Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 26
#26, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 10-Mar-12 at 08:38 PM
In response to message #0
หลายคนอาจสงสัยว่า ภาพที่เอามาประกอบทำไมทิวดูหน้าตาเศร้าๆ แต่บูมดูหน้าตาสดใส น่าจะสลับกัน
เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ก็จะเริ่มเห็นแล้วครับว่าต่อไปใครจะเศร้ามากกว่ากัน
พยายามปูเรื่องให้คนรักและเห็นใจบูมก่อน รักบูมเยอะๆ หน่อยนะครับ เพราะว่าต่อไปบูมอาจไม่ค่อยน่าสงสารเท่าไร
อาจจะขอลดความถี่ในการอัปเดตช่วงนี้ลงนะครับ พอดีงานเข้าอีกแล้ว
:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ตอนที่ 9

"หายหัวกันไปหมดเลย" คุณลิขิต เทพสถิตย์พิทักษา นักวิศวกรออกแบบสิ่งปลูกสร้างชื่อดังคนหนึ่งของเมืองไทยบ่นงึมงำขณะนั่งกินข้าวมื้อเย็นกับภรรยา รศ.ดร. ทิพย์นภา เทพสถิตย์พิทักษา อาจารย์ในคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง ต่างคนต่างก็มีสีหน้าบูดบึ้งไม่พอใจอยู่ หลายวันแล้วที่บีมและบูมหายไปจากบ้านและไม่สามารถติดต่อได้

"ฮึ...แล้วมันเป็นเพราะใครล่ะ" คุณทิพย์นภาแค่นเสียง อาหารเย็นมือนี้ช่างไม่มีรสมีชาติเอาเสียเลย สามีเธอหยุดมองพลางขมวดคิ้ว

"คุณจะพูดอะไรก็พูดมาเลยดีกว่า"

"ก็คุณไปตบหน้าลูกทำไมล่ะคะ" เมื่อได้ทีเช่นนี้คุณทิพย์นภาก็ถือโอกาสพูดสิ่งที่อัดอั้นตันใจมาหลายวันเสียเลย "จะดุจะด่าลูกยังไงฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร เลี้ยงเขามาตั้งแต่เล็กจนโต เราไม่เคยทำกับเขาแบบนี้"

คุณลิขิตได้แต่เงียบเพราะเหมือนเขาก็รู้สึกผิดอยู่แล้ว แต่ด้วยความที่เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องคอยดูแลทุกคนในบ้าน ในฐานะที่เป็นสามี ในฐานะที่เป็นผู้ชายและอีกสารพัดสถานะตามแต่ผู้ชายในวัยอย่างเขาจะถูกคาดหวังจากสังคมหรือแม้กระทั่งตัวเอง การที่เขาจะยอมรับผิดก็ดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

เห็นสามีเงียบอยู่อย่างนั้น คุณทิพย์นภาจึงรู้สึกไม่พอใจ เธอกระแทกช้อนส้อมลงบนจานข้าวแล้วก็ลุกออกไป ไม่ว่าจะร่ำรวยแค่ไหน ไม่ว่าจะมีคนยอมรับนับถือหน้าตาในสังคมมากแค่ไหน แต่สุดท้ายเธอก็คือแม่คนหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดที่จะเอาชนะธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ได้

----------------------------------------------------------------------------

ตลอดเวลาที่บูมอยู่บ้านทิวกว่าหนึ่งสัปดาห์นั้น ดูจะเป็นช่วงเวลาที่บูมมีความสุขมากทีเดียว เวลาอยู่บ้าน ทิวก็จะสอนเขาร้องเพลง นอกนั้นก็ช่วยกันทำงานบ้านไม่ว่าจะเป็นล้างจาน ซักผ้า (ด้วยเครื่องซักผ้า) กวาดบ้าน ถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ ว่างๆ ก็ดูทีวี เล่นเกมส์ วันไหนพี่บีมว่างก็จะพาไปเที่ยว พวกเพื่อนๆ คนอื่นๆ ของทิวกับบูมก็พลอยได้อานิสงฆ์ไปด้วย ไม่ว่าจะไปเล่นยิงปืน ตกปลา ขี่เจตสกี โยนโบวลิ่ง ฯลฯ ทำให้เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงวันที่บูมตัดสินใจจะกลับบ้านไปหาพ่อกับแม่

"นายอย่าลืมขอโทษพ่อกับแม่ก่อนนะบูม ยังไงเขาก็เป็นพ่อแม่ของเรา" ทิวเตือนเพื่อนในขณะที่นั่งอยู่บนเตียงมองดูบูมเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า

"อืม เราก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่หนีออกมาแล้วไม่ได้บอกอะไรพ่อกับแม่เลย"

"เราว่าเขาคงเป็นห่วงนายน่าดูนะบูม ไม่มีพ่อแม่คนไหนหรอกที่ไม่รักลูกของตัวเอง" แต่สำหรับทิว เขาคงหมายถึงแม่เพียงคนเดียว จนป่านนี้ทิวก็ไม่รู้หรอกว่าพ่อเคยรักและจะรู้สึกคิดถึงเขาบ้างหรือเปล่า

"เราคง...คิดถึงนายเหมือนกันนะ เวลากลับบ้านไป เราคงไม่ได้เจอนายอีกเป็นเดือนเลย" บูมหยุดหันมามองเพื่อนด้วยสีหน้าที่ทำให้ทิวต้องตีความอย่างหนัก

อยู่ใกล้ชิดกับบูมมาหลายวัน ทิวเริ่มจะรู้แล้วว่าเขากำลังคิดอะไรกับเพื่อนคนนี้อยู่ แม้จะเป็นเรื่องที่ทำใจได้ยากสำหรับเขาอยู่ก็ตาม แต่เขาก็เหนื่อยกับการต่อสู้ภายในใจของตัวเองจนต้องยอมรับความรู้สึกนั้นกลายๆ พอเห็นสีหน้าแบบนี้แล้ว ทิวอดไม่ได้ที่จะตีความให้เข้ากับสิ่งที่เขากำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้ "เราโทรคุยกันก็ได้"

ทิวลุกเดินอ้อมมาอีกฝั่งของเตียง เขานั่งลงใกล้ๆ กับเพื่อน ใกล้จนแขนชิดกันเลยล่ะ มันทำให้ทิวรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก คล้ายๆ ความรู้สึกเวลาที่ทิวเห็นผู้ชายวัยกลางคนที่หน้าตาใจดีแล้วอยากอยู่ใกล้ "เสื้อผ้านายมีแต่ราคาแพงๆ ทั้งนั้นเลยนะเนี่ย" ทิวพูดแซวติดตลก

"แม่เราซื้อให้ ส่วนมากเราไม่ค่อยได้ซื้ออะไรเองหรอก" บูมขำเล็กน้อย

"ถ้าวันไหนเราคิดถึงนาย เราไปหานายที่บ้านได้หรือเปล่า" ที่ทิวถามเพราะเขากลัวว่าถ้าเขาไปแล้วจะทำให้บูมมีปัญหา

"ก็น่าจะได้ แต่...เรายังไม่เคยพาเพื่อนคนไหนไปบ้านเราเลย" บูมขำในตอนท้าย

ให้ตายเถอะ เขารู้สึกว่าบูมน่ารักเหลือเกินเวลายิ้มและหัวเราะ น่ารักจนอยากจะดึงเข้ามากอดเลยทีเดียว คิดแบบนี้อีกแล้วนะทิว เขาเป็นเพื่อนนายนะเว้ย ไม่ใช่... เออ... แล้วไม่ใช่อะไรล่ะ นั่นสิ

"นายกลัวหรือเปล่าบูม" ทิวพยายามดึงสมาธิกลับมาจากความคิดฟุ้งซ่าน

"อืม...ก็กลัวนะ" บูมยอมรับตามตรง "แต่...เรามีพี่บีม แล้วก็นายด้วย ก็เลยหายกลัวไปได้เยอะเลย" แม้จะมีสีหน้าไม่มั่นใจอยู่บ้าง แต่บูมก็รู้สึกกังวลน้อยลงเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา

ทิวพาดมือกอดคอเพื่อนไว้ "ขอบใจนะบูมที่นายให้ความสำคัญกับเราขนาดนี้"

บูมหันหน้ามามองเพื่อนพลางยิ้ม ใบหน้าของบูมกับทิวอยู่ใกล้กันแค่ไม่เท่าไร ทำไมทิวถึงรู้สึกอยากทำอะไรบางอย่างกับริมฝีปากนั้นของเพื่อน ชักจะไปกันใหญ่แล้วทิว ทิวก็รีบปล่อยมือออกจากเพื่อนทันที เขาทำสีหน้าเหรอหรา ไม่รู้ว่าจะเขิน จะยิ้ม จะหัวเราะหรือจะรู้สึกยังไงดี

"ไปฉี่ก่อนนะ" ว่าแล้วทิวก็รีบลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำ บูมมองตามอย่างงงๆ แล้วก็หันมาเก็บเสื้อผ้าต่อ ทิวปิดประตูยืนพิงแล้วก็ถอนหายใจ ใจเขาเต้นไม่เป็นส่ำเลย เขาจะต้องไม่ทำอย่างนี้อีก ถ้าบูมสงสัยมันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ เผลอๆ เขาอาจจะต้องเสียเพื่อนไปเลย

------------------------------------------------------------------

"บูมขอโทษพ่อกับแม่ด้วยครับ" ลูกชายคนเล็กพูดพลางก้มกราบแทบเท้าพ่อกับแม่เมื่อมาถึงบ้าน ต่อให้ใจยักษ์ใจมารขนาดไหน ก็คงไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะไม่ยกโทษให้ลูก โดยเฉพาะเมื่อเห็นลูกก้มกราบด้วยความสำนึกผิดเช่นนี้

บูมลุกขึ้นนั่งชันเข่ามองหน้าผู้ให้กำเนิดทั้งสองคน แม่ดูมีน้ำตาซึมๆ หน่อยๆ ส่วนพ่อก็นิ่งเงียบเหมือนที่บูมเคยเห็นจนชิน

"ทีหลังก็อย่าทำแบบนี้อีก รู้ไหมว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงแค่ไหน" คุณทิพย์นภาบอกลูกชาย น้ำเสียงเธอก็ดูเหมือนจะตำหนินิดๆ น้อยใจหน่อยๆ ผสมกันไป แต่บางทีก็ทำให้เดายากเหมือนกันว่าเธอรู้สึกอย่างไรกันแน่

"ครับ ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกครับ" บูมรับคำ

"แล้วไปอยู่ไหนมา" ในที่สุดคำถามแรกจากคนที่เป็นพ่อก็หลุดออกมา แม้จะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่น้ำเสียงก็ดูอ่อนลงและแฝงด้วยความเป็นห่วงพอรู้สึกได้ แต่ก็นั่นแหละ นอกจากความรู้สึกไม่พอใจแล้ว บูมก็ไม่เคยเห็นว่าคนบ้านนี้จะแสดงความรู้สึกอย่างอื่นได้ดีและตรงกับสิ่งที่ใจคิดมากนัก

"บูมไปอยู่กับเพื่อนครับพ่อ" เห็นท่าทางของผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนแล้ว บูมก็ไม่ค่อยมั่นใจมากนักว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เขากับพี่บีมคาดหวัง มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายนักหรอก พ่อกับแม่ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว อยู่ดีๆ จะให้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือคงไม่ง่าย แต่บูมก็จะพยายามอดทนต่อไปจนกว่าพ่อกับแม่จะเห็นใจและเข้าใจเขาบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็คิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้คงทำให้พ่อกับแม่เรียนรู้อะไรบางอย่างเหมือนกัน

"เราก็เหมือนกัน อย่าทำให้พ่อกับแม่เป็นหัวหลักหัวตอ จะไปไหนก็บอกกันบ้าง" คุณทิพย์นภาหันไปว่าลูกชายคนโต บีมได้แต่รับคำโดยไม่พูดอะไรต่ออีก แต่อย่างน้อย สิ่งที่แม่พูดก็ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาบ้างที่เห็นพ่อกับแม่ก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน นึกว่าเขาจะต้องกลายเป็นลูกที่พ่อกับแม่ได้ตัดหางปล่อยวัดไปเสียแล้ว

--------------------------------------------------------------------------------------

แล้วการเรียนในชั้น ม.4 ก็ผ่านพ้นไป บูมได้เกรดเฉลี่ยสูงถึง 3.9 ทำให้พ่อกับแม่ดูจะพอใจมากทีเดียว แต่แน่นอน บูมก็ยังคงอยู่ชมรมดนตรีและวง Zenith เหมือนเดิม พ่อกับแม่ก็รับรู้ แม้จะไม่ได้สนับสนุน แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่สำคัญดูเหมือนบูมจะค่อนข้างมีอิสระขึ้นมาพอสมควร บางวันเขาก็สามารถเลิกค่ำๆ แล้วไปเดินเที่ยวกับเพื่อนๆ ได้ แต่ก็ต้องกลับบ้านก่อน 3 ทุ่ม แต่ก็นับว่าดีสำหรับบูมแล้ว ส่วนความสัมพันธ์ของเขากับทิวนั้นก็ยังเสมอต้นเสมอปลายดี จนกระทั่ง...

"พี่คะ ช่วยอะไรหน่อยได้ไหมคะ พอดีหนูพยายามหาโทรศัพท์ในกระเป๋าแล้วหาไม่เจอค่ะ จะรบกวนให้พี่ช่วยโทรเข้าเครื่องหนูหน่อยได้ไหมคะ" สาวน้อยเสียงใสคนหนึ่งถามขึ้นขณะที่เดินผ่านมาเจอบูมซึ่งนั่งอยู่คนเดียวพอดี

"อ๋อ ได้สิครับ เบอร์ของน้องเบอร์อะไรครับ" บูมรับช่วยอย่างว่าง่าย เห็นหน้าตาสาวน้อยคนนี้แล้วก็พอคุ้นหน้าอยู่ ตอนนี้น่าจะเรียนอยู่ ม.4 หน้าตาน่ารักทีเดียว บูมจำได้ว่าพวกเพื่อนๆ ในห้องชอบแซวและพูดถึงน้องคนนี้อยู่บ่อยๆ

"ค่ะ 084-xxx-xxx ค่ะ"

บูมกดเบอร์ตามแล้วก็กดโทรออก สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเพลงรักวัยรุ่นสมัยนี้ที่มีจังหวะสนุกๆ หน่อย สาวน้อยรีบเปิดกระเป๋านักเรียนของเธอที่ดูจะมีกระเป๋าซ้อนกันข้างในหลายอันอยู่ ควานไปควานมาไปตามเสียงที่ได้ยินก็เจอโทรศัพท์ของเธอพอดี

"เจอแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะพี่" สาวน้อยขอบคุณพลางยิ้มดีใจ

"ไม่เป็นไรครับ" บูมยิ้มตอบเช่นกัน แต่บูมก็ไม่รู้หรอกว่านี่คือมุกอย่างหนึ่งที่สาวๆ สมัยนี้ใช้สำหรับขอเบอร์โทรศัพท์ชายหนุ่มที่ตัวเองแอบชอบอยู่ แต่ไม่กล้าขอเบอร์ตรงๆ

"พี่เลิกเรียนแล้วหรือคะ"

"ครับ" บูมรู้สึกแปลกใจนิดๆ ที่สาวน้อยคนนี้ทำท่าทางเหมือนยังอยากคุยกับเขาต่อ จริงๆ ก็มีสาวๆ มาชอบเขาหลายคนเหมือนกัน แต่บูมก็มัวแต่สนใจกับการเรียนและร้องเพลงมากกว่าอย่างอื่น

"แล้วพี่มานั่งรอใครอยู่หรือเปล่าคะ"

"อ๋อ...รอเพื่อนครับ"

"ชื่อแป๋มนะคะ ถ้าจำไม่ผิด เหมือนพี่จะชื่อบูมใช่ไหมคะ" สาวน้อยถือโอกาสแนะนำตัวเสียเลย

"อ๋อ...ใช่ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับน้องแป๋ม" บูมยิ้มนิดๆ

"ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่ ไปก่อนนะคะ" สาวน้อยยิ้มหวานอีกครั้งก่อนที่จะค่อยๆ เดินออกไป แต่ก็หันมายิ้มให้กับบูมเป็นระยะๆ

ชักยังไงแล้วสิ แต่ไม่ทันที่บูมจะได้คิดสงสัยอะไรต่อ เพื่อนรักของเขาก็เรียกชื่อเขามาแต่ไกล

"บูม โทษที รอนานหรือเปล่า"

"ไม่เป็นไร เราก็อ่านหนังสือไปได้เยอะเลย" บอกพลางยิ้ม

"ทีหลังนายมาเล่นกับพวกเราบ้างสิ สนุกดีนะ" ทิวชวนแล้วก็ยกขวดน้ำขึ้นดื่ม

"ไม่เอาหรอก เราไม่ชอบเล่นฟุตบอล นายเล่นเถอะ เรารอได้"

บูมก็เป็นผู้ชายที่แปลกดีแฮะ ปกติผู้ชายที่ไหนก็ชอบเล่นฟุตลอล แต่ทฤษฎีนี้ดูเหมือนจะใช้กับบูมไม่ได้ ทิวชวนหลายทีแล้วแต่บูมก็ไม่ยอมเล่น อย่างมากก็เล่นบาส

"เดี๋ยวเราไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ สงสัยพวกนั้นมันคงรอกันแย่แล้ว" ทิวบอกแล้วก็วิ่งจู๊ดออกไป ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมกับชุดนักเรียนตามเดิม

"ไปกันเถอะบูม"

บูมเก็บของใส่กระเป๋าแล้วก็เดินตามเพื่อนออกไป ปกติบูมก็ยังคงให้พ่อ แม่หรือพี่ชายมารับอยู่ แต่ถ้าวันไหนบูมอยากไปเดินเที่ยวกับเพื่อนๆ หรือมีธุระ บูมก็จะกลับเอง แต่ถ้าไปเดินเที่ยวเล่นกับเพื่อนๆ พี่บีมก็มักจะตามมารับทีหลัง

ปุ้ย หม่าว ต้อง ช้าง เอกและมิตรออกมาก่อนแล้วเพราะอยากจะไปเดินดูแผ่นซีดีเกมส์ใหม่ๆ แต่เห็นทิวกับบูมมาช้าก็เลยไปนั่งรอที่ร้าน KFC และเริ่มสั่งของกินไปพลางก่อน พอทิวกับบูมไปถึงจึงโดนเพื่อนๆ ต่อว่าใหญ่

"ไอ้ห่าทิว พวกกูหิวจะแย่ละ มัวแต่รอมึงนี่แหละ วันนี้มึงต้องเลี้ยงพวกกูเลย โทษฐานที่มาช้า" ต้องรีบว่าก่อนใคร ทุกคนต่างก็รู้ว่าที่คนที่ทำให้ช้าก็คือทิว ไม่ใช่บูม

"เดี๋ยวเลี้ยงเองก็ได้เว้ย" บูมเสนอ เรียกเสียงฮือฮาจากเพื่อนๆ ได้พอสมควร เมื่อวานต้องกับเอกเปรยกับเพื่อนๆ ว่าอยากกินไก่ KFC เพราะเพิ่งเห็นโฆษณาชิ้นใหม่

พอกินกันเสร็จแล้ว พี่บีมก็มารับน้องชายอีกตามเคย แต่วันนี้มีแค่บูมกับทิวเท่านั้นที่กลับพร้อมกับพี่บีม ส่วนคนอื่นๆ ก็ไปเดินเที่ยวกันต่อ

ระหว่างที่นั่งกลับ โทรศัพท์ของบูมก็ดังขึ้น เบอร์ไม่ค่อยคุ้นเท่าไรนัก แต่บูมก็รับด้วยความสงสัย

"สวัสดีครับ อ๋อ...จำได้ครับ น้องแป๋มเหรอครับ อ๋อ...พอดีพี่กำลังเดินทางกลับบ้านครับ ไปกินข้าวกับเพื่อนมา ไปกันหลายคนครับ ก็เพื่อนห้องชั้น ม.5/1 ครับ อ๋อ...แถวๆ สยามครับ อ๋อ...วันนี้น้องแป๋มก็ไปกินข้าวกับเพื่อนที่สยามเหมือนกันเหรอครับ..............."

น้องแป๋มคือใคร ทิวนึกสงสัย อ๋อ...จำได้แล้ว รุ่นน้อง ม.4 คนที่เพื่อนในห้องเขามันชอบแซวบ่อยๆ แน่เลย แล้วมารู้จักกับบูมตั้งแต่เมื่อไร ทำไมดูเหมือนคุยสนิทสนมกันขนาดนั้น

"แฟนโทรมาหรือบูม" พี่บีมหันมาถามน้องชายทันทีที่บูมวางโทรศัพท์ลง

บูมหันไปปฏิเสธด้วยสีหน้าอายๆ ว่า "เปล่าครับพี่" แต่บูมก็ไม่รู้จะอธิบายว่า "เปล่า" ของเขาว่าอย่างไร แต่เขาก็ไม่รู้เหตุผลที่แป๋มโทรหาเขาจริงๆ เพราะเท่าที่คุยเมื่อสักครู่นี้ก็ไม่ได้มีสาระอะไร เหมือนแค่คุยกันเฉยๆ

แต่ถ้าบูมหันมามองทิวที่นั่งอยู่ข้างหลังก็คงจะเห็นได้ว่าทิวมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

"อายอะไร...มีแฟนก็บอกมาเถอะ มันเป็นเรื่องธรรมดานะบูม ผู้ชายวัยอย่างบูมเขาก็มีแฟนกันทั้งนั้นแหละ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหนเลย รู้เปล่าว่าพี่น่ะมีแฟนตั้งแต่อยู่ ม.1 แน่ะ" บีมพูดติดตลก แต่เขาก็มีแฟนตั้งแต่ตอนอยู่ ม.1 จริงๆ "แล้วทิวล่ะมีแฟนหรือยัง อย่่าให้แพ้บูมนะ" พี่บีมไม่ลืมที่จะหันมาถามเพื่อนของน้องชายด้วย

ทิวพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วก็ตอบไปว่า "ยังหรอกครับ ผมยังไม่อยากมีแฟนตอนนี้ครับ ไว้ให้เรียบจบก่อนดีกว่า"

"เอาอย่างนั้นเลยเหรอ แต่ใครจะไปรู้ล่ะ เผลอๆ ทิวอาจจะมีสาวๆ มาแอบชอบอยู่หลายคนแล้วก็ได้ ทิวก็หล่อไม่ใช่เล่นนะ หน้าตาแบบทิวสาวๆ น่าจะชอบ หรือว่าทิวมีแอบชอบใครอยู่หรือเปล่า ให้บูมช่วยได้นะ เผื่อเคล็ดลับที่ใช้จีบน้องแป๋มจะเป็นประโยชน์" บีมพูดพลางขำ

ทิวได้แต่แค่นหัวเราะตามไปด้วย บูมหันมามองหน้าเพื่อนก็เห็นทิวมีสีหน้าไม่ค่อยสนุกนัก แม้ว่าเขาจะรู้สึกเหมือนทิวมีอะไรบางอย่าง แต่บูมก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป

พอรถมาส่งถึงบ้าน ทิวก็ลาพี่บีมกับบูม แล้วก็ไขกุญแจเข้าไปในบ้าน วันนี้แม่เขายังไม่กลับเลย ดูเหมือนว่าช่วงหลังๆ แม่จะมีงานเยอะและกลับค่อนข้างดึกอยู่บ่อยๆ เอาของขึ้นไปเก็บบนห้องแล้วทิวก็นั่งถอนหายใจ นี่บูมมีแฟนแล้วจริงๆ หรือ ทำไมบูมไม่เคยบอกเขาเลย แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าไรหรอก มันสำคัญตรงที่ความรู้สึกของเขาเองหลังจากที่ได้รู้ต่างหาก ตอนที่เพื่อนยังไม่มีแฟน การแอบชอบเพื่อนก็ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่พอรู้ว่าเพื่อนมีแฟนแล้วทิวก็รู้สึกกลัว... แต่เขากลัวอะไรหรือ กลัวบูมห่างเหินไป กลัวบูมไม่สนิทกับเขาเหมือนเก่า แต่ทำไมเขาต้องกลัวด้วยล่ะ นี่มันเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายไม่ใช่หรือ สุดท้ายก็ต้องมีแฟน แต่งงาน มีลูกมีครอบครัว เขาก็เคยคิดอย่างนั้นไม่ใช่หรือ แล้วทำไมต้องกลัว ใช่....... เขาต้องกลัวสิ เพราะว่าทิวไม่เหมือนเดิมแล้ว มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆ ว่าเขาเป็น......