Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 62
#62, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 26-Mar-12 at 11:20 AM
In response to message #0
พอดีวันนี้เป็นวันเกิดของคนเขียนครับ ก็เลยอยากจะมอบตอนนี้เป็นพิเศษให้กับคนที่มาติดตามอ่าน
ทิวกับบูมได้เจอกันแล้วนะครับ แต่................................ ต้องติดตามตอนต่อไป
เตรียมกระดาษทิชชู่ไว้ด้วยก็ดีครับ

--------------------------------------------------------------

ตอนที่ 19

พอได้ทำงานที่เซเว่นอีเลเว่นแล้ว ชีวิตของทิวก็ดีขึ้นพอสมควร ทำให้เขาพอมีเงินเหลือเก็บบ้างเดือนละพันสองพัน แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการำทำงานหนักและพักผ่อนน้อย เพราะบางวันเขาก็กลับดึกมาก ได้นอนอีกนิดหน่อยแล้วก็ต้องไปทำงานที่เซเว่นฯ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ก็พอทำให้ทิวได้มีเวลาพักหายใจจากเรื่องร้ายๆ ไปบ้าง ก็ดีมากพอสำหรับชีวิตในตอนนี้แล้วล่ะ ถ้าเขาเก็บเงินได้มากกว่านี้ เขาอาจจะหาที่เรียนต่อสักแห่ง อาจจะไปเรียนรามคำแหงก็ได้

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทิวตอนนี้ก็คือ บูมกำลังจะกลับมาแล้ว กำลังใจของทิวจึงทวีขึ้นอย่างล้นหลาม เขาจึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและความหวังมากขึ้น การรอคอยที่แสนยาวนานของเขาก็คงจะสิ้นสุดลงในไม่ช้านี้ ทิวเฝ้านับวันนับคืนอย่างใจจดใจจ่อ รอคอยวันที่เขาจะได้เจอบูมอีกครั้งและได้บอกสิ่งที่ค้างคาในใจ

แต่เมื่อนับวันนับคืนผ่านไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีทีท่าว่าบูมจะกลับมา ผ่านไปสามเดือนตามที่พี่บีมบอกแล้ว บูมก็ยังไม่กลับมา หลังจากนั้นก็ผ่านไปอีกหลายเดือน บูมก็ยังคงเงียบอยู่ กำลังใจและความหวังของทิวจึงค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปทุกทีๆ ใจหนึ่งก็อยากจะโทรไปถามพี่บีมว่าบูมกลับมาหรือยัง แต่คิดไปคิดมาแล้วทิวก็ไม่ติดต่อไป เขาอยากให้บูมกลับมาหาเขาเพราะว่าบูมอยากกลับมา ไม่ใช่เพราะใครบังคับให้ต้องมา ในใจของทิวได้แต่ร่ำร้องว่า "ไหนว่านายไม่ลืมเราไงล่ะบูม ทำไมนายไม่เห็นมาหาเราเลย เรารอยู่นะบูม ได้ยินไหมว่าเรารอนายอยู่"

"คุณคะ ตังค์ทอนด้วยค่ะ"

เสียงเรียกของลูกค้าทำให้ทิวได้สติ เขารีบคืนเงินทอนให้ลูกค้าแล้วก็หันกลับมาสนใจกับการทำงานต่อ พี่พงษ์ยืนมองเขาอย่างห่วงๆ เพราะเห็นทิวเหม่อลอยแบบนี้มาพักหนึ่งแล้ว

"ระวังหน่อยนะทิว ที่นี่มีกล้องอยู่" พี่พงษ์เดินเข้ามาเตือนเมื่อลูกค้าออกไปแล้ว

"ครับพี่ ผมขอโทษครับ" ทิวบอกอย่างเกรงใจ ช่วงหลังๆ นี้เขาเหม่อลอยมากไปจริงๆ สติไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัวเลย บางทีทำอะไรบางอย่างอยู่สักพักก็จะเผลอเหม่อแบบนี้

------------------------------------------------------------

"อะไรนะครับน้า น้าจะขอเงินที่เหลืออีกเจ็ดหมื่นคืนภายในสิ้นเดือนนี้เหรอครับ" ทิวร้องอุทานอย่างตกใจเมื่อคุณน้าเจ้าหนี้ขอให้เขาจ่ายเงินที่ค้างอยู่อีกเจ็ดหมื่นบาทคืนทั้งหมด ในช่วงสองสามปีมานี้เขาพยายามหาเงินมาจ่ายให้ตลอดไม่เคยมีบิดพลิ้ว จนเหลืออีกไม่กี่เดือนก็จะหมดแล้ว ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอแบบนี้อีก

"ก็ฉันจำเป็นต้องใช้เงินด่วนนี่นา ไม่รู้แหละ ยังไงก็ต้องหามาให้ฉันภายในสิ้นเดือนนี้ ไม่งั้นเธอได้เจอดีแน่" คุณน้าเจ้าหนี้เสียงแข็งและมองอย่างไม่พอใจ

"แต่น้าครับ ในสัญญา ผมต้องจ่ายแค่เดือนละหมื่นนะครับ นี่น้าเล่นจะขอตั้งเจ็ดหมื่น ผมจะไปเอาเงินที่ไหนมาให้ล่ะครับ" ทิวโอดครวญ

"อะไรกัน ทำงานมาก็ตั้งนาน จะไม่มีเงินเก็บบ้างเลยหรือไง" คุณน้าเจ้าหนี้เริ่มขึ้นเสียง

"โธ่คุณน้าครับ แค่ผมจ่ายให้คุณน้าเดือนละหมื่นผมก็แทบจะไม่มีกินอยู่แล้ว ผมจะเอาเงินที่ไหนมาเก็บครับ น้าพอจะหาจากที่อื่นได้ไหมครับ ยังไงผมก็ต้องขอจ่ายตามข้อตกลงเดือนละหมื่นเหมือนเดิม ผมไม่มีเจ็ดหมื่นจริงๆ ครับน้า ถ้ามีผมก็คงให้ไปแล้ว ผมก็อยากหมดหนี้หมดสิน จะได้ทำงานเก็บเงินกับเขาได้บ้าง"

แต่ดูเหมือนสิ่งที่ทิวขอร้องจะไม่เป็นผลเท่าไรนัก ขึ้นชื่อว่าหนี้นอกระบบแล้ว หลายครั้งข้อตกลงก็ไม่ได้มีความหมาย "อยากลองดีเหรอพ่อหนุ่ม ได้... ถ้าสิ้นเดือนนี้เธอไม่มีเงินให้ฉันเจ็ดหมื่น ก็คอยดูละกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไป กลับ"

คุณน้าเจ้าหนี้หันไปบอกลูกน้องอีกสองคนที่ตามมาคอยอารักขาแล้วก็สะบัดหน้าเดินออกไปจากบ้านทิวอย่างไม่สบอารมณ์ ทิวได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน นึกว่าจะหมดเคราะห์หมดกรรมแล้ว แต่ก็ยังต้องเจอวิบากกรรมหนักอีกรอบ สงสัยมันคงถึงคราวจำเป็นแล้วล่ะ ถ้าทิวหาเงินไม่ได้ก็คงต้องขายบ้านแล้วไปหาคอนโดอยู่ตามแผนรับมือที่เคยคิดเอาไว้ แม้ว่าจะเสียดายและเสียใจสักแค่ไหน ทิวก็คงต้องตัดใจขายสมบัติชิ้นสุดท้ายที่แม่เขาหาไว้ให้แล้วล่ะ ทิวได้แต่ขอโทษแม่ในใจที่ไม่สามารถรักษาสมบัติชิ้นนี้ไว้ได้

เมื่อนอนคิดทั้งคืนแล้ว วันรุ่งขึ้นทิวก็ประกาศขายบ้านทันที ใครที่ผ่านไปผ่านมาก็คงจะเห็นป้ายที่ติดไว้ตรงประตูหน้าบ้านว่า "ขาย 2 ล้าน ติดต่อ 08-xxxx-xxxx"

-------------------------------------------------

วันหนึ่งที่ต้องมาเห็นป้ายนี้เข้าก็โวยวายกับทิวใหญ่ว่า "มึงจะขายบ้านเหรอทิว แล้วมึงจะไปอยู่ไหนวะ"

"ว่าจะไปหาซื้อคอนโดอยู่ อาจจะซื้อใกล้ๆ แถวๆ นี้แหละ" เห็นเพื่อนโวยวายแบบนั้นทิวก็พอจะรู้ว่าเพื่อนไม่เห็นด้วย

"มีปัญหาอะไรหรือเปล่ามึงถึงต้องขายบ้านแบบนี้" ต้องเหมือนจะฉุกคิดอะไรได้

"ก็...." จะบอกต้องยังไงดีหนอ ทิวไม่อยากให้ต้องมาลำบากกับเรื่องนี้เลย "พอดีเจ้าหนี้ของกูเขาขอเงินที่เหลืออีกเจ็ดหมื่นภายในสิ้นเดือนนี้ กูไม่รู้จะไปหาที่ไหน ก็เลย..."

"โห...ไอ้บ้าเอ๊ย แค่เงินเจ็ดหมื่นมึงถึงกับต้องขายบ้านเลยหรือไงวะ" ถึงต้องจะว่าเพื่อนแบบนั้น แต่ก็พอเข้าใจอยู่ว่าทิวคงหาเงินเจ็ดหมื่นนั้นไม่ได้ภายในสิ้นเดือนนี้แน่ๆ

"แล้วมึงจะให้กูทำไงวะต้อง เงินกูมีเก็บไว้ยังไม่ถึงหมื่นเลย แต่คราวนี้กูไม่ยืมเงินมึงหรอกนะเว้ย กูรบกวนมึงมาเยอะแล้ว อย่าให้กูต้องทำให้มึงเดือดร้อนมากกว่านี้เลย"

จริงๆ ต้องก็คงไม่มีเงินถึงเจ็ดหมื่นหรอก เขาเพิ่งเขัาทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งได้ไม่กี่เดือน ไม่มีเงินเก็บมากขนาดนั้น แต่เขาก็ไม่อยากให้ทิวขายบ้านอยู่ดี จะว่าไปแล้วขายราคาสองล้านก็ดูจะถูกเกินไปด้วยซ้ำ

"จริงๆ กูก็ไม่มีเงินถึงเจ็ดหมื่นหรอกทิว แต่ยังไงก็แล้วแต่กูก็ไม่อยากให้มึงขายตอนนี้ มึงอย่าเพิ่งขายได้ไหม เดี๋ยวกูขอไปคิดก่อนว่าจะหาเงินเจ็ดหมื่นมาช่วยมึงได้ยังไง"

ได้ฟังแล้วทิวก็รู้สึกซาบซึ้งใจกับความดีของเพื่อน ต้องไม่เคยทอดทิ้งเขาเลยจริงๆ เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่รู้จักกันมาตั้งแต่อนุบาลแล้วก็ยังคบกันมาจนกระทั่งวันนี้

"กูขอบใจมึงจริงๆ ว่ะต้อง ถ้าไม่มีมึง ชีวิตกูคงไม่อยู่มาถึงวันนี้"

"เออ... ไม่เป็นไรหรอก มึงกับกูเป็นเพื่อนกันนี่หว่า มึงก็เป็นเพื่อนที่ดีของกูนะเว้ยทิว ไม่งั้นก็ไม่คบกันมาจนป่านนี้หรอก เออ...ว่าแต่ว่า มึงรู้หรือยังว่าไอ้บูมมันกลับมาตั้งนานแล้ว"

คำถามนั้นของต้องทำให้ทิวถึงกับอึ้งไปทันที บูมกลับมาแล้วเหรอ กลับมาตั้งนานแล้วด้วย แล้วทำไมไม่มาหาเขาบ้างเลย

"มันเคยมาหามึงบ้างไหมเนี่ย" แต่พอเห็นสีหน้าอึ้งๆ ของทิวแล้วต้องก็พอจะเดาได้ไม่ยาก "ไม่เคยเลยล่ะสิ กูว่าแล้ว เป็นเพื่อนรักกันประสาอะไรวะ กูก็ไม่ได้อยากจะอะไรกับมันมากหรอกนักนะทิว แต่กูเหลืออดจริงๆ ว่ะ"

ต้องพยายามสงบสติอารมณ์ ไม่งั้นเขาก็คงอดด่าบูมอีกไม่ได้ ทิวยิ่งไม่ค่อยชอบด้วยเวลาที่เขาด่าบูม

"มึงรู้ได้ยังไงว่าบูมกลับมาแล้ว" ทิวถามหลังจากที่เงียบไปสักพักใหญ่

"รู้ดิ ก็กูโทรไปหาพี่บีม กูก็อยากรู้ว่ามันมาหรือยัง อ้อ... พี่บีมเขาก็เคยมาหามึงไม่ใช่เหรอ"

ทิวพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ทำท่าเหมือนคนจะร้องไห้อีกแล้ว

"กูอยากถามมันจริงๆ ว่ะว่าไอ้บูมมันคิดอะไรของมันถึงไม่เคยติดต่อมาหามึงเลย มึงจะว่าอะไรกูไหมทิวถ้ากูจะไปถามไอ้บูม" ต้องพูดอย่างอดโมโหไม่ได้

"อย่าเลยต้อง อย่าไปถามอะไรเขาเลย จริงๆ กูก็พอรู้ว่าบูมน่าจะกลับมาแล้วล่ะ แต่กูก็ไม่ได้โทรไปถาม กูอยากให้บูมมาหากูเพราะว่าบูมอยากมา ถ้าบูมพร้อมแล้วบูมก็คงจะมาเอง"

ต้องถอนหายใจอย่างหงุดหงิด ไม่เข้าใจทิวเลยจริงๆ บูมทำตัวเองเจ็บขนาดนั้นแล้วยังให้อภัยอยู่ได้ "กูถามจริงๆ นะเว้ยทิว มึงยังรักมันอยู่หรือเปล่าวะ"

ทิวเบือนหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ใช้เวลาครุ่นคิดสักพักแล้วก็บอกไปว่า "รักหรือเปล่าไม่รู้ แต่กูไม่เคยลืมว่ะต้อง ถ้าหากไม่ลืมแปลว่ารัก ก็คงแปลว่ากูยังรักอยู่นั่นแหละ"

"เออ...ก็แค่นั้นแหละ กูจะได้ไม่ไปแตะต้องอะไรมันมาก แต่กูก็บอกตรงๆ นะเว้ยว่ากูโกรธมัน ถ้ากูเจอมันเมื่อไร กูไม่กล้ารับรองความปลอดภัยของมันว่ะ"

คำพูดของต้องในตอนท้ายทำให้ทิวต้องหันมามองเพื่อนอย่างตกใจ สรุปต้องก็ยังโกรธบูมอยู่นั่นเอง ไม่ว่าเขาจะขอร้องยังไงก็ตาม แต่จะไปโทษต้องก็คงไม่ได้เพราะบูมเองก็ทำให้เพื่อนรักของต้องต้องเจ็บหนัก ต้องคงเก็บความแค้นเคืองนั้นไว้หลายปีแล้ว

---------------------------------------------------------------------------

"บูมคะ มีน้ำเหลืออยู่ในรถมั่งหรือเปล่าคะ" สาวน้อยเสียงใสที่นั่งคู่มาด้วยถามขึ้น

"แพรวจะกินน้ำเหรอครับ" บูมหันไปถามแฟนสาว พลางใช้สายตาสำรวจภายในรถคร่าวๆ "สงสัยจะหมดแล้วล่ะ"

"งั้นบูมแวะซื้อให้แพรวหน่อยได้ไหมคะ"

บูมหันมายิ้ม "ครับ"

พอรถเลี้ยวเข้าถนนลาดพร้าวแล้ว ความทรงจำต่างๆ ก็เริ่มหวนคืนกลับมาอีกครั้ง ปกติแล้วแม้ว่าบูมจะกลับมาเมืองไทย เขาก็พยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางนี้ ยกเว้นว่าจำเป็นจริงๆ เท่านั้น บูมรู้สึกว่าเขาแทบจะไม่มีแรงขับรถเลย ยิ่งใกล้บริเวณนั้นเท่าไรเขาก็ยิ่งใจสั่น

"บูม ซอยข้างหน้ามีเซเว่นค่ะ บูมจอดเลยก็ได้" แพรวบอกพลางชี้ให้บูมดู

ซอยบ้านทิวนั่นเอง เขายังจำได้ดี สี่ปีกว่าแล้วที่เขาไม่เคยได้กลับมาตรงนี้เลย แต่ทุกอย่างก็ยังดูคล้ายๆ เดิมอยู่ บูมเลี้ยวรถเข้าไปในซอยนั้นตามที่แฟนสาวบอก ตรงด้านหน้าซอยจะมีตลาดอยู่ เซเว่นก็อยู่ใกล้ๆ กับตลาดนั่นเอง ข้างหลังตลาดบูมจำได้ว่ามีที่จอดรถอยู่จึงเลี้ยวเข้าไปจอดตรงนั้น บูมรู้สึกว่าน้ำลายเขาเริ่มเหนียวขึ้นทุกทีๆ ตลาดตรงนี้เขาเคยนั่งมอเตอร์ไซค์ออกมาหาอะไรกินกับทิวอยู่บ่อยๆ เห็นแล้วก็คิดถึงทิวจับใจ เมื่อก่อนเขาคิดว่าเขาคงไม่เป็นอะไรมาก เวลาที่คิดถึงทิวเขาก็เข้าใจว่าอาจเป็นแค่ความคิดถึงกันธรรมดาๆ ของคนที่เคยผูกพันกัน แต่พอเข้ามาในซอยนี้แล้ว ความรู้สึกบางอย่างก็ทวีความรุนแรงขึ้นจนบูมแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ มันไม่ใช่อย่างที่เขาคิดแล้วล่ะ

"บูมอยู่นี่ดีกว่านะคะ เดี๋ยวแพรวไปซื้อเองดีกว่าค่ะ บูมจะได้ไม่ต้องดับเครื่อง เดี๋ยวแพรวมานะคะ"

บูมยังไม่ทันตอบอะไรแพรวก็เปิดประตูรถแล้วเดินแกมวิ่งออกไป แพรวเป็นคนคล่องแคล่วว่องไวแบบนี้แหละตามประสาสาวสมัยใหม่ ด้วยการแต่งตัวที่ดูหรูหรามากกว่าคนในตลาดแถวนี้ ใครๆ ต่างก็พากันหันมามองเธอเป็นตาเดียว โดยเฉพาะหนุ่มๆ

พอแฟนสาววิ่งหายเข้าไปในเซเว่นแล้ว บูมก็ใช้เวลาที่พอมีอยู่นั้นมองสำรวจไปยังที่ต่างๆ เพื่อรำลึกถึงช่วงเวลาที่เขากับทิวเคยเป็นเพื่อนกัน บ้านของทิวก็อยู่ในซอยนี้อีกไม่ไกล เขาควรจะแวะเข้าไปดูสักหน่อยดีไหม เขาอยากรู้เหลือเกินว่าทิวเป็นยังไงบ้าง พี่บีมบอกว่าทิวคิดถึงเขามากและร้องไห้ใหญ่เลยตอนที่พี่บีมมาหา เขาก็อยากจะบอกทิวเหมือนกันว่าเขาก็คิดถึงทิวมากเช่นกัน คิดถึงมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้เสียอีก

บูมรู้ตัวอีกทีก็รู้สึกว่าแฟนสาวของเขาหายไปนานแล้ว ไปซื้อน้ำแค่นี้เองทำไมถึงใช้เวลานานขนาดนี้ ด้วยความเป็นห่วงบูมจึงดับเครื่องยนต์ ล็อกรถแล้วก็เดินเข้าไปตามแพรวในเซเว่น

พอเข้าไปแล้วก็เห็นแพรวกำลังจ่ายเงินอยู่พอดี "แพรว...ได้น้ำแล้วเหรอครับ"

"ค่ะ พอดีน้ำยี่ห้อที่แพรวอยากได้มันอยู่หลังๆ ค่ะ เพิ่งหาเจอ โทษทีนะคะ" แพรวบอกพลางหันมายิ้มให้แฟนหนุ่ม

"ไม่เป็นไร มา เดี๋ยวผมช่วยถือให้" บูมบอกแล้วก็เดินไปรับน้ำเปล่าในมือของแฟนสาวมาถือไว้ แพรวรับเงินทอนแล้วก็เก็บใส่กระเป๋าของตัวเอง

"ทิว"

บูมตกตะลึงสุดขีดเมื่อพบว่าพนักงานเซเว่นที่แพรวกำลังซื้อของด้วยนั้นคือทิว ไม่ว่าจะนานแค่ไหนบูมก็จำทิวได้ น้ำที่เขาถืออยู่ในมือหล่นลงพื้นไปโดยที่บูมก็ไม่รู้ตัว ส่วนทิวก็มีอาการไม่ต่างจากบูม ต่างคนต่างตกตะลึงและยืนตัวแข็ง

"บูมระวังหน่อยสิคะ" แพรวตำหนิแฟนหนุ่มพลางหยิบถุงขวดน้ำที่ตกไปมาถือไว้เอง "ไปเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันนะคะ" แพรวว่าแล้วก็เดินออกไปก่อน แต่บูมยังคงยืนตัวแข็งทื่ออยู่

"บูมคะ บูมจะซื้ออะไรอีกหรือเปล่าคะ ไปกันเถอะค่ะ เดี๋ยวไม่ทันนะคะ" แพรวหันมาเรียกแฟนหนุ่มอีกครั้งหลังจากที่เธอเดินออกไปแล้วบูมก็ยังคงอยู่ที่เดิม

"ครับ" บูมตอบแล้วก็ค่อยๆ หันตัวกลับเดินตามแฟนสาวออกไปอย่างงงๆ

"บูมเป็นอะไรหรือเปล่า ไม่สบายหรือเปล่าคะ" แพรวถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นบูมเดินตัวแข็งๆ แถมยังมีสีหน้าเหมือนคนตกใจ

บูมค่อยๆ เรียกสติเขากลับคืนมา แต่มันก็กลับคืนมาได้ช้ามาก เขาฟังไม่รู้เรื่องเลยว่าแพรวถามเขาว่าอะไรบ้าง

"บูม...เป็นอะไรหรือเปล่าคะ" แพรวหยุดเดินแล้วมองหน้าแฟนหนุ่มเพื่อสังเกตหาความผิดปกติ บูมก็ดูผิดปกติจริงๆ ด้วย เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ก็ไม่เห็นจะมีอะไรนี่นา จะว่าเป็นเพราะทำขวดน้ำตกก็ไม่น่าจะทำให้บูมดูตกใจขนาดนี้

"ไม่มีอะไรหรอกครับ รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน" บูมตอบออกมาในที่สุด แล้วก็รีบเดินไปที่รถ แพรวเดินตามเขาไปอย่างงงๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเรื่องนี้อีก แล้วรถเก๋งคันหรูก็ขับออกไปจากซอยเพื่อที่จะไปงานเปิดโครงการคอนโดใหม่แห่งหนึ่งแถวๆ เกษตรนวมินทร์ซึ่งบูมเพิ่งเข้ามารับผิดชอบได้ไม่นาน

ทิวมองตามรถคันนั้นไปราวกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขายืนงง ทำอะไรไม่ถูก แต่ก็รู้ว่าเขาคงจะวิ่งตามออกไปไม่ได้ ผู้ชายเมื่อสักครู่นี้ที่มากับแฟนสาวคือบูมจริงๆ หรือ บูมมีแฟนแล้วนี่เองถึงได้ไม่อยากกลับมาเจอทิวอีกครั้ง เพราะอย่างนี้นี่เอง แค่จะทักทายกันสักคำบูมยังไม่ทำเลย แล้วจะให้ทิวเข้าใจว่ายังไง