Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 190
#190, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 02-May-12 at 06:18 PM
In response to message #189
>>จบแบบ Happy Ending
>>คงถูกใจแฟนคลับหลายคน...
>>แต่ผมอยากเห็นคุณเขียนแนวชีวิตจริงบ้างจัง ... แบบที่มันไม่ได้
>>Happy Ending ไปซะทุกเรื่องอะครับ
>>
>>ขอบคุณมากนะครับ สำหรับความสุขที่มอบให้
>
>เห็นด้วยครับ เสียดายฝีมือ นักอ่านบางคนก็กดดันคนเขียนเกิ๊น
>ขู่จะเลิกอ่านถ้าไม่จบตามที่คิด ทำเอาคุณคนเขียนเครียด แหม
>ใจร้ายจริงๆ
>ไม่ได้หมายความว่าคุณ sarawatta
>ต้องเขียนเรื่องกร้านโลกถึงจะดีนะครับ แต่อยากให้เป็นตัวเอง
>คิดว่าตอนจบจะเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น ได้คบกันก็ดี
>ไม่ได้คบกันก็ยังมีชีวิตต่อไปได้
>อาจพบรักใหม่ กับคนเก่าเป็นเพื่อนกันไป
>ไม่ได้คบกันแต่ยังมีความทรงจำดีๆ ฯลฯ
>อย่างเช่นรักแห่งสยามเป็นที่จดจำเพราะสมจริงและมีมุมมองสดใหม่ครับ
>ตรงนี้คือความท้าทายในการเล่าเรื่องเลยครับ
>ว่าทำไงเรื่องเราถึงจะไม่จำเจ เป็นที่จดจำ
>
>อย่างตอนที่ทิวเกือบขายตัว ผมว่าต่อให้ขายตัวไปแล้วก็ไม่เป็นไร
>ทิวอาจสำนึกผิดในสิ่งที่เสียไปแล้วหวนคืนไม่ได้อีกและทำให้คิดถึงบูมยิ่งขึ้น
>หรือบูมอาจจะเคยมีอะไรกับแพรวแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
>ถ้าให้มุมมองที่ใกล้เคียงกับชีวิตมนุษย์จริงๆ
>จะยิ่งทำให้โดดเด่นนะครับ
>นิยายก็เหมือนศิลปะที่สะท้อนจิตวิญญาณของคนเขียน
>ถ้าคุณเขียนเพราะกดดันจากที่คนอื่นหวังจะให้เป็นโน่นเป็นนี่
>มันจะออกมาไม่เป็นตัวคุณครับ
>
>ชอบคุณ sarawatta ตรงที่แทรกมุมมองชีวิตครอบครัว การทำงาน
>หรือสิ่งละอันพันละน้อยไปด้วย
>ทำให้งานดูมีมิติแตกต่างจากนิยายเกย์ทั่วไปครับ ชอบดราม่าหนักๆ
>ด้วย อ่านแล้วเข้มข้นดุเดือด
>แต่รู้สึกผู้หญิงในเรื่องจะร้ายไปหน่อยนะครับ
>ยิ่งคุณทิพย์นภาผมงงมาก
>ดูโพรไฟล์คาแรคเตอร์เธอแล้วไม่น่าจะทำตัวเสียผู้ใหญ่ได้ขนาดนั้น
>ต่อให้ผิดหวังเรื่องลูกก็ตาม ดูเหมือนนางร้ายละครไทยเลยครับ
>
>จะลองยกตัวอย่างจริงนะครับ
>อย่างผมเคยถูกที่บ้านจับได้ว่าเป็นเกย์
>แม่ไม่พูดกับผมกดดันเป็นเดือนๆ ไม่ต้องโวยวายสักคำ
>ผมเคยเห็นแม่แอบร้องไห้เงียบๆ
> มีแขวะเบาๆ บ้าง เช่น อยากเป็นอะไรก็เป็นไปฉันไม่สนแกแล้ว
>โคตรเจ็บเลยครับกว่าที่บ้านจะรับได้
>วันหนึ่งแม่ก็เข้ามาคุยกับผมเอง บอกว่างๆ
>พาคนที่คบอยู่มาทานข้าวที่บ้านสิ
>ไม่มีการคุยยาวๆ ใช้ภาษาสวยๆ แต่สีหน้า ท่าทาง
>คำพูดไม่กี่คำทำให้ผมเข้าใจกับแม่ได้
>ถ้าออกแบบตัวละครให้ใกล้เคียงกับมนุษย์จริงๆ มีดำบ้างขาวบ้าง
>มีผิดบ้างถูกบ้าง
>มีทั้งด้านอัปลักษณ์และงดงาม
>ผู้อ่านก็จะยิ่งอินในความสมจริงครับ
>
>ส่วนบทบาทตัวละครเทียบกับเรื่องต้นสน พัฒนาขึ้นมากครับ
>มีการสรุปที่มาที่ไปตัวละครสมทบ
>อาจไม่ถึงกับต้องตามเก็บทุกคนจนเลอะเทอะยืดยาว
>อย่างพี่พงษ์ก็เป็นที่รู้กันว่าลาออกแล้วก็คงไม่เจอกัน
>แต่อย่างลีน่า แอนเดอร์สัน
>มีอิทธิพลกับช่วงชีวิตปัจจุบันของทั้งคู่
>ก็สมควรไปลามาไหว้กับคนอ่าน
>อ่านแล้วเคลียร์ ไม่ใช่โผล่มาสมทบเนื้อเรื่อง แล้วจู่ๆ
>ก็หายแบบลืมไปเลยอย่างพี่มั่นคงในต้นสน
>เรื่องนี้คุณทำได้ยอดเยี่ยมครับ
>เก็บเนื้อหาในส่วนตัวละครสมทบได้เคลียร์
>
>สุดท้ายคือเอกภาพในเรื่องครับ
>ผมชอบที่คุณใส่ใจแทรกรายละเอียดปลีกย่อยในเนื้อเรื่องครับ
>แต่จะสมบูรณ์กลมกล่อมยิ่งขึ้นหากคุณสามารถเชื่อมโยงให้เป็นเนื้อเดียวกับเรื่อง
>มันจะลื่นและดูดีทีเดียวครับ เช่น
>
>ฉากบูมกับแพรวให้แขกในงานวาดรูปบ่งบอกความคิดภายในใจ
>แล้วเฉลยกล่องคืออีโก้ ดอกไม้คือคนในครอบครัว พายุคือปัญหา
>อ่านแล้วผมไม่เก็ตว่าคำเฉลยต้องการบอกอะไรกับผู้อ่าน
>จะว่าบรรยายสภาพแวดล้อมก็ไม่ใช่
>ตรงนี้จะดีมากถ้าคุณทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า
>ที่คุณใส่มามีสัมพันธ์กับเนื้อเรื่องแบบมีจุดมุ่งหมาย
> เช่น บูมอาจจะขอวาดด้วยคน
>แล้วแพรวอาจจะสังเกตเห็นภาพของบูมดูไม่ค่อยดี
>จึงสะกิดถามว่าบูมมีปัญหาอะไรอยู่ในใจหรือเปล่า
>แบบนี้ก็จะทำให้ฉากกิจกรรมวาดรูปนั้นลื่นไหลและมีประเด็นให้คิดขึ้นมาเลยครับ
>
>ติชมบ้างอย่าถือสาเลยครับ
>ผมชอบผลงานคุณครับถึงได้ตั้งใจวิจารณ์
>ขอบคุณที่พิมพ์นิยายดีๆ ให้อ่านนะครับ
>คุณเป็นนักเขียนที่มีฝีมือ
>มีไมตรีต่อนักอ่านและเป็นคนทำงานละเอียดมาก
>หวังว่าจะได้อ่านนิยายที่สนุกเข้มข้นเรื่องต่อไปจากคุณครับอีกนะครับ

ขอบคุณมากๆ สำหรับความเห็นยาวๆ แบบนี้ครับ เป็นประโยชน์กับคนเขียนมากทีเดียวครับ
เรื่องใหม่คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย เพราะอย่างเรื่องนี้ผมก็ใช้เวลาวางพล็อตเรื่องไว้เกือบปี จึงได้ลงมือเขียน

แต่ขอชี้แจงว่าไม่ได้ทำให้เรื่องจบแบบ Happy Ending เพราะคนอ่านกดดันครับ ผมตั้งใจไว้แบบนี้อยู่แล้ว
ตอนที่ทิวกับบูมเดินลงทะเลไป ผมตั้งใจจะให้คนอ่านเข้าใจว่าสองคนนี้คงจะฆ่าตัวตาย
และเขียนเหมือนกับว่าเรื่องมันจบแล้ว มีนักเขียนบางคนเขาบอกว่า "แกล้งคนอ่านคืองานของเรา"
ผมก็ตั้งใจแบบนั้นแหละครับ อิๆ

จริงๆ เรื่องนี้ที่ผมวางพล็อตไว้จะจบแบบไม่สมหวังครับ แต่บังเอิญช่วงวันหยุดสงกรานต์
กลับบ้านที่ระยองแล้วไปนั่งเล่นชายหาด คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็ได้พล็อตเรื่องอีกแบบมา
ผมก็คิดอยู่หลายวันว่าจะยอมแลกกับอันเดิมดีไหม เพราะอันใหม่ที่คิดไว้ก็น่าสนใจ พอเห็นทางออกของปัญหา
ถ้าปัญหามันแก้ด้วยวิธีนี้ได้ ก็น่าจะลองดู ก็เลยตัดสินใจรื้อพล็อตตอนหลังทิ้งหมดแล้ววางใหม่ครับ

พล็อตเดิมก็คือว่า ในช่วงสามปีที่บูมไปเรียนต่อ บูมจะแอบกินยาชนิดหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายเขาเสื่อมสภาพลง
แล้วก็ค่อยๆ ตายในที่สุด แต่ก่อนตาย ก็จะได้เจอกับทิว แล้วแม่ก็สำนึกได้เมื่อสายเกินไป
แม่เรียกร้องขอชีวิตลูกคืนและยินดีจะทำทุกอย่าง ขอแค่ให้ได้ชีวิตของลูกกลับคืนมา
แต่ทุกอย่างก็สายเกินไป...ประมาณนี้ครับ ต้องการจะให้บทเรียนคนเป็นแม่
แต่ถ้าออกมาแบบนี้เรื่องมันจะหนักไปหมด ผมเครียดเพราะเขียนเรื่องนี้มากทีเดียว
เพราะว่าเวลาเขียน ถ้าเศร้า คนเขียนก็ต้องทำอารมณ์ให้เศร้า ถ้าเครียดก็ต้องเครียด
ถ้าซึ้งก็ต้องซึ้ง ถ้าร้องก็ต้องร้องตามไปด้วย ไม่งั้นมันจะเขียนไม่ได้อารมณ์ครับ
แต่เรื่องนี้มันมีตอนที่เครียดเยอะ คนเขียนก็เลยแทบจะบ้า ถ้าตอนจบเป็นแบบแรก คนเขียนคงแย่แน่ๆ เลย
ไม่รู้นักเขียนคนอื่นเป็นแบบนี้หรือเปล่า แต่ผมมักจะเขียนเวลาที่อารมณ์พวกนี้มันเกิดขึ้นมา
พอเรารู้สึกถึงอารมณ์เหล่านั้นเองก็ช่วยทำให้เขียนได้ลื่นไหลขึ้นครับ
มีหลายตอนที่ผมเขียนไปร้องไห้ไป โดยเฉพาะตอนที่ทิวจะฆ่าตัวตาย
แต่ก็ถามตัวเองเหมือนกันว่า "บ้าหรือเปล่า" เขียนเองก็ร้องเอง ก็รู้อยู่แล้วว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อ

ทีนี้พอได้พล็อตมาสองแบบ ผมก็ชั่งน้ำหนักระหว่างให้บูมกินยาที่ทำให้ค่อยๆ ตาย
กับให้บูมทรมานตัวเองโดยการเก็บตัวและซึมเศร้า
สุดท้ายก็ตัดสินใจเลือกอย่างหลังครับ จริงๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าผมหาข้อมูลยาแบบนั้นไม่ได้ด้วยครับ
ถ้าหาได้ บูมก็คงตายตอนจบครับ (พร้อมกับคนเขียนที่เสียสติไปด้วย)

สุดท้ายก็อยากจะขอบคุณสำหรับคำแนะนำต่างๆ ที่เขียนมาครับ
ถ้างานยังไม่เยอะเกินไป ถ้ายังพอนึกออกว่าจะเขียนอะไร
คำแนะนำเหล่านี้จะเป็นประโยชน์สำหรับงานเขียนชิ้นต่อไปมากๆ ครับ

อีกวันสองวันจะเอาตอนจบที่ถือเป็นตอนพิเศษในตัวด้วยมาลงให้
ขอบคุณทุกๆ คนที่คอยติดตามผลงานมาตลอดครับ หวังว่าคงจะยังติดตามกันต่อไป