Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 60
#60, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 25-Mar-12 at 11:22 PM
In response to message #0
อีกไม่นานนี้ ทิวกับบูมก็จะได้เจอกันแล้วนะครับ อดใจรออีกนิด

-----------------------------------------------

ตอนที่ 18

"พี่บีม บูมนะครับ"

"อ้าวบูม มีอะไรโทรมาดึกดื่นป่านนี้" บีมถามพลางหาวไปด้วย เขาเหลือบมองดูนาฬิกาที่หัวเตียงก็เห็นว่าเกือบตีสามแล้ว แต่เวลาที่อเมริกาคงยังประมาณเที่ยงๆ อยู่

"พี่บีม บูมมีอะไรอยากให้ช่วยหน่อยครับ" บูมบอกด้วยน้ำเสียงร้อนใจจนบีมรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

"ว่ามาเลยบูม จะให้พี่ช่วยอะไร"

"พี่บีมได้เจอทิวบ้างไหมครับ บูมรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีมาหลายวันแล้ว มันสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้ครับ"

บีมเงียบและอึ้งไปสักพักที่อยู่ดีๆ บูมก็ถามถึงเพื่อนที่บูมเองก็ไม่เคยคิดจะไปหาหรือติดต่อใดๆ บีมเคยถามบูมอยู่สองสามครั้งเรื่องนี้ก็ได้ความว่า "บูมไม่กล้าไปสู้หน้าเพื่อน" และนั่นก็เป็นเหตุผลที่บูมได้หายไปจากชีวิตของทิว "ไม่เลย ไม่ได้ติดต่อเลย พี่นึกว่าบูมลืมทิวไปแล้วเสียอีก"

คราวนี้บูมเป็นฝ่ายสะอึกไปบ้าง ใครๆ ก็คงคิดอย่างนั้น การที่เขาไม่ติดต่อไม่ไปหาทิวเลยนั้นก็เท่ากับเป็นการบอกกลายๆ ว่าเขากับทิวได้ตัดขาดความสัมพันธ์กันไปแล้ว จนผ่านมาเกือบสี่ปี จนเขาจะเรียนจบอยู่แล้ว ทำไมเพิ่งมานึกถึงเพื่อนตอนนี้ แต่ในความเป็นจริงนั้น บูมก็ไม่เคยลืมทิวเลย ถึงจะไม่ได้ติดต่อ ไม่ได้ไปหา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจำไม่ได้ว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง

"พี่ขอโทษ..." บีมรีบบอกเมื่อเห็นน้องชายเงียบไป

"ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับพี่ คนขี้ขลาดอย่างผม...ไม่สมควรที่จะกลับไปให้ทิวเห็นหน้าอีก แต่ผมไม่เคยลืมนะพี่ ผมไม่เคยลืมทิวเลย" น้ำเสียงของบูมฟังดูเศร้าอย่างเห็นได้ชัด

"คิดอะไรอย่างนั้นล่ะบูม ถ้าบูมทำไม่ถูกต้อง บูมก็แค่กลับไปขอโทษเพื่อนเท่านั้นเอง ไม่ว่าทิวเขาจะให้อภัยบูมหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่บูมจะหลบลี้หนีหน้าเพื่อนแบบนี้ พี่ถามจริงๆ นะ... บูมคิดอะไรกับทิวหรือเปล่า"

"ผม..." เสียงบูมเงียบและขาดช่วงไปเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง เขาจะตอบยังไงดี เมื่อตอนสมัยเรียนนั้น เขายอมรับว่าเขารักทิว แต่เมื่อสี่ปีได้ผ่านไปแล้ว บูมได้พบเจอสังคมใหม่ เพื่อนใหม่ และแม้กระทั่ง... มันก็เลยดูจะตอบได้ยากว่าเขายังรู้สึกกับทิวแบบนั้นอยู่ไหม วันเวลาและความห่างไกลทำให้เขาไม่แน่ใจในเรื่องนี้ แต่ที่เขายังแน่ใจก็คือ... เขาไม่เคยลืมทิวเลยและยังรู้สึกผิดอยู่เสมอเวลาที่นึกถึง

"ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่... ผมยังจำทิวได้เสมอนะพี่ ยังจำได้ว่าทิวคือเพื่อนที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยมีมา ถ้าพี่เจอทิว ฝากบอกทิวด้วยครับว่าผมไม่เคยลืมเขาเลย ผมคิดถึงทิวเสมอ"

ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างระหว่างทิวกับบูมที่บีมยังไม่เข้าใจ บีมยังปะติดปะต่ออะไรไม่ได้มากนัก เขาเคยถามน้องชายหลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่กระจ่างชัดมาก แต่บีมรู้สึกว่าบูมคงยังไม่พร้อมที่จะพูดความจริงทั้งหมด "อืม... เอาอย่างนี้ละกัน บูมจะให้พี่ช่วยยังไง เกี่ยวกับทิวหรือเปล่า" บีมกลับเข้ามาสู่ประเด็น

"ครับ พี่ช่วยไปหาทิวหน่อยได้ไหมครับ ผมอยากรู้ว่าทิวยังสบายดีอยู่หรือเปล่า ทิวเรียนที่ไหน แม่ของทิวเป็นไงบ้าง หรืออะไรก็ได้ครับที่เกี่ยวกับทิว"

"ทำไมบูมไม่โทรไปหาทิวเองล่ะ" บีมอดสงสัยไม่ได้

"คือ..." บูมอึกอัก "ผมไม่กล้าจริงๆ ครับพี่" บูมสารภาพ เขารู้สึกละอายใจจนไม่กล้าแม้แต่จะให้ทิวได้ยินเสียงเขา เขารู้ว่าทิวคงเจ็บมากตอนที่เขาจากมา แต่คนขี้ขลาดอย่างเขากลับไม่ได้ช่วยอะไรเพื่อนเลย แม้กระทั่งเมื่อกี้นี้ที่เขาโทรไปหาทิว เขายังไม่กล้าคุยกับทิวแม้สักคำเดียว

"ได้ แต่บูมอย่าลืมนะ อีกไม่นานนี้บูมก็จะกลับมาแล้ว คราวนี้ บูมต้องไปหาทิวนะ ไม่ต้องกลัวแม่ บูมโตขนาดนี้แล้วแม่คงไม่มาอะไรมากแล้วล่ะ สัญญากับพี่ได้ไหม"

บูมชั่งใจอยู่สักพักก็ตอบตกลง "ครับ"

"พี่เสียดายแทนเรานะบูม เพื่อนดีๆ อย่างทิวหาไม่ได้ง่ายๆ นะ ตั้งแต่ที่บูมรู้จักกับทิว บูมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเยอะเลยรู้ไหม เพื่อนที่ช่วยทำให้ชีวิตเราดีขึ้นได้โดยไม่หวังผลตอบแทนมีไม่กี่คนหรอกนะบูม พี่ก็ไม่ได้อยากจะซ้ำเติมอะไรบูมนะ แต่พี่แค่อยากให้ข้อคิด ต่อไปบูมทำอะไรจะได้ระวังมากขึ้น พี่จะไปหาทิวให้ละกัน แล้วพี่จะโทรหาอีกที"

"ครับพี่ ผมเข้าใจครับ ขอบคุณพี่มากครับ"

น้องชายเขาวางสายไปแล้ว บีมนั่งนิ่งสักพักเหมือนคิดอะไรบางอย่างแล้วก็ถอนหายใจ "บูมเอ๊ย ไม่น่าทำแบบนี้เลย" บีมคิดอย่างนี้จริงๆ เขาไม่เห็นด้วยเลยกับเหตุผลที่บูมบอกว่าไม่กล้าไปสู้หน้าเพื่อน แต่นั่นก็เป็นชีวิตของบูม เขาไม่อยากจะเข้าไปก้าวก่ายมาก พอนานๆ ไปเข้าเขาก็เลยลืมเรื่องนี้ไปด้วย พอนึกได้อีกครั้งก็รู้สึกเป็นห่วงทิวอยู่เหมือนกัน ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง

---------------------------------------------------------------------------

ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไป ทิวก็ยังจำรถคันนี้ได้เสมอ เมื่อมันแล่นมาจอดที่หน้าบ้านในขณะที่ทิวกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่หน้าบ้านพอดี ทิวจึงรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูด้วยความดีใจทันที

"พี่บีม" ทิวร้องเรียกพลางวิ่งเข้าไปหา

บีมลงมาจากรถแล้วก็ยิ้มอย่างดีใจ "โห...ทิว โตขึ้นเยอะเลยนะ หล่อขึ้นเป็นกองเลย อืม... แต่ดูเหมือนจะผอมๆ ไปหรือเปล่า"

"บูมเป็นไงบ้างครับพี่" ทิวไม่ได้สนใจคำถามของบีมเลย สิ่งแรกและสิ่งเดียวที่ทิวอยากรู้ก็คือเรื่องของบูมเท่านั้น

บีมหน้าเจื่อนลงเล็กน้อยแต่ก็ตอบไปว่า "บูมสบายดี เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่า"

ทิวรีบทำตามอย่างว่าง่าย เขาพาพี่บีมเข้าไปในบ้าน หาน้ำมาให้แล้วก็รีบมานั่งคุยด้วยทันที บีมสังเกตดูก็เห็นว่าทิวดูผอมไปจริงๆ ด้วยเมื่อเทียบกับรูปร่างและอายุ แต่ที่น่าผิดสังเกตก็คือแววตาที่ดูเศร้าของทิว ตั้งแต่ที่รู้จักกันครั้งนั้นบีมก็ไม่เคยเห็นทิวมีแววตาแบบนี้เลย

"อีกไม่นานบูมก็จะกลับมาแล้วนะทิว ทิวอยากอยากเจอบูมหรือเปล่า" บีมถามขึ้นหลังจากที่รับน้ำมาดื่มแล้ว

"ครับ" ทิวต้องสะกดจิตสะกดใจอย่างมากทีเดียวที่จะไม่ร้องไห้ออกมา เขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาเมื่อคืนนี้ คิดว่าจะไม่ได้มีชีวิตอยู่เสียแล้ว ถ้าไม่มีเสียงโทรศัพท์นั้นเขาก็คงตายไปแล้วล่ะ ที่ทิวคาดเดาว่าบูมน่าจะโทรมาหาเขาก็น่ามีเหตุผลอยู่บ้าง เพราะอยู่ดีๆ วันนี้พี่บีมก็มาหา ทั้งๆ ที่ก็ไม่เคยมาหาเขานานแล้ว บูมขอให้พี่ชายมาหาเขาหรือเปล่า

"วันนี้ไม่ได้ไปเรียนเหรอ"

ทิวชะงักไปเล็กน้อยก่อนตอบว่า "ไม่ครับ"

"เหรอ แล้วแม่ล่ะ แม่สบายดีหรือเปล่า" บีมถามพลางยิ้ม

ทิวเงียบไปสักพัก เหมือนกับไม่แน่ใจว่าเขาควรจะบอกอะไรมากน้อยแค่ไหน อีกใจหนึ่งก็สงสัยว่า ถ้าบูมอยากรู้ ทำไมบูมไม่โทรมาถามเขาเองล่ะ ทำไมจะต้องให้พี่ชายมาถามแทน "สบายดีครับ" ทิวพูดเสียงเบาลง

บีมถอนหายใจเพราะไม่รู้จะเริ่มต้นคุยกับทิวยังไงดี จะให้บอกทิวว่าน้องชายเขาเป็นห่วง ก็เลยให้มาดู ทิวคงจะรู้สึกไม่ดีแน่ๆ เบอร์โทรศัพท์ก็มี ก็ควรจะโทรมาถามเอง

"บูมเขาไปเรียนอะไรครับพี่" ทิวเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นบีมมีสีหน้าเหมือนรู้สึกอึดอัดกับบางอย่าง

"บริหารธุรกิจ ถ้าบูมกลับมา บูมก็คงจะมาทำงานบริษัทรับออกแบบสิ่งก่อสร้างที่พ่อลงทุนกับเพื่อน พ่อเขาเตรียมตำแหน่งไว้ให้แล้วล่ะ"

"เหรอครับ" ทิวยิ้มดีใจ เขาดีใจกับเพื่อนจริงๆ ที่ได้มีโอกาสดีๆ แบบนี้ ถึงเขาจะไม่มีโอกาสอย่างนั้นเลยก็เถอะ "บูมจะกลับมาวันไหนครับ"

"เอ... จำวันที่ไม่ได้ แต่อีกสองสามเดือนนี่แหละ ทิวจะ..." บีมกำลังจะถามว่าทิวจะไปรับบูมด้วยไหมก็ต้องหยุดไว้แค่นั้นเมื่อนึกได้ว่าแม่เขาไม่ชอบทิวอยู่ ถ้าให้ทิวไปรับด้วยคงเกิดเรื่อง "เดี๋ยวบูมเขาจะมาหาทิวนะ พี่บอกเขาแล้วให้เขามาหาทิว บูมเขารับปากแล้ว" บีมเปลี่ยนเรื่องไปทันที

"ครับ ผมคิดถึงบูมมาก อยากเจอบูม" ในที่สุดทิวก็ห้ามน้ำตาไม่ได้เสียแล้ว "แต่ทำไมบูมไม่เคยติดต่อมาหาผมเลยล่ะครับพี่ บูมเขาโกรธอะไรหรือเปล่า หรือเขาไม่อยากเจอผมอีกแล้ว"

บีมตกใจมากทีเดียวที่จู่ๆ ทิวก็ร้องไห้ นี่คงมีเรื่องราวบางอย่างระหว่างทิวกับบูมแน่ๆ ที่บูมไม่ได้เล่าให้เขาฟัง "ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกทิว เมื่อคืนบูมก็โทรมาหาพี่ เขาเป็นห่วงทิวนะ เขาไม่ลืมทิวหรอก เขาบอกพี่ว่าเขาไม่เคยลืมทิว แต่บูมเขามีเหตุผลบางอย่าง ไม่ใช่เพราะเขาโกรธทิวหรือไม่อยากเจอหน้าทิว เอาเป็นว่า... อีกไม่นานทิวก็จะรู้ พี่ไม่อยากพูดแทนเขา บูมเขาคงจะมาบอกทิวเอง อย่าเสียใจเลยนะทิว บูมเขาไม่เคยคิดอย่างนั้นหรอก"

บีมพูดพลางตบไหล่ทิวเบาๆ เป็นการปลอบใจ

"จริงเหรอครับพี่ บูมเขาไม่ลืมผมใช่ไหมครับ"

บีมส่ายหน้า ทิวยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความดีใจที่รู้ว่าบูมไม่เคยลืมเขาเลย สักพักใหญ่ทิวก็ถามขึ้นมาว่า "แล้วบูมเขามีแฟนหรือยังครับ"

คำถามนี้เล่นเอาบีมถึงกับไปไม่เป็นเลยทีเดียว เขาไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกันก็เลยบอกไปว่า "พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน ไว้ถามบูมอีกสองสามเดือนละกันนะ"

พอสังเกตดูดีๆ แล้ว บีมก็รู้สึกว่าทิวเหมือนจะคิดถึงบูมมากทีเดียว ไม่งั้นคงไม่ร้องห่มร้องไห้แบบนี้หรอก แม่เขาบอกว่าทิวเป็นเกย์ หรือว่าทิวจะคิดอะไรกับบูมมากเกินกว่าเพื่อนกันหรือเปล่า แล้วน้องชายเขาล่ะ บูมสนิทกับทิวมากในตอนนั้น มันจะไม่มีความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นเลยหรือ มันน่าจะมีอะไรบางอย่างที่มากกว่าความสัมพันธ์แบบเพื่อนกันธรรมดา ไม่อย่างนั้นผู้ชายกับผู้ชายก็ไม่น่าจะห่างเหินกันไปโดยไม่มีสาเหตุแบบนี้ น้องชายเขาก็พูดคลุมเครือๆ และได้แต่ย้ำว่าไม่กล้ามาสู้หน้าเพื่อน แต่เขาก็ไม่รู้สาเหตุว่าบูมไม่กล้ามาสู้หน้าทิวเพราะอะไร

บีมอยู่คุยกับบูมสักพักก็ขอตัวกลับเพราะเขามีงานต้องไปถ่ายภาพงานแต่งงานในตอนเย็น แม้ว่าอาชีพแบบนี้จะดูต่ำต้อยสำหรับครอบครัวเขา แต่บีมก็ภูมิใจและรักงานเขามากทีเดียว

-------------------------------------------------------------------

จะบ่ายอยู่แล้ว ทิวยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เขาได้แต่มองเงินที่เหลือในกระเป๋าอยู่สี่สิบบาทอย่างใจหาย มันจะมีงานอะไรอีกไหมที่ทิวพอจะทำได้ช่วงกลางวัน ตอนนี้ฝีมือการเล่นดนตรีของเขาเริ่มเข้าที่แล้ว คงไม่ต้องฝึกเพิ่มในตอนกลางวันมากแล้วล่ะ ถ้าอยู่แบบนี้เขาคงไม่พ้นอดตายแน่ๆ เลย หรือว่าเขาควรจะขายบ้านหลังนี้เสีย ใช้หนี้แล้วก็ไปหาซื้อคอนโดอยู่ แต่คิดไปคิดมาเขาก็ยังเสียดายอยู่ หรือจะไปเสิร์ฟอาหาร แต่ว่างานพวกนี้ก็มักจะทำเลยไปจนถึงเย็น ตรงกับเวลาที่เขาต้องทำงานร้องเพลง คิดไปคิดมา สักพักก็เหลือบไปเห็นมอเตอร์ไซค์ที่เขาเอาไว้ใช้ขี่ไปซื้อของที่หน้าปากซอย หรือจะลองขับวินมอเตอร์ไซค์ดู ทิวพอรู้จักกับพี่ๆ ที่ขับวินมอเตอร์ไซค์อยู่หลายคน ถ้าทิวไปขอร้องให้พี่ๆ เขาช่วยก็น่าจะพอมีความเป็นไปได้ กลางวันขับวินมอเตอร์ไซค์ ตอนกลางคืนก็ไปร้องเพลง-เล่นดนตรี ก็น่าจะช่วยให้เขามีรายได้เพิ่มขึ้นมาหน่อย คิดแล้วก็เข้าท่าเหมือนกันแฮะ ดีกว่าอยู่เฉยๆ รอวันอดตาย ถึงจะได้เงินไม่เยอะก็ยังดีกว่าต้องไปขายตัวเป็นไหนๆ

ตั้งแต่นั้นทิวก็เลยมีอาชีพเสริมด้วยการขับวินมอเตอร์ไซค์รับส่งคนในปากซอยในตอนกลางวัน กลางคืนก็ไปร้องเพลงและเล่นดนตรี ทำให้เขาพอหายใจหายคอได้คล่องขึ้นมาบ้าง แต่เขาก็เหนื่อยมากทีเดียว ตอนกลางวันก็ตากแดดจนผิวคล้ำ กลางคืนก็นอนดึก บางวันมีเวลานอนแค่สามสี่ชั่วโมงเขาก็ต้องลุกขึ้นมาทำงานแล้ว

แต่เขาก็ทำงานนี้ได้ไม่นานเมื่อมีคนมาชวนให้เขาไปทำอย่างอื่น ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นพี่ที่รู้จักกันและอยู่ในซอยเดียวกันนั่นเอง คนมักจะเรียกเขาว่าพี่พงษ์ เป็นผู้จัดการร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย พี่พงษ์มักจะใช้บริการทิวอยู่บ่อยๆ ตั้งแต่ที่ทิวหันมาทำอาชีพนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพี่พงษ์ก็อยู่ในทาวน์เฮาส์ใกล้ๆ กับเขานั่นเอง แม้ว่าเมื่อก่อนจะเจอกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยทักทายกันตามวิถีชีวิตของคนกรุงเทพ แต่ทิวก็เห็นพี่คนนี้มานานแล้วล่ะ เพิ่งได้มารู้จักกันมากขึ้นเมื่อรับส่งพี่พงษ์ระหว่างบ้านและที่ทำงานบ่อยๆ

"สนใจทำงานที่เซเว่นไหมทิว" พี่พงษ์ถามขึ้นขณะที่ทิวมาส่งเขาที่ร้านเซเว่น-อีเลเว่นหน้าปากซอย

ทิวใช้เวลาคิดไม่นานนักก็ตอบไปว่า "สนใจครับ"

"โอเค งั้นไปคุยกันในร้านหน่อยไหม" พี่พงษ์ชวน ทิวจอดมอเตอร์ไซค์ไว้หน้าร้านแล้วก็ตามพี่เขาเข้าไปข้างใน

"พอดีพนักงานออกไปคนหนึ่ง พี่กำลังหาอยู่พอดี เผื่อทิวจะสนใจ จะได้ไม่ต้องไปทำงานตากแดดทั้งวันแบบนั้น"

ทิวก็คิดว่ามันก็น่าจะดีเหมือนกัน ขับวินมอเตอร์ไซค์นั้นคาดเดารายได้ค่อนข้างยาก บางวันก็แทบจะไม่มีคนใช้เลยก็มี ถ้ามีงานประจำแบบนี้ รายได้ก็น่าจะมั่นคงมากกว่า

"ผมสนใจครับพี่ แต่ว่า...มันต้องทำแบบเปลี่ยนกะไปเรื่อยๆ หรือเปล่าครับ ผมจะติดปัญหานิดหน่อย พอดีตอนเย็นๆ ผมจะต้องไปร้องเพลงตามร้านอาหาร ผมคงทำกะเย็นๆ ไม่ได้ครับ"

"ทิวสะดวกเวลาไหนล่ะ"

"เช้าๆ ครับพี่ เลิกไม่เกินสักหกโมงเย็น แต่ผมเคยได้ยินว่าพนักงานเลือกกะไม่ได้ไม่ใช่เหรอครับ" ทิวถามเพื่อความแน่ใจ เขาเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าพนักงานเซเว่นไม่สามารถเลือกกะที่จะเข้างานได้ ต้องเวียนกันไปเรื่อยๆ

"พี่จัดให้ได้ ว่าแต่ทิวสนใจไหมล่ะ ถ้าสนใจพี่จะให้ทิวเข้ากะเช้า เจ็ดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น สนใจไหม"

"สนใจครับพี่" ทิวรีบตอบแบบไม่ต้องคิดเลย ถึงแม้เขาพอจะรู้บ้างว่างานในเซเว่นก็ค่อนข้างหนักเพราะจะต้องยืนตลอดเวลา นั่งไม่ได้ แต่ก็น่าจะดีกว่าขับรถตากแดดตากลมทั้งวันแบบนี้

"งั้นพี่จะให้ผมเริ่มทำงานได้เมื่อไรล่ะครับ" ทิวละล่ำละลักถามอย่างดีใจ

"ถ้าวันนี้สะดวกก็มาสมัครงานก่อนละกัน พอพี่ส่งเรื่องแล้วก็มาทำได้เลย ใช้เวลาไม่นานหรอก ไม่เกินสองวัน" พี่พงษ์ตอบพลางยิ้ม เขาเห็นทิวมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วล่ะ และก็พอรู้เรื่องที่แม่ของเขาเสียจนทำให้ทิวต้องออกจากมหาวิทยาลัยมาหางานทำ ได้ยินแล้วเขาก็รู้สึกสงสารอยู่เหมือนกัน ให้ทิวมาทำงานที่นี่ก็น่าจะช่วยให้ทิวไม่ต้องลำบากมากจนเกินไป ถือว่าเป็นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันที่กำลังลำบาก