ทำให้บูมพอรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้อีกสักหน่อย เขาหยิบมือถือขึ้นมาแล้วก็ค้นหาเพลงที่เขากับทิวชอบร้องด้วยกัน แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ค่อยได้ร้องเพลงแต่เขาก็ยังจำเพลงนี้ได้ดีเสมอ บูมเปิดเพลง "ฉันดีใจที่มีเธอ" พร้อมกับเปิดลำโพงไปด้วย เผื่อว่าทิวจะได้ยินและรับรู้อะไรบางอย่าง ตอนที่เขาอยู่เมืองนอก เขาเปิดฟังเพลงนี้บ่อยๆ คิดถึงทิวเมื่อไรเขาก็จะเปิดฟังแทบทุกครั้ง เพลงนี้ย้ำเตือนให้เขาระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างเขากับทิวเสมอ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน เขาก็จะไม่กลัวอีกแล้ว ยกเว้นว่า...ทิวจะทนไม่ไหวไปเสียก่อน บางทีบูมก็รู้สึกกลัวใจของทิวเหมือนกัน

--------------------------------------------------

"อ้าวคุณ กลับมาแล้วเหรอ กินข้าวมาหรือยัง คุณมาดูนี่สิ วันนี้ผมพาบีมไปถ่ายรูปคอนโดโครงการใหม่มาด้วย บีมถ่ายรูปสวยเชียวคุณ" คุณลิขิตทักขึ้นอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นภรรยาเดินเข้ามาในบ้าน ตั้งแต่บูมไปเรียนเมืองนอก คุณลิขิตก็เริ่มหันมาสนิทกับลูกชายคนโตมากขึ้น ตอนที่บีมอกหักจากแฟนคนก่อนที่คบกันมาหลายปีก็ได้พ่อนี่แหละที่คอยช่วยปลอบใจ พอเห็นผลงานภาพถ่ายของลูกชายคนโต คุณลิขิตก็ดูจะปลื้มอยู่ไม่น้อย

บีมเห็นสีหน้าของแม่แล้วก็ชักใจคอไม่ค่อยดี เขาเดาเอาว่าคงจะต้องมีเรื่องอะไรบางอย่าง และถ้าเดาไม่ผิด เรื่องนั้นก็ต้องเกี่ยวกับบูม

"ไม่กินไม่เกินอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ กินไม่ลง ไปดูลูกชายคนเล็กของคุณสิคะ...ทำเรื่องอะไรไว้จนหนูแพรวจะขอถอนหมั้น" คุณทิพย์นภาพูดพลางกระแทกตัวนั่งลงบนโซฟา ท่าทางกระฟัดกระเฟียดของเธอทำให้สามีและลูกชายคนโตต้องมองหน้ากันด้วยความสงสัย

พอเห็นสามีไม่ได้มีท่าทางตื่นเต้นมากนัก คุณทิพย์นภาก็อดแปลกใจไม่ได้ "อย่าบอกนะว่าคุณกับบีมรู้เรื่องหมดแล้ว"

คุณลิขิตพยักหน้า คุณทิพย์นภาจึงเสียงแหวขึ้นมาทันที "แล้วทำไมไม่บอกทิพย์ล่ะคะ ไม่ได้อย่างใจเลย"

พอสงบสติอารมณ์ได้สักพักคุณทิพย์นภาก็เล่าว่า "รู้ไหมวันนี้ทิพย์ไปไหนมา"

"อ๋อ...ไม่ทราบ" คุณลิขิตตอบด้วยท่าทางงงๆ แต่ดูท่าทางแล้วภรรยาของเขาคงจะไปเจอเรื่องที่ไม่สบอารมณ์มาอีกตามเคย

"ทิพย์ไปบ้าน..." คุณทิพย์นภาหยุดคิดเพราะไม่อยากเอ่ยชื่อนี้เลย "เพื่อนของบูมที่ชื่อทิวมาค่ะ คุณรู้ไหมว่าลูกชายของเราน่ะ...กลับไปหาไอ้เกย์นั่นอีกแล้ว นี่ไงคะ สาเหตุที่หนูแพรวเขาถึงได้มาขอถอนหมั้น มันน่าอายไหมล่ะคะ"

"จริงเหรอคุณ" คุณลิขิตถามด้วยอาการตกใจ

"ค่ะ" แล้วคุณทิพย์นภาก็หันไปเล่นงานลูกชายคนโตอีกคน "บีมก็รู้เรื่องนี้ใช่ไหม"

บีมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น มองหน้าพ่อกับแม่แล้วก็พยักหน้าตอบรับ

"แล้วทำไมไม่บอกพ่อกับแม่ เออนะ พี่น้องสองคนนี้มันช่างรักกันดีจริงๆ มีเรื่องร้ายแรงใหญ่โตแบบนี้แล้วยังจะมาปิดพ่อกับแม่อีก ช่วยกันเข้าไป"

"คุณทิพย์... บางทีบูมกับเพื่อนเขาอาจจะไม่ได้คบกันอย่างที่เราคิดก็ได้นะคุณ อย่าเพิ่งคิดมากสิคุณ" คุณลิขิตพยายามมองโลกในแง่ดี หลังๆ มานี้เขาก็รู้สึกว่าภรรยาของเขาชักจะขี้โมโหมากเกินไปจนเขาเองก็รับไม่ไหวเหมือนกัน คุณลิขิตเป็นคนเฉียบขาดก็จริงแต่ก็ไม่ได้ดุพร่ำเพรื่อเหมือนภรรยา

"อ๋อเหรอคะ...รู้งี้ฉันพาคุณไปด้วยซะก็ดี จะได้ฟังว่าบูมมันพูดว่ายังไงบ้าง ลูกชายคุณเขาบอกฉันว่า เขารักไอ้เกย์นั่น ได้ยินไหมคะ ตอนแรกก็นึกว่าฟังไม่ชัด แต่บูมเขาย้ำหนักแน่นว่าเขารักของเขา รักนักรักหนา บอกให้กลับบ้านก็ยังไม่ยอมกลับ"

คุณลิขิตกับบีมมองหน้ากันอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนพ่อจะอารมณ์ไม่ค่อยดีไปอีกคนเสียแล้ว บีมได้แต่สงสารน้องชายกับทิวในใจ แต่ตอนนี้เขาคงพูดอะไรมากไม่ได้เพราะแม่กำลังเดือดดาล เดี๋ยวจะกลายเป็นเอาน้ำมันไปราดบนกองไฟ ดูไปดูมา ท่าทางมรสุมลูกนี้ที่เริ่มก่อตัวขึ้นจะน่ากลัวไม่ใช่เล่น อานุภาพในการทำลายล้างของมันคงไม่ธรรมดาแน่ๆ

------------------------------------------------------------

ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดทิวก็ยอมเปิดประตูออกมาหาบูมจนได้ บูมมานั่งรออยู่หน้าห้องไม่ไปไหนแบบนี้ ทิวจะไม่เปิดมาดูเสียหน่อยก็คงจะใจดำเกินไป

พอทิวเปิดประตูออกมาแล้ว บูมก็ลุกขึ้นยืนและยิ้มดีใจ

"คนดีของบูม"

พูดแล้วก็กอดทิวไว้เสียแน่น ไม่รู้ว่าบูมไปหัดพูดคำนี้มาจากไหน แต่มันก็ทำให้ทิวถึงกับน้ำตารื้นเลยทีเดียวหลังจากที่หยุดร้องให้ไปแล้วพักใหญ่ อ้อมกอดของบูมยังคงอบอุ่นเหมือนเช่นเคย นั่นเป็นเพราะบูมรักทิวมาก เขาไม่ได้กอดทิวด้วยอ้อมแขนเท่านั้น ใจของเขาก็กอดทิวไว้ด้วย มันถึงได้อุ่นขนาดนี้ มันเป็นอ้อมกอดที่ทำให้ทิวต้องยอมแพ้และไม่สามารถขัดขืนอะไรได้เลย

"ทิวไหวไหม... ยังพอไหวหรือเปล่า" บูมถามขณะที่ปล่อยทิวเป็นอิสระ

"เราไม่รู้...ตอนนี้เราตอบอะไรไม่ได้เลยบูม" ทิวรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เขาเดาไม่ออกเลยว่าเขาจะทนได้นานแค่ไหนกับสถานการณ์เช่นนี้ จริงๆ แล้วสิ่งที่จะทำให้ทิวทนไม่ได้คงไม่ใช่เพราะความกดดันหรือถูกต่อว่า แต่เป็นเพราะเขากลัวว่าเขาจะทำให้บูมต้องเสียอนาคตต่างหาก สิ่งที่แม่บูมพูดมานั้นเป็นความจริงที่ทิวไม่สามารถปฏิเสธได้เลย เขาไม่อยากเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ดึงบูมให้มาจมปลักอยู่กับคนที่ไม่มีอะไรอย่างเขา บูมควรจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้เหมือนกับผู้ชายทั่วๆ ไป

"ถ้าเกิด...เราไม่ไหวขึ้นมาล่ะบูม...บูมจะทำยังไง" ทิวไม่รู้ว่ามันเป็นคำถามที่เขาควรจะถามไหม แต่เขาก็ถามไปแล้ว ดูเหมือนว่าบูมก็คงอึ้งไปเหมือนกัน

"ทิว...สำหรับเรานะ...เราจะพยายามให้ถึงที่สุดนะทิว เพราะว่าเรา...อยากใช้ชีวิตอยู่กับทิวเหมือนกับคู่รักคนอื่นๆ แต่ถ้านายไม่ไหวจริงๆ...เราก็เข้าใจนะ เราไม่บังคับนายหรอก เราก็แค่จะกลับไปใช้ชีวิต"

บูมยังพูดไม่ทันจบด้วยซ้ำทิวก็เอามือมาปิดปากเขาไว้แล้วก็กอดบูมพร้อมกับร่ำไห้ "เราขอโทษบูม...เราขอโทษ เราจะไม่พูดเรื่องนี้อีก เราสัญญา เราจะอดทนให้ถึงที่สุด" ทิวรู้สึกละอายใจที่เขาจะยอมแพ้ง่ายๆ ทั้งๆ ที่บูมก็ตั้งใจและพยายามทำเพื่อเขามากขนาดนี้ มาถึงวันนี้แล้วจะกลัวอะไรอีก เป็นไงก็คงเป็นกัน อย่ามัวแต่อ่อนแออยู่เลยทิว โลกนี้ไม่ได้สวยงามเสมอไป บางทีเราก็ต้องรู้จักเอาตัวรอดและเห็นแก่ตัวบ้าง

บูมกอดทิวตอบเบาๆ เขาไม่โกรธทิวหรอกที่ถามแบบนั้น อารมณ์ของทิวคงแค่กระเจิดกระเจิงจนเสียศูนย์เมื่อเจอฤทธิ์เดชของแม่เขาเข้าไปเท่านั้น คงไม่ได้คิดที่จะปล่อยมือและทิ้งเขาไปหรอก เขาเองก็แทบจะบ้าไปหลายครั้งเหมือนกันเวลาถูกแม่กดดันมากๆ

"ไปหาอะไรกินกันดีกว่าทิว เราหิวข้าว ยังไม่ได้กินอะไรเลย" บูมบอกเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง

ทิวผละตัวออกมาแล้วก็ขำทั้งน้ำตา ในยามที่เศร้าๆ แบบนี้ รอยยิ้มแม้เพียงเล็กน้อยก็ดูมีความหมายมากทีเดียว อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่าโลกนี้ยังมีหวัง เมื่อใดที่เรายิ้มโลกก็ยังคงสวยงาม แม้จะต้องอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหลก็ตาม

------------------------------------------------------

"ต้อง"

เมื่อลงจากมอเตอร์ไซค์แล้ว ทิวก็พบว่าต้องมารอเขาอยู่ ท่าทางต้องดูแปลกๆ ตาแดงก่ำ ชายเสื้อผ้าหลุดลุ่ย ทิวจ่ายเงินแล้วก็เดินเข้าไปหาต้อง แต่ก็ต้องผงะเล็กน้อยเมื่อเขาได้กลิ่นเหล้าหึ่งจากตัวต้อง

"นี่มึงกินเหล้ามาเหรอ เมาแต่หัววันเลยนะมึง" ทิวถามพลางทำจมูกฟุดฟิดๆ

"กูขอคุยกับมึงหน่อยได้ไหม" ต้องบอกด้วยเสียงอ้อแอ้ สีหน้าเขาดูเครียดๆ เหมือนมีเรื่องไม่สบายใจบางอย่าง

ทิวพยักหน้า เขาเดินไปไขกุญแจบ้านแล้วก็พาต้องเดินเข้าไปข้างใน "ไหวไหมเนี่ย ทำไมมึงต้องเมาขนาดนี้ด้วยวะ ให้กูช่วยพยุงไหม" ทิวถามพลางทำท่าจะเข้าไปช่วยพยุง ต้องรีบยกมือห้ามไว้ทันที

"ไม่ต้องหรอก กูเดินเองได้"

"ตามใจเว้ย" ทิวบอกแล้วก็เดินไปต่อ แต่ก็ยังคอยมองดูต้องที่เดินเซไปมาด้วยความเป็นห่วง วันนี้บูมไม่ได้มาส่งเขาเพราะว่าช่วงนี้เขาคงต้องกลับบ้านบ่อยหน่อยเพื่อลดความตึงเครียดในครอบครัวลง นึกถึงแล้วทิวก็ชักเป็นห่วง ไม่รู้ว่าบูมจะโดนอะไรบ้าง

พอเข้ามาในบ้านทิวก็พาต้องไปนั่งที่โซฟารับแขก สีหน้าต้องยังคงเครียดอยู่เช่นเดิมจนทำให้ทิวรู้สึกอึดอัด

"มีอะไรหรือเปล่าต้อง ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า บอกกูได้นะ" ทิวถามพลางเอามือแตะไหล่ต้องเบาๆ ยังไงต้องก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา ถ้าต้องมีปัญหาเขาก็พร้อมที่จะช่วยเสมอ

"มีสิ...เกี่ยวกับมึงด้วย" ต้องตอบโดยไม่หันมามองหน้า

ทิวปล่อยมือออกจากไหล่ต้อง นึกสังหรณ์ใจว่าต้องคงจะเครียดเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดในวันนั้น แต่ทิวก็ไม่รู้จะช่วยต้องได้อย่างไร เขาไม่ได้รักต้องอย่างนั้นเลย

"กูสมเพชมึงว่ะไอ้ทิว...มึงเห็นไหมว่า...ไอ้บูมมันช่วยอะไรมึงได้บ้าง วันนั้นมันก็ปล่อยให้มึงถูกแม่มันด่ายังกับไม่ใช่คน มึงรู้ไหมว่ากูเจ็บแค่ไหนที่เห็นมึงถูกแม่มันด่าแบบนั้น มึงรู้ไหมทิวว่ากูเจ็บแค่ไหน มึงรู้ไหมว่ากูเสียใจแค่ไหน" เสียงเขาดังขึ้นเรื่อยๆ ในตอนท้าย ดูเหมือนต้องจะเจ็บแค้นกับเหตุการณ์ที่เขาพูดถึงมากทีเดียว

ทิวได้แต่มองหน้าเพื่อนโดยไม่พูดอะไร ปราศจากความคิดที่จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เขารู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่ต้องคุยกับเขาเรื่องบูมเพราะดูเหมือนต้องจะไม่ชอบบูมเอาเสียมากๆ

"ทำไมมึงต้องรักมันวะไอ้ทิว มึงเห็นไหมว่ามันเป็นไปไม่ได้ ครอบครัวมันไม่มีทางยอม ตัวมันเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอดเลย แล้วมันจะช่วยมึงได้ยังไง มึงก็ต้องเจ็บอยู่แบบนี้ สุดท้ายก็เสียเวลาเปล่า มึงเชื่อกูสิ ยังไงไอ้บูมมันก็ต้องเชื่อพ่อกับแม่มัน มึงคิดว่ามันจะยอมทิ้งครอบครัวมันมาอยู่ลำบากๆ กับมึงเหรอ" ดูเหมือนต้องจะเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ บวกกับความเมาก็ยิ่งทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนมากขึ้น

"ไอ้ต้อง...อย่าพูดเรื่องนี้เลย กูว่ามึงเมาแล้วล่ะ" ทิวพยายามจะตัดบทแต่ต้องกลับตวาดถามกลับมาว่า

"ทำไมมึงต้องรักมันล่ะทิว ทำไมมึงต้องอดทนขนาดนั้น ทำไม...ทำไมมึงต้องรักมันด้วย มึงรู้ไหมว่าถ้าเป็นกู กูจะไม่ให้ใครมาทำร้ายมึงแบบนี้เลย"

ดูท่าทางต้องคงจะเอาไม่อยู่จริงๆ ด้วย ทิวจึงเงียบและไม่ต่อล้อต่อเถียงใดๆ

"บอกกูมาสิทิว ทำไมมึงต้องรักมัน...ทำไมมึงรักกูไม่ได้ ทำไม" ต้องถามพลางจับไหล่ทิวเขย่า

"หรือว่ามึงชอบบทรักของมัน...มึงรู้ไหมว่ากูก็ทำได้ไม่แพ้มันหรอก มึงจะลองดูไหมล่ะทิว"

"ไอ้ต้อง" ทิวเริ่มเสียงดังบ้าง "กูว่ามึงเมามากแล้วนะเว้ย ชักจะเลอะเทอะไปกันใหญ่แล้ว ปล่อยกูเลยนะมึง กูเจ็บนะเว้ย" ทิวร้องบอกด้วยความไม่พอใจเมื่อต้องชักจะล้ำเส้นไปกันใหญ่

"กูไม่ปล่อย กูไม่มีทางปล่อยมึงให้ไปรักกับไอ้คนขี้ขลาดตาขาวแบบนั้นหรอก" ต้องพูดพลางเขย่าตัวทิวแรงขึ้น แล้วต้องก็ตัดสินใจผลักทิวให้นอนลงบนโซฟา

"ไอ้ต้อง...มึงจะทำอะไรกู อย่านะเว้ย มึงอย่าทำบ้าๆ แบบนี้นะไอ้ต้อง กูเตือนมึงแล้วนะเว้ย" ทิวขู่ แต่ต้องคงหน้ามืดแล้ว เขาไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ความเมาทำให้ต้องขาดสติสัมปชัญญะเสียสิ้น

"มึงจะต้องเป็นของกู..ไอ้ทิว กูจะไม่ให้ไอ้ขี้ขลาดนั่นมาดูแลมึงอีกแล้ว"