Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 119
#119, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 18-Apr-12 at 06:31 PM
In response to message #0
ตอนนี้เป็นตอนที่อยากให้ทุกคนอ่านมากๆ เลยครับ
เอามาให้อ่านเยอะหน่อย ช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุด พอมีเวลาก็เลยกระหน่ำซัมเมอร์เซลส์ให้ครับ
วันนี้ต้องกลับไปทำงานแล้ว มีงานรออยู่เพียบ อาจจะขอเบรกไปหลายวันหน่อย
อ่านตอนนี้ให้ซาบซึ้งและจุใจไปหลายๆ วันก่อนละกันนะครับ
อ้อ....
พอพูดถึงคุณทิพย์นภา ผมนึกถึงดาราคนนี้ขึ้นมาเลยครับ ไม่รู้มีใครคิดเหมือนกันหรือเปล่า

สุดท้าย...ตอนนี้ขอยกให้พี่บีมเป็นพระเอกบ้าง อยากบอกว่า..."รักพี่บีมที่ซู้ดดดด"

-----------------------------------------------------

ตอนที่ 31

"หายไปไหนมาตั้งหลายวัน อย่าบอกนะว่าไปขลุกอยู่กับไอ้เกย์นั่น"

กลับมาถึงบ้านไม่ทันจะได้นั่งพัก แม่ก็เล่นงานบูมเสียแล้ว

บูมมองแม่ด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก เขาไม่ชอบเอาเสียเลยที่แม่เรียกทิวว่า "ไอ้เกย์" อีกแล้ว

"ใช่ครับ" บูมยอมรับไปตามตรง เขาตั้งใจอยู่แล้วว่าจะกลับบ้านเย็นวันอาทิตย์หลังจากที่ไปอยู่ดูแลทิวถึงสองวันเต็มๆ เขาคิดไม่ถึงว่าแม่จะไม่พอใจถึงขนาดนี้ "แม่อย่าเรียกทิวแบบนั้นได้ไหมครับ"

"ทำไม...แม่จะเรียกอย่างนี้นี่แหละ แกมีสิทธิ์อะไรมาสั่งแม่แบบนี้"

"แม่..." บูมหมดความรู้สึกที่อยากจะต่อล้อต่อเถียงเพราะรู้ว่าเขาไม่มีทางที่จะทำให้แม่เข้าใจได้ บูมจึงเลิกพยายามและทำท่าจะเดินขึ้นห้องไป

"เมื่อไรจะหยุดสร้างปัญหาเสียทีนะบูม รู้ไหมว่าตอนนี้คุณโฉมศรีกับหนูแพรวเขาจะฟ้องเราแล้ว"

บูมหยุด ตกใจเพราะคิดไม่ถึงว่าแพรวจะต้องทำถึงขนาดนี้

"ถ้าแกไม่แต่งงานกับหนูแพรว เขาก็จะฟ้องแกในฐานนอกใจเขา แล้วเราก็จะไม่ได้ของหมั้นคืน แต่นั่นไม่เท่าไรหรอก แต่ฉันอายคนอื่นๆ เขารู้ไหม ตระกูลของเราไม่เคยมีใครต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ก็จะมีแกนี่แหละเป็นคนแรก ถ้าแกไม่อยากให้ครอบครัวเราขายขี้หน้ามากไปกว่านี้ แกก็ต้องแต่งงานกับหนูแพรวซะ แล้วเลิกไปหาไอ้เกย์นั่นเสียที แม่จะบ้าตายอยู่แล้วรู้ไหม แกจะทำให้แม่เสียใจไปถึงไหนหาบูม!!!" คุณทิพย์นภาตวาดเสียงดังในตอนท้าย

บรรยากาศกลับมาตึงเครียดอีกแล้วหลังจากที่เริ่มผ่อนคลายไปบ้างในช่วงหลายวันหลังจากที่เกิดเรื่องคราวนั้น ดูท่าทางแม่คงจะไม่ยอมเลิกราง่ายๆ บูมเองก็ชักจะเหนื่อยกับแม่ของตัวเองทุกทีๆ สรุปว่าไปๆ มาๆ ความผิดทุกอย่างก็มาตกที่เขา ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้เป็นคนเริ่มมันเลย แถมยังจะต้องถูกบังคับให้ต้องรับผิดชอบทุกอย่างอีก

"แม่...บูมขอโทษนะครับที่ทำให้แม่เสียใจ บูมไม่ได้อยากทำให้แม่เสียใจเลย...แต่บูมไม่ได้รักแพรว บูมแต่งงานกับเขาไม่ได้ แม่อย่าบังคับบูมเลยนะครับ ผมขอร้อง ให้ผมชดใช้อะไรก็ได้...แต่ผม...จะไม่แต่งงานกับแพรว ผมไม่อยากสร้างเวรกรรมให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรอีก ผมไม่อยากให้แพรวต้องมาเสียใจทีหลังเพราะผมไม่ได้รักเขา" บูมเปลี่ยนจากการพูดด้วยท่าทีแข็งกร้าวเป็นอ่อนลง เขาหวังว่าแม่คงจะเข้าใจและเห็นใจเขาบ้าง แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่เขาคิด

"แล้วแกรักใคร รักไอ้เกย์นั่นเหรอ มันจะเป็นไปได้ยังไงบูม คิดบ้างไหมว่าคนอื่นๆ เขาจะรับได้ไหม แล้วแกจะอยู่ในสังคมนี้ได้ยังไง พ่อกับแม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน คิดเสียบ้างสิ"

"แม่...บูมเป็นเกย์นะครับ ไม่ได้เป็นหวัดที่กินยาแล้วก็หาย" บูมเถียง

"บูม!!! อย่าเรียกตัวเองแบบนั้นให้แม่ได้ยินอีก บูมไม่ใช่เกย์ เข้าใจไหม อย่าให้แม่ได้ยินอีกนะ" แม่ตวาดเสียงดัง เธอรับไม่ได้อย่างยิ่งที่ลูกชายคนเล็กยอมรับว่าเขาเป็นเกย์ คนเป็นแม่เจ็บปวดแค่ไหนที่ลูกที่เฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยกำลังจะกลายเป็นคนที่สังคมรังเกียจ คนที่สังคมตีตราว่าเป็นได้แค่พวกตัวตลกและสำส่อน

บูมถอนหายใจ เขารู้สึกเหนื่อยจนไม่อยากจะทะเลาะหรืออธิบายอะไรอีกแล้ว บูมจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปบนห้อง แต่แม่ก็ทำให้เขาต้องชะงักด้วยความตกใจอีกจนได้

"ดี...แกไม่เชื่อแม่ใช่ไหม อย่าหาว่าแม่ใจร้ายละกัน ไอ้เกย์นั่นมันจะไม่ใช่แค่เจ็บตัวอย่างเดียวเหมือนตอนนี้แน่"

บูมรู้สึกอยากจะร้องไห้และตะโกนให้สุดเสียงให้สมกับความรู้สึกที่มันอัดอั้นอยู่ข้างใน นี่สรุปว่า...ที่ทิวเจ็บตัวขนาดนี้เป็นฝีมือของแม่ของเขาเองหรือ บูมแทบไม่มีแรงแม้แต่จะก้าวเท้าหรือยืนจนต้องทรุดตัวนั่งคุกเข่าลงกับพื้น

"ทำไมแม่ทำแบบนี้ แม่ทำแบบนี้ทำไมครับ" บูมถามพลางสะอื้นไห้ด้วยความสะเทือนใจ

"แม่ทำได้ทั้งนั้นแหละ เพราะแม่ไม่อยากให้บูมเป็นเกย์ เข้าใจไหมบูม...แม่ไม่อยากให้ลูกชายของแม่เป็นเกย์ แม่รับไม่ได้ บูมจะต้องหาย บูมจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงเหมือนผู้ชายทั่วไป เข้าใจไหมบูม เมื่อไรบูมจะเลิกเป็นเกย์เสียที หา!!!"

บูมเอามือปิดหูเพราะเขาไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว พอแม่พูดจบเขาก็ลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไปจากบ้านทันที ถ้าเขาอยู่ตรงนี้ต่อไปอีกแค่นาทีเดียวเขาอาจจะเป็นบ้าได้ อย่าว่าแต่แม่เลยที่รับไม่ได้ที่เขาเป็นเกย์ บูมเองก็รับไม่ได้เหมือนกันที่รู้ว่าแม่ให้คนไปทำร้ายทิวจนเจ็บตัวขนาดนั้น

"บูม...จะไปไหน กลับมาเดี๋ยวนี้"

คุณทิพย์นภาเรียกตามหลังลูกชาย แต่บูมก็ไม่กลับมาและหายไปพร้อมกับเสียงรถยนต์ เธอได้แต่ร้องไห้และกำมือแน่น บูมดื้อมากและไม่ฟังเธอเลย บูมจะเคยรู้ไหมว่าแม่กำลังเจ็บปวดแค่ไหน เธอเป็นทุกข์มากเหลือเกิน ตั้งแต่ที่รู้ว่าบูมกลับไปหาทิว เธอก็แทบไม่มีกะจิตกะใจจะสอนหนังสือ กินไม่ได้นอนไม่หลับ คิดแต่จะหาหนทางทำให้บูมกลับมาเป็นผู้ชายปกติทั่วไปให้ได้

รายการโทรทัศน์ที่คุณทิพย์นภาเปิดทิ้งไว้ตอนนี้เปลี่ยนเป็นรายการตลกแล้ว ภาพผู้ชายแต่งตัวเป็นผู้หญิงและทำท่าทางวี้ดว้ายกระตู้วู้น่าขบขันในจอโทรทัศน์นั้นทำให้คุณทิพย์นภาถึงกับหวีดร้อง

"ไม่จริง...ลูกของฉันจะต้องไม่เป็นแบบนี้"

"แม่!!!"

บีมเรียกด้วยสีหน้าตกใจเมื่อเขาเข้ามาในบ้านแล้วก็เห็นแม่ทรุดลงไปนั่งกับพื้นร้องให้ฟูมฟาย คงจะมีเรื่องกับบูมอีกแน่ๆ เลยเพราะเมื่อกี้บีมเพิ่งสวนกับบูมที่ขับรถออกไป

"แม่เป็นอะไรครับ เกิดอะไรขึ้น"

บีมรีบวิ่งไปหาแม่ด้วยความเป็นห่วง พอเขานั่งลง คุณทิพย์นภาโอบกอดลูกชายคนโตไว้แล้วก็ร้องคร่ำครวญ "บีม...ช่วยน้องด้วยนะลูก อย่าให้น้องเป็นเกย์ แม่จะไม่ไหวแล้ว แม่ทำใจไม่ได้ นะบีม...ช่วยน้องด้วย"

บีมกอดแม่ไว้แล้วก็น้ำตาซึม นี่แม่คงจะเป็นทุกข์เรื่องของบูมมาก ถึงแม้ว่าบีมจะไม่เห็นด้วยที่แม่ยอมรับตัวตนจริงๆ ของน้องชายไม่ได้ แต่ก็พอเข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่ แม่รักและคาดหวังกับบูมมาก มากเสียจนยากที่จะยอมปล่อยสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นไปได้ง่ายๆ สถานการณ์ตอนนี้ล่อแหลมและตึงเครียดมาก บีมคิดว่าบูมควรจะต้องถอยและยอมแม่บ้าง ยิ่งปะทะใส่กันไม่ยั้งแบบนี้ก็ยิ่งจะสร้างความเจ็บปวดไปกันใหญ่ ไม่อย่างนั้นแล้วคนที่จะเป็นอะไรไปคนแรกก็อาจจะเป็นแม่ของพวกเขาเอง เขาไม่อยากให้น้องชายต้องเสียใจทีหลัง

-------------------------------------------------------

บีมพาแม่ขึ้นไปนอนพักผ่อนบนห้องแล้วก็กลับลงมาข้างล่าง พ่อมาถึงบ้านพอดีพร้อมกับลูกน้องอีกสองสามคนที่ตามมาส่ง บีมเข้าไปช่วยพ่อลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาในบ้านแล้วก็ถือโอกาสคุยกับพ่อ

"เป็นไงครับพ่อ สัมมนาสนุกไหมครับ"

"ก็งั้นๆ แหละ มีแต่ประชุม ไม่สนุกหรอก เอ...ว่าแต่แม่เขาไม่อยู่บ้านเหรอวันนี้ แล้วบูมไปไหน" คุณลิขิตถามพลางสอดส่ายสายตามองหาภรรยาและลูกชายคนเล็ก

บีมถอนใจด้วยความหนักใจ เขาไม่ตอบคำถามพ่อแต่เขาอยากคุยกับพ่อแบบเปิดใจสักครั้งมากกว่า มันคงถึงเวลาแล้วล่ะ "พ่อครับ...ผมอยากคุยกับพ่อ ผมมีเรื่องอยากปรึกษาครับ"

เห็นท่าทางหนักใจของลูกชายคนโตแล้วคุณลิขิตก็พอจะเดาออกว่าภรรยากับลูกชายคนเล็กคงจะทะเลาะกันอีกเช่นเคย คุณลิขิตพยักหน้า บีมรีบเอากระเป๋าไปเก็บบนห้องแล้วก็มานั่งคุยกับพ่อหลังบ้าน

"พ่อครับ...พ่อคิดยังไงครับกับเรื่องของบูม ที่บูมเขาบอกแม่ว่า...เขาเป็นเกย์"

คำถามจากลูกชายคนโตทำให้คุณลิขิตหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความหนักใจ แต่หลายปีมานี้คุณลิขิตก็เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก ยิ่งในช่วงหลังๆ ที่มาสนิทกับลูกชายคนโตมากขึ้นก็ช่วยทำให้ความคิดเปลี่ยนไปหลายอย่าง แต่เรื่องของบูมนั้นก็คงเป็นเรื่องที่พ่อแม่คนไหนๆ ก็คงทำใจได้ยาก คุณลิขิตเองก็ยังไม่เคยคุยกับลูกชายคนเล็กเรื่องนี้เลยแม้ว่าจะเจอกันที่ทำงานบ่อยๆ

"เอางี้ละกัน...พ่ออยากฟังก่อนว่าบีมคิดยังไง เผื่อบางที...สิ่งที่บีมคิดอาจจะช่วยให้พ่อได้เห็นอะไรบางอย่างที่พ่อกับแม่ไม่เคยมองเห็นก็ได้"

นั่นก็หมายความว่าพ่อก็คงรับไม่ได้เหมือนกับแม่นั่นแหละที่รู้ว่าบูมเป็นแบบนั้น แต่คุณลิขิตก็อยากฟังดูบ้างว่าเด็กๆ เขาคิดยังไง บางทีคนเป็นพ่อกับแม่พูดอยู่คนเดียวโดยไม่ฟังลูกๆ เลยก็จะเป็นเผด็จการและใช้อำนาจเกินขอบเขต

เป็นครั้งแรกที่บีมได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น ที่ผ่านมาพ่อไม่ค่อยฟังพวกเขานัก เขาเองก็เคยโดนพ่อเคี่ยวเข็ญในฐานะลูกชายคนโตจนแทบจะประสาทเสีย นี่เป็นครั้งแรกที่พ่ออยากฟังว่าเขาคิดอะไร บีมรู้สึกดีใจเหลือเกินและคิดว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นนิมิตรหมายอันดีที่เขาจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในครอบครัวบ้าง

"ครับพ่อ" บีมยิ้มดีใจ ดูเหมือนคุณลิขิตก็แอบยิ้มน้อยๆ อยู่เหมือนกัน

"สำหรับผม...ไม่ว่าบูมจะเป็นอะไร บูมก็เป็นน้องชายของผมเหมือนเดิมครับพ่อ ผมก็รักน้องเท่าเดิม ผมขอแค่ให้เขาเป็นคนดีของครอบครัวของเรา ทำงานและทำประโยชน์ให้สังคมได้ก็พอแล้ว ผมคิดว่า...สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าบูมเป็นอะไรหรอกนะครับ ยังไงบูมเขาก็ตั้งใจเรียนจนจบ เขายอมเหนื่อยและอดทนทำเพื่อครอบครัวของเรา แถมตอนนี้บูมก็ทำโครงการที่จะช่วยทำให้สังคมเราน่าอยู่ขึ้น แล้วอีกไม่นานบูมก็จะมาช่วยสานต่อกิจการของเราอย่างเต็มตัว สิ่งที่บูมทำอยู่ตอนนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งดีๆ นะครับพ่อ เขาเป็นเด็กสมัยใหม่ที่มีคุณภาพคนหนึ่งที่จะทำประโยชน์ให้ทั้งกับครอบครัวและสังคมของเรา ผมภูมิใจในตัวบูมมากนะครับพ่อ และผมก็อยากให้เราทุกคนในครอบครัวภูมิใจกับสิ่งที่บูมเป็นและพยายามทำให้ครอบครัวของเราด้วย"

เมื่อเห็นว่าพ่อยังตั้งใจฟังอยู่ บีมก็พูดสืบไปว่า "ในมุมมองของผม...การเป็นเกย์ของบูม...ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เกย์ ทอม เด็ก คนแก่ คนพิการ ชาวเขา ชาวนาหรืออะไรทั้งนั้น สิ่งเหล่านี้เราเลือกไม่ได้ แต่ในมุมมองของผม...ปัญหามันอยู่ที่ว่าเรามอง คิดหรือปฏิบัติกับเขายังไงต่างหากครับ คนเหล่านี้เขาไม่ได้มีปัญหากับสิ่งที่เขาเป็น ผมเชื่อว่าเขายอมรับและมีความสุขกับชีวิตที่เขาเป็นอยู่ แม้ว่าเขาจะเลือกเกิดไม่ได้ แต่เขาก็เลือกที่จะเป็นคนดีหรือคนไม่ดีได้ ผมว่า...ในฐานะที่เราเป็นคนนอก เราต้องมองอย่างเข้าใจ แล้วก็สนับสนุนให้เขาทำในสิ่งที่เขาอยากทำ ส่งเสริมให้เขาได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ครับ"

แล้วบีมก็สรุปท้ายว่า "ผมคิดว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่บูมเป็นหรอกคับ แต่มันอยู่ที่ความคิดของคนที่มองต่างหาก ผมว่าแทนที่เราจะเอาเวลาและพลังงานไปทุ่มเทกับสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ สู้เอามาช่วยทำให้เขาเป็นคนดี มีคุณภาพดีกว่าครับ บางทีเราก็อาจจะช่วยทำให้คนอื่นๆ ในสังคมได้เรียนรู้เรื่องนี้ในแง่มุมที่ถูกต้องมากขึ้นก็ได้ครับ เรามัวแต่มองผ่านสื่อ ผ่านทีวี ผ่านหนังสือหรือผ่านคนอื่นๆ คนเหล่านี้เขาจะสร้างภาพหรือเรื่องอะไรขึ้นมาก็ได้ แต่ในความเป็นจริง ทุกคนไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป บูมเองก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเหมือนที่เราเห็นในทีวี"

บีมหยุดพักและสบตากับพ่อ "พ่อครับ...ผมคิดว่า...ธรรมชาติของบูม...เขาเป็นแบบนั้นครับ เขาเกิดมาพร้อมกับมัน เขาไม่ได้ผิดธรรมชาติเหมือนที่คนทั่วไปชอบพูดกัน บางทีคนเหล่านั้นก็พูดเพราะเขาไม่ได้รู้จริง ตัดสินเอาจากสิ่งที่เห็นแล้วก็เหมารวม ผมเอง...ก็ยังไม่เคยเป็นพ่อคน แต่ผมก็เคยได้ยินมาว่า...ลูก...เราก็เลี้ยงเขาได้แต่ตัว ชีวิตเป็นของเขา เขาต้องเลือกเอง คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องทำหน้าที่สนับสนุนเขาให้ได้มากที่สุด เพราะคนที่เป็นพ่อเป็นแม่คือผู้ให้ ให้กำเนิด ให้ความรัก ให้ความรู้และอะไรอีกหลายๆ อย่าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ...พ่อกับแม่ต้องให้ชีวิตที่เป็นของเขาเอง แต่ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่ามันเป็นคำพูดที่จริงสำหรับพ่อแม่ทุกคนหรือเปล่า ผมอาจจะรู้ก็ต่อเมื่อผมมีลูกเอง หรือผมอาจจะคิดอีกแบบก็ได้ถ้าผมมีลูกจริงๆ"

เมื่อพูดจบแล้วบีมก็รู้สึกแปลกใจมากที่เห็นพ่อยิ้ม บีมไม่เคยเห็นพ่อยิ้มให้เขาแบบนี้เลย

"บีม...เมื่อก่อน...พ่อยอมรับว่า...พ่อไม่เคยภูมิใจเลยที่บีมไปเรียนศิลปะอะไรนั่น แต่วันนี้...พ่ออยากจะบอกว่า...พ่อภูมิใจในตัวบีมมาก พ่อรู้แล้วว่า...ศิลปะมันช่วยให้บีมเป็นคนที่มีความคิดดีแค่ไหน มันช่วยให้บีมมองเห็นอะไรบางอย่างที่พ่อกับแม่ไม่เคยมองเห็น ที่ผ่านมา...พ่อต้องโทษบีมด้วยที่เคย...ทำแบบนั้น"

"พ่อ..." บีมแทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่าเขาจะได้ยินสิ่งนี้จากคนที่เป็นพ่อ เขาดีใจจนน้ำตาไหล ในฐานะลูกคนหนึ่ง เขาก็อยากให้พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวเขาบ้าง เขาก็พยายามทำสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้เพื่อครอบครัวมาโดยตลอด แต่ก็เหมือนจะไม่มีใครมองเห็น ทำให้บีมเองก็รู้สึกน้อยใจเหมือนกัน แต่วันนี้...พ่อได้เห็นสิ่งนั้นแล้ว บีมดีใจเหลือเกิน ดีใจจนไม่รู้ว่าจะพูดคำไหนออกมา

บีมลงไปนั่งกับพื้นแล้วก้มกราบเท้าพ่อ "ขอบคุณครับพ่อ" เขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อแล้วก็กอดพ่อไว้ คุณลิขิตเองก็ดีใจที่วันนี้เขาได้กอดลูกชายคนโตอีกครั้ง เขาไม่ได้ทำแบบนี้กับบีมหรือบูมมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว

ความสุขของพ่อกับแม่คืออะไรล่ะ ไม่ใช่เพราะได้ช่วยเลี้ยงดูและสนับสนุนให้ลูกได้เติบโต ปลอดภัย พึ่งตัวเองได้และเป็นคนดีของสังคมหรอกหรือ จะคาดหวังอะไรมากกว่านี้ ให้กำเนิดเขามาแล้ว ชีวิตก็เป็นของเขาทันทีที่เขาลืมตาดูโลก ก็คงเหมือนกับที่บีมพูด ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าลูกเป็นอะไร แต่มันอยู่ที่ความคาดหวังของพ่อแม่ต่างหาก

"ขอบใจบีมมากที่ช่วยทำให้พ่อคิดได้...พ่อสัญญา...พ่อจะพยายามรักลูกของพ่อทุกคน...ในแบบที่เขาเป็น พ่อจะพยายามนะบีม" คุณลิขิตเพิ่งตระหนักเดี๋ยวนี้เองว่าความเข้าใจที่พ่อกับแม่มีให้ลูกมันช่วยทลายช่องว่างและความห่างเหินระหว่างกันได้มากเพียงใด

"ผมรักพ่อครับ"

"พ่อก็รักบีมนะลูก...รักบูมด้วย" เหมือนพ่อจะกลัวลูกชายอีกคนน้อยใจทั้งๆ ที่บูมก็ไม่ได้อยู่ตรงนี้

การที่บีมกอดเขาและแสดงความรักแบบนี้มันทำให้คนที่เป็นพ่ออย่างเขารู้สึกชื่นใจและมีความสุขอย่างมาก ทำให้เขานึกถึงตอนที่บูมกับบีมยังเล็กๆ วิ่งเล่นซุกซนและขี้อ้อน วันไหนที่เขามีของเล่นใหม่มาให้ลูกทั้งสองคน ทั้งบีมและบูมจะกระโดดโลดเต้นดีใจกันใหญ่ แล้วก็จะวิ่งมาบอกพ่อว่า "รักพ่อที่สุดในโลกเลย" แค่นี้คนเป็นพ่ออย่างเขาก็มีความสุขยิ่งกว่าการมีทรัพย์สมบัติใดๆ แล้ว ไม่ว่าเขาจะมีตำแหน่งหรือทรัพย์สมบัติมากมายแค่ไหนมันก็คงเปล่าประโยชน์ถ้ามันไม่ช่วยทำให้เขามีความสุขได้เท่ากับที่ในขณะนี้ลูกชายคนโตกำลังกอดเขาและบอกว่ารักพ่อ เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้มานานมากแล้วจนแทบจะลืมไปด้วยซ้ำ

บีมยิ้มดีใจ เขาอยากให้บูมได้มาเห็นเหลือเกิน ตอนนี้ปัญหาก็หมดไปเปลาะหนึ่งแล้ว แต่ยังเหลืออีกอย่างน้อยสามคนที่บีมจะต้องเข้าไปทำอะไรบางอย่าง เขาพยายามคิดมาตลอดว่าจะช่วยทำให้ครอบครัวเขากลับมามีความสุขเหมือนสมัยที่พวกเขายังเป็นเด็กวิ่งซุกซนได้ยังไง เขาดีใจจริงๆ ที่วันนี้เขาทำสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว

------------------------------------------------------------

คุณโฉมศรีรู้สึกแปลกใจมากทีเดียวที่แขกที่มาเยือนในวันนี้เป็นคนที่เธอก็ไม่คาดคิดมาก่อน เธอเห็นหน้าก็จำได้ว่าเป็นบีม พี่ชายของบูม และเป็นลูกชายคนโตของคุณลิขิต เพื่อนของสามีเธอนั่นเอง บีมมาที่นี่ทำไม...หรือว่าบ้านนั้นจะส่งคนมาอ้อนวอนให้เธอยกเลิกการฟ้องร้อง ไม่มีทางเสียละ

"สวัสดีครับ" บีมยกมือไหว้คุณโฉมศรีแล้วก็ถามถึงคนที่เขาอยากคุยด้วย "ผมมาหาแพรวครับ..."

คุณโฉมศรีรับไหว้ด้วยสีหน้างุนงงเพราะนึกไม่ออกว่าบีมจะมีธุระอะไรกับแพรวจนต้องตามมาคุยถึงที่บ้าน

บีมเห็นท่าทางสงสัยนั้นแล้วจึงบอกจุดประสงค์ไปว่า "ผมอยากจะคุยกับแพรวเรื่องของบูมครับ ผมต้องขอโทษด้วยครับที่มาโดยไม่ได้บอกล่วงหน้า"

คุณโฉมศรีชั่งใจอยู่พักใหญ่ก็ตัดสินใจที่จะให้แพรวมาคุยกับบีม บีมไปนั่งรออยู่ในศาลาเล็กๆ ที่จัดไว้ในสวนของบ้าน มีที่นั่งสำหรับให้คนในครอบครัวมานั่งคุยกันได้หลายคนอยู่ บรรยากาศดูร่มรื่นเย็นสบายเพราะมีต้นไม้ใหญ่ๆ คอยให้ร่มเงา

คนรับใช้ของบ้านเอาน้ำมาเสิร์ฟ ไม่นานนักแพรวก็ลงมา สีหน้าของเธอดูแปลกใจไม่น้อยเพราะบีมไม่เคยมาที่นี่เลยนอกจากบูมที่เคยมาส่งหรือมาคุยกับเธอที่นี่บ่อยๆ ก่อนหน้านี้

แพรวยกมือไหว้ "พี่ชายอดีตคู่หมั้น" แล้วก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม เมื่อสังเกตดีๆ ก็ยังคงเห็นร่องรอยความเศร้าหมองปรากฎบนใบหน้าของเธออยู่ เมื่อบีมเพ่งพิศดูดีๆ ก็เห็นว่าแพรวก็เป็นผู้หญิงที่สวยและน่ารักมากทีเดียว ถ้าไม่ติดว่าน้องชายเขาไม่ชอบผู้หญิง บีมคงจะดีใจมากที่จะมีน้องสะใภ้ที่สวยน่ารักแบบนี้

"แพรว...พี่อยากจะคุยกับแพรวเรื่องบูม พี่ขอโทษก่อนละกันที่ต้องเข้ามายุ่งในเรื่องนี้ แต่พี่คิดว่าพี่อยากให้แพรวได้รู้อะไรบางอย่างที่สำคัญ" บีมเกริ่นนำหลังจากที่แพรวนั่งลงได้สักพัก

"ค่ะ" แพรวตอบด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแสดงให้เห็นความเสียใจอยู่ เธอร้องไห้เสียใจมาหลายวันแล้วแต่ก็คิดว่าควรจะต้องหยุดเสียที เพราะยังไงบูมก็ไม่เคยมารับรู้ว่าเธอเสียใจมากแค่ไหน ตั้งแต่คุยกันวันนั้น แพรวรับรู้เพียงว่าบูมต้องการให้เธอยืนยันการถอนหมั้น ด้วยความโมโหทำให้แพรวไปหาคุณทิพย์นภาถึงมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นที่มาการที่ทิวถูกทำร้าย

"จริงๆ พี่รู้จักบูมกับทิวมาตั้งแต่สมัยเขาเรียนมัธยมด้วยกันแล้วล่ะ เมื่อก่อนบูมเป็นเด็กเก็บกดเพราะที่บ้านเราค่อนข้างเข้มงวดเรื่องการเรียน ทำให้บูมเป็นเด็กค่อนข้างมีปัญหา ไม่ค่อยพูด ขี้โมโห แต่พอเขาได้รู้จักทิว พี่ก็สังเกตว่าบูมเปลี่ยนไปมาก เขาร่าเริงขึ้นมาก"

บีมเห็นสีหน้าของแพรวที่ดูงงๆ แล้วก็เลยหยุดพัก แพรวคงสงสัยนั่นเองว่าบีมเล่าเรื่องนี้ให้แพรวฟังทำไม แต่บีมก็คิดว่าเมื่อตั้งใจจะเล่าแล้วเขาก็ควรจะต้องเล่าให้จบ

"บูมไปหัดร้องเพลงกับทิว จนได้เป็นนักร้องนำของวงที่โรงเรียนด้วยกัน เขาใช้ชีวิตด้วยกันตลอด เขาก็เลยผูกพันกันมาก ไม่เคยห่างกันเลย ก็เลยทำให้เขาสองคนรักกัน แต่พอที่บ้านรู้เข้า บูมก็ถูกสั่งให้เลิกคบกับทิว แล้วบูมก็ไปเรียนเมืองนอก ไม่ได้ติดต่อทิวเลย ส่วนทิว...เขาอยู่กับแม่สองคน แต่ไม่นานนักแม่เขาก็เสีย เขาก็เลยไม่ได้เรียนหนังสือต่อ ต้องออกมาตระเวนร้องเพลงหาเงินเลี้ยงตัวเอง เขาลำบากมากนะแพรว เพราะแม่ของทิวไปกู้เงินนอกระบบมาให้ทิวเรียนหนังสือ ทิวจึงต้องใช้หนี้แทนแม่ด้วย"

"จริงเหรอคะ" แพรวถามด้วยน้ำเสียงเศร้า เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าทิวจะมีชีวิตที่น่าเศร้าขนาดนี้

บีมพยักหน้าแล้วก็เล่าสืบไปว่า "จนกระทั่งบูมกลับมา บูมก็ไม่เคยติดต่อมาหาทิวเลย พี่เคยบอกบูมหลายครั้งว่าให้มาหาทิวบ้างเขาก็ไม่ยอมมา แต่ยังไงไม่รู้...สุดท้าย...เขาสองคนก็ได้กลับมาเจอกันอีก แต่พี่ก็รู้ว่าบูมคงจะรู้สึกผิดมากที่เขาทิ้งทิวไป ไม่ยอมติดต่อ ปล่อยให้ทิวมีชีวิตที่ตกระกำลำบากทั้งๆ ที่เมื่อก่อนทิวก็ดีกับเขามาก ตอนแรก...พี่คิดว่าเขาสองคนคงแค่จะกลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะรักกัน แต่เขาก็รักกัน แล้วพี่ก็รู้ว่าเขารักกันมาก เป็นความรักที่เกิดขึ้นเพราะเขาสองคนผูกพันกันมาตั้งแต่สมัยนั้น มันเป็นสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดของเขาทั้งสองคนตลอด เขาไม่เคยลืมกันและกันหรอกนะแพรว ไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ไหนหรือมีใคร...เขาก็ไม่เคยลืม ถึงบูมจะไม่เคยติดต่อทิวเลยแต่พี่ก็รู้ว่าเขาคิดถึงกันมากแค่ไหน"

บีมหยุดเพราะสังเกตเห็นสีหน้าของแพรวที่เริ่มหม่นลง "ที่พี่บอกแพรวเรื่องนี้...ไม่ใช่จะมาซ้ำเติมแพรวหรอกนะ พี่อยากให้แพรว...เข้าใจความรักของเขาทั้งสองคน บูมเขาไม่ได้มาหลอกแพรวหรอก สิ่งที่เกิดขึ้น...ไม่ใช่ความผิดของบูม แล้วก็ไม่ใช่ความผิดของแพรวด้วย แต่พี่ก็รู้ว่า...ผู้ใหญ่ของเราทั้งสองฝ่ายต่างก็หวังดี ก็เลย...ทำให้บูมกับแพรวได้มารู้จักกัน แต่บางที...พ่อกับแม่อาจจะลืมถามลูกๆ ว่าเขาต้องการความหวังดีนั้นหรือเปล่า จนกระทั่งมันเลยเถิดมาถึงวันนี้ พี่รู้ว่าแพรวเสียใจนะ พี่ก็ไม่อยากให้มันเกิดขึ้น แต่พี่ก็อยากบอกแพรวว่า...บูมเขาก็ไม่ได้อยากทำให้แพรวเสียใจหรอก แต่เขา...แค่อยากจะเป็นในสิ่งที่เขาเป็น แต่ที่บ้านพี่ก็ไม่ยอมรับที่เขาเป็นแบบนั้น แต่สำหรับพี่...ไม่ว่าบูมจะเป็นอะไร เขาก็เป็นน้องชายที่พี่รักและเป็นห่วงเสมอ พี่อยากให้เราทุกคนเห็นใจและเข้าใจบูมบ้าง ให้บูมได้เป็นอย่างที่เขาอยากเป็น ให้เขาได้รักคนที่เขาอยากรัก เขามีชีวิตที่ต้องถูกบังคับมาตลอด พี่อยากให้ชีวิตบูมได้มีความสุขบ้าง"

เมื่อเห็นแพรวยังตั้งใจฟังอยู่ บีมก็พูดต่อ "พี่รู้...ว่าแพรวคงจะโกรธบูมมาก พี่รู้...ว่าแพรวเสียใจมากแค่ไหน แต่พี่ก็ดีใจที่บูม...ยอมบอกให้ทุกคนรู้ความจริงว่าเขาคือใครก่อนที่มันจะสายไป จริงๆ พี่ว่า...เราควรจะขอบคุณบูมเสียด้วยซ้ำที่เขาบอกเราตอนนี้ ดีกว่าที่เขาจะบอกแพรวตอนที่เขาแต่งงานไปแล้ว คนเรานะแพรว...ไม่มีใครทนบังคับฝืนใจทำในสิ่งที่เขาไม่ได้เป็นได้นานหรอก นี่คือชีวิตของบูม นี่คือสิ่งที่บูมเป็น เป็นตัวตนของเขา เราไม่มีทางเปลี่ยนเขาได้..."

ดูเหมือนแพรวจะตั้งใจฟังแทบจะทุกคำพูดของบีมเลยทีเดียว สิ่งที่บีมพูดมันทำให้เธอได้คิดอะไรหลายอย่าง...จริงสิ...เธอควรจะขอบคุณบูมด้วยซ้ำที่ยอมพูดความจริงเสียตั้งแต่ตอนนี้ บูมคงจะไม่สามารถปิดบังตัวเองได้ตลอดไปหรอก รู้เสียตั้งแต่ตอนนี้ก็น่าจะดีแล้ว เอาเข้าจริงๆ แพรวก็รู้ว่าเธอคงจะรับได้ยากถ้าหากแต่งงานกับบูมไปแล้วเขาเดินมาบอกเธอว่า...เขาเป็นเกย์

"แพรวยังไม่จำเป็นต้องเข้าใจที่พี่พูดทั้งหมดในวันนี้หรอกนะ แพรวเก็บไปคิดก่อนก็ได้ พี่ไม่ได้หมายความว่าจะให้แพรวยกเลิกความตั้งใจที่ฟ้องร้องหรอกนะ แพรวเป็นคนเสียหาย พี่เข้าใจ พี่ไม่ได้มาคุยกับแพรวเพราะเรื่องนี้ แต่สิ่งที่พี่อยากจะขอจากแพรวมีอย่างเดียวก็คือ...พี่อยากให้แพรวเข้าใจและให้อภัยบูม ไม่จำเป็นต้องเป็นตอนนี้ก็ได้ แต่วันไหนก็ได้ที่แพรวคิดและรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ"

แพรวได้ฟังแล้วก็ถึงกับอึ้งไปทันที เธอเคยรู้จักบีมแค่ผิวเผิน ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคนดี มีความคิด มีเหตุผลและเป็นผู้ใหญ่มากถึงขนาดนี้

"พี่บีมดูเหมือนจะรักและเป็นห่วงบูมมากเลยนะคะ"

บีมพยักหน้า "ใช่...พี่สงสารเขาด้วย บูมเขาเหนื่อยและเก็บกดมามาก พี่อยากให้เขาได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เป็นในสิ่งที่เขาอยากเป็น เราอย่าไปบังคับเขาเลย...เขาแค่เป็นแบบนั้น ถ้าเขากินยาหรือไปผ่าตัดแล้วหายได้ พี่คิดว่าบูมก็ยินดีที่จะทำ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นไงแพรว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าบูมเป็นอะไร แต่มันอยู่ที่ว่าเรามองและคิดกับเขายังไงต่างหาก ถ้าทุกคนเข้าใจและยอมรับเขา พี่รู้ว่าบูมจะมีความสุขมาก การช่วยให้คนๆ หนึ่งมีความสุขและได้เป็นอย่างที่เขาอยากเป็น...เป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่มากนะแพรว บูมเขาต้องการคนช่วยเขาจริงๆ"

แพรวทำท่าทางครุ่นคิด เมื่อค่อยๆ คิดตามเธอก็เริ่มเห็นด้วยกับที่พี่บีมพูดมาทุกอย่าง สิ่งที่บีมพูดได้ช่วยปลดล็อกความคิดหลายอย่างให้กับเธอ รวมทั้งความคิดที่จะเอาชนะอย่างไม่มีเหตุผลนั้นด้วย

"ขอบคุณนะคะที่เล่าให้แพรวฟัง มันช่วยแพรวได้มากเลยค่ะ แพรวเองก็ไม่เคยเข้าใจบูมอย่างที่แพรวกำลังเข้าใจในวันนี้ ที่พี่บีมพูดก็ถูกนะคะ เราคงบังคับบูมไม่ได้ตลอดไปหรอก ทำแบบนั้นก็เท่ากับเราทรมานชีวิตของเค้า เอาเป็นว่า...แพรวเข้าใจนะคะ แต่แพรว...ขอเวลาทำใจสักพักละกันนะคะ พี่บีมคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมคะ"

บีมยิ้มแล้วส่ายหน้า "แพรวใช้เวลาเท่าที่แพรวต้องการเลยครับ ขอแค่ให้แพรวเข้าใจและให้อภัยน้องชายของพี่เท่านั้น เมื่อไรก็ได้"

นี่ก็คงหมดปัญหาไปอีกเปลาะหนึ่งแล้วล่ะ เหลืออีกแค่สองเท่านั้น แต่บีมก็เริ่มเห็นเค้าลางแห่งความหวังมากขึ้นแล้ว