Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 4
#4, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 05-Mar-12 at 03:11 PM
In response to message #0
ตอนที่ 3

ทิวค่อยๆ ช่วยพยุงตัวบูมขึ้นมาในลักษณะให้เขากอดคอ ตัวบูมก็หนักพอสมควรแต่ทิวก็ไม่ได้เห็นเป็นเรื่องสำคัญเท่าไรนัก แล้วค่อยๆ พาบูมออกมาจากห้องพยาบาล ต่างคนต่างเงียบไม่พูดอะไร จนกระทั่งโผล่เข้ามาในห้องเรียน ทุกคนต่างแปลกใจและฮือฮากับภาพที่เห็น บางคนถึงกับขยี้ตาด้วยซ้ำว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่า คู่อริสองคนที่ไม่เคยถูกกันเลยตั้งแต่เข้ามาเรียน มาวันนี้กลับเดินพยุงกอดคอกันมา

ทิวพาบูมค่อยๆ เดินมานั่งโต๊ะท่ามกลางสายตาสงสัยของเพื่อนๆ และครูที่กำลังสอนอยู่

"จะไปไหนบอกเรานะ ไม่ต้องเกรงใจ" ทิวบอกบูมเบาๆ แต่ดูเหมือนว่าบูมชักจะทำสีหน้าไม่ถูกเสียแล้ว จะหยิ่งไม่ให้คนช่วยก็ไม่ได้ หรือจะขอให้คนอื่นๆ ในห้องช่วยก็ถ้าจะลำบากเพราะใครๆ ต่างก็เอือมระอาเขาทั้งนั้น

"ไปโดนอะไรมาคะเนี่ย" ครูสอนภาษาอังกฤษสาวสวยถามหลังจากที่บูมนั่งที่แล้ว

"ตกบันไดครับ" บูมบอกเสียงเบา แต่ครูก็ได้ยินเพราะเขานั่งอยู่หน้าสุด

"ไปทำอีท่าไหนให้ตกบันไดวะ" เสียงเพื่อนแซวมาจากด้านหลังพร้อมกับเสียงหัวเราะชอบใจ บูมหน้าเจื่อนลงทันที

"เดี๋ยวเถอะพวกเธอนี่ เพื่อนเจ็บยังจะมาหัวเราะกันอีก" ครูแอนส่งเสียงปราม เสียงหัวเราะจึงเงียบลง แม้ว่าครูแอนจะไม่ดุ แต่ความสวยของครูแอนก็ทำให้เด็กผู้ชายในห้องหลายคนต้องยอมสยบ ครูแอนเป็นครูที่ถือว่าอายุน้อยที่สุดในโรงเรียนก็ว่าได้ เพราะจบมาแล้วก็มาเป็นครูเลย ที่น่าแปลกก็คือที่โรงเรียนนี้ไม่ชอบให้เด็กเรียกครูว่า "อาจารย์" เพราะครูที่นี่ไม่ได้ให้หวยกัน แต่ก็ยังมีเด็กนักเรียนหลายคนที่ยังอยากเรียกว่าอาจารย์อยู่ เพราะมันดูเท่ห์ดี ฟังดูเหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัย

"ไหวไหม ทำไมไม่นอนพักห้องพยาบาลก่อนล่ะ" ครูแอนถาม

"ไม่เป็นไรครับ ผมอยากเรียนวิชานี้ ยังไงก็ต้องมาครับ"

"อืม ถ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ช่วยดูเพื่อนหน่อยละกันนะเรา" ครูแอนหันมาพูดกับทิว ทิวยิ้มแล้วตอบรับ "ครับ"

เมื่อเรียนจบคาบภาษาอังกฤษแล้ว ทิวก็เดินไปถามบูมว่า "ไปห้องน้ำไหม"

บูมเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าที่เขาเองก็บอกไม่ถูกว่ามีความรู้สึกแบบไหนอยู่ "ไม่เป็นไร ยังไม่ปวดหรอก" บูมตอบเบาๆ

"ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า เดี๋ยวถ้าเกิดนายปวดมากๆ จะวิ่งไปห้องน้ำไม่ทันนะ" ทิวขู่

"ไปก็ได้"

ได้ผลด้วยแฮะ ทิวนึกในใจ เขาค่อยๆ พยุงเพื่อนให้ลุกขึ้นแล้วก็พาเดินไปห้องน้ำอย่างใจเย็น อาการปวดบวมลดลงไปพอสมควรทำให้บูมพอลงปลายเท้าได้บ้าง พอไปถึงห้องน้ำ ทิวก็พาเพื่อนไปที่โถปัสสาวะแล้วถามว่า

"นายยืนเองได้ไหม"

บูมมีสีหน้าลำบากใจ ถ้ามีราวเหล็กสักหน่อยเหมือนโถปัสสาวะที่ทำให้คนพิการเขาก็คงพอจับยืนเองได้ แต่นี่มีแต่ผนังลื่นๆ เขาก็ไม่รู้จะจับยังไง

"งั้นเรายืนอยู่ตรงนี้ นายจับไหล่เราไว้ละกัน" ทิวเสนอ

"เฮ้ย จะดีเหรอ" บูมโวยวาย

"เราไม่ดูของนายหรอกน่า ผู้ชายเหมือนกัน อายอะไรวะ" ทิวว่า บูมจึงยอมทำตามแต่โดยดี เขาเอามือหนึ่งเกาะไหล่ทิวไว้ พยายามใช้อีกมือหนึ่งรูดซิป แต่มันก็ยากเอาการ ทิวเห็นท่าจะไม่ไหวก็เลยถือวิสาสะรูดซิปออกให้เพื่อนเสียเลย

"เฮ้ย" บูมร้องประท้วง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เขาจึงต้องเลยตามเลย คนอื่นๆ ที่เข้ามาในห้องน้ำชายต่างก็งงๆ ว่าผู้ชายสองคนนี้มายืนทำอะไรกันที่โถปัสสาวะ

"เฮ้ย พวกมึงสองคนทำอะไรกันน่ะ ชักว่าวกันเหรอ ไม่อายผีสางเทวดาเลยนะพวกมึง" รุ่นพี่ ม.5 คนหนึ่งทัก คนอื่นๆ รวมทั้งเพื่อนบางคนในห้องเดียวกันหันมามองแล้วก็หัวเราะกัน

"เปล่าพี่ พอดีเพื่อนผมเจ็บขา" ทิวบอกไป เขารู้ว่าไม่มีอะไรหรอกเพราะผู้ชายมันก็แซวกันไปอย่างนั้นแหละ

พอเสร็จธุระแล้วทิวก็พาบูมไปล้างมือ แล้วก็ให้บูมเกาะอ่างล้างไว้ก่อน เขาจะได้ไปทำธุระส่วนตัวบ้าง จากนั้นก็พาบูมเดินกลับห้อง สีหน้าของบูมเริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยมึนตึงโกรธขึ้งก็ดูอ่อนลง มีรอยยิ้มจางๆ ที่ทิวพอสังเกตเห็นได้

----------------------------------------------------------------------------------------

"เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ" ทิวเดินมาชวนบูมที่โต๊ะหลังจากที่เสียงออดพักเที่ยงดังขึ้น

"ไม่เป็นไรหรอก" บูมเงยหน้าขึ้นมาบอก สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีร่องรอยของความโกรธเคืองเหลืออยู่เลย "เราเกรงใจ ถ้าอยากจะช่วยจริงๆ นายซื้อมาให้เรากินข้างบนก็ได้" บูมหลุดปากพูดความรู้สึกจริงๆ ออกมา

"เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก เราบอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ ไปกินด้วยกันนั่นแหละ นายจะได้ไปเลือกเอง จะได้มีเพื่อนคุยด้วย ไม่เหงาไง" ทิวไม่เลิกความพยายาม

บูมยังคงมีสีหน้าเกรงใจอยู่ บวกกับรู้สึกผิดที่เคยทำไม่ดีกับเพื่อนไว้จึงทำให้เขาลังเล

"ไปกันเถอะ" ทิวเร่งเร้า ในที่สุดบูมก็ตัดสินใจลงไปกินข้าวด้วย แต่เมื่อไปถึงโรงอาหารบูมก็ขอนั่งอยู่กับที่และให้ทิวช่วยเอาอาหารมาให้ เขาสั่งก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นหมูเส้นหมี่ ส่วนทิวก็สั่งคล้ายๆ กันแต่เป็นเส้นเล็ก

กินไปได้สักพัก เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็ซักเขากันใหญ่ "ถามจริงๆ เถอะ ไปทำยังไงให้ตกบันไดวะ แล้วไปตกตอนไหนไม่เห็นรู้เรื่องเลย" ปุ้ยถามเป็นคนแรก

บูมนั่งกินเงียบๆ ไม่ตอบอะไร ทิวเห็นอย่างนั้นก็เลยตอบไปแทนว่า "ตอนจะไปเข้าแถวเมื่อเช้านี้ไง พอดีใครไม่รู้เอาที่ตักผงวางไว้ที่บันได แล้วบูมคงรีบไม่ทันเห็น ก็เลยเกิดอุบัติเหตุ"

"อ๋อ" เพื่อนๆ ลากเสียงเออออตามกัน "ไม่น่าเชื่อว่าคนเรียนเก่งจะซุ่มซ่ามเป็นด้วย" ไอ้หม่าวพูดพลางขำ บูมหันไปมองด้วยสายตาที่เพื่อนๆ มักเอาไปล้อกันลับหลังว่า "สายตาพยาบาท" หม่าวมันจึงหยุดขำ

"เฮ้ยนี่กูถามมึงจริงๆ เถอะวะไอ้บูม มึงนึ่ยิ้มเป็นไหม ตั้งแต่เห็นมึงย้ายเข้ามาเรียน ก็ไม่เห็นมึงยิ้มซักกะแอะ โลกนี้มันมีอะไรน่าหดหู่ขนาดนั้นหรือวะ" ต้องถามบ้าง

บูมดูสะอึกไปเหมือนกัน แต่เขาก็รีบตอบไปว่า "ก็ไม่มีอะไรนี่ ธรรมดากูก็เป็นแบบนี้แหละ"

"เหรอ นี่ธรรมดาของมึงแล้วเหรอ หน้าของมึงยังกะคนไม่ได้ขี้มาแล้วเป็นเดือนๆ" ต้องพูดจบเพื่อนที่นั่งข้างๆ ก็รุมโขกหัวเข้าให้ "ไอ้นี่มึง คนกำลังกินข้าวเสือกพูดเรื่องขี้เรื่องเยี่ยว" ต้องได้แต่ลูบหัวตัวเองเบาๆ

"นี่แน่ะ โทษของการพูดจาไม่เพราะเวลากินข้าว" เอกว่าพลางใช้ตะเกียบคีบแย่งลูกชิ้นจากชามของต้องไปแล้วเอาเข้าปากตัวเองทันที "ไอ้เอก นิสัยนะมึง" ต้องว่าเบาๆ เอกรีบเอามือมาป้องชามก๋วยเตี๋ยวของตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ต้องแย่งคืน

บูมดูเหมือนจะแอบขำเล็กน้อย ทิวทันได้สังเกตเห็นพอดีเพราะนั่งอยู่ติดกัน จริงๆ บูมเป็นคนหน้าตาดีทีเดียว ถ้ารู้จักยิ้มสักหน่อย สาวๆ คงชอบกันเยอะน่าดู

คุยกันไปสักพัก ก็เหมือนว่าบูมเริ่มกลับมาคุยกับเพื่อนๆ ในห้องได้บ้างแล้ว หลังจากที่ทุกคนต่างเข็ดขยาดไม่อยากคุยกับเขา ช่วยทำให้บรรยากาศการเรียนในห้องดีขึ้นมาพอสมควร

--------------------------------------------------------------------

ตอนบ่ายก็เช่นเคย ทิวมาคอยช่วยพยุงบูมและพาไปตรงนั้นตรงนี้เสมอ ในช่วงวิชาพละ ครูปล่อยให้นักเรียนเล่นกีฬาตามความถนัดของตัวเอง บูมเจ็บขาเล่นอะไรไม่ได้ เขาจึงได้แต่นั่งเฉยๆ บนอัฒจรรย์ในโรงบาสเกตบอล ทิวเล่นบาสเกตบอลกับเพื่อนพักหนึ่งก็วิ่งขึ้นมานั่งคุยเป็นเพื่อนกับเขา

"เป็นไง ขาดีขึ้นหรือยัง" ทิวถามพลางยิ้ม บูมก็ยิ้มตอบ

"หายบวมไปเยอะละ พรุ่งนี้น่าจะพอเดินเองได้"

ทิวยิ้มดีใจ "ดีแล้ว" แล้วทิวก็ทำสีหน้าเหมือนอยากจะถามอะไรบางอย่างที่เขาไม่แน่ใจว่าควรจะถามดีหรือไม่ "เราถามอะไรนายบางอย่างได้ไหม"

บูมพยักหน้า

"นายอยากเข้าชมรมดนตรีจริงๆ หรือเปล่า" ทิวถามพลางสังเกตดูว่าบูมจะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง

บูมพยักหน้าอีกครั้ง แต่สีหน้าเขาดูไม่ค่อยดีนัก

"ทำไมนายอยากเข้าชมรมนี้ล่ะ" ทิวถามต่อเมื่อเห็นว่าบูมไม่ได้มีท่าทางต่อต้านสิ่งที่เขาเพิ่งถามไป

"ก็..." บูมไม่รู้จะเริ่มยังไงดี "เราอยากทำอะไรที่มันผ่อนคลายบ้าง จริงๆ เราชอบฟังเพลงนะ แต่เราก็ไม่ค่อยได้ร้องหรอก"

"อ้าว ทำไมไม่ร้องล่ะ"

"เรากลัวพ่อว่า" บูมตอบสั้นๆ แค่นั้น ทำให้ทิวไม่กล้าถามคำถามอะไรต่อจากนั้นที่เกี่ยวกับครอบครัวของเขา ดูเหมือนเขาจะมีปัญหากับครอบครัวของเขาจริงๆ อย่างที่หลายคนสงสัย

"แต่เราอยากจะลองร้องเพลงดู" บูมเปลี่ยนสรรพนามเรียกตัวเองจาก "กู" มาเป็น "เรา" ในตอนหลังแล้ว พอเห็นทิวไม่พูดกู-มึงกับเขาเหมือนเพื่อนคนอื่น เขาก็เลยไม่กล้าพูดกู-มึงด้วย

"เอาไหมล่ะ เดี๋ยวเราสอนร้องเพลงให้ หลังกินข้าวเที่ยงดีไหม หรือจะตอนเย็นๆ ก็ได้ ไปซ้อมที่ห้องดนตรีกัน" ทิวเสนอ

ดุท่าทางบูมสนใจมากทีเดียว "จริงเหรอ แต่เย็นๆ เราคงฝึกไม่ได้หรอก เดี๋ยวพ่อกับแม่เรามารับ"

"อืม งั้นตอนหลังกินข้าวก็ได้ ไปซ้อมที่ห้องดนตรีกัน ว่าแต่ว่านายชอบร้องเพลงแบบไหนล่ะ"

"ไม่รู้เหมือนกันว่าชอบแบบไหน เราไม่ค่อยรู้จักนักร้องเท่าไรหรอก นายพอมีแนะนำเราบ้างไหมล่ะ"

"มีสิ เรามีเยอะเลย" ทิวว่าพลางหยิบเอาโทรศัพท์ไอโฟนของตัวเองออกมา น่าแปลกใจเหมือนกันที่บูมก็ดูมีฐานะมี แต่เห็นพกแค่โทรศัพท์ธรรมดาที่ดูเชยๆ ไม่ทันสมัย เขาหยิบเอาหูฟังมาใส่หูตัวเองข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งส่งให้บูม แล้วก็เลือกเพลงที่เขาคิดว่าบูมน่าจะใช้เริ่มต้นในการร้องเพลงได้

"เพลงนี้เป็นไง น่าจะไม่ยากนะสำหรับคนฝึกร้องใหม่ๆ"

บูมพยักหน้าและอือๆ ออๆ ไปก่อน เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอันไหนมันร้องยากร้องง่าย จนกว่าจะได้ลองนั่นแหละ "นายร้องท่อนฮุกเพลงนี้ให้เราฟังหน่อยสิ เราอยากฟังนายร้องสดๆ" บูมบอก

ทิวยิ้มกว้าง "นั่นแน่ ไม่เชื่อมือเราล่ะสิ ได้เล้ย เดี๋ยวคอยดู" ว่าแล้วทิวก็ร้องเพลงโชว์เสียเลย

บูมนั่งฟังอย่างตั้งใจ เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าทิวจะร้องเพลงได้เพราะขนาดนี้ พอทิวร้องเพลงจบเขาก็ปรบมือให้พลางขอจับมือ

"เห็นนายร้องได้ขนาดนี้เราไม่กล้าร้องเลยว่ะ" บูมบอกพลางขำ เวลาบูมขำแล้วเขาจะตาหยีน่ารักไปอีกแบบ

"ได้สิ ไม่มีอะไรเกินความพยายามของเราหรอก ถ้านายเชื่อมั่นในตัวเอง นายทำอะไรก็ได้ ขนาดการเรียนนายยังทำได้เลย อันนี้ง่ายกว่าตั้งเยอะ" ทิวให้กำลังใจ

"เดี๋ยวเราจะลองดู" บูมบอกพลางยิ้มน้อยๆ ตั้งแต่ย้ายมาเรียนที่ใหม่ วันนี้เป็นวันแรกที่เขารู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว เขารู้สึกเหงามาก มากจนอยากจะขอพ่อให้ย้ายกลับไปโรงเรียนเดิมเลยทีเดียว แต่ถ้าเขามีเพื่อนได้สักคนอย่างทิว ก็คงจะทำให้อะไรๆ มันดีขึ้นบ้าง มันทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นพอสมควร แต่จะว่าไปแล้ว เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับเพื่อนคนไหนมาก่อนเลย

"เอางี้ละกัน เดี๋ยวเราเลือกเพลงให้นายไปฟังก่อนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้นายมาบอกเราว่านายอยากร้องเพลงไหน ถ้าฝึกร้องเพลงจากเพลงที่เราชอบก่อนจะทำให้ฝึกง่ายขึ้น ว่าแต่โทรศัพท์นายฟังเพลงได้ไหม"

บูมพยักหน้า ถึงมันจะดูไม่ค่อยทันสมัย แต่มันก็ฟังเพลงได้เหมือนกัน

"มีบลูทูธปะ" ทิวถามอีก บูมพยักหน้า ทิวจึงเลือกเพลงให้บูมไป 7-8 เพลงที่คิดว่าบูมน่าจะร้องได้ ดูสีหน้าของบูมมีความสุขและมีประกายความหวังบางอย่าง ทิวรู้สึกดีใจที่ได้เห็นเช่นนั้น

-------------------------------------------------------------------------

ตกเย็น ทิวก็ช่วยพยุงบูมมาส่งที่รถ วันนี้แม่เขาเป็นคนมารับ แม่ของบูมยังดูสวยอยู่มากทีเดียว คงเป็นเพราะเธอทำงานที่ต้องพบปะกับผู้คนหลากหลาย จึงต้องแต่งตัวให้ภูมิฐานและดูดีตลอดเวลา

เห็นสภาพลูกชายอย่างนั้นแล้ว แม่ของบูมก็เปิดประตูรถพลางมองดูลูกชายที่ถูกเพื่อนพยุงมาด้วยความสงสัยและเป็นห่วง "บูม เป็นอะไรล่ะลูก"

"ตกบันไดครับแม่ แต่ไม่เป็นไรมากแล้วครับ" บูมบอก ทิวช่วงพยุงเขาไปนั่งในรถก่อนแล้วจึงทำความเคารพแม่ของเขา

"ทิวครับแม่ เพื่อนบูม" บูมแนะนำ แม่ของเขายกมือรับไหว้ทิวที่เพิ่งยกมือสวัสดีเธอไปเมื่อสักครู่นี้

"ขอบใจมากนะที่พาบูมมาส่ง ไปบูม ไปโรงพยาบาล เจ็บตัวแบบนี้แล้วแทนที่จะโทรไปบอกพ่อกับแม่ เรานี่ก็แปลกคน" ตอนหลังแม่ก็หันมาดุบูม ทำให้ทิวพอเข้าใจและเห็นอะไรรางๆ บ้างแล้วว่าทำไมบูมจึงดูเครียดๆ