Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 165
#165, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 27-Apr-12 at 11:14 PM
In response to message #0
ตอนที่ 36

เช้าวันใหม่ของอีกวันที่ดูเหมือนๆ เดิมปลุกทิวให้ตื่นขึ้นจากความหลับไหล สามปีที่ผ่านไปอย่างช้าๆ และทรมานอาจทำให้ทิวเคยชินกับความทุกข์ แต่บางวันก็ไม่เคยชินกับความคิดถึงได้เลย เขาคิดถึงบูมอีกแล้ว คิดถึงจนจับจิตจับใจ ก็ได้แต่คิดถึงอยู่แบบนี้ คิดถึงเวลาที่เขาตื่นนอนแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของคนที่เขารัก แต่ห้วงเวลาแห่งความสุขนั้นก็สั้นเหลือเกิน วันที่ทิวได้เจอบูมเป็นครั้งสุดท้ายก็คือวันที่บูมเดินทาง จริงๆ ทิวบอกบูมไปแล้วว่าจะไม่ไปส่งเพราะเขาทำใจไม่ได้ แต่...

"ทิว เปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว ไปสนามบินกันเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวไม่ทัน" นั่นคือสิ่งที่บีมรีบบอกทิวเมื่อทิวเดินลงมาเปิดประตูให้เขาตอนสามทุ่มเศษๆ

"จะดีเหรอครับพี่บีม...ผมไม่อยากให้บูม..." ทิวลังเล หน้าตาของเขาบ่งบอกว่าเขาผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักเพียงใดในตอนนั้น

"ไม่มีเวลาแล้วนะทิว พี่อยากให้ทิวไปหาบูม...เปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า" บีมเร่งเร้า ยังไงเขาก็ต้องพาทิวไปหาบูมให้ได้

"ครับพี่" ทิวบอกแล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปบนบ้าน เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็นั่งรถออกไปกับพี่บีมทันที

ส่วนที่สนามบินนั้น พ่อ แม่และบูมต่างก็ยืนรอบีมด้วยความใจจดใจจ่อเพราะใกล้เวลาขึ้นเครื่องเข้าไปทุกทีแล้ว บูมอยากจะเจอพี่ชายก่อนที่จะขึ้นเครื่องเพราะอยากจะฝากให้พี่ชายช่วยดูแลทิวให้เขาด้วย

"มาแล้วๆ พี่บีมมาแล้วลูก" คุณลิขิตร้องบอกลูกชายคนเล็ก

บูมหันไปมองตามแล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนที่วิ่งมาพร้อมกับพี่ชาย พี่บีมไปรับทิวมาหาเขา เขาอยากจะบอกว่ารักพี่ชายคนนี้สักล้านคำที่พาทิวมาหาเขา

"ทิว" บูมเรียกแล้วก็รีบเดินแกมวิ่งเข้าไปหาคนที่กำลังวิ่งมาหา

เมื่อทิวมาอยู่ตรงหน้าแล้วบูมก็ดึงคนที่เขารักมากอดไว้เสียแน่น ต่างคนต่างร้องไห้ด้วยความดีใจที่ได้เจอกันและใจหายที่อีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ก็จะต้องจากกันไปแล้ว

"บูม..." ทิวเรียกชื่อแล้วก็หยุดไป เขาไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไรดี จะขอร้องอ้อนวอนไม่ให้ไปก็ทำไม่ได้ เขามีความรู้สึกมากมายที่คำนับล้านก็ไม่อาจจะสื่อความหมายแทนเขาได้เลยในตอนนี้

"ทิว...ดูแลตัวเองดีๆ นะ เรียนหนังสือให้จบ นายจะได้ไม่ลำบาก มีปัญหาอะไรก็โทรหาพี่บีม เราบอกพี่บีมไว้แล้ว พี่บีมจะช่วยนายทุกอย่าง" บูมบอกด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก

"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...เรารักนายเสมอนะ ขอให้นายรอเรา เก็บหัวใจของนายไว้ให้เรา เราจะกลับมาหานาย เราสัญญา เราจะกลับมาใช้ชีวิตกับทิวเหมือนเดิม"

เห็นทิวยังเงียบอยู่ บูมก็ถามย้ำอีกว่า "ตอบเรามาสิทิว...นายจะรอเราใช่ไหม"

คุณลิขิตและบีมยืนมองภาพนั้นด้วยความสะเทือนใจ รู้สึกสงสารบูมจับจิตจับใจที่ต้องถูกบังคับให้ต้องจากคนที่รักไป พวกเขาเพิ่งตระหนักแก่ใจวันนี้เองว่า บูมรักทิวมากแค่ไหน อย่าว่าแต่คุณลิขิตกับบีมเลยที่รู้สึกแบบนั้น คุณทิพย์นภาก็ได้เห็นแล้วว่าบูมรักทิวมากขนาดไหน มันทำให้เธออดถามตัวเองไม่ได้เลยว่า "เธอทำเกินไปหรือเปล่า"

"พรากคนที่เขารักกันมันบาปนะคุณ คุณเห็นไหมว่าบูมกับทิวเขารักกันแค่ไหน คุณกำลังทำร้ายลูกของตัวเองอยู่ คุณรู้หรือเปล่า" คุณลิขิตบอกภรรยาเบาๆ โดยไม่หันไปมองหน้า

คุณทิพย์นภาได้แต่มองภาพนั้นอย่างเงียบๆ ไม่ได้โต้แย้งใดๆ

"นายจะรอเราใช่ไหมทิว" บูมถามย้ำอีกครั้ง

ทิวเหมือนจะรู้สึกตัวจึงค่อยตอบไปว่า "เราจะรอนายเสมอ...เราจะไม่รักใครอีก เราจะทำตามสัญญาที่เราให้กันไว้ที่บางแสน นายดูแลตัวเองดีๆ นะบูม อย่าลืมห่มผ้าหนาๆ นะ ที่นั่นมันหนาว แล้วก็อย่ามัวแต่เรียนจนไม่มีเวลาพักผ่อน อย่านอนดึกนะ นายน่ะชอบนอนดึก มันไม่ดีต่อสุขภาพรู้หรือเปล่า"

"นายก็เหมือนกัน อย่ามัวแต่คิดมากว่านายไม่เหลือใคร นายยังมีเราอยู่ ลำบากยังไงนายก็อดทนนะทิว ไม่ไหวจริงๆ ก็ให้พี่บีมช่วย แล้วเราจะกลับมาหานาย มากอดนายแบบนี้ให้นายอุ่นใจ กลับมานอนอยู่ข้างๆ นายเหมือนเดิม ให้นายได้เห็นหน้าเราทุกเช้าที่ตื่นนอน"

เสียงประกาศเตือนผู้โดยสารเที่ยวบินของบูมดังขึ้นอีกครั้ง คุณทิพย์นภารู้สึกร้อนใจจนต้องเดินมาดึงบูมออกเพราะกลัวบูมจะตกเครื่องเสียก่อน

"บูม...เครื่องจะออกแล้ว เร็วเข้า"

บูมเดินตามแรงลากของแม่ไปแต่สายตาไม่ยอมละจากทิว เขาโบกมือลาให้ ทิวโบกมือลาตอบ เขายืนมองจนบูมค่อยๆ หายเข้าไปในบริเวณตรวจหนังสือเดินทาง

ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็สามปีแล้ว เขาก็ไม่เคยได้เจอบูมอีกเลย ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงเพราะเขาถูกบังคับให้ต้องตัดขาดการติดต่อกับบูมทุกอย่าง จนต้องระเห็จมาทำงานอยู่ต่างจังหวัด ก็ไม่ใช่ที่ไหนไกลหรอก บางแสนนั่นเอง พอเขาเป็นประกาศรับสมัครผู้จัดการฝ่ายต้อนรับส่วนหน้าที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่นี่ ทิวก็รีบมาสมัครทันที แล้วก็โชคดีที่เขาได้งานนี้

ทิวเดินทางไปทำงานด้วยรถสองแถวที่วิ่งบริการอยู่ทั่วไป แต่ถ้าวันไหนแต๋งว่างแต๋งก็จะมารับเขา วิ่งผ่านทะเลทีไรทิวก็นึกความสุขและความทรงจำเมื่อครั้งนั้นไม่ได้ ความทรงจำที่แสนหวานก่อนที่เขากับบูมจะจากกัน นี่แหละคือเหตุผลที่เขาตัดสินใจย้ายมาทำงานที่นี่ สถานที่ที่ความทรงจำอันสวยงามครั้งสุดท้ายได้เกิดขึ้น

ช่วงสัปดาห์นี้ทิวคงต้องทำงานหนักหน่อยเพราะมีงานใหญ่จัดที่โรงแรม เป็นงานสัมมนาเชิงวิชาการของกระทรวงศึกษาธิการ มีคนมาร่วมงานหลายร้อยคน เขาชอบเวลาที่มีงานเยอะๆ แบบนี้ เขาจะได้เหนื่อยและไม่ต้องคิดอะไรมาก กลับถึงห้องพักก็นอนหลับเป็นตาย ความเหงาบางทีมันก็โหดร้ายทารุณไม่ใช่เล่น

--------------------------------------------------

บูมขับรถมาจอดที่หน้าบ้านหลังที่เขาคุ้นเคย แม้ว่าตอนนี้เจ้าของคนเดิมจะไม่ได้อยู่แล้ว แต่สภาพมันก็ยังคงคล้ายเดิมอยู่ เขาเดินไปกดกริ่งเรียก ไม่นานนักเด็กชายวัย 15 ปีลูกชายเจ้าของบ้านก็ออกมาเปิดประตู พอเห็นเขา หนุ่มน้อยคนนั้นก็จำได้จึงรีบเปิดประตูให้

"อ๋อ...เรื่องเบอร์โทรศัพท์ของเจ้าของบ้านเดิมใช่ไหมครับ"

หนุ่มน้อยถาม บูมพยักหน้าแล้วก็เดินเข้าไปในบ้าน รู้สึกใจหายที่ตอนนี้มันไม่ได้เป็นของทิวแล้ว ทิวไม่น่าขายไปเลย ถึงจะไปซื้อคอนโดอยู่มันก็ไม่เหมือนบ้านหรอก โดยเฉพาะบ้านที่มีความทรงจำหลายอย่างแห่งนี้

"หาเจอไหม"

"เจอครับ แต่ว่า...เดี๋ยวผมเอามาให้ดู" หนุ่มน้อยบอกแล้วก็วิ่งเข้าไปในบ้าน

บูมนั่งลงบนม้าหินอ่อนหน้าบ้านด้วยใจระทึก เมื่อหนุ่มน้อยวิ่งกลับมาด้วยแผ่นกระดาษเล็กๆ ที่ใช้จดเบอร์โทรศัพท์แล้วเขาก็ใจฝ่อลงไปทันที

"มันเลือนเกือบหมดแล้วครับ สงสัยจะเปียกน้ำ"

บูมมองดูกระดาษชิ้นนั้นด้วยใจห่อเหี่ยว มีชื่อทิวเขียนไว้พออ่านได้ แต่เบอร์โทรศัพท์บนกระดาษชิ้นนั้นกลับลบเลือนและซีดจางจนแทบอ่านไม่ได้ มีเพียงตัวเลขบางตัวเท่านั้นที่พอจะเดาออกได้ว่าเป็นเลขอะไร

"ขอบใจมาก เดี๋ยวพี่กลับก่อนละกัน" บูมบอกด้วยสีหน้าแสดงความผิดหวัง หนุ่มน้อยยกมือไหว้ บูมรับไหว้แล้วก็เดินกลับไปที่รถพร้อมกระดาษชิ้นนั้น

กลับมาถึงบ้านบูมก็ขึ้นไปบนห้อง เขาพยายามนั่งเพ่งนั่งจ้องเพื่อที่จะอ่านตัวเลขที่อยู่บนกระดาษชิ้นนั้นให้ได้ แต่ก็ยังอ่านได้เฉพาะเลขตัวหน้าสามสี่ตัว จนเขาตระหนักดีแก่ใจว่าคงจะไม่มีประโยชน์ที่จะพยายาม บูมจึงได้แต่นั่งนิ่งและเหม่อลอย

เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้บูมรู้สึกตัว เขาเดินช้าๆ ไปเปิดประตูก็พบพี่ชายมายืนรออยู่หน้าห้อง

"ไปบ้านทิวมาเหรอ" บีมถามพลางเดินเข้ามาในห้องของน้องชาย

"ครับพี่...เจอกระดาษจดเบอร์โทรศัพท์ของทิวแล้ว แต่...มันเลือนจนอ่านไม่ได้เลยครับ" บูมบอกพลางเดินไปหยิบกระดาษชิ้นนั้นมาให้พี่ชายดู

บีมรับมาดูแล้วก็มองหน้าน้องชายด้วยความสงสาร ชีวิตของบูมกลับมาเป็นเหมือนช่วงที่เขาถูกพ่อแม่เคี่ยวเข็ญหนักๆ ก่อนที่จะเจอทิวตอนเรียนมัธยมปลายอีกแล้ว คราวนี้ดูท่าจะหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ บูมกลับมาเป็นคนที่ชอบเก็บตัวและไม่ค่อยร่าเริง เขาหัวเราะและยิ้มน้อยมากจนทุกคนในบ้านเริ่มกังวลว่าเขาจะเป็นโรคซึมเศร้า

"บูมเอ๊ย...พี่ล่ะสงสารนายจริงๆ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง" บีมพูดพร้อมกับน้ำตาคลอเบ้า จะบอกให้น้องชายตัดใจก็บอกไม่ได้ ถ้าทิวไม่รักบูมก็ว่าไปอย่าง แต่เขาทั้งสองคนต้องจากกันทั้งที่ยังรักกัน จะบอกให้ตัดใจหรือทำใจก็คงไม่ได้

บูมเดินกลับไปนั่งซึมบนเก้าอี้ตัวเดิม บีมเดินเข้าไปหาแล้วก็บีบไหล่เบาๆ ให้กำลังใจ

"พี่ก็ยังหวังว่า...ความรัก...จะช่วยนำทางให้บูมได้เจอกับทิวอีกครั้งนะ พี่อยากเห็นน้องชายของพี่กลับมาเป็นเหมือนเดิม เหมือนตอนที่ทิวอยู่"

บูมพยักหน้า เขาก็ยังหวังอย่างนั้น แม้ว่าแสงแห่งความหวังนั้นจะค่อยๆ ริบหรี่และอ่อนลง แต่มันก็ยังไม่ดับไปเสียทีเดียว เขาคงจะไม่ยอมให้มันดับง่ายๆ หรอก มันจะต้องคงอยู่ต่อไปจนกว่าเขาจะได้เจอทิวอีกครั้ง

"แม่ไปไหนเหรอครับวันนี้" บูมเปลี่ยนเรื่องถาม เขาเพิ่งสังเกตว่ารถของแม่ไม่ได้จอดอยู่ที่โรงจอดรถตอนที่เขากลับเข้ามา

"ไปสัมมนาต่างจังหวัดตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ กลับเย็นๆ วันอาทิตย์นี้แหละ" นี่แสดงว่าบูมแทบไม่เคยสนใจความเป็นไปของคนในบ้านเลยตอนนี้ โดยเฉพาะกับแม่ บูมกับแม่แทบจะไม่ได้พูดคุยสื่อสารกันเลย แต่บีมก็เข้าใจน้องชาย แม่เองก็ทำให้บูมเจ็บปวดและทรมานมากที่พรากคนที่บูมรักไป บูมไม่ได้สูญเสียแค่คนรักเท่านั้น แต่ชีวิตที่สดใสของเขาก็ถูกพรากไปด้วย

บูมพยักหน้าเข้าใจแล้วก็นั่งเหม่อลอยและนิ่งเงียบตามเดิม เงียบจนบีมรู้สึกว่าเขาไม่กล้าแม้แต่จะรบกวน เขาจึงค่อยๆ เดินลุกออกไปจากห้องอย่างเงียบๆ พร้อมกับสายตาที่คอยมองน้องชายด้วยความเป็นห่วง

----------------------------------------------------------

ตอนเที่ยงๆ มีกลุ่มแขก VIP จากกรุงเทพมาเข้าพักเพิ่มเติมในงานของกระทรวงศึกษาธิการ ทิวเป็นคนที่มาคอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอิน และมีแต๋งกับพนักงานหญิงอีกสองสามคนทำในส่วนของการเช็คอิน

แขกกลุ่มนี้มีคนมาร่วมต้อนรับอยู่ด้วยกลุ่มหนึ่ง ทิวไม่ได้สังเกตว่ามีใครบ้างจนกระทั่งได้ยินการสนทนานี้

"สวัสดีค่ะท่านปลัด"

"สวัสดีครับๆ อ้อ นึกว่าใคร อ. ทิพย์นภานี่เอง ได้ข่าวว่าตอนนี้ลูกศิษย์ของอาจารย์ไปแข่งคณิตศาสตร์โอลิมปิกชิงแชมป์โลก ผลเป็นไงบ้างครับ"

พอได้ยินชื่อนั้น ทิวก็รีบหันไปมองหาเจ้าของชื่อและเสียงที่เขาคุ้นเคยทันที ใช่จริงๆ ด้วย คุณทิพย์นภา แม่ของบูม!!! ทำไมโลกถึงได้กลมอย่างนี้ เมื่อเห็นคนที่เป็นแม่แล้วก็ทำให้นึกถึงคนที่เป็นลูกทันที เขาอยากรู้เหลือเกินว่าบูมเป็นอย่างไรบ้าง แต่เขาคงไม่กล้าเข้าไปถามคุณทิพย์นภาตอนนี้ หรือแม้จะกล้าเข้าไปถาม คุณทิพย์นภาก็คงไม่ตอบ แถมตัวเขาเองก็อาจจะโดนดีไปด้วย

เมื่อทิวเดินเข้าไปพาท่านปลัดกระทรวงศึกษาธิการและคณะที่เพิ่งมาถึงเข้าไปเช็คอิน คุณทิพย์นภาจึงได้เห็นทิวและเธอก็จำได้เป็นอย่างดี

"นี่เธอ..." คุณทิพย์นภายืนนิ่งและอึ้งไป

ทิวยกมือไหว้สวัสดีแล้วก็รีบพาแขกไปเช็คอิน แต่ในระหว่างนั้นเขาก็คอยมองมาทางคุณทิพย์นภาบ่อยๆ และสังเกตว่าคุณทิพย์นภาเองก็จ้องมองมาที่เขาด้วยท่าทางเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างเช่นกัน

จนกระทั่งเช็คอินเสร็จเรียบร้อย คุณทิพย์นภาก็กับกลุ่มอาจารย์อีกสามสี่คนก็เดินมานำท่านปลัดไปที่ห้องประชุมก่อนเพราะท่านจะต้องขึ้นบรรยายในอีก 10 นาทีข้างหน้านี้ ก่อนจะเดินออกไป คุณทิพย์นภาก็เดินมาบอกทิวเบาๆ ว่า

"ถ้าเธอว่าง...เย็นนี้ฉันจะขอคุยกับเธอหน่อย"

ทิวพยักหน้าตอบรับ แต่สีหน้าของเขาก็สงสัยและหวาดระแวง ไม่รู้ว่าเขาจะโดนอะไรอีก คุยกับผู้หญิงคนนี้ทีไรเขาก็ต้องมีเรื่องมีราวให้เจ็บตัวและใจทุกครั้ง แต่เขาก็จะยอมแลกสิ่งนั้นขอแค่เขาได้รู้ว่าบูมเป็นอย่างไรบ้าง

---------------------------------------------------

กว่าทิวจะได้เลิกงานก็เกือบสามทุ่ม คุณทิพย์นภาพาทิวออกมานั่งที่ร้านอาหารใกล้ๆ โรงแรมที่เขาทำงานอยู่ ทิวรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันที่ท่าทางของเธอไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนที่เขาเคยเจอ แต่ก็ยังดูเครียดๆ และพอสังเกตเห็นความเศร้าหมองได้

ระหว่างที่รออาหารที่สั่ง คุณทิพย์นภาก็เริ่มต้นการสนทนาก่อน

"เธอเป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า"

"สบายดีครับ" ทิวตอบสั้นๆ เพราะเขายังปรับอารมณ์ได้ไม่ถูก ไม่รู้ว่าอารมณ์ของคุณทิพย์นภาเป็นแบบไหนอยู่ตอนนี้

"เธอมาทำงานที่นี่นานหรือยัง"

"ก็...ปีหนึ่งได้แล้วครับ"

คุณทิพย์นภาพยักหน้า แสดงว่าทิวก็ย้ายมาในช่วงที่เฉียดฉิวกับตอนที่บูมกลับมาพอดี

"บูมเขาเป็นไงบ้างครับ" ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทิวก็ตัดสินใจถามสิ่งที่เขาอยากรู้ออกไปเสียเลย จะโดนด่าเขาก็ยอม

คุณทิพย์นภาเงียบและใช้ความคิดอยู่สักพักก่อนจะตอบว่า "ก็...สบายดี เขาก็กลับมาช่วยพ่อทำงาน งานก็ไปได้ดี"

ได้ฟังแล้วทิวก็ยิ้มดีใจระคนเศร้าโดยไม่รู้ว่าคุณทิพย์นภาคอยสังเกตอยู่

"ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว...ฉันก็รู้สึกว่า...ฉันอาจจะทำกับเธอเกินไปหน่อย"

ทิวเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มเป็นอึ้งทันทีที่ได้ยิน เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำๆ นี้จากคนเจ้าทิฐิอย่างคุณทิพย์นภา

"ฉันขอโทษเธอละกันนะกับสิ่งที่ผ่านมา..."

ทิวต้องอึ้งอีกครั้งเป็นรอบที่สอง ไม่คิดไม่ฝันว่าคุณทิพย์นภาจะเอ่ยขอโทษเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นหรอก แม้กระทั่งจะได้เจอกันอีกครั้งเขาก็ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ด้วยซ้ำ

ทิวไม่รู้ว่าจะตอบหรือพูดอะไรจึงได้แต่นั่งเงียบ เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ ต่างคนต่างก็นั่งกินเงียบๆ ไป จนกระทั่งทิวตัดสินใจถามสิ่งที่เขาอยากรู้ขึ้นมา

"ตอนนี้...บูมแต่งงานหรือยังครับ"

คุณทิพย์นภาชะงักเล็กน้อย อย่าว่าแต่จะแต่งงานเลย แค่จะให้มีแฟนสักคนบูมยังไม่ยอมเลย

"ยังหรอก" คุณทิพย์นภาตอบเบาๆ

เหมือนเธอเองก็มีอะไรจะพูดหลายอย่างกับทิว แต่ตอนนี้เธอกำลังคิดอย่างหนัก มันอาจจะเป็นการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างที่เธอเองก็คงต้องถามตัวเองอีกหลายๆ รอบว่าเธอพร้อมหรือยัง การที่คนที่มีทิฐิมากอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงอะไรคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก

ทิวได้ฟังแล้วก็แอบรู้สึกดีใจและโล่งใจพอสมควร แต่ก็ไม่กล้าถามต่อว่าบูมมีแฟนหรือยัง

"แล้วเธอ...ยังรักบูมอยู่หรือเปล่า" คุณทิพย์นภาตัดสินใจถามหลังจากที่คิดอยู่นาน

นี่คือรอบที่สามที่ทิวต้องอึ้งอีกครั้ง คุณทิพย์นภาดูแปลกไปมากทีเดียว หรือว่า...เธอคงจะเริ่มเข้าใจอะไรๆ บ้างแล้ว หรือไม่ก็คงแค่ถาม "ครับ" ทิวตอบสั้นๆ แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินข้าวไป

เสียงโทรศัพท์ทิวดังเตือนว่ามีคนส่งข้อความมาให้ ทิวเปิดอ่านก็พบว่าเป็นของแต๋งนั่นเอง เขาส่งข้อความาบอกว่าจะมารับทิวที่ร้านอาหาร ทิวส่งข้อความตอบกลับไปว่าตกลง แล้วก็หันมากินข้าวต่อ เขากับคุณทิพย์นภาไม่ได้สนทนาอะไรกันมากนัก นั่นเป็นเพราะคุณทิพย์นภากำลังใช้ความคิดอย่างหนักนั่นเอง แต่ก็แปลกที่บรรยากาศไม่ได้ดูน่าอึดอัดมากเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา

-------------------------------------------------------------

คุณทิพย์นภากลับมาถึงบ้านในเย็นวันอาทิตย์ตอนเกือบสองทุ่ม เมื่อเข้ามาในบ้านแล้วก็เดินไปดูที่ห้องกินข้าว ก็เห็นสามี ลูกชายคนโต บีม แพรวและน้องพีมนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ แต่ไม่เห็นบูม เมื่อถามแล้วก็ได้ความว่าบูมไม่หิว ให้คนไปตามแล้วก็ไม่ยอมออกมาจากห้อง

คงจะถึงเวลาที่คุณทิพย์นภาจะต้องทำอะไรบางอย่างแล้วล่ะ เห็นลูกเป็นแบบนี้มาตลอดระยะเวลาหลายปีเธอก็ไม่มีความสุขเช่นกัน เมื่อลูกไม่มีความสุข ความหวังดีทั้งหลายของเธอก็ไม่มีประโยชน์อะไร

คุณทิพย์นภาจึงตัดสินใจเดินขึ้นไปข้างบน เคาะประตูห้องบูมอยู่สักพักบูมก็เดินมาเปิดประตู สภาพของลูกชายของเธอตอนนี้ดูเหมือนคนไร้ชีวิตจริงๆ บูมอยู่ในสภาพชุดที่ใส่ไปข้างนอก แต่ดูยับๆ เพราะเขานอนหลับไปทั้งๆ ที่ไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย

บูมทำสีหน้าสงสัย แต่ก็ให้แม่เข้ามาในห้องแต่โดยดีโดยไม่พูดอะไร เขาคิดว่าแม่คงจะมาโน้มน้าวเรื่องจับคู่อีกเป็นแน่

"บูม..." คุณทิพย์นภาเรียกลูกชายที่กำลังเดินหันหลังกลับเข้าไปในห้องโดยไม่พูดไม่จา

บูมหยุดแล้วหันไปมองแม่ "ครับ"

ท่าทางที่ห่างเหินนั้นทำให้คนเป็นแม่เจ็บปวดใจทุกครั้งที่ได้เห็น แต่หวังว่าเธอคงจะไม่ได้เห็นท่าทางแบบนี้ของบูมอีกต่อไปแล้ว

"แม่ไปเจอทิวที่โรงแรมที่แม่ไปสัมมนา...นี่เบอร์โทรศัพท์ของทิวนะ" คุณทิพย์นภาพูดพลางยื่นแผ่นกระดาษที่เธอจดเบอร์โทรศัพท์ของทิวมาให้ลูกชาย

"อะไรนะครับแม่" บูมถามราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ก็ยื่นมือไปรับแผ่นกระดาษนั้นไว้อย่างมึนงง

"แม่เจอทิวแล้ว บูมพาทิวกลับมาละกัน มาอยู่ที่นี่กับเราก็ได้"

ถ้าบูมไม่เสียสติ เขาก็คงกำลังนอนหลับแล้วฝันไปแน่ๆ เลย

"แม่ขอโทษนะลูก...กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา...ต่อไปนี้...แม่จะรักบูมอย่างที่บูมเป็น แม่จะไม่หวังดีโดยไม่ถามความสมัครใจของบูมอีก ถ้าบูมยังรักทิวอยู่ ก็พาเขามาอยู่กับเรานะลูก แม่ไม่อยากเห็นบูมอยู่ในสภาพแบบนี้ แม่อยากเห็นบูมมีความสุข ความหวังดีของแม่มันคงไม่มีค่าอะไรถ้ามันทำให้บูมต้องเป็นแบบนี้"

"แม่..."

เมื่อรู้ว่าเขาฟังไม่ผิด บูมก็เดินไปกอดแม่แล้วก็ร้องไห้ด้วยกันทั้งแม่ทั้งลูก

"แม่ขอโทษ..."

"ไม่เป็นไรครับแม่...ผมดีใจที่แม่เข้าใจผม...บูมรักแม่นะครับ"

"แม่ก็รักบูมจ้ะลูก"

บูมเคยบอกว่ารักพ่อไปเมื่อหลายปีมาแล้ว เขาเคยคิดว่าชีวิตที่เหลือนี้คงไม่ได้มีโอกาสพูดแบบนี้กับแม่ แต่วันนี้...เขาก็ได้บอกว่ารักแม่แล้ว ไม่ว่าแม่จะเคยทำไม่ดีกับเขามากขนาดไหนแต่แม่ก็คือแม่ สายเลือดเดียวกันอย่างไรก็คงตัดกันไม่ขาด แต่สิ่งที่เกินความคาดคิดของเขาก็คือ แม่ยอมที่จะให้เขากับทิวอยู่ด้วยกันแล้ว รอเราอีกแค่วันเดียวนะทิว พรุ่งนี้...เราก็จะได้เจอกัน ต่อไปนี้...เราจะไม่จากพรากกันไปไหนอีกแล้ว...