Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 157
#157, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 25-Apr-12 at 10:07 PM
In response to message #156
ไม่รู้มีคนตอบถูกหรือเปล่า แต่เหมือนจะมีบางคนรู้แล้ว
จบ...ไม่ใช่ชี ก็คือ...จบมั้ง (ไม่ใช่ชี=พระ=monk=มั้ง) ขำไหมครับ
เอามาอำเล่นๆ สนุกๆ ครับ นักเขียนที่ดีต้องหาอะไรมาแกล้งคนอ่านให้ได้ อิๆ

ตัวละครที่ชื่อ "บูม" จริงๆ แล้วมีตัวตนจริงๆ นะครับ แต่ไม่ได้เป็นเกย์หรอก
แต่น้องคนนี้ที่ชื่อบูมเป็นเยาวชนรุ่นใหม่ที่ผมประทับใจมาก เป็นคนที่คิดดีและอยากทำงานเพื่อช่วยสังคม
และลงมือทำด้วยตัวเอง ผมปลื้มจนเอามาเป็นตัวเอกของเรื่องซะเลย
ผมอยากให้เห็นว่า คุณค่าของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นอะไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำอะไรต่างหากล่ะ
โม้พอละ

-----------------------------------------------------------

ตอนที่ 35

"พบศพสองหนุ่มคู่รักเกย์เกยตื้นชายหาดบางแสน" คุณทิพย์นภาขมวดคิ้วเมื่อเจอข่าวนี้ในหนังสือพิมพ์ แล้วก็ทำสีหน้าไม่ค่อยสบอารมณ์นัก เธออดค่อนขอดไม่ได้ว่า "จะรักอะไรกันนักกันหนา"

เธอวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วก็ไม่หยิบมาอ่านต่ออีก ปกติเธอก็จะอ่านบ้างก่อนออกไปทำงาน แต่พอเห็นข่าวนี้แล้วก็พาลทำให้ไม่อยากอ่านหนังสือพิมพ์วันนี้ไปเลย จึงหันมานั่งจิบกาแฟและกินขนมปังปิ้งทาเนย

"อ้าวบูม...จะไปทำงานแล้วเหรอลูก กินอะไรก่อนไหม แม่พิน...จัดชุดอาหารเช้าให้คุณบูมชุดหนึ่ง" คุณทิพย์นภาถามลูกชายคนเล็กที่กำลังเดินลงมาแล้วก็หันไปเรียกคนรับใช้ให้ยกชุดอาหารเช้ามาให้บูม

"แล้วพ่อล่ะ ยังไม่ลงมาอีกเหรอ" คุณทิพย์นภาถามพลางเมียงมองหา

บูมนั่งลงที่โต๊ะอาหารแล้วก็ตอบสั้นๆ โดยไม่มองหน้าแม่ไปว่า "เดี๋ยวลงมาครับ" จนถึงวันนี้บูมกับแม่ก็ยังคงมีช่องว่างบางอย่างที่ทำให้บูมไม่รู้สึกสนิทใจกับแม่นัก หลังๆ มานี้เหมือนแม่จะพยายามเอาใจเขามากขึ้น แต่สิ่งที่ผ่านมานั้นก็ทำให้บูมเจ็บจนเกินที่จะทำใจได้ง่ายๆ

บูมหยิบหนังสือพิมพ์ที่แม่ทิ้งไว้บนโต๊ะมาอ่านระหว่างรอชุดอาหารเช้า พอเห็นข่าวเดียวกับที่แม่เพิ่งเห็นบูมก็นั่งนิ่งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง คุณทิพย์นภาเองก็ลอบสังเกตดูด้วยความสนใจเหมือนอยากรู้ว่าลูกชายของเธอกำลังคิดอะไรอยู่เมื่อได้เห็นข่าวนั้น

แน่นอน...เมื่อเห็นแล้วบูมจะนึกถึงใครไปไม่ได้เลยนอกจาก...คนที่เขาเฝ้าตามหามาตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาหลังจากกลับมาจากเมืองนอกแล้วบูมก็ไม่เจอทิวเลย ตอนที่เรียนอยู่เขาก็ไม่สามารถติดต่อทิวได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด โทรศัพท์ก็ไม่ติด อีเมล์ก็ไม่ตอบ เฟสบุ๊คก็เงียบเหมือนทิวหยุดอัปเดตมันไปเลย พอเขากลับมาก็ได้รู้ว่าทิวขายบ้านหลังนั้นไปแล้ว ไม่รู้ว่าย้ายไปอยู่ที่ไหน เบอร์โทรศัพท์ก็เปลี่ยน ที่มหาวิทยาลัยก็ไม่มีใครรู้ว่าทิวไปทำงานที่ไหนหลังจากเรียนจบแล้ว เขาพยายามสืบหาจากคนที่คิดว่าน่าจะรู้ข่าวคราวของทิวบ้างก็ไม่มีใครรู้ว่าทิวอยู่ที่ไหนเลยสักคน แม้แต่ต้องเองก็ยังไม่รู้ ทำไมทิวถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้ ทิวจะรู้ไหมว่าเขาคิดถึงและเป็นห่วงทิวมากแค่ไหน

กว่าหนึ่งปีแล้วที่ชีวิตในแต่ละวันของบูมหลังจากกลับจากเมืองนอกมีแต่งานกับงาน เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้ไม่มีเวลาคิดฟุ้งซ่าน ปีนี้เขาอายุย่าง 28 ปีแล้ว ก็ถือว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วล่ะ

"อ้าวหนูแพรว ตื่นแล้วเหรอ...จะกินอะไรเลยไหม" คุณทิพย์นภาร้องทักลูกสะใภ้ที่เดินลงมากับลูกสาวคนเล็กพลางยิ้ม

"ยังหรอกค่ะ คงสายๆ หน่อย พอดีน้องพีมเขาอยากมาหาบูมน่ะค่ะคุณแม่ แพรวก็เลยพามา" แพรวบอกพลางยิ้มเช่นกัน

บูมวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วก็อุ้มหนูน้อยที่เดินมาเมียงมองอยู่ข้างๆ ขึ้นนั่งบนตัก อารมณ์เขาเปลี่ยนไปเกือบจะทันทีเมื่อได้เห็นความน่ารักเด็กหญิงตัวน้อย "ว่าไงครับพีม...วันนี้กวนคุณแม่แต่เช้าเลยนะครับ" บูมพูดแล้วก็หันไปยิ้มกับแพรว

"ร้องหาบูมตั้งแต่เช้าเลยค่ะ" แพรวบอกพลางยิ้ม

บูมเล่นกับน้องพีมสักพักคุณลิขิตก็ตามลงมาสมทบ

"คุณปู่มาแล้ว" เสียงใสร้องทักอย่างดีใจ

บูมจึงปล่อยน้องพีมให้วิ่งไปหาคุณปู่ คุณลิขิตอุ้มหลานสาวแล้วก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี

"คุณปู่ขา...ไปทำงานกับปู่"

ได้ยินอย่างนั้นแล้วคนเป็นปู่ก็หัวเราะชอบใจ ตั้งแต่มีน้องพีมเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในครอบครัว บ้านหลังนี้ก็มีความสดใสมากขึ้น น้องพีมกลายเป็นจุดสนใจและความรักของทุกคนในบ้าน โดยเฉพาะบูมด้วยแล้ว เขารักน้องพีมของเขามาก ว่างเมื่อไรเป็นต้องมาเล่นด้วยหรือไม่ก็พาไปเที่ยวบ่อยๆ น้องพีมจึงติดเขามาก ไปไหนก็ถามหาตลอด

"กินอาหารเช้าก่อนไหมคะ" คุณทิพย์นภาถามสามี

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมต้องรีบไป มีประชุมแต่เช้า บูมพร้อมหรือยังลูก" คุณลิขิตหันมาถามลูกชาย

"ครับพ่อ ไปเลยก็ได้ครับ" บูมบอกพลางลุกขึ้นเตรียมตัว

"อ้าว...แล้วไม่กินข้าวเช้าก่อนล่ะบูม" แม่ร้องทักอย่างเป็นห่วง

"เดี๋ยวไม่ทันประชุมครับ" บูมตอบเสียงเรียบ

คุณทิพย์นภาหน้าเจื่อนเล็กน้อย บูมเงียบขรึมกับเธอมากตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคราวนั้นเมื่อสามปีก่อน ลูกชายคนเล็กคงจะโกรธเธออยู่ในใจบ้างไม่มากก็น้อย ยิ่งนึกถึงข้อแม้ข้อที่สองของบูมที่ขอเธอไว้ตอนอยู่โรงพยาบาลแล้วก็ยิ่งทำให้คนเป็นแม่อย่างเธอเริ่มรู้สึกผิด ถึงบูมจะเลิกคบกับทิวไปแล้ว แต่เธอก็ไม่เห็นว่าชีวิตของบูมจะมีอะไรแตกต่างไป สิ่งที่เธอคาดหวังว่าจะได้เห็นก็มีแต่ริบหรี่ๆ ลงเรื่อยๆ

คุณลิขิตอุ้มหลานสาวมาส่งให้ลูกสะใภ้ พอร่ำลากันพอหอมปากหอมคอแล้วสองพ่อลูกก็รีบไปทำงานทันที

-----------------------------------------------------

"เป็นไงมั่งล่ะบูม ได้ข่าวคราวของทิวบ้างไหมลูก"

คุณลิขิตถามขึ้นขณะนั่งรถไปทำงานด้วยกัน เมื่อก่อนต่างคนต่างแยกกันไป เดี๋ยวนี้บูมเป็นคนขับรถให้พ่อและไปทำงานด้วยกัน ยกเว้นวันไหนที่มีธุระคนละที่จึงค่อยไปคนละคัน

"ยังเลยครับพ่อ เมื่อหลายเดือนที่แล้วผมไปถามเจ้าของบ้านคนใหม่ เขาก็บอกว่า...เขาเคยจดเบอร์โทรศัพท์ของทิวไว้อยู่ แต่ก็เขาจำไม่ได้ว่าเอาไปไว้ตรงไหน ผมก็ขอให้เขาช่วยหาให้อีกทีแต่ก็ยังหาไม่เจอครับ วันเสาร์นี้ผมว่าจะลองไปถามดูอีกที" สีหน้าบูมเริ่มเครียดเมื่อพูดถึงการหายตัวไปของทิว

"พ่อขอโทษจริงๆ นะลูก วันนั้น...พ่อไม่น่าบอกให้ลูก..." แล้วคุณลิขิตก็ถอนหายใจ เขารู้สึกผิดทุกครั้งที่นึกถึงวันนั้น

"พ่ออย่าพูดถึงมันเลยครับ...ไม่ใช่ความผิดของพ่อหรอกครับ...ถ้าไม่ทำแบบนั้น...แม่ก็คง..." แล้วบูมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

"บูม...พ่อว่าแม่เขาเริ่มอ่อนลงแล้วล่ะ อีกไม่นานนี้เราจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลง แต่ว่าตอนนี้...เราต้องช่วยกันตามหาทิวให้เจอก่อน พ่ออยากเห็นลูกมีความสุข ไม่อยากให้ลูกเป็นแบบนี้เลย"

"เป็นแบบนี้" ที่คุณลิขิตพูดถึงก็คืออาการเศร้าซึมของบูมนั่นเอง พอไม่ได้ทำงานแล้วบูมก็ขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปหาเพื่อน ไม่คบใคร อย่างมากก็พาพีมออกไปเที่ยวหรือซื้อของบ้าง เห็นลูกชายคนเล็กเก็บเนื้อเก็บตัวแล้วเขาก็ยิ่งเป็นห่วง เขากลัวว่าสักวันบูมจะเป็นโรคซึมเศร้าได้

พอพูดถึงแม่แล้วบูมก็เงียบจนคุณลิขิตต้องถามว่า

"บูมยังโกรธแม่อยู่เหรอลูก..."

บูมนิ่งเงียบและใช้ความคิด เขาก็ไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรเหมือนกัน เขาก็รู้สึกว่าโกรธ แต่อีกใจหนึ่งก็รู้นั่นคือแม่ จะชั่วดีอย่างไรมันก็มีความผูกพันทางสายเลือด แต่เขาแค่ยังทำใจไม่ได้ที่แม่...ทรมานชีวิตเขามากเหลือเกิน แม่จะรู้ไหมว่าการพลัดพรากจากคนที่รักกันมากๆ เป็นอย่างไร ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปบูมก็ไม่เคยลืมช่วงเวลาที่เขาได้ใช้ชีวิตอยู่กับทิว บูมยังคงทำตามสัญญานั้นที่เขากับทิวให้กันไว้เสมอ สามปีที่ผ่านไปนั้นไม่มีใครสักคนไม่ว่าหญิงหรือชายผ่านเข้ามาในชีวิตของบูมเลย แม้จะมีคนมาชอบเขามากมาย แต่บูมก็ไม่เล่นด้วย เขากลายเป็นคนที่เก็บตัวเงียบมากขึ้น จนดูเหมือนว่าเขาแทบจะไม่มีสังคมไปแล้ว

"พ่อเข้าใจนะลูก...แต่เชื่อพ่อ อีกไม่นานนี้แหละแม่เขาจะรู้ตัวเองว่า...เขาทรมานชีวิตของลูกมากแค่ไหน" คุณลิขิตพูดเสียเองเมื่อเห็นบูมนิ่งเงียบเพราะไม่รู้จะอธิบายให้พ่อฟังอย่างไร

-------------------------------------------------

ดูเหมือนบรรยากาศในการกินข้าวเย็นด้วยกันมันดูกร่อยๆ ชอบกล คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าไม่รู้ว่ามีความสุขหรือเปล่าที่มานั่งอยู่ตรงนี้ สีหน้าเขาเหมือนกับถูกบังคับให้มาเสียมากกว่า

"พี่ทิว...เมื่อไรพี่จะใจอ่อนกับผมเสียที ผมรอมานานแล้วนะ" อยู่ๆ แต๋งก็ถามเรื่องนี้ขึ้นหลังจากที่เขาเคยเลิกถามไปได้หลายเดือนแล้ว

ทิวใช้หลอดดูดเขี่ยแก้วน้ำผลไม้ไปมาพลางเลิกคิ้วมองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้า จริงๆ วันนี้เขาก็ไม่ได้อยากออกมาซื้อของหรอก แต่ทนแต๋งรบเร้าไม่ไหวก็เลยต้องยอมมาเป็นเพื่อน ทิวรู้สึกว่ายิ่งใช้เวลาอยู่กับแต๋งมากเท่าไรก็ยิ่งจะกลายเป็นการสร้างความหวังให้แต๋งมาขึ้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ทิวรักใครไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าแต๋งจะพยายามแค่ไหนมันก็ไม่มีประโยชน์ สัญญาที่เขาให้ไว้กับบูมนั้นเขารักษาไว้มันเป็นอย่างดี เขาไม่เคยคิดจะผิดสัญญา ไม่เคยคิดที่จะขอให้บูมกับเขาได้เจอกันเพื่อที่จะยกเลิกสัญญานั้น

"พี่..." จะบอกยังไงดีหนอ จะบอกว่าไม่รักก็ดูจะทำร้ายจิตใจกันเกินไป จะบอกว่ายังไม่พร้อม ก็ไม่ไช่เรื่องนั้น เขาไม่อยากโกหก เขาไม่อยากให้แต๋งมีความหวัง

"ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรหรอกพี่...ผมก็ถามไปงั้นแหละ ไม่มีอะไรหรอกครับ" แต๋งบอกพลางหัวเราะกลบเกลื่อนเมื่อรู้ว่ากำลังสร้างความลำบากใจให้กับทิวอยู่

"อยากรู้จังว่า...คนนั้นที่พี่ทิวชอบเป็นใคร...มีดีอะไรนักหนาพี่ถึงไม่เคยลืมเขาเลย" แต่แต๋งก็ยังไม่วายที่จะพูดกระเง้ากระงอดจนได้

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทิวไม่ใจอ่อนง่ายๆ ก็เป็นเพราะแต๋งยังเด็กนี่แหละ แต๋งไม่สามารถทำให้ทิวรู้สึกอุ่นใจเหมือนเวลาที่เขาอยู่กับบูมได้ อ้อมกอดของบูมเท่านั้นที่ทิวเฝ้าโหยหา อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใยและความอบอุ่น กลิ่นกายที่หอมอุ่นๆ นั้นไม่เคยจางหายไปจากความทรงจำของทิวเลย แต่เขา...ก็จำใจต้องจากมาด้วยความทรมานและตัดช่องทางการติดต่อทุกอย่างที่บูมจะติดต่อเขาได้เพราะแม่ของบูมได้ขอแกมบังคับเขาไว้ พอบูมไปแล้วเขาก็ถูกแม่ของบูมตามรังควานอยู่พักใหญ่เพราะเธอยังไม่ไว้ใจว่าทิวได้ตัดขาดการติดต่อกับบูมไปแล้วจริงๆ จนเมื่อทิวได้งานทำเขาจึงตัดสินใจขายบ้านและย้ายมาอยู่ที่นี่เสียเลย เพื่อที่จะให้ครอบครัวของบูมสบายใจว่าเขาจะไม่กลับไปทำลายอนาคตของบูมอีก แล้วก็ได้มาเจอแต๋งซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกับเขา

"พี่ว่าเรากลับกันดีไหม ห้างใกล้จะปิดแล้ว" ทิวรีบเปลี่ยนเรื่อง เขาหลีกเลี่ยงที่จะสบตากับแต๋งเพราะรู้สึกไม่แน่ใจว่าสีหน้าเขาเป็นแบบไหน กลัวว่าจะแสดงความไม่พอใจให้แต๋งเห็น

แต๋งเเหมือนจะรู้ตัวว่าทำให้ทิวรู้สึกอึดอัดจนเกินไปจึงต้องยอมหยุด แล้วก็ยอมกลับบ้านแต่โดยดี

พอมาถึงที่พักของทิวแล้ว แต๋งก็ขอช่วยถือของขึ้นไปส่งทิวที่ห้องพักด้วย

"เดี๋ยวผมช่วยถือขึ้นไปส่งละกันครับ" แต๋งว่าพลางฉวยของใช้ส่วนตัวที่ทิวถืออยู่มาถือเสียเอง พอทิวจะร้องห้ามแต๋งก็รีบดักไว้ว่า "ให้ผมช่วยเถอะนะพี่ อย่าปฏิเสธผมบ่อยเกินไปนักเลย ผมรักพี่นะ พี่ไม่รักผมตอบผมก็ไม่ว่า แค่ขอให้ผมได้ทำอะไรให้พี่บ้างได้ไหมครับ"

ทิวก็เลยต้องยอม แต๋งล็อกรถแล้วก็เดินตามทิวขึ้นมาบนห้องพัก แต่แต๋งก็ทำสิ่งที่ทิวคาดไม่ถึง เมื่อแต๋งเอาของวางไว้แล้วแต๋งก็วิ่งเข้ามกอดทิวจากทางด้านหลัง

"แต๋งจะทำอะไรครับ" ทิวร้องด้วยความตกใจพลางพยายามจะแกะมือนั้นออก

"พี่ทิว...ให้ผมกอดพี่บ้างได้ไหม พี่รู้ไหมว่าผมทรมานใจแค่ไหนเวลาที่อยู่ใกล้ๆ พี่แล้วทำอะไรไม่ได้ ทำไมพี่จะต้องคอยปฏิเสธผมอยู่ตลอดเวลา พี่ไม่เห็นใจผมบ้างเหรอ ผมขอแค่ได้กอดพี่บ้างเท่านั้น ผมไม่ทำอะไรมากกว่านี้หรอก นะพี่นะ อย่าปฏิเสธความรักของผมนักเลย" แต๋งพยายามร้องขอความเห็นใจ

ทิวอึ้งกับคำขอร้องนั้นแล้วก็ปล่อยให้แต๋งกอดเขาไว้อย่างนั้น ที่เขาต้องคอยปฏิเสธนั้นเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้รักแต๋ง เขาไม่อยากจะพาตัวเองเข้าไปพัวพันกับความยุ่งยากโดยไม่จำเป็น แค่ที่เป็นอยู่นี้ก็ยุ่งยากมากอยู่แล้ว แต๋งไม่เคยลดละและพยายามที่จะเอาชนะใจเขาให้ได้ ไม่ว่าทิวจะตอบปฏิเสธอย่างไร

พอเห็นทิวนิ่ง แต๋งก็เริ่มได้ใจ เขาค่อยๆ เลื่อนมือลงต่ำจนถึงขอบกางเกงขายาวของทิว ทิวรู้สึกตกใจรีบจับมือนั้นไว้ทันทีก่อนที่มันจะเลื่อนลงต่ำไปมากกว่านั้น

"แต๋ง...อย่าทำแบบนี้นะครับ พี่ไม่ชอบ" ทิวบอกด้วยเสียงดุ

แต๋งรีบหดมือกลับ เขาปล่อยทิวแล้วก็ทำหน้าจ๋อยๆ

"ผมขอโทษ" แต๋งบอกเสียงห้วนๆ คล้ายๆ กับเด็กเอาแต่ใจที่รู้สึกไม่พอใจเมื่อไม่ได้อย่างที่ต้องการ แต่นั่นก็คือนิสัยของแต๋งล่ะ เขาทำหน้าง้ำหน้างอแล้วก็เดินไปหยิบรองเท้ามาใส่ แล้วก็เดินออกไปจากห้องทิวโดยไม่พูดอะไรอีก

ทิวถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจเมื่อแต๋งไปแล้ว ต่อไปนี้เขาคงจะต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ตามลำพังกับแต๋งสองต่อสองแล้วล่ะ เขารู้สึกไม่ไว้ใจเด็กคนนี้เลย มือไวใจเร็วแบบนี้อาจจะทำให้เขาพลาดท่าเสียทีได้

ทิวเดินไปที่เตียงนอนแล้วก็หยิบรูปที่หัวเตียงนั้นมาถือไว้ รูปที่ทำให้เขาต้องน้ำตาไหลได้แทบจะทุกครั้งที่นั่งมองและหวนคิดถึงความทรงจำเก่าๆ รูปนี้พี่พี่บีมเป็นคนถ่ายให้ตอนงานเปิดตัวโครงการ บูมกอดเขาไว้จากข้างหลังแล้วก็ยิ้มสดใส ใครที่เห็นรูปนี้แล้วก็จะรู้ได้ทันทีว่าสองคนในรูปนี้มีความสัมพันธ์กันแบบไหน

ความคิดถึงแล่นเข้าไปจนสุดขั้วหัวใจ แทบจะไม่มีวินาทีไหนที่เขาไม่คิดถึงผู้ชายคนนี้ ยิ่งได้เห็นรูปนี้หรืออะไรก็ตามที่ทำให้นึกถึง ทิวก็ยิ่งคิดถึงมากขึ้น เบอร์โทรศัพท์ของบูมเขาจำได้ไม่เคยลืม บางทีอยากจะโทรหาใจจะขาดก็ไม่สามารถทำได้ ป่านนี้บูมคงจะกลับมาจากเมืองนอกแล้ว คงจะกลับมาช่วยพ่อทำงาน เป็นความหวังและอนาคตของครอบครัว อนาคตที่แม่ของบูมกลัวว่ามันจะดับลงถ้าบูมยังรักเขาอยู่

ป่านนี้แล้ว...บูมจะยังรักษาสัญญานั้นไว้หรือเปล่า ถ้าบูมยังรักเขาอยู่ล่ะ...เขาจะปล่อยให้บูมรอเขาอยู่อย่างนั้นหรือ บูมกำลังรอเขาอยู่หรือเปล่า หรือถ้าบูมมีคนอื่นไปแล้ว เขากับบูมควรจะมาเจอกันเพื่อยกเลิกสัญญานั้นหรือเปล่า อย่างน้อยก็ทำให้บูมไม่ต้องรู้สึกผิดจนเกินไป

เขากับบูมจะเจอกันอีกได้ไหม มันจะผิดมากไหมที่เขาจะขอกลับไปเจอบูมอีกสักครั้ง แค่ขอให้ได้เห็นหน้า ได้รู้ว่าสบายดี...ก็พอแล้ว ไม่ได้หวังว่าจะต้องกลับไปรักกัน แค่อยากเห็นว่าคนที่เขารักที่สุดในชีวิตอยู่สุขสบาย ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย เขาก็พอใจ ขอแค่นี้เอง ครอบครัวของบูมจะกีดกันอะไรเขานักหนา

--------------------------------------------------------

"ผมไม่ไปครับแม่" บูมตอบสั้นๆ แล้วก็ท่าทางจะเดินออกไปจากห้องที่แม่เรียกเขาเข้ามาคุยด้วย

"บูม...ลูกจะอยู่แบบนี้ได้ยังไง บูมควรจะคิดถึงการมีครอบครัวไว้บ้างนะลูก พี่บีมเขาก็แต่งงานแล้ว ก็เหลือแต่บูมนี่แหละที่แม่ยังเป็นห่วงอยู่ แม่ไม่สบายใจเลยที่บูมเอาแต่เก็บตัวแบบนี้"

บูมถอนหายใจแล้วก็หันกลับไปบอกแม่ว่า "แม่ครับ เราเคยสัญญากันไว้แล้วไม่ใช่เหรอครับ"

คุณทิพย์นภาชะงักและอึ้งไป มันเป็นสัญญาที่เธอเองก็ไม่เต็มใจนักแต่ก็ต้องยอมสัญญาเพื่อแลกกับการที่บูมยอมเลิกกับทิว แต่เธอก็ไม่คาดคิดว่าบูมจะจริงจังกับสัญญานั้นขนาดนี้ เธอคิดว่าคนวัยหนุ่มอย่างบูมไม่น่าจะทนอยู่เหงาๆ ได้นานนักหรอก ไม่นานบูมก็คงอยากจะมีใครสักคน แต่ก็กลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อบูมเอาแต่เก็บตัว ไม่ยอมออกไปพบเจอใครถ้าไม่จำเป็น ทำงานเสร็จแล้วก็กลับบ้าน เล่นกับหลานบ้าง อ่านหนังสือบ้าง หรือไม่ก็ทำงานอยู่ในห้อง เห็นบูมเป็นแบบนี้เธอก็อดสงสารและเป็นห่วงลูกชายคนเล็กไม่ได้

"แม่รู้...แต่ว่า..."

"แม่จะเอายังไงกับผมอีกครับ ที่ผ่านมาผมยังทำให้แม่ไม่พออีกเหรอ แม่จะเอาชีวิตผมไปด้วยเลยดีไหมครับ ไหนๆ ชีวิตนี้ผมก็ไม่เคยมีอิสระที่จะเลือกอะไรได้ด้วยตัวเองแล้ว แม่ทำให้ผมกับทิวต้องพลัดพรากจากกันทั้งที่เรายังรักกันมาก แม่รู้บ้างไหมว่าผมทรมานแค่ไหน ทุกวันนี้...ที่ผมเป็นแบบนี้...ก็เป็นเพราะผมยังรักทิวอยู่ ผมจะทำให้แม่เห็นว่า...จนตายผมก็จะยังรักเขา"

บูมระเบิดอารมณ์ออกมาจนได้เมื่อรู้ว่าแม่คิดจะจับคู่ให้เขาอีกแล้วทั้งๆ ที่เขาเคยขอแม่ไว้ว่าแม่จะต้องเลิกจับคู่ให้เขา เขาอดทนและทำตามที่แม่ต้องการมามากพอแล้ว แม่ควรจะพอใจได้แล้ว การสูญเสียคนรักมันก็มากเกินไปด้วยซ้ำ เขาก็ยังอุตส่าห์ยอมทำให้ แล้วแม่จะเรียกร้องอะไรจากเขาอีก

"ผมสูญเสียคนที่ผมรักไปแล้ว แม่เห็นไหมครับว่าชีวิตผมเป็นยังไง แม่คิดว่าผมจะลืมเขาได้ง่ายๆ เหรอครับในเมื่อเรารักกันขนาดนั้น ทิวเขาดีกับผมมากขนาดไหน ตั้งแต่เรียนหนังสือด้วยกัน ถ้าผมไม่ได้เจอเขา ผมก็คงไม่รู้หรอกว่าความสดใสในชีวิตเป็นแบบไหน ที่ผมรักเขาเพราะเขาช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตผม เขาช่วยทำให้ผมได้รู้ว่าคนที่รักผมจริงๆ เป็นแบบไหนเพราะเขาคอยดูแลผม เป็นห่วงผม ช่วยผมทุกอย่าง เขารักผมมาก...และผมก็รักเขามาก...ผมลืมเขาไม่ได้...ผมคิดถึงเขาทุกลมหายใจ แค่ผมรู้ว่าทิวอยู่ที่ไหน ผมจะไปหาเขาทันที ผมจะไปอยู่กับเขา ชีวิตผมอยู่กับเขา หัวใจผมอยู่กับเขา ผมไม่สามารถที่จะเอาไปให้คนอื่นที่ผมไม่ได้รักได้ แม่รู้จักความรักไหมครับ...แม่รู้จักมันหรือเปล่า ถ้าแม่รู้จักมัน แม่ก็จะเข้าใจผม"

นี่คงเป็นครั้งแรกที่บูมพูดกับแม่ด้วยอารมณ์สะเทือนใจมากขนาดนี้ คุณทิพย์นภาได้แต่อ้าปากค้างด้วยความคาดไม่ถึง แต่สิ่งที่บูมพูดก็ทำให้เธอได้คิดอะไรหลายอย่าง เธอต้องคิดได้สิเพราะเธอก็เห็นอยู่ว่าชีวิตของลูกชายคนเล็กตอนนี้เป็นยังไงบ้าง บูมเหมือนคนไม่มีชีวิตอย่างที่เขาบอกจริงๆ เธอคิดว่าจะเปลี่ยนใจบูมได้ แต่บูมก็ได้ทำให้เธอเห็นว่า...เขาไม่ได้เปลี่ยนง่ายขนาดนั้น เธอคิดผิดที่คิดว่าอะไรมันก็คงจะไม่ยาก แต่มันก็ยากกว่าที่เธอคิด ตอนนี้บูมกำลังจะทำให้เธอเห็นว่า "แม่" คือคนที่พรากชีวิตไปจากลูกเสียเอง

บูมหันหลังกลับแล้วเดินออกไปพร้อมกับคราบน้ำตา ทิ้งให้คุณทิพย์นภายืนตกตะลึงแล้วก็ร้องไห้ สิ่งที่เธอเรียกว่า "ความหวังดี" กำลังส่งผลและย้อนคืนกลับมาหาเธอแล้ว ความหวังดีนั้นได้ทำให้ลูกชายที่เธอรักต้องกลายเป็นคนซึมเศร้า เก็บตัวและไม่คิดจะแต่งงานมีครอบครัวอีกเลย เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนจริงๆ ว่าเธอกำลังทำให้ลูกของตัวเองต้องมีชีวิตแบบนี้ เธอบังคับได้แต่ตัวเขา...แต่หัวใจของลูกเป็นสิ่งที่เธอได้ตระหนักแก่ใจแล้วว่า...มันเปลี่ยนไม่ได้