Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 12
#12, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 07-Mar-12 at 10:27 PM
In response to message #0
ตอนที่ 7

"พี่บีม เทอมนี้บูมได้เกรดเฉลี่ย 3.2 ทำไงดีครับ" บูมโทรศัพท์ไปบอกพี่ชายหลังจากที่ไปรับเอกสารรับรองผลการเรียนของเทอมนี้แล้ว น้ำเสียงของบูมดูเครียดและกังวลจนรู้สึกได้

สำหรับบีมแล้ว ถ้าเขาได้เกรดขนาดนี้ก็คงดีใจจนฟ้าถล่ม แต่สำหรับพ่อแล้ว บีมรู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น เทอมที่แล้วบีมได้ 3.4 พ่อยังให้บีมย้ายโรงเรียน แล้วคราวนี้เกรดเฉลี่ยน้อยกว่าเดิม เขาเดาไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่บีมก็รับรู้และเข้าใจถึงความกังวลของน้องชายได้เป็นอย่างดี

บีมถอนหายใจแล้วบอกน้องชายว่า "เดี๋ยววันนี้พี่ไปรับละกันนะ กลับบ้านพร้อมกัน แล้วพี่จะเข้าไปคุยกับพ่อพร้อมกับบูม"

ได้ยินแล้วบูมก็ใจชื้นขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าคงหนักหนาพอดู

----------------------------------------------------------------------------------

"บูมจะอธิบายพ่อว่ายังไง" นั่นคือสิ่งแรกที่พ่อพูดหลังจากที่เห็นเกรดเฉลี่ยของลูกชายคนเล็กในเทอมนี้แล้ว น้ำเสียงของพ่อบ่งบอกความไม่พอใจอย่างยิ่ง บูมได้แต่นั่งก้มหน้า บีมนั่งนิ่งและขมวดคิ้วอยู่ใกล้ๆ กับน้องชาย ส่วนแม่ยืนดูอยู่ข้างหลังไม่ไกลนัก

บูมรู้สึกว่าเขากลัวจนตัวสั่นนิดๆ กลัวจนเขาไม่รู้ว่าจะบอกพ่อว่าอย่างไร

"พ่อถามได้ยินไหม" พ่อเริ่มเสียงดังจนลูกชายทั้งคู่สะดุ้งตกใจ "บูมจะอธิบายพ่อว่ายังไง"

บูมรู้สึกกลัวจนร้องให้ นั่นยิ่งทำให้พ่อโมโหมากยิ่งขึ้น "ร้องให้ทำไมบูม" พ่อพูดเสียงดังขึ้นอีกแล้วโยนสมุดเกรดของเขาลงบนโต๊ะ

"ผมพยายามแล้วครับพ่อ แต่เทอมนี้มีวิชาใหม่ๆ ที่บูมยังไม่คุ้นเคย บูมก็เลยยังทำได้ไม่ค่อยดี" บูมพยายามอธิบายด้วยเสียงสั่น

"ไม่ใช่เพราะแกมัวแต่เอาเวลาไปร้องเพลงหรอกเหรอ อย่านึกว่าพ่อไม่รู้นะ"

บูมกับบีมถึงกับตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าพ่อจะรู้เรื่องนี้ด้วย พ่อไปรู้เรื่องนี้มาจากไหน

"ตกใจใช่ไหมที่พ่อรู้เรื่องนี้ ถ้าบังเอิญคุณโฉมศรีเขาไม่ได้ไปงานที่เมืองทองธานีวันนั้น พ่อก็คงจะไม่รู้หรอกว่าบูมทำอะไรที่โรงเรียน"

คุณโฉมศรีที่พ่อพูดถึงนั้นก็คือภรรยาเพื่อนที่ทำงานของพ่อนั่นเอง บูมกับบีมเคยเจอสองสามครั้งแล้วเพราะคุณโฉมศรีเคยมาคุยกับพ่อที่บ้าน ช่วงปีใหม่ก็มักจะซื้อของมาฝากเป็นประจำ

"เป็นแบบนี้แล้วเปลี่ยนโรงเรียนอีกซะเลยดีมั้ย"

บูมหน้าซีดไปทันทีที่ได้ยิน แต่ไม่ว่าเขาจะกลัวพ่อแค่ไหน เขาก็ไม่อยากเปลี่ยนโรงเรียนอีกแล้ว เขายอมรับว่าเขาติดทิวมาก ถ้าไม่มีทิวเป็นเพื่อน เขาก็คงไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว "ไม่นะครับพ่อ บูมไม่เปลี่ยนโรงเรียนอีกแล้ว ยังไงบูมก็ไม่เปลี่ยน" บูมเริ่มเถียงด้วยเสียงสะอื้น

"ไม่เปลี่ยนก็ได้ แต่แกต้องเลิกร้องเพลงไร้สาระนั่นซะ ถ้าแกไม่เลิก พ่อก็จะให้แกเปลี่ยนโรงเรียน"

บูมกับบีมตกตะลึงอีกครั้งกับคำขู่ของพ่อ บูมเองก็รู้ตัวดีว่าท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเขาไม่อยากเปลี่ยนโรงเรียน เขาก็ต้องยอมทำตามที่พ่อบอก มันไม่มีทางเลือกอื่นจริงๆ แต่มันก็ดีกว่าที่จะให้เขาอยู่ห่างจากเพื่อนที่ดีอย่างทิว

"ครับพ่อ เทอมหน้าผมจะลาออกจากชมรมดนตรี" บูมกัดฟันพูดออกไปจนได้

"ไม่ได้นะบูม บูมต้องเข้มแข็งสิ บูมต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่บูมทำเข้าใจมั้ย บูมไม่ต้องลาออก ไม่ต้องเปลี่ยนโรงเรียนอะไรทั้งนั้น" บีมเริ่มลุกขึ้นมาโวยวาย พ่อของเขาดูจะตกใจมากทีเดียว

"แล้วแกมายุ่งอะไรด้วย นี่มันเรื่องของบูมกับพ่อ ไม่ใช่เรื่องของแก" พ่อหันมาตะคอกใส่ลูกชายคนโตเสียงดัง

"บูมเป็นน้องผมนะครับพ่อ" บีมเถียง "ผมทนเห็นพ่อกับแม่บังคับบูมไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว บูมอายุแค่นี้เอง พ่อกับแม่จะบังคับอะไรเขานักหนาครับ บูมมันอึดอัดนะครับ บูมไม่เคยมีอิสระ ไม่เคยได้ใช้ชีวิตตามประสาวัยรุ่นทั่วไปเลย วันๆ ก็เอาแต่เรียน เอาแต่อ่านหนังสือ ทั้งๆ ที่เกรดเฉลี่ยขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากพอแล้วสำหรับพ่อแม่คนอื่นๆ"

"หยุดเดี๋ยวนี้นะบีม" พ่อตะคอกด้วยเสียงและมือไม้ที่เริ่มสั่นเทา ไม่คิดมาก่อนว่าวันนี้ลูกชายคนโตจะมาเถียงเขาฉอดๆ แบบนี้

"ผมไม่หยุด พ่อกับแม่สงสารบูมบ้าง บูมอดทนทำตามที่พ่อกับแม่บังคับมาตลอดหลายปี ไม่เคยเกไร ไม่เคยปริปากบ่น แต่วันนี้ ผมอยากให้พ่อกับแม่เข้าใจบูมบ้าง บูมยังเด็กนะครับ ให้บูมได้มีอิสระ ให้บูมได้ทำในสิ่งที่บูมอยากทำบ้าง มันไม่ได้เสียหายอะไรเลย"

"แกกล้าดียังไงมาสอนพ่อฮะบีม" พ่อพูดไม่พูดเปล่า แต่ปรี่เข้ามาเงื้อมือหมายตบหน้าสั่งสอนลูกชายคนโต แต่คนที่โดนจริงๆ กลับเป็นบูมที่รีบลุกออกมารับแทนพี่ชาย

ผัวะ!!!

"บูม!!!!" บีมกับแม่ที่ยืนดูอยู่ร้องอุทานแทบพร้อมกันด้วยความตกใจ แต่บูมไม่มีเสียงร้องแม้แต่คำเดียว เลือดกลบปากเขาเล็กน้อยเพราะแรงตบเมื่อสักครู่นี้หนักเอาการ บูมเอามือลูบๆ ดูแล้วก็เห็นว่ามีเลือดซึมออกมาพอสมควร

ดูเหมือนพ่อเองก็ตกใจเช่นกัน แต่สิ่งที่พ่อทำก็คือตวาดไล่ทุกคนออกไป "พวกแกทั้งหมดออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่ฉันจะโมโหไปมากกว่านี้ ออกไปให้หมดเลย ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้า"

บีมค่อยๆ พาน้องชายเดินออกไปจากห้อง ส่วนแม่ก็ร้องให้ด้วยความตกใจตามมาติดๆ ที่ผ่านมา ถึงพ่อจะโมโหยังไงก็ไม่เคยลุกขึ้นมาตบตีลูก นี่นับว่าเป็นครั้งแรกทีเดียว ถึงเธอจะโมโหลูกชายทั้งสองคนมากแค่ไหน แต่หัวอกคนเป็นแม่ก็คงไม่สามารถทำร้ายร่างกายลูกแบบนั้นได้

"ผมขออยู่คนเดียวสักพักนะพี่" บูมบอกพี่ชายเมื่อมาถึงห้อง บีมพยักหน้า ถอนหายใจแล้วก็เดินออกไป

คนที่บูมนึกถึงมีแค่ทิวคนเดียวเท่านั้นในตอนนี้ เขาอยากไปหาทิวเหลือเกิน เขาอยากมีใครสักคนที่จะรับฟังและให้กำลังใจเขา เขาไม่อยากอยู่ในบ้านในเวลานี้เลย เขากำลังอ่อนแออย่างหนัก เขาไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้เขาจะสู้หน้าพ่อกับแม่อย่างไร บ้านที่มีแต่เรื่องน่าอึดอัดแบบนี้ไม่ช่างไม่น่าอยู่เอาเสียเลย

-------------------------------------------------------------------------

ห้าทุ่มกว่าแล้ว เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นอยู่สองสามครั้งแล้วก็เงียบไป สักพักก็มีหญิงอายุราวๆ สี่สิบกว่าลงมาเปิดประตู เมื่อเห็นแขกที่มาในยามวิกาลเป็นชายหนุ่มวัยรุ่นที่รูปร่างหน้าตาไม่คุ้นเคย แต่แต่งตัวดูดี มาพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบหนึ่ง หญิงวัยกลางคนนั้นก็ดูแปลกใจมากทีเดียว ก่อนที่หญิงวัยกลางคนจะได้ถามอะไร ชายวัยรุ่นคนนั้นก็ชิงพูดก่อนว่า

"ผมมาหาทิวครับ ทิวอยู่หรือเปล่า ผมเป็นเพื่อนทิวครับ"

แม่ของทิวพยายามเพ่งมองดูหน้าชายวัยรุ่นคนนั้นก็ไม่รู้สึกคุ้นหน้าเอาเสียเลย ทิวก็เคยพาเพื่อนมาที่บ้านหลายครั้ง แต่เธอไม่เคยเห็นเด็กคนนี้เลย แต่หน้าตาของเด็กคนนี้ดูเศร้าสร้อย เหมือนกับเพิ่งจะมีเรื่องอะไรมาสักอย่าง

"ทิวนอนหลับไปแล้วล่ะ เดี๋ยวแม่จะไปปลุกให้นะ" แม่ทิวบอก

"สวัสดีครับแม่" บูมยกมือสวัสดีเมื่อรู้ว่าหญิงวัยกลางคนคนนี้คือแม่ของทิว เธอรับไหว้แล้วก็เดินหายเข้าไปในบ้าน บ้านของทิวเป็นทาวน์เฮาส์สามชั้น ข้างล่างเป็นส่วนของห้องรับแขกและห้องครัว ชั้นสองเป็นห้องนอนของแม่และชั้นสามเป็นของทิว ตอนแรกแม่เคยนอนชั้นสาม แต่หลังๆ ก็เริ่มเดินขึ้นชั้นสามบ่อยๆ ไม่ไหวจึงสลับชั้นกับทิว

ไม่นานนักทิวก็ลงมาที่หน้าบ้านด้วยท่าทางง่วงๆ ในชุดเสื้อกล้ามและใส่กางเกงบ็อกเซอร์ แต่เมื่อเห็นว่าใครมายืนรอแล้ว ทิวก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง

"บูม" ทิวเรียกเพื่อนแล้วก็รีบเดินไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว เขาสังหรณ์ใจว่าที่บ้านบูมคงต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ เลย

แม่เห็นว่าทิวรู้จักกับเพื่อนก็เลยนั่งรออยู่ในบ้าน ปล่อยให้เด็กๆ คุยกันส่วนตัวไปก่อน

"มีอะไรหรือเปล่าบูม" ทิวเปิดประตูออกไปถามอย่างเป็นห่วง บูมไม่พูดอะไร แต่ดึงเพื่อนไปกอดแล้วก็ร้องให้เบาๆ ทิวกอดเพื่อนตอบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

"เกิดอะไรขึ้นเหรอบูม" ทิวถามอีกครั้ง

"เราทะเลาะกับพ่อน่ะทิว ให้เราอยู่ที่บ้านนายสักพักได้ไหม" บูมค่อยๆ คลายอ้อมแขนออกแล้วมองหน้าเพื่อน "ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรนะ" บูมพูดด้วยท่าทางเกรงใจ

"ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ ไม่มีปัญหาหรอก เข้ามาในบ้านก่อนดีกว่า" ทิวบอกแล้วก็ดึงมือเพื่อนให้เดินตามเข้ามาในบ้าน เขาล็อกประตูหน้าบ้านแล้วก็พาบูมเดินไปตรงส่วนรับแขกซึ่งแม่นั่งรออยู่แล้ว

"เพื่อนทิวครับแม่ ชื่อบูม บูมเขาจะขอมาพักอยู่กับเราสักสี่ห้าวันน่ะครับ"

แม่ทิวพยักหน้าเข้าใจ เธอผ่านโลกมาพอสมควรก็พอจะเดาออกว่าเพื่อนของทิวคงมีปัญหาอะไรสักอย่าง อาจจะเป็นปัญหากับที่บ้านก็ได้ "ตามสบายนะบูม จะพักหลายๆ วันก็ได้ ว่าแต่กินข้าวมาหรือยังล่ะลูก" แม่ทิวถามอย่างเอ็นดู เมื่อได้เห็นหน้าชัดๆ แล้วเธอก็รู้สึกถูกชะตากับบูมอย่างประหลาด แววตาของบูมดูอ่อนโยน ไม่มีพิษภัย จึงทำให้เธอรู้สึกไว้ใจพอสมควร

"ขอบคุณครับแม่ รบกวนหน่อยนะครับ" บูมบอกพลางยกมือไหว้ขอบคุณ แม่ของทิวก็ยกมือรับไหว้ ดูแม่ของทิวเป็นคนใจดีทีเดียว เห็นแล้วเขาก็อยากให้พ่อกับแม่เขาเป็นแบบนี้บ้าง

"กินอะไรมาหรือยังล่ะบูม" ทิวถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าบูมยังไม่ได้ตอบคำถามนั้น

บูมส่ายหน้าแต่ก็มีท่าทีเกรงใจที่จะต้องรบกวนเข้าของบ้าน

"ทิว พาเพื่อนเอาของไปเก็บบนห้องก่อน เดี๋ยวแม่เตรียมอาหารในครัวให้" แม่ของทิวหันไปบอกลูกชาย

"ครับแม่" ทิวรับคำอย่างเร็วไว "ไปบูม เอาของขึ้นไปเก็บบนห้องเราก่อน เดี๋ยวค่อยลงมากินข้าว" ทิวพูดพลางถอดเป้ออกจากหลังของเพื่อนแล้วเอามาช่วยถือ แล้วก็เดินนำบูมขึ้นไปบนชั้นสาม

"เก่งนะเนี่ย มาส่งเราที่บ้านครั้งเดียวก็จำทางได้ด้วย" ทิวคุยไปด้วยระหว่างเดินขึ้นไป จริงๆ คนที่มาส่งเขาคือพี่บีม พี่ชายของบูมที่เป็นคนรับอาสาส่งเพื่อนๆ ของทิวกับบูมจนถึงบ้านของทุกคนต่างหาก แต่บูมนั่งมาด้วยก็เลยพอจำได้

"นายนั่งแท็กซี่มาเหรอ"

บูมพยักหน้า

พอมาถึงห้องนอนของทิวแล้ว ทิวก็ทำสีหน้าอายๆ "รถแล้วก็เล็กหน่อยนะ"

"ไม่เป็นไรหรอก คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก" บูมบอกพลางพยายามยิ้ม ทิวก็หันมายิ้มด้วย เห็นท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงของเพื่อนแล้วก็ได้แต่สงสาร

"เราเอากระเป๋าวางไว้นี่ก่อนนะ ปะ ลงไปกินข้าวกันดีกว่า" ทิววางกระเป๋าของเพื่อนไว้บนเก้าอี้ที่เขาใช้นั่งทำงานแล้วก็พาบูมลงไปข้างล่างอีกครั้ง

เข้ามาในห้องครัวก็เห็นแม่ของทิวที่กำลังอุ่นอาหารด้วยเตาไมโครเวฟอยู่ โชคดีที่แม่ของทิวมักจะซื้ออาหารที่กึ่งสำเร็จรูปที่อุ่นด้วยไมโครเวฟแล้วก็กินได้เลยมาติดไว้เป็นประจำ เพราะทิวชอบหิวตอนดึกๆ บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาอ่านหนังสือสอบ

พอได้ที่แล้วแม่ของทิวก็ยกขึ้นมาตั้งไว้บนโต๊ะอาหาร เป็นข้าวกับแกงพะแนงหมู ควันฉุยน่ากินทีเดียว

"ตามสบายนะจ๊ะ" แม่ทิวบอกพลางไปหยิบช้อนมาให้ ทิวพาเพื่อนเดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร บูมรับช้อนส้อมมาจากแม่แล้วก็ขอบคุณ

"เห็นแล้วหิว เดี๋ยวเรากินด้วยมั่งดีกว่า" ทิวพูดพลางขำ แล้วก็เดินไปเปิดตู้เย็นเอาอาหารแช่แข็งออกมา "นายกินไปก่อนนะบูม ไม่ต้องรอเราหรอก นายคงหิวแย่" เขาไม่ลืมที่จะบอกเพื่อนเมื่อเห็นบูมทำท่าเหมือนจะรอกันพร้อมกัน

"แม่ขึ้นไปนอนก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมกับบูมจัดการเองครับ" ทิวหันไปบอกแม่เมื่อเห็นแม่รออยู่ แม่ของทิวยิ้ม พยักหน้าน้อยๆ แล้วก็เดินขึ้นไป

บูมตักข้าวกินช้าๆ พลางเหลือบไปมองทิวที่ง่วนกับการอุ่นอาหารเป็นระยะๆ

"กินเลยไม่ต้องรอ" ทิวบอกเบาๆ อย่างรู้ทัน

"ไม่เอา เรารอนายด้วยดีกว่า" บูมตัดสินใจ

"ตามใจ" ทิวบอกแล้วก็เดินไปหยิบชามมาใส่เกี๊ยวกุ้งที่อุ่นเสร็จพอดี จากนั้นก็ยกมานั่งกินตรงฝั่งตรงข้ามกับบูม

"นายกินอะไร" บูมถามพลางชะโงกไปดู

"เกี๊ยวกุ้ง ของโปรดของเรา" ทิวบอกพลางตักกินอย่างเอร็ดอร่อย บูมจึงเริ่มกินบ้าง

"ลองไหม อร่อยนะ" ทิวเชื้อชวน บูมส่ายหน้าเพราะไม่อยากแย่งเพื่อนกิน

"ไม่ดีกว่า เดี๋ยวนายไม่อิ่ม นายยิ่งกินเยอะอยู่" บูมพูดพลางหัวเราะเบาๆ เขาเริ่มรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

กินข้าวเสร็จ ทิวกับบูมก็ช่วยกันล้างจาน ปิดไปชั้นล่างแล้วก็ขึ้นมาข้างบนห้องนอน

"นายอาบน้ำตามสบายเลยนะ" ทิวบอกเพื่อนแล้วก็เดินไปเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของเขาเพื่อที่จะเล่นเกมส์รอเพื่อนระหว่างที่อาบน้ำ

"เอาเสื้อผ้าของนายแขวนในตู้เสื้อผ้าของเราเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ ในนั้นมีไม้แขวนเสื้อเหลืออยู่" ทิวบอกแล้วก็หันมาสนใจกับคอมพิวเตอร์ต่อ สักพักหนึ่งเขาก็หันไปมองเพื่อน ตอนนี้บูมอยู่ในชุดผ้าเช็ดตัวผืนเดียว รูปร่างของบูมดูแข็งแรงและมีกล้ามเนื้อพอสมควร แม้เขาจะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายนัก แต่บูมก็ไม่กินจุกจิกจึงทำให้ไม่อ้วน จริงๆ บูมกับทิวก็มีรูปร่างที่ไม่ต่างกันมากนัก ไม่อ้วนไม่ผอม ไม่สูงมาก เหมือนผู้ชายไทยทั่วๆ ไป แต่ที่ทิวรู้สึกแปลกใจก็คือ เขารู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูกที่ได้เห็นรูปร่างของเพื่อน เขาก็เคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนผู้ชายในห้องก็บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลย เขาเป็นอะไรไป ทำไมเขารู้สึกแบบนี้ แต่ก่อนที่เขาจะฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ บูมก็เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำแล้ว ทิวถอนหายใจเฮือกเพราะไม่เข้าใจตัวเอง ก่อนจะหันมาเล่นเกมส์ต่อ

ไม่นานนักบูมก็ออกมาในชุดคล้ายๆ กับเขาคือเสื้อกล้ามและกางเกงบ็อกเซอร์ แต่ดูจากเนื้อผ้าแล้วของบูมคงจะแพงกว่าหลายเท่า

"อาบน้ำไวจัง" ทิวทักด้วยสีหน้าแปลกใจ

"เกรงใจนายน่ะ ดึกแล้ว" บูมบอกพลางใช้ผ้าเช็ดตัวเช็ดผมให้แห้ง

"ตากตรงระเบียงได้นะ" ทิวบอกเมื่อเห็นบูมหันรีหันขวางหาที่ตากผ้าเช็ดตัว

บูมเปิดประตูออกไปตรงระเบียงแล้วก็ตากผ้าเช็ดตัวกับชุดชั้นใน มีราวตากผ้าตั้งไว้อยู่ตรงนี้ด้วย เรียบร้อยแล้วบูมก็เดินกลับเข้ามาในห้องนอน

"ขอบใจนะทิว เรารบกวนหน่อยนะ" นี่คือสิ่งที่บูมอยากบอกเมื่อเดินกลับเข้ามา

ทิวปิดคอมพิวเตอร์แล้วก็หันมายิ้มให้เพื่อน สีหน้าของบูมดูดีขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว

"คิดซะว่าเป็นบ้านของนายละกัน" ทิวบอกแล้วเดินมาหาเพื่อน "นอนเลยไหม"

บูมพยักหน้า วันนี้ทิวอยากรู้เรื่องอะไรที่เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เขาก็ยินดีที่จะเล่าให้เพื่อนฟังทุกอย่างที่เขาบอกได้ ทิวจะเป็นคนแรกที่บูมจะยอมเปิดใจเล่าสิ่งสำคัญให้ฟัง เพราะเขามั่นใจในตัวทิวแล้ว มั่นใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมั่นใจมาก่อน