Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 198
#198, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 07-May-12 at 09:03 PM
In response to message #0
วันนี้ได้ไปเจอน้องบูมมาด้วยครับ (คนที่ผมแอบปลื้มแล้วเอามาเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องนี้)
น้องน่ารักมากๆ เลย (เสียดายมีแฟนแล้ว) เราก็ได้แต่แอบชื่นชม แต่ไม่กล้าทำอะไรหรอก
เข็ดกับความรักแล้วแหละ แต่ก็ดีใจที่มีคนดีๆ แบบนี้อยู่ในโลก ดีใจที่ได้เจอกัน
ไม่ได้รักกันก็ไม่เป็นไร
ตอนนี้จบจริงๆ แล้วนะครับ คงไม่มีต่อแล้วเพราะช่วงนี้ผมงานเยอะจริงๆ ครับ
ขอบคุณทุกคนมากๆ ที่เข้ามาตามอ่านและให้กำลังใจ
ถ้าหากมีสิ่งใดผิดพลาดไปก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
หวังว่าจะได้มีโอกาสมาเขียนเรื่องใหม่ๆ ให้อ่านกันต่อไปครับ

-------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 40 (ตอนจบพิเศษ)

ตั้งแต่ทิวเข้ามาอยู่ที่บ้านเทพสถิตย์พิทักษาก็ดูเหมือนว่าจะทำให้บ้านหลังนี้มีคนสวนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ปกติบ้านนี้จะไม่มีคนสวนประจำแต่ใช้วิธีจ้างมาทำเป็นครั้งคราว ส่วนต้นไม้ที่ปลูกในบ้านก็ใช้วิธีติดสปริงเกอร์เพื่อให้น้ำแทน มีแม่บ้านเป็นคนคอยดูแลการเปิดปิด แต่พอทิวเข้ามาอยู่แล้ว ช่วงที่ยังว่างๆ ระหว่างรอโครงการอนุมัติเขาจึงช่วยจัดการดูแลสวนในบ้านเพราะชอบต้นไม้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คุณทิพย์นภากับคุณลิขิตดูจะถูกใจมากทีเดียว ถึงกับชมไม่ขาดปากว่าสวนสวยขึ้นมาก แขกไปใครมาก็ชมกันหลายคน คนที่ยิ้มไม่หุบก็คือทิว ส่วนอีกคนที่คอยแอบปลื้มอยู่ข้างหลังก็เป็นบูมนั่นเองเพราะคอยลุ้นอยู่ตลอดว่าทิวจะเข้ากับคนในบ้านได้หรือไม่ ดีที่ว่าทิวเป็นคนน่ารัก เข้ากับคนได้ง่าย แถมยังขยันทำงาน คนในครอบครัวของบูมทุกคนจึงรักและเอ็นดูทิว ทำให้บูมโล่งใจไปมากทีเดียว

เย็นวันอาทิตย์วันหนึ่ง บังเอิญเป็นวันที่ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา บีมออกความเห็นว่าน่าจะออกมานั่งทานอาหารเย็นที่สวนหน้าบ้านกัน ทุกคนก็เห็นดีด้วย แถมยังช่วยกันทำอาหารคนละอย่างสองอย่าง แม่บ้านจึงสบายตัวไปหนึ่งวัน

"โครงการไปถึงไหนแล้วบูม รีบหางานทำให้ทิวเร็วๆ หน่อยนะลูก ก่อนที่ทิวจะเป็นคนสวนจนติดใจไม่ยอมทำงานอย่างอื่น" คุณทิพย์นภาเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีขณะที่นั่งกินข้าวเย็นด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาบริเวณหน้าบ้าน

"ใกล้แล้วครับแม่ ปลายๆ เดือนนี้ก็น่าจะอนุมัติแล้วล่ะครับ" บูมตอบพลางหัวเราะและหันไปยิ้มกับทิวที่นั่งอยู่ข้างๆ

"คุณแม่ของแพรวมาเมื่อวานค่ะ ชมใหญ่เลยว่าสวนบ้านเราสวยขึ้น จำแทบไม่ได้เลย นึกว่าเข้าบ้านผิด ทิวเก่งนะคะเนี่ย" แพรวบอกแล้วหันไปยิ้มกับทิว

ใบหน้าของทุกคนเปื้อนด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศในบ้านเทพสถิตย์พิทักษาผ่อนคลายและเป็นกันเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่ทิวได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ บูมเองก็ดูมีความสุขมากขึ้น ไม่เก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ซึมเศร้าหงอยเหงาอีกต่อไป

"แล้วทิวไปเรียนจัดสวนมาจากไหนเหรอ" คุณลิขิตถามบ้าง

"อ๋อ...ผมชอบต้นไม้ครับ แล้วก็ชอบอ่านหนังสือพวกจัดสวน จัดบ้าน อะไรทำนองนี้ครับ เมื่อก่อนที่บ้านผม ผมก็ซื้อต้นไม้มาปลูกเต็มจนแทบไม่มีที่จะเดินเลยครับ" ทิวตอบ

"ใช่ๆ พี่จำได้ ตอนที่ไปส่งทิวที่บ้านตอนนั้นพี่ยังตกใจเลยว่านี่บ้านคนหรือป่า มองเข้าไปแทบไม่เห็นอะไรเลย" บีมพูดพลางขำ

"แม่ก็เคยว่าเหมือนกันครับว่าซื้อมาทำไมเยอะแยะ" ทิวบอก พูดถึงแม่ทีไรทิวก็รู้สึกใจหาย ทิวเคยเล่าเรื่องชีวิตของเขาให้คุณทิพย์นภากับคุณลิขิตฟัง ทั้งคู่ต่างก็เศร้าสะเทือนใจไปกับชะตาชีวิตของทิวกันมากทีเดียว โดยเฉพาะคุณทิพย์นภาที่ถึงกับน้ำตาซึมเพราะไม่เคยรู้มาก่อนว่าทิวจะลำบากถึงขนาดนั้นหลังจากที่แม่จากไป

"ทิวไปทำบุญให้แม่บ่อยไหม" คุณทิพย์นภาเปลี่ยนเรื่องถาม

"ก็...เดือนละครั้งครับ"

"ดีแล้วล่ะ คนที่ไม่ลืมพ่อไม่ลืมแม่ ชีวิตไม่ตกอับหรอก ถึงเขาจะไม่อยู่แล้ว แต่เขาก็จะคอยดูเราอยู่ แม่เขาคงดีใจที่ทิวไม่เคยลืมเขา"

ฟังคุณทิพย์นภาพูดจบแล้วทิวก็ยิ้มและน้ำตาไหลเสียอย่างนั้น

"ทิวเป็นไรหรือเปล่า" บูมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

"เปล่าหรอก...คิดถึงแม่เฉยๆ"

บูมหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะอาหารมาให้ทิวซับน้ำตา บูมเองก็ยังนึกถึงคุณทิษณาอยู่เสมอเช่นกัน เมื่อก่อนเขาไปบ้านทิวบ่อยๆ กินนอนที่นั่น คุณทิษณาดูแลเขาเป็นอย่างดี แม่ของทิวใจดีมาก ทิวเองก็อยู่กับแม่มาเกือบตลอดชีวิต ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะติดแม่พอสมควร และก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ทิวเป็นเกย์โดยที่ไม่รู้ตัว

"ถ้าทิวไม่รังเกียจ...ก็ถือว่าพ่อกับแม่ก็เป็นเหมือนพ่อกับแม่ทิวละกัน" คุณลิขิตบอกพลางยิ้มให้กำลังใจ

ทิวหันไปยิ้มให้กับพ่อกับแม่ของบูม เขาเองก็รู้สึกดีใจที่ทุกคนในบ้านนี้ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ตอนแรกๆ เขาก็กลัวๆ คุณทิพย์นภาบ้างเพราะเคยโดนเธอเล่นงานมาก่อน แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่เขาคิด นอกจากจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วคุณทิพย์นภาก็ดูเหมือนจะเอ็นดูทิวมากเป็นพิเศษอีกด้วยเพราะทิวเป็นคนขยัน แถมยังมีชีวิตที่น่าสงสาร จึงได้รับคะแนนเห็นใจไปมากทีเดียว

"ดูแลทิวดีๆ นะบูม ทิวบอกแม่ได้เลยนะถ้าบูมเกเร เดี๋ยวแม่จัดการให้" คุณทิพย์นภาพูดติดตลกเพื่อคลายบรรยากาศเศร้าหมองที่กำลังเกิดขึ้น

"โธ่แม่...ผมเคยเกเรที่ไหนล่ะครับ" บูมทำเสียงตัดพ้อ "ผมดูแลทิวดีจะตาย ดูสิครับ มีเนื้อมีหนังขึ้นตั้งเยอะ"

"ก็ไม่รู้ล่ะ แม่ก็พูดขู่ไว้ก่อน บูมจะได้ไม่กล้าไงล่ะ"

แล้วทุกคนก็หัวเราะชอบใจ บูมใช้มือที่ว่างคอยบีบให้กำลังใจทิวเพื่อส่งผ่านความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน ปกติทิวก็จะไม่อ่อนไหวมากนัก ยกเว้นเวลามีเรื่องมากระทบใจแบบนี้

"แม่ครับ...ทำไมเราไม่จัดงานแต่งงานให้ทิวกับบูมบ้างล่ะครับ" บีมเสนอขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนเงียบไปสักพัก

แล้วทุกคนก็หยุดและเงียบ หันมองหน้ากันไปมา ทิวกับบูมเองก็ตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่บีมเสนอ แต่ในใจลึกๆ ของบูมนั้นเขาก็อยากจัดเหมือนกัน เขาอยากให้เกียรติทิว อยากให้สังคมได้รู้ว่าคนที่เป็นเกย์ก็อยากแต่งงานเหมือนกับหนุ่มสาวทั่วไป

"มันจะดีเหรอบีม แม่ว่า..." คุณทิพย์นภาลังเล แม้ว่าเธอจะรับทิวเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วแต่เธอก็ยังไม่เคยประกาศให้ใครรู้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่การทำเช่นนี้ก็เท่ากับจะเป็นการประกาศให้คนอื่นๆ ได้รู้ว่าลูกชายของเธอเป็นแบบไหน แล้วบูมจะรับได้หรือเปล่า

"ดีสิครับแม่...ถ้าเรายังมัวแต่ปกปิดอยู่แบบนี้ เราก็จะไม่สบายใจซะเองเพราะคนมันก็จะสงสัยแล้วก็เอาไปซุบซิบต่างๆ นาๆ จะพูดกันไปแบบไหนก็ไม่รู้ สู้เราเป็นคนบอกเองเลยดีกว่าครับ บอกแล้วเราก็จะได้สบายใจ สมัยนี้เรื่องแบบนี้เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดกันแล้วล่ะครับ บูมกับทิวเองก็จะได้สบายใจด้วย ไม่งั้นมันก็จะเหมือนว่าเขาสองคนต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ"

"จริงด้วยสิคุณ ที่บีมพูดก็ถูก ตอนนี้คนก็เริ่มสงสัยกันเยอะแล้ว ปล่อยให้เขาพูดไปต่างๆ นาๆ ไม่ดีหรอก บูมกับทิวเองก็คงไม่สบายใจ ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนสงสัย เราไม่ได้ทำอะไรผิดนะคุณ จะอายทำไม ผมว่าจัดงานแต่งงานให้บูมกับทิวเลยดีกว่า จะได้รู้กันไปให้หมดเรื่องหมดราว พอคนรู้แล้วเขาจะคิดจะพูดอะไรก็ช่างเขา ถือว่าเราได้บอกความจริงไปแล้ว" คุณลิขิตสำทับ

"บูมกับทิวว่าไงล่ะลูก" คุณทิพย์นภาหันไปถามลูกชายกับลูกชายสะใภ้ ถ้าสองคนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเธอก็คงไม่ขัดข้อง

บูมกับทิวมองหน้ากัน แล้วบูมก็ถามเบาๆ ว่า "นายโอเคไหมทิว เราโอเคนะ เราอยากจัดงานนี้ให้นาย"

ทิวครุ่นคิดพลางเหลือบหันไปมองคนอื่นๆ ดูเหมือนทุกคนจะคอยลุ้นกันมากทีเดียว

"เราก็...โอเค" ทิวตกลงในที่สุด ทำให้ทุกคนยิ้มอย่างมีความสุข

------------------------------------------------------------------

หลังจากกินข้าวและคุยกันจนดึกแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันขึ้นไปนอน บูมกับทิวเองก็ขึ้นมานอนเช่นกัน แต่ดูเหมือนคืนนี้มีเรื่องที่จะต้องคุยกันหลายเรื่องทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องแต่งงานที่พี่บีมเสนอขึ้นมา

"ถ้าเราแต่งงานกัน เราก็จะเป็นเจ้าบ่าว...หรือเปล่า แล้วนายล่ะ นายจะเป็นอะไรล่ะทิว เจ้าสาวเหรอ...ไม่ใช่มั้ง นายไม่ใช่ผู้หญิงนี่นา แล้วเกย์เวลาเขาแต่งงานกันเขาเรียกเจ้าบ่าว-เจ้าสาวเหมือนคนทั่วๆ ไปหรือเปล่า ทิวรู้เรื่องนี้ไหม" บูมถามทันทีเมื่อหัวถึงหมอน

ทิวตามลงมานอนข้างๆ แล้วก็ตอบไปว่า "ไม่รู้สิ...แต่เราให้นายเป็นเจ้าบ่าวแล้วกัน ส่วนเรา...จะเป็นอะไรดีน้า...เป็นเจ้าสาวล่ะมั้ง ไม่ดีกว่า...เราไม่ค่อยชอบให้เรียกแบบนี้เลย เป็นอะไรดี...นึกก่อน...หรือใช้ภาษาอังกฤษดีไหม นายก็เป็น Groom ส่วนเราก็เป็น Bride" ทิวเสนอความเห็น

"แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ แปลเป็นไทยมันก็เป็นเจ้าบ่าว-เจ้าสาวอยู่ดี"

"ต่างสิ...ก็มันเป็นภาษาอังกฤษไงก็เลยต่างกัน"

"กวนเราเหรอ เดี๋ยวเหอะ" บูมทำเสียงขู่พลางพลิกตัวขึ้นไปอยู่ข้างบนตัวทิว

"อย่านะ...เดี๋ยวเราฟ้องแม่จริงๆ นะ แม่บอกเราว่าถ้านายเกเรกับเรา ให้บอกแม่" ทิวขู่บ้าง

บูมพลิกตัวกลับไปนอนที่เดิมแล้วก็ขำใหญ่ "ไม่น่าเชื่อนะว่าแม่จะเอ็นดูนายขนาดนี้ สงสัยลูกแท้ๆ อย่างเราคงตกกระป๋องแน่ๆ เลยคราวนี้"

"แหงอยู่แล้ว" ทิวทำเสียงล้อเลียน "เรื่องชื่อเอาไว้ก่อนละกันนะ เอาไว้ค่อยคิด เดี๋ยวเราไปหาข้อมูลก่อน"

บูมหันไปมองหน้าทิวแล้วพยักหน้าเบาๆ "ครับ...ที่รัก" แล้วก็จุมพิตที่ปากทิวเบาๆ หนึ่งครั้ง

"บูม...เราถามอะไรหน่อยสิ" ทิวทำเสียงเป็นจริงเป็นจัง

"ว่ามาสิครับ...ที่รัก"

"นาย...ชอบเราตั้งแต่ตอนไหน นายจำได้หรือเปล่า"

"จำได้สิ...ตอนที่เราเลิกกับแป๋มไง นายจำแป๋มได้หรือเปล่า"

"จำได้...แล้วทำไมพอเลิกกับแป๋มแล้วนายถึงชอบเราล่ะ" ทิวสงสัย

"ก็...มันทำให้เราคิดได้ไงว่า...จริงๆ แล้วคนที่คอยดูแลเป็นห่วงเราจริงๆ เป็นใคร เราก็เห็นมีแต่นายนั่นแหละ แล้วตอนนั้นนายก็งอนเรา ไม่ยอมพูดกับเรา หลบหน้าเรา เราก็สงสัยเหมือนกันว่านายเป็นอะไรกันแน่ แต่ก็แอบสงสัยนะว่านาย...ก็ชอบเรานั่นแหละ เราดูออก"

"จริงเหรอ...นายดูออกด้วยเหรอ"

"ทำไมจะดูไม่ออกล่ะ ผู้ชายที่ไหนเขางอนกันเรื่องนี้" บูมขำเล็กน้อย "แล้วนายล่ะ...ชอบเราตอนไหน อย่าบอกนะว่าเจอปุ๊บก็ชอบปั๊บ เราจำได้ว่าเราไม่ชอบนายมากๆ เลย แล้วก็มีเรื่องกันด้วย ไม่ใช่ตอนนั้นใช่ไหม"

"ไม่ใช่..." ทิวขำแล้วก็พูดต่อไปว่า "ตอนนั้นน่ะนายน่ากลัวจะตาย หน้าก็บึ้งๆ บอกบุญก็ไม่รับ เราไม่กล้าคุยด้วยเลย ถ้านายไม่ตกบันไดวันนั้นนะ เราก็คงเป็นศัตรูกันจนถึงวันนี้ เดี๋ยวนะ...นึกก่อน เราว่า...เราน่าจะชอบนายตอนที่...นายกอดเราครั้งแรกนะ ที่นายแอบหลบไปร้องเพลงหลังโรงเรียน จำได้ไหม ตอนนั้นแหละ"

"อ๋อ...จำได้แล้ว ตอนเช้าๆ ใช่ไหม แล้วทำไม...พอเรากอดนาย นายถึงชอบเราล่ะ"

"ก็มันอุ่นดีไง" ทิวพูดพลางยิ้มเขิน

"อุ่นแบบนี้หรือเปล่า"

บูมพูดจบก็สวมกอดทิวไว้ พยายามทำความรู้สึกให้เหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น วันที่ทิวทำให้บูมรู้สึกว่าที่ผ่านมาชีวิตเขาอ้างว้างเดียวดายเพียงใด ทิวเป็นเพื่อนคนแรกที่ดีกับเขามาก มากจนสามารถกุมหัวใจและความเชื่อใจจากเขาได้อย่างง่ายดาย

"แบบนี้แหละ ไม่ว่านายจะกอดเราแบบไหนมันก็อุ่นแบบนี้เสมอแหละ" ทิวพูดพลางกอดตอบ

บูมค่อยๆ คลายอ้อมแขนแต่ก็ยังกอดทิวไว้หลวมๆ อยู่

"อยากให้ถึงวันที่เราแต่งงานกันเร็วๆ จัง คนอื่นอาจจะบอกว่าไม่สำคัญ แต่เราคิดว่ามันสำคัญนะ เพราะเราอยากจะบอกให้คนอื่นๆ รู้ว่าเรา...รักนายแค่ไหน เราอยากให้คนรู้ว่านาย...เป็นคู่ชีวิตของเรา เหมือนที่คนอื่นๆ เขาก็มีคู่ชีวิตกัน"

ทิวยิ้มน้อยๆ แล้วก็พูดเบาๆ ว่า "เราก็รักนายนะ"

บูมยิ้มอย่างพอใจ ถึงจะไม่บอกด้วยคำพูดแต่บูมก็เห็นความรักในแววตาคู่นั้นของทิว

"อืม...ว่าแต่ว่า ถ้าเราแต่งงานกัน ใครจะเป็นเพื่อน Groom กับ Bride ดีล่ะ"

"ของนาย นายก็ให้เอิร์ธหรือวิทเป็นก็ได้ ส่วนของเรา เดี๋ยวเราให้ต้องเป็น"

ได้ยินชื่อต้องขึ้นมา บูมก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

"ต้องเหรอ...เออมันเป็นไงบ้างตอนนี้ เราเคยคุยกับมันตอนที่กลับจากเมืองนอกใหม่ๆ เพื่อถามหานาย แล้วก็ไม่ได้คุยอีกเลย"

"มันมีแฟนแล้วล่ะ จะแต่งงานเร็วๆ นี้แหละ"

"จริงเหรอ แล้วแฟนมันเป็นผู้ชายหรือ...ผู้หญิง"

"ผ้หญิงสิ ไอ้ต้องมันคงไม่ได้เป็นแบบเราหรอก เราว่ามันคงสับสนนะตอนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่ายังไง แต่มันก็จะแต่งงานกับผู้หญิงนั่นแหละ"

"เหรอ...ถ้างั้น...เราแต่งงานกันก่อนไอ้ต้องดีไหม มันจะได้มาเป็นเพื่อน Bride ก่อน"

"ต้องไปดูฤกษ์ก่อนไม่ใช่เหรอ ยังไม่ได้ไปดูเลย" ทิวแย้ง

"จริงด้วย ไม่เป็นไร...แต่งตอนไหนก็ไม่สำคัญหรอก ขอให้เราได้แต่งงานกัน แต่ไวหน่อยก็ดี เราอยากมีเมียแล้ว" บูมทำเสียงล้อเลียนตลกๆ ในตอนท้ายแล้วก็หัวเราะ

"แล้วทุกวันนี้เราไม่ได้เป็นเหรอ" ทิวทำสีหน้ากระเง้ากระงอด

"เป็นสิ...แต่ว่า...พอแต่งงานแล้ว ก็จะเป็นเมียโดยสมบูรณ์ไง" บูมรีบแก้ตัว

"เหรอ...ถ้างั้นแสดงว่าตอนนี้เรายังไม่ได้เป็นเมียนายโดยสมบูรณ์ล่ะสิ ดีล่ะ ถ้างั้น...นายห้ามมาทำอะไรกับเรา จนกว่าจะแต่งงานกัน ดีไหม" ทิวได้ทีก็เลยเอาคืนบ้าง

"โห...เราก็มันจุกอกตายพอดีสิ มีเมียน่ารักๆ แบบนี้ จะให้นอนดูเฉยๆ ได้ยังไง จริงไหม"

บูมพูดแล้วก็พลิกตัวขึ้นไปอยู่ข้างบน เขาระดมจูบซ้ายบ้าง ขวาบ้าง ริมฝีปากบ้างจนทิวหายใจหอบ

"ให้มันรู้ไปสิว่านายจะทนได้" บูมพูดพลางยิ้มเยาะน้อยๆ

ทิวหัวเราะพร้อมกับเขินอาย เขาก็พูดเล่นไปอย่างนั้นแหละ เขาเองก็คงทนไม่ไหวหรอก มีสามีหล่อ หุ่นดี มีซิกแพ็คอยู่ใกล้ๆ แบบนี้จะไปทนยังไงไหว ถูกกระตุ้นหน่อยเดียวอารมณ์เขาก็กระเจิงไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

"ทนไม่ไหวแล้วใช่ไหมล่ะ" บูมยิ้มกรุ้มกริ่มพลางจ้องตาทิวไม่กะพริบ

"บ้า" ทิวพูดพร้อมกับเอียงหน้าหลบด้วยความเขินอาย

"นายว่าเราหล่อไหมทิว สามีของนายเป็นคนหล่อไหม"

ทิวหันกลับมามองพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย "อยากรู้จริงๆ เหรอ"

บูมพยักหน้า

"สามีของผมหล่อมากครับ" ทิวตอบพร้อมกับรอยยิ้ม

"ภรรยาของผมก็น่ารักที่สุดในโลกเลยครับ" บูมพูดประโยคคล้ายๆ กัน

คงจะไม่ต้องบรรยายอะไรอีกแล้วว่าบูมกับทิวรักกันมากแค่ไหน แม้ว่าอนาคตจะเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แต่ความรักของพวกเขาก็งดงามและมีคุณค่าสูงส่งอยู่ภายในใจของคนทั้งสองคน นี่แหละคือแรงยึดเหนี่ยวชั้นดีที่จะทำให้เขาทั้งสองคนรักกันไปตราบนานเท่านาน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเขาทั้งสองคิดถึงความรักความผูกพัน คิดถึงวันคืนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุข คิดถึงวันที่เคยจากกันอย่างทรมาน คิดถึงความรู้สึกดีใจอย่างหาที่สุดไม่ได้เมื่อได้กลับมาเจอกัน เขาทั้งสองคนก็จะรู้ว่าชีวิตนี้พวกเขาโชคดีที่สุดแล้วที่ได้มาเจอกัน ไม่จำเป็นต้องหาใครมาทดแทน เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะวิเศษที่สุดไปกว่าการที่โลกนี้มี "บูมกับทิว" แล้ว

จบบริบูรณ์