Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 132
#132, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 21-Apr-12 at 07:08 AM
In response to message #0
ตอนที่ 32

วันนี้บูมมาช่วยพ่อทำงานที่บริษัทเหมือนเช่นเคย เขายังคงมีสีหน้าเครียดๆ อยู่ตั้งแต่ทะเลาะกับแม่มาเมื่อสองสามวันก่อน แม้ว่าทิวจะคอยช่วยปลอบใจแต่ก็ดูเหมือนว่าบูมก็ยังคงสลัดความกังวลไปไม่พ้นอยู่ดี

บูมไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูเหมือนพ่อจะคอยสังเกตดูเขาอยู่บ่อยๆ เวลาที่เขาเข้าไปทำงานกับพ่อในห้องสองคน ท่าทางของพ่อเหมือนอยากจะคุยกับเขา แต่ก็ยังสงวนท่าทีไว้อยู่กลายๆ ปกติเวลามาทำงานแบบนี้บูมกับพ่อไม่ค่อยได้คุยเรื่องส่วนตัวกันนัก ส่วนมากก็คุยแต่เรื่องงาน พ่อจะคอยสอนงานให้บูมหลายอย่าง บางวันก็ตามพ่อออกไปนำเสนองานหรือประชุมบ้าง บางวันก็ไปดูโครงการที่จะเริ่มทำ หรือไม่ก็อยู่ระหว่างดำเนินการ หรือไม่ก็โครงการที่เสร็จไปแล้ว บูมเป็นคนฉลาดและหัวไวจึงทำงานได้ไม่ค่อยมีปัญหานัก ดูเหมือนบูมจะทำให้พ่อพอใจและมีความหวังมากทีเดียว

ก่อนจะออกไปกินข้าวเที่ยง ในที่สุดคุณลิขิตก็เหมือนจะอดรนทนไม่ไหวหลังจากที่จดๆ จ้องๆ อยู่นาน

"เอ่อ...บูม..."

บูมค่อยๆ ละมือจากคอมพิวเตอร์แล้วก็หันไปหาพ่อ

"ครับพ่อ" ขานรับด้วยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย ดูเหมือนพ่อจะอึกๆ อักๆ ราวกับไม่แน่ใจว่าจะพูดดีหรือไม่

"วันหลัง...พาทิวมารู้จักกับพ่อบ้างสิ" คุณลิขิตตัดสินใจพูดออกไปหลังจากที่คิดทบทวนมาแล้วหลายวัน เมื่อเขาเข้าใจลูกชายคนโตได้ เขาก็ควรจะต้องเข้าใจลูกชายคนเล็กด้วย

"ทิวไหนครับพ่อ" ดูเหมือนบูมจะงงๆ เขาไม่คิดด้วยซ้ำว่า "ทิว" ที่พ่อพูดถึงก็คือคนที่เขารัก พ่ออาจจะหมายถึงทิวคนอื่นหรือคนไหนสักคน คงไม่ใช่ทิวนี้อย่างแน่นอน

"ก็ทิว...แฟนของลูกไง"

"พ่อ!!!" บูมแทบไม่เชื่อหูตัวเองกับสิ่งที่ได้ยิน พ่อเรียกทิวว่าเป็นแฟนของเขา พ่อยอมรับเรื่องนี้ได้แล้วหรือ มันเกิดอะไรขึ้น เขากำลังฝันไปหรือเปล่า

คุณลิขิตเดินมาหาลูกชายที่นั่งตะลึงงันอยู่อย่างช้าๆ เขาแตะไหล่ลูกชายคนเล็กเบาๆ แล้วยิ้ม "บูม...พ่อมาคิดๆ ดูแล้ว...พ่อคิดว่า...พ่อควรจะรักบูมอย่างที่บูมเป็น พ่อไม่ควรจะบังคับบูมในสิ่งที่บูมเปลี่ยนแปลงไม่ได้ พ่อก็เลยอยากจะรู้จักทิว...บางที...พ่ออาจจะเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น...พ่ออยากเข้าใจบูมมากขึ้น...เข้าใจสิ่งที่บูมเป็นอยู่น่ะลูก"

"พ่อ"

บูมลุกขึ้นยืนแล้วก็กอดพ่อไว้ เขายิ้มทั้งน้ำตาด้วยความดีใจ "ขอบคุณครับพ่อ...บูมรักพ่อที่สุดในโลกเลยครับ"

ในที่สุดคุณลิขิตก็ได้ยินประโยคนี้อีกครั้ง บูมชอบพูดประโยคนี้เมื่อสมัยยังเด็กแล้วก็ไม่เคยพูดอีกเลยหลังจากที่โตขึ้น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วลูกของเขาทั้งสองคนเป็นเด็กขี้อ้อน พ่อแม่หลงรักนักรักหนา แต่เพราะความหวังดีที่มากจนเกินไป ครอบครัวที่เคยมีความสุขและเสียงหัวเราะก็กลับมีแต่ความตึงเครียดและเสียงทะเลาะกัน

"พ่อก็รักบูมนะ...บูมก็รักแม่ด้วยใช่ไหมลูก"

"ครับ" บูมตอบสั้นๆ รักแม่นั้นก็รักอยู่แล้วล่ะ แต่ตอนนี้เขากับแม่ก็บาดหมางใจกันจนเขาเข้าหน้าแม่ไม่ติดแล้ว ถ้าแม่ยังไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นอยู่แบบนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะได้บอกรักแม่เหมือนที่บอกพ่ออยู่ตอนนี้หรือเปล่า

"พ่อ...ต้องขอโทษบูมด้วยกับสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด"

"พ่ออย่าพูดอย่างนั้นสิครับ แค่พ่อยอมรับสิ่งที่บูมเป็นได้ผมก็ดีใจแล้วครับ"

สองพ่อลูกมองหน้ากันอีกครั้งแล้วก็ยิ้ม

"ให้เวลาแม่เขาหน่อยละกันนะบูม...แม่เขาเป็นคนใจแข็ง...ขี้โมโห...แต่เขาก็รักบูมมากนะ...สักวันเขาจะเข้าใจ"

บูมพยักหน้า เขาก็รู้ว่าแม่รักและเป็นห่วง แต่เขาก็อยากให้แม่เข้าใจและบังคับเขาน้อยลงบ้าง "แล้วพี่บีมล่ะครับพ่อ"

คุณลิขิตอดขำไม่ได้ เขารู้ว่าบูมคงกลัวบีมจะน้อยใจนั่นเอง หลายปีมานี้ความทุ่มเทของพ่อกับแม่ดูเหมือนจะมีให้กับบูมมากกว่าพี่ชาย บูมกลัวพี่บีมจะน้อยใจเหมือนกัน เขาไม่เคยถามหรอกว่าพี่บีมน้อยใจหรือเปล่า แต่ก็เดาเอาว่าพี่บีมคงรู้สึกบ้างไม่มากก็น้อย

"พ่อแม่ก็รักลูกทุกคนนั่นแหละบูม บูมไม่ต้องกังวลหรอก จริงๆ บีมเขามาคุยกับพ่อเรื่องของบูมแล้ว บีมเขาช่วยอธิบายให้พ่อเข้าใจบูมมากขึ้น พี่บีมเขาเป็นคนมีความคิดดีๆ เยอะเลยนะลูก เมื่อก่อนพ่อไม่เคยภูมิใจที่พี่ชายของบูมไปเรียนศิลปะเลย แต่ศิลปะก็สอนให้บีมเป็นคนละเอียดอ่อน รู้จักคิด รู้จักสังเกต บีมช่วยทำให้พ่อเห็นอะไรหลายๆ อย่างที่พ่อไม่เคยเห็นมาก่อน วันนี้...พ่อก็ภูมิใจในตัวบีมเหมือนกับที่พ่อก็ภูมิใจในตัวบูม"

"จริงเหรอครับพ่อ" บูมพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางดีใจ เขาอดที่จะกอดผู้เป็นพ่ออีกครั้งไม่ได้ ขอบคุณพี่บีมจริงๆ ที่ดีกับน้องชายดื้อๆ อย่างเขามาตลอด ถ้าพี่บีมไม่ช่วยเขาแล้วบูมก็คงแย่เหมือนกัน

"จริงสิลูก บูมอย่าลืมพาทิวมาหาพ่อละกัน..."

"ครับพ่อ" บูมตอบรับอย่างดีใจ

-----------------------------------------------------

นานเท่าไรแล้วที่ครอบครัวเทพย์สถิตพิทักษาไม่ได้กินข้าวเย็นพร้อมหน้าพร้อมตาสี่คนพ่อแม่ลูกแบบนี้ แต่บีมก็ช่วยทำให้มันเกิดขึ้นได้แม้ว่าจะขลุกขลักนิดหน่อยเพราะแม่กับบูมยังอิดๆ ออดๆ อยู่ สีหน้าแต่ละคนยิ้มแย้มแจ่มใสกันมากทีเดียว ยกเว้นคุณทิพย์นภาที่ยังคงบึ้งตึงและเงียบขรึมอยู่

"พ่อครับ ปลาทอดสามรส อร่อยนะครับพ่อ พ่อลองกินดูสิครับ" บีมพูดพลางใช้ส้อมแซะเอาเนื้อปลาใส่จานให้พ่อ

"โห..พี่บีมน่ะ ผมกำลังจะตักปลาตัวนี้ให้พ่ออยู่พอดีเลย ทำไมมาแย่งผมล่ะ" บูมหันไปว่าพี่ชาย แต่ก็ไม่จริงจังนัก

"อ้าว...พี่จะรู้ได้ไงล่ะ ก็บีมไม่ได้บอกพี่นี่นา" บีมหันมาแก้ตัว

"งั้นพ่อกินยำถั่วพลูด้วยดีกว่า บูมจำได้ว่าพ่อชอบกิน" บูมพูดแล้วก็ตักยำถั่วพลูให้พ่อบ้าง คุณลิขิตหัวเราะชอบใจที่เห็นลูกๆ แย่งกันเอาใจเขา

คุณทิพย์นภามองลูกชายสองคนที่แย่งกันเอาใจพ่อด้วยความไม่เข้าใจนัก เธอก็ไม่รู้หรอกว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่มันก็ทำให้เธอนึกถึงสมัยที่ลูกสองคนของเธอยังเป็นเด็กได้มากทีเดียว บรรยากาศแบบนี้หายไปนานจนเธอลืมไปแล้วว่าครอบครัวเคยมีความสุขและเสียงหัวเราะแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

"เอาใจพ่อกันใหญ่เลย ตักให้แม่เขาด้วยสิลูก เดี่ยวแม่เขาน้อยใจ" คุณลิขิตบอกแล้วก็หันไปมองภรรยาที่ยังคงมีสีหน้าเครียดๆ อยู่

บูมกับบีมมองหน้ากันเลิ่กลั่กเหมือนกับจะตกลงกันว่าใครควรจะตักให้แม่ก่อน สุดท้ายบีมก็เป็นคนตักปลาให้แม่เพราะถ้ามัวแต่เกี่ยงกันแบบนี้แม่คงจะน้อยใจแย่

"อร่อยนะครับแม่ ลองกินดูครับ" บีมตักให้พลางยิ้ม แต่เขาก็ไม่ค่อยมั่นใจกับอารมณ์ของแม่ในขณะนี้นัก

คุณทิพย์นภามองหน้าลูกคนโตที่พยายามเอาใจด้วยความรู้สึกมึนงงเพราะยังปรับตัวไม่ถูก แต่ด้วยความมีทิฐิบวกกับความน้อยอกน้อยใจ เธอก็เลยไม่กินเสียอย่างนั้น

"แม่ไม่กิน...แม่ไม่หิว"

"คุณก็...ลูกอุตส่าห์ตักให้" คุณลิขิตหันไปตำหนิภรรยา

เห็นสามีกับลูกๆ กลับมาเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยโดยไม่ทราบสาเหตุแบบนี้คุณทิพย์นภาก็ยิ่งน้อยใจไปกันใหญ่ จริงๆ เธอก็เป็นเพียงแม่ธรรมดาคนหนึ่งที่อยากให้ลูกๆ เอาใจบ้างเท่านั้นเอง

"ทิพย์ไม่หิวค่ะ ขอตัวนะคะ"

คุณทิพย์นภาพูดจบแล้วก็วางช้อนส้อมลง แล้วก็เดินหนีไปทันที พ่อลูกสามคนได้แต่มองหน้ากันอย่างงงๆ แล้วพ่อก็หันมาพยักพเยิดให้บูมตามแม่ไป

"ไปสิบูม" บีมสะกิดน้องชายที่ยังนั่งงงอยู่

บูมจึงค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วก็วิ่งตามแม่ไปตามที่พ่อและพี่ชายแนะนำ บูมทำใจดีสู้เสือแล้วก็เรียกแม่

"แม่...กินข้าวด้วยกันก่อนสิครับ นานๆ เราจะได้กินข้าวด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา"

คุณทิพย์นภาหยุดหันมามองลูกชายคนเล็ก ถึงจะรู้สึกดีใจที่ลูกตามมาเอาใจแต่เธอก็ยังมีฟอร์มอยู่ดี "ฉันไม่กิน"

คุณทิพย์นภากระแทกเสียงแล้วก็เดินขึ้นบันไดไป ก่อนจะหยุดแล้วหันมามองลูกชายคนเล็กที่ยืนหน้าเสียเพราะถูกตวาด

"อ้อ...บูมควรจะหาที่เรียนต่อได้แล้วนะ จบโครงการเมื่อไรแม่จะให้บูมไปเรียนเมืองนอก จะได้..." อยู่ๆ คุณทิพย์นภาก็หยุดพูดเหมือนนึกได้ว่ายังไม่ควรพูดสิ่งนั้นในตอนนี้

"ครับ" บูมรับคำ

พอแม่เดินขึ้นห้องไปแล้วบูมก็เดินหน้าม่อยกลับมานั่งที่เดิม บรรยากาศดูกร่อยไปพอสมควรเพราะตั้งใจว่าจะได้กินข้าวพร้อมๆ กัน เผื่อจะทำให้บรรยากาศในครอบครัวคลายความตึงเครียดลงไปบ้าง แต่แม่ก็เป็นคนมีทิฐิเสียเหลือเกิน

"ให้เวลาแม่เขาอีกหน่อยละกันนะบูม" พ่อพยายามปลอบใจ เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาพูดประโยคนี้ รู้สึกสงสารทั้งลูกชายที่โดนแม่ตวาดและสงสารภรรยาที่มัวแต่ยึดมั่นถือมั่นจนทำให้ตัวเองเป็นทุกข์

"ครับพ่อ" บูมตอบไปโดยที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่ยังต้องการเวลาอีกนานแค่ไหน อีกด้านหนึ่ง เขาก็เริ่มรู้สึกผิดที่ทำให้แม่มีสภาพไม่ต่างจากคนที่กำลังตรอมใจอยู่ในตอนนี้ ยังไงแม่ก็เป็นแม่ เป็นไปไม่ได้เลยที่บูมจะมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของแม่ตัวเอง

------------------------------------------------------

ทิวย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านของตัวเองหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ในใจของบูมก็ยังคงระแวงอยู่ว่าแม่จะส่งคนมาทำร้ายทิวอีกหรือไม่ ทำให้เขาแทบอยู่ไม่เป็นสุขเลยทีเดียว

วันที่กลับมานั้นนอกจากบูมแล้วเอิร์ธกับวิทก็ขอมาส่งทิวที่บ้านด้วย พอเก็บของเสร็จก็พากันออกไปซื้อของที่หน้าปากซอยมากินในบ้าน อิ่มแล้วเอิร์ธก็เลยขอให้ทิวกับบูมร้องเพลงให้ฟังเสียเลย

"น่า...ร้องให้พวกผมฟังหน่อย ได้ยินว่าเสียงดีแล้วก็เคยเป็นคู่หูดูโอ้กันสมัยเรียนไม่ใช่เหรอ" เอิร์ธคะยั้นคะยอเมื่อเห็นทั้งคู่ยังอิดออด

วิทเดินไปหยิบกีตาร์โปร่งไฟฟ้าของทิวที่วางไว้ใกล้ๆ กับมุมคีย์บอร์ดมายื่นให้ทิว ก็เท่ากับเป็นการบังคับให้สองหนุ่มร้องเพลงด้วยกันกลายๆ นั่นเอง

ทิวรับมาแล้วก็ยิ้มเขินๆ ตอนนี้แขนเขาหายดีแล้ว สามารถเล่นได้ไม่มีปัญหาอะไร

"ร้องเพลงนั้นเลย ที่เมื่อก่อนร้องด้วยกันบ่อยๆ เพลงอะไรนะ...จำชื่อไม่ได้" เอิร์ธหันไปถามวิทที่นั่งข้างๆ

"ดีใจๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ" วิทเดา "จำได้ใช่ไหมครับ ร้องเลยๆ อยากฟังๆ" วิทช่วยคะยั้นคะยออีกแรง

ทิวกับบูมหันมายิ้มให้กันแล้วก็เริ่มต้นร้องเพลงโดยมีทิวเป็นคนเล่นกีตาร์ บูมเป็นคนร้องและทิวคอยประสานเหมือนเช่นเคย

เอิร์ธกับวิทนั่งยิ้มและตั้งใจฟัง เห็นทิวกับบูมร้องเพลงด้วยกัน ยิ้มให้กันหรือสบตากันแล้วบางครั้งสองหนุ่มก็รู้สึกเขินแทน

เมื่อจบเพลง เอิร์ธกับวิทก็ตบมือและชมกันใหญ่

"สุดยอดเลย เดี๋ยวจะเอาขึ้นยูทูบ ไม่ลองทำอัลบั้มคู่กันดูล่ะ ผมว่าดังแน่ๆ เลย ไม่น่าเชื่อเลยว่าเด็กเรียนอย่างบูมจะร้องเพลงเก่งขนาดนี้" เอิร์ธชมพร้อมกับยุไปด้วย

ทิวกับบูมยิ้มแก้มแทบปริ แต่ก่อนที่จะพูดอะไรนั้น ทุกคนก็สังเกตเห็นทิวทำสีหน้าอึ้งๆ เหมือนกับเจออะไรบางอย่าง พอหันไปมองตามก็เห็นชายคนหนึ่งยืนฟังอยู่เงียบๆ ข้างหลัง ดูเหมือนว่าจะยืนฟังได้สักพักหนึ่งแล้ว

"อ้าวต้อง มาตั้งแต่เมื่อไรวะ" บูมร้องทัก

ต้องมายืนฟังได้สักพักแล้วล่ะ พอดีทิวเปิดบ้านทิ้งไว้ เขาก็เลยเดินเข้ามาเงียบๆ ทุกคนมัวแต่สนใจการร้องเพลงของทิวกับบูมอยู่ก็เลยไม่มีใครเห็นว่าเขาเข้ามายืนฟังด้วย เขาพยายามมองไปที่ทิวแต่ทิวก็หันหน้าหนี บูมสังเกตดูอาการของทั้งสองคนด้วยความแปลกใจ

"ก็...เมื่อกี้นี้แหละ แต่ว่า...ทิวมีแขกใช่ไหม เดี๋ยว...กลับก่อนก็ได้" ต้องบอกด้วยน้ำเสียงประหม่าแล้วก็ทำท่าจะหันหลังกลับ

บูมลุกเดินไปหาแล้วก็เรียกไว้ "เดี๋ยวก่อนสิ ไม่อยู่คุยกันก่อนล่ะ"

"ไม่เป็นไร จะกลับละ" ต้องบอกด้วยน้ำเสียงและท่าทางน้อยใจแล้วก็หันหลังเดินออกไป คนอื่นได้แต่มองตามอย่างงงๆ

วันนี้ ต้องตั้งใจจะมาขอโทษทิวโดยเฉพาะหลังจากที่หายไปหลายวัน แต่ทิวก็ดูเหมือนยังคงโกรธเขามากเพราะไม่ยอมมองหน้าเขาเลย อีกอย่าง ยิ่งได้มาเห็นทิวกับบูมร้องเพลงให้เพื่อนอีกสองคนฟังอย่างมีความสุขด้วยแล้ว ต้องก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่ควรอยู่ตรงนี้ หรือจะว่าไปแล้ว เขาไม่ควรมาหาทิวอีกเลย

"เป็นไรของมันวะ" บูมพูดกับตัวเองอย่างงงๆ แล้วก็เดินกลับมานั่งที่โซฟานั่งเล่นเช่นเดิม ทำไมสีหน้าทิวเปลี่ยนไปเมื่อเจอต้อง ต้องมีอะไรบางอย่างระหว่างสองคนนี้อย่างแน่นอน ปกติทิวไม่เคยแสดงท่าทางแบบนี้กับต้องนี่นา หรือว่า...ทิวจะรู้แล้วว่าต้องคิดอะไรกับเขา

-------------------------------------------------

หลังจากเพลิดเพลินกับการฟังทิวกับบูมร้องเพลงแล้ว เอิร์ธกับทิวก็ยังอยู่ต่อเพราะว่าจะได้ช่วยอัปเดตการทำงานให้ทิวฟังด้วย พร้อมกับถือโอกาสประชุมหารือการทำงานไปด้วยเพราะช่วงนี้เริ่มประชาสัมพันธ์การประกวดการออกแบบทางเท้าและเริ่มมีคนส่งผลงานเข้ามาบ้างแล้ว

จนกระทั่งเกือบสามทุ่ม สองหนุ่มจึงได้กลับไป ทิวกับบูมจึงได้มีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพังสองคน พอเพื่อนไปแล้วบูมจึงมานั่งคุยกับทิวที่หน้าบ้านเพื่อที่จะถามสิ่งที่เขาสงสัยเมื่อช่วงกลางวัน แต่บูมก็ไม่ได้เริ่มด้วยเรื่องนั้นทันที

"ทิว...จบโครงการแล้ว...เราจะไปเรียนต่อโทที่เมืองนอกนะ"

ทิวได้ยินแล้วก็ใจหาย เขาเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปเลย นี่เขากับบูมจะต้องจากกันอีกแล้วหรือ

"ทิว...รอเราได้ใช่ไหม ไม่นานหรอก...อย่างมากก็ไม่น่าจะเกินสามปี แต่เราจะตั้งใจเรียน เรียนให้จบแล้วก็จะรีบกลับมาเลย"

แม้บูมจะบอกอย่างนั้น แต่ทิวก็รู้สึกไม่มั่นใจเลย เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง เขากลัวเหลือเกินว่าบูมจะจากไปแล้วอาจจะไม่ได้กลับมาอีกเลย

เห็นทิวทำหน้าซึมๆ บูมก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วง "เรา...ไม่ได้ทิ้งนายนะทิว มันเป็นสิ่งที่เราอยากจะทำให้พ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย เขาอยากให้เราเรียนสูงๆ เพื่อที่จะกลับมาดูแลกิจการที่พ่อทำไว้ต่อ ยังไงเราก็ต้องทำให้พ่อกับแม่ นายเข้าใจเราใช่ไหมทิว เราเป็นห่วงนายนะ เราก็ไม่อยากไปหรอก แต่มันจำเป็น นายเชื่อใจเราหรือเปล่าทิว"

ทิวเข้าใจสิ่งที่บูมอธิบายอยู่แล้วล่ะ ปัญหาคงไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก แต่...เขากลัวใจของแม่บูมเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นจะกลับมาซ้ำรอยอีกหรือเปล่า "เราเชื่อใจนายเสมอนะบูม แต่...เรากลัว...กลัวว่าแม่ของนายจะ..."

บูมรีบเขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆ กับทิวแล้วโอบไหล่เขาไว้ เขารู้ว่าทิวกำลังหวั่นไหวและไม่มั่นใจกับอะไรบางอย่างในตอนนี้ "ทิว...นายคิดไหมว่าระยะเวลาสี่ปีกว่านี่ก็นานมากนะ...นานพอที่จะทำให้เราลืมใครบางคนได้เลยล่ะ นานพอที่จะทำให้หัวใจที่บาดเจ็บหายได้ นานพอที่จะทำให้เรารู้สึกห่างเหินกับใครบางคนที่เราเคยรู้จักจนกลายเป็นคนแปลกหน้าได้ เราก็เป็นอย่างนั้นกับคนอื่นๆ หลายคนเมื่อเรากลับมา แต่...ไม่ใช่สำหรับนาย สี่ปีกว่ามันยาวนานก็จริง แต่ก็มันยังไม่นานพอที่จะทำให้เราลืมนาย ห่างเหินหรือว่าเห็นนายเป็นคนแปลกหน้าได้ นายรู้ไหมว่าทำไม...เพราะเรารักนายมากไงทิว นายคือรักแรกของเรา คือคนที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา คือคนที่พิสูจน์ให้เห็นว่านายรักและดีกับเรามากแค่ไหน เราไม่เคยลืมสิ่งดีๆ ทุกอย่างที่นายเคยทำให้เราเลยนะ มันอยู่ในใจตลอด อยู่ในทุกความคิดถึง อยู่ในทุกลมหายใจ เราอยากให้นายมั่นใจว่า...เราจะกลับมาหานายอย่างแน่นอนถ้าเราไม่เป็นอะไรไปเสียก่อน เราอยากกลับมาใช้ชีวิตที่มีความสุขกับนายเหมือนกับตอนนี้ ไม่ว่ามันจะยากลำบากแค่ไหน...เราก็ยินดีที่ฝ่าฟันและกลับมาหาคนที่เรารักให้ได้"

ทิวกอดบูมตอบด้วยความรู้สึกอุ่นใจที่ได้ยินเช่นนั้น อย่างน้อยเขาก็มั่นใจมากขึ้นมาว่า ความรัก ไม่ว่ามันจะอยู่ไหน พลังดึงดูดของมันก็จะนำคนสองคนมาเจอกันได้เสมอ เหมือนที่เขากับบูมได้กลับมาเจอกันในครั้งนี้ แต่ถ้ามันจะไม่เป็นเช่นนั้น มันก็คือความจริงที่เขาก็ต้องยอมรับ อะไรจะเกิดมันก็คงต้องเกิด เพราะยังไงแล้วบูมก็ต้องไปเรียนต่อ เขาไม่สิทธิ์ที่จะกักขังหน่วงเหนี่ยวบูมไว้ไม่ว่าจะรักและหวงแหนมากแค่ไหน

"ทิว...เราถามอะไรหน่อยสิ"

ทิวเงยหน้าขึ้นมองแต่ก็ยังคงกอดบูมไว้อยู่ "อะไรเหรอ"

"นาย...กับต้อง...มีปัญหาอะไรกันหรือปล่า เรารู้สึกอย่างนั้น ไม่รู้เราคิดไปเองหรือเปล่านะ แต่ว่า...ทำไมวันนี้ต้องมันมาแล้วก็กลับไปเลย ไม่ยอมคุยกับนาย"

ทิวค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งตัวตรง เขารู้สึกหนักใจเพราะไม่รู้ว่าเขาควรจะบอกบูมดีหรือไม่ เมื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแบบนี้จนแทบจะเหมือนกับเป็นสามีภรรยากันก็ทำให้ทิวรู้สึกผิดที่ต้องปิดบังบางสิ่งบางอย่าง แต่ในขณะเดียวกันทิวก็ไม่อยากให้บูมรู้และไม่สบายใจ เผลอๆ เรื่องมันอาจจะบานปลายไปกันใหญ่ ถึงเขาจะรู้สึกผิดหวังกับสิ่งที่ต้องทำมากแค่ไหน แต่ทิวก็รู้ว่าต้องไม่ได้ตั้งใจ ต้องอาจจะเมาจนขาดสติ เพียงแต่ตอนนี้ทิวยังไม่พร้อมที่จะคุยกับต้องเท่านั้นเอง

"นายไว้ใจเราใช่ไหมทิว นายมีอะไรก็บอกเราได้นะ เรายินดีรับฟังทุกอย่าง ถ้านายพร้อมที่จะบอก เราก็อยากฟัง ตอนนี้...เราสองคนก็ใช้ชีวิตไม่ต่างจากคู่สามีภรรยาทั่วไปแล้วนะ มีอะไรเราก็ควรจะพูดคุยกันรู้ไหม"

ทิวพยักหน้าตอบรับแต่ก็ยังคงมีสีหน้ากังวลใจอยู่ "เรา...ทะเลาะกันน่ะบูม แต่ว่า...เรายังไม่พร้อมที่จะเล่าให้นายฟังตอนนี้ นายคงไม่ว่าเราใช่ไหมบูม"

บูมยิ้มแล้วก็ดึงทิวมาซบไหล่เขาอีกครั้งแล้วก็ตอบไปว่า "แล้วแต่นายละกัน เราไม่บังคับนายหรอก ถ้าพร้อมเมื่อไรนายค่อยบอกเราก็ได้" บูมปล่อยทิวเป็นอิสระแล้วก็พูดต่อไปว่า "จริงๆ แล้ว...ต้องมันชอบนายนะ นายรู้แล้วใช่ไหมทิว"

ทิวหันมาสบตากับบูมอีกครั้ง เขายิ้มเศร้าๆ และพยักหน้า "แต่เรา...ไม่เคยคิดอย่างนั้นกับต้องเลย ต้องเป็นเพื่อนที่ดีของเรานะบูม...แต่ยังไงเราก็รักต้องแบบนั้นไม่ได้ เรา...ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันที่จะช่วยให้ต้องเข้าใจ" แล้วทิวก็ถอนหายใจด้วยความหนักใจ

สิ่งที่ทิวบอกนั้นก็พอจะทำให้บูมพอรู้ได้ว่าทิวกับต้องน่าจะมีปัญหากันเพราะเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย "เราเชื่อใจนายนะทิว...ตอนนี้ สิ่งที่นายพยายามจะบอกต้องคงไม่เป็นผลมากนัก นายคงต้องให้เวลาต้อง ให้เขาได้คิดทบทวน ทำใจ เราคิดว่า...ต้องจะเข้าใจในที่สุด"

ทิวรู้สึกดีใจที่บูมไม่ได้พูดถึงต้องในทางไม่ดีเมื่อรู้ว่าต้องคิดอะไรกับเขา อย่างน้อยก็ทำให้ทิวรู้ว่าบูมเป็นผู้ชายที่มีสปิริตมาก

"นายหึงหรือเปล่า" ทิวถามเบาๆ ด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย

บูมรวบตัวทิวมากอดไว้แล้วก็รีบบอก "หึงสิ...ทำไมจะไม่หึงล่ะ ก็แฟนเรา...น่ารักขนาดนี้จะไม่หึงได้ยังไงล่ะ จริงไหม" แล้วก็หัวเราะชอบใจเมื่อเห็นทิวยิ้มอายๆ

"ทิว...เรามีข่าวดีจะบอกนายอย่างหนึ่ง นายจะต้องประหลาดใจมากอย่างแน่นอน"

"อะไร นายถูกหวยเหรอ"

"บ้าสิ...เราไม่เคยซื้อซะหน่อย" แล้วบูมก็ขำก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมากขึ้น "พ่อของเราอยากเจอนาย เราก็เลยคิดว่า...วันจันทร์นี้ เราจะพานายไปกินข้าวกลางวันกับพ่อซะหน่อย"

"หมายความว่า...พ่อของนายก็จะ..." ทิวถามด้วยท่าทางงุนงง พ่อของบูมจะต่อว่าอะไรเขาหรือเปล่าถึงได้อยากเจอเขา ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วทิวคงไม่กล้าไปหรอก แค่แม่ของบูมคนเดียวก็เล่นเอาทิวแทบแย่แล้ว

"ไม่ใช่แบบนั้น...พ่อของเราอยากจะเจอ..." บูมเว้นจังหวะให้ทิวตื่นเต้นพร้อมกับรอยยิ้มที่มีเลศนัยของเขา "ว่าที่ลูกสะใภ้ไง"

"จริงเหรอบูม...พ่อนายเขา...เขายอมรับเรื่องนี้ได้แล้วเหรอ" ทิวถามอย่างตื่นเต้น

"อื้อ...ตอนนี้พ่อของเราแล้วก็พี่บีมเขาโอเคกับเรื่องของเราแล้วล่ะ พี่บีมช่วยไปคุยกับพ่อให้"

"โห...จริงเหรอ พี่ชายของนายคงจะรักนายมากเลยนะบูม พยายามช่วยนายมาตลอดเลย เรายังจำได้...พี่บีมเคยพาพวกเราไปซื้อเสื้อผ้าที่จะขึ้นเวทีร้องเพลงกัน พาไปโยนโบล์ พาไปเล่นยิงปืน พาไปกินข้าว...ตั้งหลายอย่างแน่ะ เขาเป็นคนแรกในครอบครัวที่เข้าใจนาย บูมต้องรักพี่บีมให้มากๆ นะ ว่าแต่ว่า...พี่บีมเขาชอบกินอะไรล่ะ เดี๋ยวเราพาไปเลี้ยงข้าว เรายินดียอมทุบกระปุกเลยนะบูม"

บูมได้ฟังแล้วก็ขำ "เดี๋ยวเราจะบอกพี่บีมให้ นายหมดตัวแน่งานนี้"

----------------------------------------------------------

"ทิวใช่ไหม...ฉันมีอะไรอยากจะคุยกับเธอหน่อย วันนี้เธอว่างหรือเปล่า"

เมื่อทิวรับโทรศัพท์เบอร์แปลกๆ สายหนึ่ง เจ้าของเสียงนั้นก็ถามด้วยประโยคนี้ทั้งๆ ที่ทิวยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าใครโทรมาและคนนั้นมีธุระอะไรที่จะคุยกับเขา

"เอ่อ...จากไหนครับ"

"ฉันเป็นแม่ของบูม"

เสียงที่ตอบมาทำให้ทิวเสียวสันหลังวาบ เขานึกว่าแม่ของบูมจะเริ่มลดราวาศอกและเข้าใจความรักของเขากับบูมแล้วเสียอีก ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เขากับบูมก็ยังคบกันเป็นปกติ แม้ว่าทิวจะไม่เคยไปบ้านบูมเลย แต่บูมก็มาหาและรับส่งเขาบ่อยๆ ไม่มีปัญหากับที่บ้านแต่อย่างใด หลังๆ มานี้บูมเหมือนจะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องนี้กับที่บ้านจนเขากับบูมนึกว่าคุณทิพย์นภาคงจะทำใจได้แล้ว

"คุณ...คุณแม่จะคุยอะไรกับผมเหรอครับ" ทิวถามเสียงสั่น สีหน้าเขาดูกังวลจนเห็นได้ชัด ถ้าบูมอยู่สำนักงานวันนี้ ทิวคงทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว

"ฉันไม่ใช่แม่เธอ ไม่ต้องมาเรียกฉันแบบนี้ ตอบฉันมาว่าเธอจะมาคุยกับฉันวันนี้ได้ไหม เรื่องอะไรเดี๋ยวเธอก็รู้เอง อย่าถามมาก"

เสียงที่ดุดันนั้นทำให้ทิวยิ่งประหม่าเข้าไปใหญ่ "ได้ครับ...ที่ไหนครับ"

"ตอนเที่ยงนี้ฉันจะไปรอที่ร้าน...ละกัน ใกล้ๆ กับที่ทำงานของเธอนั่นแหละ ถามคนในออฟฟิศเธอก็ได้ คงจะมีคนรู้จักอยู่หรอก อ้อ...มาคนเดียวล่ะ ห้ามเธอพาใครมาด้วยอย่างเด็ดขาด ที่สำคัญ...ไม่ต้องไปบอกลูกชายฉันล่ะ"

"ครับ" ทิวรับคำ เมื่อวางสายแล้วเขาก็ยืนนิ่งด้วยหวั่นไหวและวิตกกังวล คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคุณทิพย์นภาคงไม่ถึงขั้นขอคุยกับเขาด้วยตัวเองหรอก สิ่งที่ทิวเคยหวาดหวั่นเริ่มส่อเค้าลางที่จะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว แต่จะหนักแค่ไหน...เที่ยงนี้เขาคงจะได้รู้