ตอนที่ 4กว่าจะได้กลับถึงบ้าน บูมก็ถูกคุณแม่บ่นไปหลายอย่างตั้งแต่โรงเรียน โรงพยาบาลจนกลับมาถึงบ้าน บางทีเขาก็ชิน บางทีเขาก็รำคาญ แต่วันนี้บูมทำเงียบๆ และได้แต่ครับๆ อย่างเดียว จริงๆ ปกติเขาก็ไม่ค่อยจะได้เถียงอะไรมากอยู่แล้วเพราะรู้ว่าเถียงไปก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ ยังไงเขาก็ต้องถูกบังคับอยู่ดี ตั้งแต่บีม พี่ชายของเขาทำให้พ่อกับแม่ผิดหวังในเรื่องการเรียน บูมก็กลายเป็นความหวังใหม่ของครอบครัวขึ้นมาทันที โชคดีหน่อยที่เขาค่อนข้างหัวดีกว่าพี่ชาย พ่อแม่ก็เลยไม่ต้องเหนื่อยกับเขามากนัก แต่เขาก็ถูกเคี่ยวเข็ญหนักอยู่ดี
ไปโรงพยาบาลมาแล้วบูมก็ได้ไม้ค้ำยันมาอันหนึ่ง ทำให้เขาพอทำอะไรได้สะดวกขึ้นมาบ้าง จริงๆ ครูพยาบาลพยายามจะหาให้แล้วตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียนแล้วแต่ก็ดันมาหายกระทันหัน จึงต้องลำบากทิวที่เป็นคนช่วย ทำไมทิวจึงดีกับเขาอย่างนั้นล่ะ ทั้งๆ ที่เขาทำตัวไม่น่ารักกับทิวเลย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็ขอบใจทิวมากเช่นกัน ถ้าได้มีเพื่อนสักคนที่พอจะทนคบเขาไปได้บ้างก็คงจะดี แต่ก็ไม่รู้ว่าทิวจะทนคบกับเพื่อนเจ้าปัญหาอย่างเขาได้นานแค่ไหน
วันนี้พ่อคงกลับดึกเพราะมีประชุมงาน บูมจึงต้องนั่งกินข้าวกับแม่สองคนในบ้าน ที่บ้านเขามีคนรับใช้อยู่สองคน คนหนึ่งทำอาหาร อีกคนทำงานบ้านทั่วไป แต่ไม่มีคนขับรถเพราะพ่อกับแม่ขับเอง ไม่มีคนสวนเพราะใช้วิธีจ้างเอา
กำลังนั่งกินข้าวอยู่ พี่บีมก็กลับมาจากมหาวิทยาลัยพอดี สักพักบีมก็ยิ้มเผล่เข้ามาในห้องกินข้าว "หวัดดีครับแม่ อ้าวบูม ไปเอาไม้เท้ามาทำอะไรล่ะ" บีมถามอย่างแปลกใจพลางเดินมาหาน้องชาย
"กินข้าวมาหรือยัง" คุณแม่หันมาถามลูกชายอีกคนด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่ยินดียินร้าย ถึงเธอจะรู้สึกว่าลูกคนนี้ไม่ได้อย่างใจ แต่ก็ยังไงก็เป็นลูก ยังไงเธอก็ยังคงเป็นห่วงอยู่ดี
"กินกับเพื่อนมาแล้วครับ" บีมบอกแล้วหันมาสนใจบูมต่อ "ว่าไงล่ะเรา เอาไม้เท้ามาทำไม"
"ตกบันไดที่โรงเรียนตอนเช้า" บุมตอบเสียงห้วนๆ แล้วก็หันมาสนใจกับอาหารต่อ ในใจลึกๆ เขาก็นึกโทษพี่ชายอยู่เหมือนกันที่ไม่ตั้งใจเรียนหนังสือ จนเป็นเหตุให้พ่อกับแม่ต้องมากดดันเขาแทน บีมเองก็พอจะเดาความรู้สึกของน้องชายได้อยู่ แต่มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่เขาเรียนหนังสือไม่เก่งเลย เขาเคยถูกพ่อกับแม่ด่าว่าโง่ผ่าเหล่าผ่ากอ เคยถูกเคี่ยวเข็ญในฐานะพี่ชายคนโตที่จะต้องเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักให้กับครอบครัวต่อไป แต่เขาก็ทำไม่ได้ จนพ่อแม่เลิกบังคับ บีมจึงหันไปเรียนศิลปะอย่างที่เขาชอบ เขาไม่อิจฉาน้องชายเลยสักนิดที่พ่อกับแม่คาดหวังจะให้ไปเรียนต่อเมืองนอก แต่ก็อดสงสารน้องชายไม่ได้เหมือนกันที่ต้องมาถูกบังคับแทนเขา ทำให้บูมดูไม่ค่อยร่าเริงมาหลายปีแล้ว ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่บูมค่อนข้างฉลาดเหมือนพ่อกับแม่ ไม่ผ่าเหล่าผ่ากออย่างเขา การเรียนของบูมจริงๆ ก็เป็นที่น่าพอใจมากทีเดียว เขาจึงแปลกใจที่พ่อกับแม่ก็ยังคงเคี่ยวเข็ญบูมอยู่ จนบูมแทบจะไม่มีเวลาได้เล่นหรือทำกิจกรรมตามวัยของเขาเลย
บีมเห็นบรรยากาศไม่ค่อยดีจึงรีบขอตัวขึ้นไปอาบน้ำข้างบน "เหรอ ทีหลังระวังหน่อยนะ ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับแม่" ว่าแล้วบีมก็รีบวิ่งขึ้นไป พอลูกชายคนโตลับตาไป แม่ก็เริ่มบ่นอย่างที่บูมได้ยินมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เขาฟังจนแทบจะจำได้ทุกคำพูดอยู่แล้ว
"เรียนอะไรไม่เรียน ไปเรียนศิลปะ จบมาจะไปทำมาหากินอะไร ก็ได้กลายเป็นศิลปินใส้แห้งกันพอดี" แม่บ่นงึมงำในตอนแรก แล้วก็หันมาบ่นดังๆ กับบูมว่า "จำไว้นะบูม บูมต้องตั้งใจเรียน จบมาจะได้มีงานดีๆ ทำ เป็นหน้าเป็นตาให้พ่อกับแม่บ้าง อย่าให้พ่อกับแม่ต้องอับอายขายขี้หน้าเขาไปมากกว่านี้เลย..." และอีกสารพัดที่แม่จะบ่น บูมได้แต่แอบถอนหายใจ เขารีบๆ กินข้าแล้วก็ขอตัวขึ้นไปบนห้อง
วันนี้ไม่มีการบ้าน ปกติเขาจะต้องอ่านหนังสือของวันถัดไปก่อน รวมทั้งยังมีหนังสือและชีทที่ครูสอนพิเศษแจกมาให้อีกส่วนหนึ่งที่เขาต้องคอยทบทวน แต่วันนี้เขาอยากจะฟังเพลงที่ทิวเพิ่งให้เขามา ไม่ได้อ่านหนังสือแค่วันเดียวคงไม่ทำให้เขาสอบตกหรอก นี่ถ้าพ่อกับแม่มาได้ยินสิ่งที่เขาคิดคงดุเขาใหญ่ที่คิดแบบนี้
อันที่จริงในห้องบูมมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะตัวหนึ่งและติดลำโพงด้วย ถ้าเขาเปิดลำโพงนี้จนสุดเสียงมันคงดังไปจนถึงปากซอยได้แน่ๆ แต่เขาแทบจะจำไม่ได้เลยว่าเคยเปิดเพลงฟังดังๆ กี่ครั้ง มีแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้นเวลาที่พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้าน แต่วันนี้เขาคงไม่ได้คิดจะเปิดเพลงเสียงดังหรอก ถ้าแม่ได้ยินเขาก็คงโดนดุ บูมจึงเอาหูฟังมาเสียบกับโทรศัพท์ที่แสนเชยในสายตาของเพื่อนๆ ของเขา แล้วก็ฟังเพลงที่ทิวให้มา เขาฟังไปอยู่สองสามรอบก็ได้เพลงที่อยากลองร้องแล้ว เขาอดตื่นเต้นไม่ได้จนต้องโทรไปหาทิวเลยทีเดียว
"ทิว เราได้เพลงที่เราอยากร้องแล้วนะ"
"จริงเหรอ เพลงอะไร" น้ำเสียงของทิวก็ดูตื่นเต้นไม่แพ้กัน
"ฉันดีใจที่มีเธอ" บูมบอกชื่อเพลงไป
"ได้เลย เดี๋ยวเราเตรียมเนื้อเพลงไว้ให้ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน" ทิวบอกด้วยน้ำเสียงที่ทำให้บูมรู้สึกฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูก
"ขอบใจมาก" บูมบอกด้วยน้ำเสียงที่บอกว่าเขารู้สึกขอบใจจริงๆ "แค่นี้ก่อนนะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้" บูมรีบบอกแล้วก็วางสายไป ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะคุยต่อ แต่เขาได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นแม่เขานั่นเอง
บูมรีบวางโทรศัพท์ ทำทีไปเปิดหนังสือเรียนบนโต๊ะไว้ แล้วก็รีบไปเปิดประตู แต่มันก็ค่อนข้างทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะเขายังใช้ไม้ค้ำยันได้ไม่ค่อยคล่อง แล้วก็เป็นแม่เขาจริงๆ ด้วย
"อาบน้ำอยู่เหรอลูก ทำไมเปิดประตูช้าจัง เอ...ก็ยังใส่ชุดเดิมนี่นา"
"อ๋อ ยังครับ พอดีอ่านหนังสืออยู่ แล้วผมก็ใช้ไม้ค้ำยันไม่ค่อยถนัดด้วยครับ ก็เลยมาเปิดช้า" บูมแก้ตัว แม่ของเขาสอดส่ายสายตาเข้ามาในห้อง เห็นบูมเปิดหนังสือทิ้งไว้แล้วก็เลยไม่ติดใจอะไร
"ทีหลังอาบน้ำก่อนก็ได้ แล้วค่อยมาอ่านหนังสือ จะได้อ่านสบายๆ" แม่ของเขาบอกแล้วก็เดินลงไปข้างล่าง บีมซึ่งอยู่ห้องติดกันแอบแง้มประตูออกมาดู แล้วเขาก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างระอาใจ นี่พ่อกับแม่ของเขากะจะไม่ให้บูมได้มีเวลาทำอย่างอื่นบ้างเลยหรือไงถึงต้องคอยเช็คอยู่ตลอดแบบนี้ เห็นแล้วก็อึดอัดแทน
บูมปิดประตูด้วยใจระทึก นี่ถ้าแม่เกิดสงสัยหรือจับได้ขึ้นมา เขาก็คงโดนอบรมอีกเป็นชุด แถมยังอาจจะมีพ่อมาช่วยบ่นอีกคนไปด้วย เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วก็เลยเปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำ เขาคงจะต้องอ่านหนังสืออีกสักหน่อยก่อนนอน อย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่รู้สึกผิดที่โกหกแม่เมื่อสักครู่นี้มากนัก
------------------------------------------------------------------------
เช้าวันต่อมา ทิวรีบมาโรงเรียนแต่เช้ากว่าปกติ แน่นอนว่าต้องมีอะไรพิเศษแน่ๆ เขากระเป๋าเรียนขึ้นไปเก็บบนห้องแล้วก็รีบแจ้นลงมารออยู่ตรงบริเวณที่เขามักจะเห็นพ่อกับแม่มาส่งบูมเป็นประจำ ไม่นานนักรถเก๋งยุโรปสุดหรูก็วิ่งเข้ามาจอด ในเวลาที่เกือบจะเหมือนเดิมเป๊ะ จนทิวอดสงสัยไม่ได้ว่าที่บ้านของบูมบอกเวลากันเป็นวินาทีหรือเปล่า
พอเห็นบูมลงมาทิวก็รีบวิ่งไปช่วยเขาถือกระเป๋าเรียนทันทีเพราะเขารู้ว่าบูมคงถือไม่ถนัดนัก บูมดูจะแปลกใจมากทีเดียวที่เห็นทิวมารอช่วยเขา แต่วันนี้ทิวไม่ต้องช่วยพยุงเขาแล้วเพราะวันนี้เขามีไม้คำยันมาด้วย
บูมกับทิวบอกสวัสดีแม่แล้วก็พากันเดินขึ้นมาบนห้องเรียน ระหว่างที่เดินขึ้นมาอย่างช้าๆ บูมก็ถามว่า "นายมารอเราเหรอ"
ทิวพยักหน้าพลางยิ้ม "เดี๋ยวไม่มีใครช่วยนายถือกระเป๋าไง"
บูมรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเพื่อนใหม่ที่เจอกันเพียงไม่กี่สัปดาห์อย่างบอกไม่ถูก "ขอบใจนะ" บูมบอกพลางยิ้มที่มุมปาก แล้วเขาก็หยุดเดินระหว่างขึ้นบันได ทิวหยุดแล้วมองอย่างสงสัย ก่อนจะได้ถามอะไร บูมก็ชิงพูดเสียก่อน
"เราขอโทษนะ"
ทิวเลิกคิ้วด้วยความสงสัย "ขอโทษเรื่องอะไร???"
"ก็ที่เราเคยทำไม่ดีกับนายไง"
นั่นแหละทิวถึงได้ร้องอ๋อว่าบูมขอโทษเขาทำไม "เฮ้ย ไม่ต้องคิดมากหรอก ไม่เห็นมีอะไรเลย นิดเดียวเอง เราไม่เก็บเอามาใส่ใจหรอก" ทิวบอกพลางเอามือไปตบไหล่เพื่อน
บูมยิ้มดีใจกับมิตรภาพใหม่ที่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบจากโรงเรียนที่เขาเพิ่งย้ายเข้ามาได้ไม่นานนี้ "เรารู้แล้วล่ะว่าวันนั้นนายไม่ได้แกล้งเราหรอก" บูมเอ่ยออกมาหลังจากที่เงียบไปพักหนึ่ง ทิวหัวเราะเบาๆ
"นายไม่โกรธพวกนั้นเหรอที่โยนความผิดให้นาย" บูมถามพลางค่อยๆ ก้าวเท้าขึ้นบันไดต่อ
"เราไม่ถือสาพวกมันหรอก" ทิวบอกแค่นั้น บูมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เด็กนักเรียนคนอื่นๆ เริ่มทยอยกันมาบ้างละ บูมกับทิวจึงเดินขึ้นไปเงียบโดยไม่ได้คุยอะไรเป็นเรื่องเป็นราวมากนัก
"วันนี้นายไม่ต้องไปเข้าแถวหรอก เดี๋ยวเราบอกครูให้" ทิวบอกเมื่อมาส่งบูมถึงโต๊ะเรียนแล้ว แล้วเขาก็เดินมาหยิบกระดาษจากกระเป๋าเป้ของเขา พอหาเจอแล้วก็เดินเอาไปยื่นให้บูม "เนื้อเพลงที่เราบอกจะเอามาให้ไง"
"ขอบใจนะ" บูมบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพลางรับกระดาษเนื้อเพลงที่ทิวพิมพ์มาให้ เขาเพิ่งนึกได้เดี๋ยวนี้เองว่าสิ่งที่เขียนในเนื้อเพลงนั้นมันช่างตรงกับความรู้สึกของเขาตอนนี้จริงๆ
"จะกินอะไรไหมเดี๋ยวเราลงไปซื้อมาให้" ทิวถาม เพื่อนๆ ที่เดินเข้ามาในห้องต่างก็มองเขากับบูมแปลกๆ เพราะคงไม่มีใครคิดว่าเขากับบูมจะสนิทกันได้เร็วขนาดนี้ เมื่อไม่กี่วันมานี้ยังทำหน้ายักษ์ใส่กันอยู่เลย
บูมส่ายหน้าแล้วตอบว่า "ไม่เป็นไรหรอก เรากินข้าวเช้ามาแล้ว แม่ไม่ค่อยชอบให้เรากินจุกจิก เดี๋ยวอ้วน"
"อ๋อ...งั้นนายอยู่นี่ก่อนละกัน เราต้องลงไปทำเวรข้างล่าง วันนี้เวรเรา ไปช้าเดี๋ยวถูกรุ่นพี่จดชื่อ แต่นายเตรียมตัวไว้นะ หลังเที่ยงแล้วเจอกัน" ทิวบอกพลางเดินมาจับมือเพื่อนเป็นการให้คำมั่นสัญญา
----------------------------------------------------------------
หลังจากกินข้าวเที่ยงแล้วทิวก็พาบูมไปที่ห้องดนตรีทันที ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีคนมาใช้นักเพราะส่วนใหญ่ยังกินข้าวอยู่ ทิวรีบไปจองคีย์บอร์ดตัวหนึ่งที่อยู่ตรงมุมห้อง เขามักจะใช้คีย์บอร์ดตัวนี้ในการวอร์มเสียงก่อนร้องเพลงอยู่บ่อยๆ
"อันดับแรก เราว่านายร้องให้เราฟังก่อนดีกว่า เอาท่อนที่นายจำได้ดีที่สุดก่อนก็ได้ เราจะได้รู้ว่าเนื้อเสียงนายเวลาร้องเพลงแล้วเป็นยังไง" นั่นคือสิ่งแรกที่ทิวขอให้เพื่อนช่วยทำเมื่อนั่งประจำที่แล้ว
บูมดูประหม่าทีเดียว เขาเหลียวมองไปรอบๆ ห้องเพื่อดูว่ามีใครบ้าง ก็เห็นเด็กนักเรียนคนอื่นๆ เข้ามาบ้างแล้ว แต่ยังคุยกันอยู่ไม่ได้เริ่มซ้อมดนตรี "เอาตอนนี้เลยเหรอ" บูมถามย้ำอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ทิวพยักหน้า
"เอาท่อนฮุกละกันนะ" บูมบอกแล้วสูดลมหายใจยาว ก่อนจะร้องเปล่งเสียงร้องออกมาว่า "ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ เธอคือกำลังใจเดียวที่มีไม่ว่านาทีไหนๆ" แล้วบูมก็หยุดขำ เขาหันไปมองรอบๆ นึกว่าจะมีใครหันมาสนใจบ้าง แต่ทุกคนก็ยังยืนคุยกันอยู่เหมือนไม่ได้สนใจอะไร จึงทำให้เขาลดอาการประหม่าไปได้บ้าง
"เป็นไง แย่ใช่ไหมล่ะ" บูมบอกพลางยิ้มอายๆ
"ใครว่าล่ะ เราว่าเสียงนายมีเอกลักษณ์น่าสนใจมากๆ เลยรู้ปะ" ทิวบอกด้วยน้ำเสียงเหมือนแมวมองที่กำลังเจอช้างเผือกยังไงยังงั้นเลย ทำให้บูมรู้สึกมีกำลังใจขึ้นอีกมากโข
"นายอำหรือเปล่า เราว่าเสียงเราแย่มากเลยนะ" บูมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
"ไม่จริงเลย โอเคล่ะ กำลังเสียงนายอาจจะไม่ยังไม่ค่อยดีในตอนนี้ แล้วก็เพี้ยนพอดู แต่มันฝึกได้ แต่เราว่าเนื้อเสียงของนายน่าสนใจมากๆ เราว่ามันเหมาะกับเพลงรักๆ โรแมนติกๆ นะ"
ได้ยินแบบนั้นแล้วก็ยิ่งทำให้บูมมีกำลังขึ้นอีกโขเลยจนเขาเผลอยิ้มอย่างมีความหวังออกมา
"เรามาร้องท่อนอื่นกัน นายจำเมโลดี้ได้ทั้งหมดหรือยัง"
บูมส่ายหน้า
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะเล่นคีย์บอร์ดเป็นเมโลดี้ให้ นายร้องตามนะ จะได้ฝึก Ear Training ไปด้วย"
บูมพยักหน้า ทิวเริ่มกดเล่นเมโลดี้เพลง บูมยังเข้าได้ไม่ตรงคีย์นัก เขาจึงให้บูมประโยคแรกใหม่อยู่สองสามครั้ง จนเขาสามารถร้องได้ตรงคีย์มากขึ้น จึงค่อยๆ ไล่ไปประโยคและท่อนอื่นๆ ในเพลง เมื่อรู้ว่าการร้องเพลงของเขาไม่แย่อย่างที่คิด บูมก็เริ่มมีความหวังว่าเขาจะได้ค้นพบความสามารถใหม่ เขาก็ไม่รู้หรอกว่าท้ายที่สุดนี้เขาจะใช้ความสามารถนี้ไปทำอะไรได้ พ่อแม่เขาคงไม่ยอมให้เขาเป็นนักร้องอย่างแน่นอน แต่บูมก็รู้สึกว่ามันทำให้บูมมีความสุขมากทีเดียว อย่าเพิ่งไปนึกถึงอะไรอย่างอื่นเลย อย่างน้อยๆ เขาก็จะได้มีความสามารถพิเศษกับเขาบ้าง ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนอย่างเดียว
ขณะที่เขากำลังสอนบูมร้องเพลงอยู่นั้น พี่ปี๊ดประธานชมรมดนตรีก็เดินเข้ามาดู "เฮ้ยทิว มึงพาใครมาสอนร้องเพลงวะวันนี้"
ทิวกับบูมหยุดแล้วก็หันไปมองตามเสียง ทิวดูจะตกใจนิดๆ เพราะเขายังไม่ได้ขออนุญาตพี่ปี๊ดเลย "เพื่อนในห้องผมครับพี่ปี๊ด ชื่อบูมครับ เพิ่งย้ายมาใหม่" ทิวถือโอกาสแนะนำเสียเลย
"อ๋อ... ไอ้น้องนี่เอง แล้วจะไหวไหมเนี่ย เล่นดนตรีก็ไม่ได้ ร้องเพลงก็ไม่เป็น" พี่ปี๊ดเห็นหน้าปุ๊บก็จำได้ปั๊บ เพราะเขาเป็นคนไล่ตะเพิดบูมออกไปเองตอนที่บูมไปขอสมัคร
"พอได้อยู่พี่ ผมว่าฝึกอีกหน่อยก็มาอยู่ชมรมเราได้เลยครับ เนื้อเสียงดีใช้ได้เลยครับ" ทิวรีบอวด "พี่อยากฟังหรือเปล่าครับ" ทิวถามต่อ บูมแอบเอามือมาสะกิดว่ายังไม่ต้องก็ได้เพราะเขายังไม่มั่นใจขนาดนั้น
"เฮ้ย ยังๆ เอาไว้ก่อนละกัน วันนี้พี่มีธุระต้องเคลียร์เอกสารชมรมก่อน ตามสบายละกัน" พี่ปี๊ดบอกแล้วก็รีบเดินออกไป
ทิวดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าใกล้จะบ่ายโมงแล้ว สงสัยต้องพักไว้ก่อน "วันนี้เอาเท่านี้ก่อนละกันนะ เดี๋ยวจะไปเรียนไม่ทัน พรุ่งนี้ค่อยมาต่อกันใหม่ เดี๋ยวเราจะสอนนายเรื่องการหายใจและการวอร์มเสียงด้วย"
"โอเคเพื่อน ก็ดีเหมือนกัน กว่าเราจะเดินไปถึงห้องเรียนก็คงบ่ายโมงพอดี" การได้เรียกใครสักคนว่าเพื่อนในตอนนี้ สำหรับบูมแล้วมันวิเศษที่สุดสำหรับชีวิตเลยล่ะ เขาอยากมีเพื่อนแบบนี้มานานแล้ว ที่ผ่านมา เขาเจอแต่เพื่อนที่แค่เล่นๆ สนุกกันไปวัน ไม่ค่อยมีสาระอะไร แต่เมื่อเจอทิวแล้ว บูมก็รู้สึกต่างออกไป เขารู้สึกว่าทิวไม่ใช่เพื่อนอย่างที่เขาเคยมี ทิวน่าจะเป็นเพื่อนที่เขาสามารถคบได้ลึกซึ้งมากกว่าเล่นสนุกทั่วไป เขารู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาโดยไม่รู้สาเหตุ