Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 2
#2, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 05-Mar-12 at 08:49 AM
In response to message #0
ตอนที่ 2

การเรียนในเทอมใหม่ผ่านไปหลายวันแล้ว ดูเหมือนว่าบูมจะเริ่มสนิทกับเพื่อนในห้อง ม.4/1 หลายคนมากขึ้น แต่เขาก็ยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่และก็ยังไม่ค่อยทำกิจกรรมอะไรกับเพื่อนๆ มากนัก แน่นอน บูมไม่คุยกับทิวเลย ทิวยังคงเห็นสีหน้าไม่พอใจทุกครั้งที่เจอกับบูมเสมอ

บ่ายวันศุกร์วันหนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนจะได้ทำกิจกรรมอิสระ ทิวรีบไปที่ชมรมดนตรีที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ทันที ทิวไม่ได้เล่นดนตรีแต่ชอบร้องเพลง เขาเป็นคนที่มีน้ำเสียงเพราะตามแบบนักร้องสมัยใหม่ ฟังเผินๆ อาจจะนึกว่าเป็นเบน ชลาทิศกันเลยทีเดียว บรรยากาศในชมดนตรีดูอึกทึกพอสมควร

ในขณะที่ทิวกำลังนั่งเลือกเพลงที่จะร้องกับเพื่อนๆ ในชมรมอยู่นั้น เขาก็ต้องแปลกใจที่เห็นบูมเดินเข้ามา แต่คงไม่ทันสังเกตเห็นว่าเขาอยู่ในห้องนั้นด้วย

"จะมาสมัครชมรมดนตรีเหรอ เล่นดนตรีอะไรเป็นหรือเปล่า" เสียงพี่ปี๊ด ประธานชมรมดนตรีถาม

"เล่นไม่เป็นครับ" บูมตอบตามตรงพลางส่ายหน้า ดูท่าทางเขาประหม่าพอสมควร ยิ่งเห็นท่าทางรุ่นพี่คนนี้ที่ดูไม่ยี่หระกับอะไรแล้วเขาก็ยิ่งใจฝ่อ

"ไม่เป็นเลยสักชิ้นเหรอ" พี่ปี๊ดเลิกคิ้ว บูมได้แต่ส่ายหน้า

"อ้าว แล้วร้องเพลงเป็นหรือเปล่าล่ะ" พี่ปี๊ดถามอีก

"ไม่เป็นเหมือนกันครับ"

"เฮ้ยไอ้น้อง เล่นดนตรีก็ไม่เป็น ร้องเพลงก็ไม่เป็น แล้วจะมาสมัครเป็นสมาชิกชมรมดนตรีทำไมวะ" พี่ปี๊ดว่าพลางหัวเราะขบขัน บูมหน้าเสียไปเลยทีเดียว

"ก็...ผมกะว่าจะให้พวกพี่ๆ สอนน่ะครับ" บูมบอกด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ

"ถ้าเป็นมาบ้างก็พอจะสอนได้หรอกไอ้น้อง แต่นี่ไม่เป็นอะไรสักอย่างเลย สอนไปก็เสียเวลา ไปหัดเล่นอะไรให้เป็นสักอย่างก่อนแล้วกัน แล้วค่อยมาสมัคร ไป๊ๆ" พี่ปี๊ดบอกอย่างไม่สนใจใยดี เขาก็เป็นคนปากแบบนี้แหละ คิดอะไรก็พูดตรงๆ แต่ไม่ค่อยได้คิดว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไรบ้าง

บูมหน้าจ๋อย ค่อยๆ เดินออกไปจากห้องของชมรม แต่ก่อนจะออกไปเขาก็เหลือบไปเห็นทิวซึ่งมองมาทางเขาพอดี บูมหยุดมองแว่บเดียวแล้วก็เดินออกไป

-------------------------------------------------------------------------

ทิวเก็บเอาเรื่องของบูมไปคิดตลอดช่วงวันหยุดเพราะอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าบูมมาสมัครชมรมดนตรีทำไมทั้งๆ ที่เล่นอะไรไม่ได้สักอย่าง แถมร้องเพลงก็ไม่ได้ หรือจะเป็นเพราะว่าบูมเครียดเลยอยากหากิจกรรมทำ จริงๆ เรื่องร้องเพลงเขาพอจะสอนได้อยู่แล้ว ไม่รู้สิ ทิวรู้สึกสงสารเพื่อนใหม่ของเขาอย่างบอกไม่ถูก ดูสีหน้าแล้วเขาไม่ค่อยมีความสุขเลย บางทีถ้าทิวช่วยให้เขาเข้ามาอยู่ในชมรมดนตรีได้ เขาอาจจะดีขึ้น

หลังเคารพธงชาติ นักเรียนก็กลับเข้าห้องเรียนตามปกติ ทิวเข้ามาในห้องก็เห็นบูมนั่งอยู่ที่โต๊ะอยู่แล้ว ดูท่าทางเขาซึมๆ ทีเดียว ไม่ยอมพูดจากับใคร ทิวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ทำใจดีสู้เสือ เพราะสิ่งที่เขากำลังจะทำก็คือการเข้าไปคุยกับเสือที่อาจจะตะปบกัดเขาเมื่อไรก็ได้

"บูม" ทิวเรียกชื่อเขาเบาๆ บูมหันมามองด้วยความแปลกใจ พอเห็นว่าเป็นทิวเขาก็ทำสีหน้าไม่พอใจเหมือนเช่นเคย แต่แววตาก็สงสัยว่าทิวเรียกเขาทำไม

ทิวชั่งใจอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจเสนอไปว่า "ถ้านายอยากเข้าชมรมดนตรี นายมาเรียนร้องเพลงกับเราก่อนก็ได้นะ เราจะสอนให้ แล้วนายค่อยไปสมัคร"

"ไม่ต้องมายุ่งเลย" บูมตวาดเสียงดัง เพื่อนๆ ในห้องต่างกันก็หันมามองเป็นตาเดียวกัน

ทิวหน้าเสียเล็กน้อยที่ถูกตวาดแบบนั้น

"ชักจะมากไปแล้วนะไอ้บูม ไอ้ทิวมันก็คุยกับมึงดีๆ แล้วมึงไปตวาดมันทำไมวะ" หม่าวเดินเข้ามาต่อว่า เขาเห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้อยู่

บูมเงียบ สีหน้าไม่พอใจ หม่าวส่ายหน้าอย่างระอา "ไอ้ทิว ทีหลังมึงไม่ต้องไปสนใจมัน ไม่ต้องไปหวังดีกับมันหรอก ปล่อยให้มันบ้าตำราเรียนของมันไป"

ทิวจึงเดินกลับมานั่งที่นั่งของตนเอง เขาไม่โกรธบูมหรอกที่ตวาดเขา ตรงกันข้าม เขากลับยิ่งรู้สึกสงสาร เขาเห็นแววตาของบูมแล้วก็พอจะดูออกว่าบูมคงไม่ค่อยมีความสุขกับชีวิตเท่าไร แต่การที่เขาจะเข้าไปทำอะไรกับบูม เขาก็คงต้องระวังเหมือนกันเพราะบูมดูท่าจะไม่ชอบเขามากพอสมควร

------------------------------------------------------------------------------

ตอนเที่ยง เด็กนักเรียนก็ลงมากินข้าวกันตามปกติ บนโต๊ะของทิวมีเพื่อนนั่งกินข้าวด้วยกันหลายคน แต่หนึ่งในนั้นก็มีบูมด้วย เพราะบูมดูเหมือนจะสนิทกับปุ้ยและต้องมากขึ้นจึงถูกสองคนนี้ดึงมากินข้าวด้วย

"เฮ้ยบูม ถ้ามึงเล่นดนตรีไม่เป็น ทำไมไม่ลองไปสมัครชมรมอื่นดูล่ะวะ อย่างเช่น ชมรมศิลปะ เฮ้ย ว่าแต่มึงวาดรูปเป็นปะวะ" ต้องถามขณะกินข้าว เพื่อนๆ แต่ละคนที่นั่งอยู่มีท่าทางสนใจ เพราะอยากรู้ว่าบูมทำอะไรเป็นบ้างนอกจากบ้าตำราเรียน

"ไม่เอา ไม่ชอบวาดรูป" บูมตอบเสียงห้วน

"ชมรมภาษาอังกฤษก็ได้ กูเห็นมึงชอบวิชานี้ไม่ใช่เหรอ" ต้องเสนออีก

"ไม่เอา เบื่อ" บูมตอบเสียงห้วนเช่นเดิม จุดประสงค์ที่เขาอยากเข้าชมรมดนตรีนั้นเพราะเขาอยากผ่อนคลายบ้าง อยู่ที่บ้าน แม้แต่จะฟังเพลงบางทียังโดนพ่อดุเลย หาว่าเอาแต่ฟังเพลงไม่สนใจตำรับตำรา เขาจึงไม่อยากเข้าชมรมอะไรที่มันเกี่ยวกับการเรียน จริงๆ เขาก็กลัวเหมือนกัน ถ้าพ่อกับแม่เขารู้ว่าเขาเข้าชมรมที่ไม่มีสาระประโยชน์ตามมุมมองของพ่อกับแม่แล้ว เขาอาจจะโดนดุได้

"อะไรวะ นึกว่าชอบภาษาอังกฤษเสียอีก เอางี้ละกัน มาอยู่ชมรมฟุตบอลกับกูดีไหม" ต้องชวนอีก

"ไม่เอาโว้ย" น้ำเสียงของเขาทำให้ทุกคนสัมผัสได้ว่าเขากำลังเริ่มอารมณ์ไม่ดี

"อะไรวะ ให้เข้าชมรมอะไรก็ไม่เข้า อย่าบอกนะว่ามึงยังอยากเข้าชมรมดนตรีอยู่ ไอ้ห่า เล่นอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง ร้องเพลงก็ไม่เป็น มึงจะไปเข้าชมรมเขาได้ไงวะ ไอ้ทิวจะสอนร้องเพลงให้มึงก็ไม่เอา ตกลงมึงนี่จะ..." ต้องยังไม่ทันพูดจบ บูมก็ตวาดเสียงดังว่า

"กูไม่เข้าชมรมอะไรทั้งนั้นแหละ" แล้วเขาก็ยกจานข้าวออกไปอย่างอารมณ์เสีย บูมเทข้าวทิ้งลงถังขยะ แล้วก็เอาจานไปล้าง จากนั้นก็เดินลิ่วขึ้นห้องไป

"สมน้ำหน้า กูบอกแล้วว่าอย่าไปเสือกยุ่งกับมัน เป็นไงล่ะ" ปุ้ยหันไปว่าต้องซึ่งดูท่าทางตกใจพอสมควรกับพฤติกรรมของบูมเมื่อสักครู่นี้

ทิวมองตามบูมที่เดินตัวปลิวไปด้วยสายตาเป็นห่วง ดูท่าทางเขาจะเป็นเด็กมีปัญหาจริงๆ เสียด้วย

------------------------------------------------------------------------------

ตั้งแต่วันนั้นมา ต้องกับปุ้ยและเพื่อนๆ คนอื่นๆ ก็เริ่มขยาดและไม่ค่อยอยากจะอยู่ใกล้บูมมากนัก จนหลังๆ บูมต้องไปนั่งกินข้าวคนเดียวเพราะเขารู้สึกว่าเพื่อนๆ ไม่ต้อนรับเขาเท่าไร จริงๆ เขาก็ไม่ได้เป็นคนที่น่ากลัวอะไรขนาดนั้น ตอนอยู่โรงเรียนเก่าเขาก็มีเพื่อนหลายคน พอพวกมันรู้ว่าเขาต้องย้ายโรงเรียน ดูพวกมันก็เป็นห่วงเขาอยู่เหมือนกันและไม่อยากให้ไป แต่จะทำอย่างไรได้ บูมได้แต่ทำตามความต้องการของพ่อกับแม่ เพื่อนๆ พวกนั้นมันก็รู้ว่าพ่อกับแม่ของเขาเป็นอย่างไร

ทิวเดินผ่านมาตรงโต๊ะม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง เขาหยุดยืนดูก็เห็นบูมนั่งซึมและเหม่อลอยอยู่คนเดียว บูมก็หันมาเจอเขาเช่นกัน แต่วันนี้แปลกตรงที่เขาไม่ได้ทำสีหน้าไม่พอใจเหมือนที่ผ่านมาและเขาไม่ได้อ่านหนังสือเรียนด้วย ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือสายตาของบูมดูเศร้าและเหงาจนสังเกตเห็นได้ เขารู้ว่าช่วงหลังๆ นี้บูมถูกเพื่อนโดดเดี่ยวเพราะทุกคนต่างก็ขยาดกับอารมณ์แปรปรวนของเขา

ทิวลังเลใจ ใจหนึ่งก็อยากจะเข้าไปทักและนั่งคุยเป็นเพื่อน แต่อีกใจก็แย้งว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า เดี๋ยวจะถูกตะคอกเอาอีก แต่คิดไปคิดมา ทักเขาสักหน่อยก็น่าจะดีเหมือนกัน เขาจะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป แต่จะทักว่าอะไรดีล่ะ เมื่อนึกไม่ออกทิวจึงยิ้มให้และยกมือขึ้นเป็นเชิงทักทาย จึงเห็นบูมฉายสีหน้าไม่พอใจออกมา ทิวจึงเดินเลี่ยงไปหาเพื่อนๆ คนอื่นๆ

-----------------------------------------------------------------------------

และแล้ววันที่ความสัมพันธ์ของทิวกับบูมจะต้องเปลี่ยนไปก็มาถึง ก่อนจะไปเข้าแถวเคารพธงชาติในเช้าวันหนึ่ง ทิวเอากระเป๋าเรียนมาเก็บบนห้องค่อนข้างช้าเพราะมัวแต่คุยและทำการบ้านกับเพื่อนข้างล่างอยู่ พอมาถึงก็เห็นบูมนั่งอ่านหนังสือเรียนภาษาอังกฤษอยู่ในห้องคนเดียว ใช่ วันนี้มีเรียนภาษาอังกฤษตอน 10 โมงเช้า เท่าที่สังเกต ทิวมักจะเห็นบูมกระตือรือร้นกับการเรียนภาษาอังกฤษเป็นพิเศษเสมอ

เสียงออดบอกเวลาเข้าแถวดังขึ้น ดูเหมือนบูมจะสะดุ้งตกใจ เขารีบเก็บหนังสือเรียนแล้วก็รีบวิ่งออกไปอย่างร้อนรน เหมือนกับกลัวว่าจะไปเข้าแถวไม่ทัน ทิวก็รีบวิ่งออกไปเช่น

ตุบ!!!! โอ๊ย!!!!!

ด้วยความรีบร้อน บูมเหยียบที่ตักผงซึ่งวางอยู่บนขั้นบันไดระหว่างชั้นหนึ่งกับชั้นสองของอาคารเรียนจนลื่นล้มตกบันไดลงไป หัวเข่าเขากระแทกพื้นอย่างแรงจนเป็นแผลถลอก

"บูม เป็นอะไรหรือเปล่า" ทิวรีบวิ่งตามลงมาดูเพื่อนทันทีด้วยความเป็นห่วง

"ลุกไหวไหม ให้เราช่วยไหม" ทิวอาสาเมื่อเห็นบูมทำท่าจะลุกขึ้น

"ไม่ต้องมายุ่ง" บูมทำเสียงแข็งตวาดใส่เขาอีกแล้ว เขาพยายามที่ยันกายลุกขึ้นแต่ก็ปรากฏว่าเขาเจ็บข้อเท้ามากจนล้มลงไปอีก

"เราว่านายเดินไม่ไหวแล้ว ไปห้องพยาบาลดีกว่า เดี๋ยวเราช่วย" ทิวบอกอย่างเป็นห่วง บูมดูมีสีหน้าอ่อนลงเพราะเขาเจ็บข้อเท้าจนลุกไปไหนเองไม่ได้ ถ้าไม่ให้ทิวช่วยเขาก็คงไปไหนไม่ได้เลย บูมจึงยอมให้ทิวช่วยพยุงเขามาที่ห้องพยาบาลซึ่งอยู่อีกอาคารหนึ่ง

เมื่อมาถึงห้องพยาบาล ครูพยาบาลก็ช่วยทำแผลและทายาแก้ฟกช้ำให้ แต่แล้วก็ต้องเกาหัวแกรกๆ เมื่อบูมไม่ยอมนอนพักท่าเดียว

"ผมไม่นอนครับ ผมจะกลับไปเรียน" บูมแย้งเมื่อครูพยาบาลบอกว่าเขาควรจะต้องนอนพักก่อน

"เธอจะไปเรียนได้ยังไง เห็นไหมว่าข้อเท้าเธอบวมขนาดนั้น เธอเดินไม่ไหวหรอก" ครูพยาบาลเตือน

"ไม่ได้ครับ ยังไงผมก็ต้องไปเรียนหนังสือ วันนี้มีวิชาสำคัญ ผมขาดไม่ได้ครับ ยังไงผมก็ต้องไปเรียน" บูมเถียง

ทิวยืนมองบูมเถียงกับครูพยาบาลอยู่สักพัก เห็นท่าจะไม่ไหว จึงเดินเข้ามาบอกครูพยาบาลว่า "ไม่เป็นไรครับครู เดี๋ยวผมพาเขาไปเองครับ"

นั่นแหละครูพยาบาลถึงได้ยอม