Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 391
Message ID: 80
#80, RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต
Posted by sarawatta on 03-Apr-12 at 12:07 PM
In response to message #0
ในฐานะคนเขียน ก็ขอสารภาพว่ารู้สึกยุ่งยากใจเหมือนกันที่ผูกเรื่องซะจนยุ่งอีนุงตุงนังไปหมด
บางทีก็นั่งคิด แล้วตรูจะแก้ยังไงวะเนี่ยยยยยย
แต่ก็นะ ไม่งั้นก็ไม่ท้าทาย ความสนุกของการเขียนนิยายมันอยู่ตรงนี้แหละ

----------------------------------------------------------------------------------------

ตอนที่ 25

บูมเห็นท่าทางครุ่นคิดของทิวมาตลอดทางก็พอจะเดาได้ว่าทิวคงมีเรื่องกังวลใจบางอย่าง เขาไม่รู้ว่าทิวสงสัยสิ่งที่เขากำลังทำอยู่หรือไม่ แต่ถ้าทิวอยากรู้จริงๆ เขาก็ไม่มีปัญหาที่จะเล่าให้ฟังหรอก เขาเองก็อยากให้ทิวเข้าใจบางสิ่งบางอย่างเหมือนกัน พอมาส่งทิวถึงบ้าน บูมจึงขอเข้ามาคุยกับทิวในบ้านด้วย

"ทิว...นายรู้สึกยังไงบ้างตอนนี้ ทั้งเรื่องงานแล้วก็...เรื่องแพรว บอกเรามาตรงๆ นะ เราอยากรู้ เรามีบางอย่างที่คิดว่าเราต้องคุยกันให้เข้าใจ"

ทิวมองหน้าบูมเหมือนกับกำลังชั่งใจก่อนที่จะพูดบางสิ่งบางอย่าง "เราชอบงานนะ เพื่อนๆ ที่มาช่วยกันทำงานทุกคนก็น่ารักมาก ทุกคนเป็นกันเอง เรานึกว่านักเรียนนอกส่วนมากจะหยิ่งเสียอีก เราว่าการทำงานนี้จะช่วยให้เราได้ประสบการณ์การทำงานเยอะเลย" สีหน้าของทิวเริ่มหม่นลงเมื่อจะพูดถึงอีกเรื่อง "ส่วน...เรื่องของแพรว...เรา...บอกตรงๆ ว่า...เราไม่ค่อยสบายใจ มันเหมือนกับ...เอาเมียน้อยกับเมียหลวงมาอยู่ด้วยกัน เรารู้สึกละอายใจเวลาที่เรา...เจอแพรว เรารู้สึกเหมือนเรา...กำลังจะแทงข้างหลังเขา เราไม่ชอบสถานการณ์แบบนี้เลยบูม มันทำให้เรากังวลเหมือนกันว่าเราจะรับงานนี้ดีไหม"

ทิวช่างเปรียบเทียบได้เห็นภาพเสียจริงๆ...เมียหลวงกับเมียน้อย ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นเรื่องของเขาเองก็คงขำไปแล้ว

"นายกำลังทำอะไรอยู่เหรอบูม เรารู้สึกกลัว... กลัวว่าจะมีใครต้องเจ็บ กลัวว่าเรา...จะละอายใจจนสู้หน้าแพรวไม่ไหว เรารู้สึกผิดจริงๆ นะบูม" สีหน้าของทิวบ่งบอกว่าเขากลัวสิ่งที่เขาพูดจริงๆ

บูมเองก็มีสีหน้าเครียดมากขึ้นจนเห็นได้ชัด เขาถอนหายใจแล้วก็พูดไปว่า "ทิว... ถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็คงมีสักคนต้องเจ็บ ไม่เราก็แพรวหรือนาย...หรือทั้งหมด เราไม่อยากทำให้ใครเจ็บเพราะเราหรอกนะทิว แต่เรา...ก็อดทนมามากแล้ว อดทนที่จะยอมเพื่อให้ทุกคนสบายใจ อดทนที่จะหลอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เราเหนื่อย...และเราก็คิดว่าเราจะมีชีวิตอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้ คนที่เราจะรักและใช้ชีวิตอยู่ด้วยตอนนี้คือนาย...ไม่ใช่แพรว เราไม่ได้รักแพรว...แม้ว่าจะมีความผูกพันบ้างก็ตาม แต่เราก็ไม่ได้รักเขาเลย ใช่...ที่นายคาดเดาก็ถูกแล้ว ต้องมีใครสักคนเจ็บ...แต่คนนั้นไม่ใช่นาย" พูดถึงตรงนี้บูมก็หันมาสบตากับทิว

"ทิว...เราอยากให้นายอดทน เราอยากให้นายช่วยเรา เราคงจะเดินไปบอกกับแพรวตรงๆ ไม่ได้ว่าเราไม่ได้รักเขา แล้วเราก็คงจะบอกกับแพรวตรงๆ ไม่ได้เหมือนกันว่าเรา...ไม่ได้ชอบผู้หญิง แต่เราจะทำให้เขาค่อยๆ รับรู้ ทำให้เขาค่อยๆ เห็นและเข้าใจทีละน้อย ให้เขาได้มีเวลาเตรียมตัว เขาจะได้ไม่เจ็บมากจนเกินไป เขาไม่ผิดอะไรหรอกนะทิว แพรวไม่ผิดอะไรเลยจริงๆ เพราะฉะนั้น เราก็ไม่อยากให้เขาต้องเจ็บมาก เรารู้...ว่านายอาจจะอึดอัด ไม่สบายใจ แต่เราไม่ได้คิดจะแทงข้างหลังแพรวนะทิว ตรงกันข้าม...เรากำลังจะช่วยทำให้เขาเห็นความจริงบางอย่างที่เขาไม่รู้ต่างหาก เรามีทางเลือกเดียวนะทิว เมื่อเรารักนาย อยากอยู่กับนาย...เราก็ต้องทำร้ายเขา มันช่วยไม่ได้จริงๆ ที่จะต้องเป็นแบบนี้ แต่เราก็อยากให้เขาเจ็บน้อยที่สุด นายเข้าใจสิ่งที่เราพูดหรือเปล่าทิว เราสองคนต้องช่วยกัน นายพอจะอดทนได้ไหม แต่ถ้านายรู้สึกอึดอัดใจจนเกินไป เราก็จะไม่บังคับให้นายต้องเข้าใจ"

ทิวไม่เคยรู้สึกว่าในชีวิตนี้จะมีเรื่องใดที่ต้องตัดสินใจยากเท่านี้อีกแล้ว ไอ้รักก็รักอยู่หรอกนะ แต่ครั้นจะให้ต้องทำร้ายคนอื่นด้วยมันก็ลำบากใจไม่น้อย ทิวรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเล่นบทนางอิจฉาเหมือนในละคร เป็นการเล่นที่ร้ายลึกเสียด้วยสิ

บูมเห็นทิวครุ่นคิดอยู่ก็เลยสำทับไปอีกว่า "ทิว... ถ้าเราไม่ทำร้ายแพรว เราก็ต้องทำร้ายทิว เรามีทางเลือกอยู่แค่นี้"

"แล้วครอบครัวของนายล่ะบูม พ่อกับแม่นายจะว่ายังไงถ้านาย...เลิกกับแพรว...แล้ว...เลือกเรา มันจะง่ายกว่าไหม ถ้านายเลือกทำร้ายเราแค่คนเดียว เราเจ็บอีกครั้งเดียวก็ไม่เป็นไรหรอกบูม แต่เราไม่อยากให้ชีวิตนายลำบาก พ่อกับแม่นายมีหน้ามีตาในสังคม ถ้านายเลือกเรา นายจะอยู่ในสังคมนี้อย่างภาคภูมิใจได้ยังไง ไม่มีใครยอมรับความรักของเราหรอกนะบูม ไม่ใช่ว่าเราไม่รักนาย แต่เราต้องคิดถึงความจริงของชีวิตด้วย" ในที่สุดทิวก็พูดออกมา นี่คือความจริงที่บูมจะต้องเผชิญ ความรักที่สวยงามอาจเป็นสิ่งที่มีเพียงแต่ในอุดมคติ แต่ชีวิตจริงยังมีอะไรอีกมากมายที่นอกเหนือไปจากความรักและสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย

สิ่งที่ทิวพูดทำให้บูมเจ็บแปลบไปถึงข้างในใจเลยทีเดียว เขารู้ความจริงเหล่านั้นเป็นอย่างดี แต่เขาตัดสินใจแล้ว ยังไงเขาก็เลือกทิว ไม่ว่าใครจะรับได้หรือไม่เขาก็อยากให้ทุกคนรู้ว่าชีวิตและตัวตนเขาเป็นแบบไหน

"อีกครั้งเดียวเราก็ให้นายเจ็บเพราะเราอีกไม่ได้ เข้าใจไหมทิว... ถ้าเราเลือกแพรว ไม่ใช่นายคนเดียวหรอกนะที่จะเจ็บ เราก็เจ็บด้วย เพราะเราไม่ได้รักเขา ถ้าเราไม่ทำร้ายเขาในวันนี้ ต่อไปเราก็จะต้องทำร้ายเขาอยู่ดี เขาจะเจ็บยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก ถ้าชีวิตเราไม่ได้รักนาย ไม่ได้อยู่ดูแลนาย เรา...ก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่ออะไร มันทรมานนะทิวกับการที่ต้องมีชีวิตที่ไม่เป็นของตัวเอง กับการต้องถูกบังคับ ถ้าเราไม่คิดจะเลือกนาย เราก็คงไม่กลับมาหานายอีก แต่เรากลับมาแล้ว มาพร้อมกับความหวัง ถ้าเราทำให้นายต้องเจ็บอีกครั้ง... เราก็ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ชีวิตเราไม่ได้อยู่เพื่อหน้าตาในสังคมอย่างเดียว มันก็สำคัญระดับหนึ่ง แต่ถ้าข้างในของเรายังว่างเปล่า ยังหลอกตัวเอง จะอยู่ที่ไหนมันก็ไม่มีความสุข จะมีหน้าตาหรือไม่มีหน้าตาในสังคมมันก็ไม่มีความสุข"

"บูม..." ท่าทีที่ขึงขังจริงจังของบูมทำให้ทิวก็ต้องอึ้งไปเหมือนกัน

"นายรับได้หรือเปล่าทิวที่เราจะทำแบบนี้ เราคงจะต้องทำร้ายแพรวเป็นคนแรก แต่เราก็จะให้เขาเจ็บน้อยที่สุด ส่วนพ่อกับแม่ของเรา... เราก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะทำยังไง แต่เราบอกนายได้เลยว่า... เขาจะบังคับหัวใจเราไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว มันอาจจะฟังดูโหดร้ายสำหรับใครๆ แต่เราก็อยากให้คนอื่นๆ เข้าใจด้วยว่า คนที่ถูกทำร้ายด้วยความหวังดีอย่างเรา... ถูกกระทำมานานแล้ว มันโหดร้ายยิ่งกว่า มันเจ็บยิ่งกว่า เพราะมันเหมือนเราเป็นคนที่ไม่มีชีวิต ได้แต่ทำตามความต้องการของคนอื่นไปวันๆ ทั้งๆ ที่เราก็มีหัวใจ ถ้าจะต้องมีชีวิตแบบนี้ต่อไป ก็อย่ามีชีวิตเสียเลยดีกว่า" บูมดูจะสะเทือนใจมากเมื่อพูดถึงเรื่องนี้

เห็นบูมเน้นย้ำเรื่องความเป็นความตายบ่อยเข้าทิวก็ชักใจเสีย

"บูม...นายอย่าพูดแบบนี้สิ" ทิวลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งลงข้างๆ บูม ดึงมือบูมทั้งสองข้างมาจับไว้เพื่อให้กำลังใจ "เอาเป็นว่า...เราเข้าใจสิ่งที่นายกำลังจะทำ เราขอบคุณที่นายพยายามจะทำเพื่อเรา ทำให้มันเกิดความชัดเจน มันก็จริงของนาย...เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วก็คงต้องมีใครสักคนต้องเจ็บ"

"แต่ไม่ใช่นายเจ็บนะทิว...ไม่ใช่นาย เราต้องช่วยกันทำให้แพรวเข้าใจความรักของเรา ทำให้เขาเจ็บน้อยที่สุด" บูมรีบพูดดัก "ใช่ไหมทิว... ถ้านายรักเรา นายต้องมั่นใจ นายไม่ต้องละอายใจ นายไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว เรารักกันแล้ว มีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้ว เราเป็นคู่รักกัน เป็นแฟนกัน เป็นสามีภรรยากัน เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตเราต้องอยู่ด้วยกัน นายมาก่อนทุกคน คนที่จะต้องเข้าใจความรักของเราก็คือแพรว รวมทั้งครอบครัวของเราด้วย ไม่ใช่ว่าเราใจร้าย...แต่เราไม่ควรจะหลอกตัวเองอีกต่อไป" บูมพูดแล้วก็ใช้แขนข้างหนึ่งโอบไหล่ทิวเอาไว้

"ต้องมันบอกว่าเราจะให้นายเป็นหนูทดลอง เราทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกทิว ชีวิตของนายไม่ใช่สิ่งที่เราจะเอามาทดลองเล่น เราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อความหวังนะทิว ที่ผ่านมาเราอาจไม่ได้ลงมือทำอะไรจริงจังเพราะมัวแต่กังวล แต่คราวนี้...เป็นไงก็ก็เป็นกัน เราอาจจะให้นายช่วยบ้างในบางเรื่อง แต่ก็จะพยายามไม่รบกวนมากให้นายต้องอึดอัดใจ เราจะทำให้ดีที่สุดเพื่อความรักของเรา...นะทิวนะ" พูดจบแล้วบูมก็หันมาสบตากับทิว

บูม...เราไม่รู้ว่าเราจะพูดคำไหนหรือแสดงออกยังไงให้นายรู้ว่าเรารักนายเหลือเกิน ยิ่งเห็นความตั้งใจของนายที่จะทำเพื่อความรักของเราก็ยิ่งรักมากขึ้น ทิวทำได้แค่กอดและซบใบหน้าบนอกที่แสนอบอุ่นของบูม เขาเริ่มมีความมั่นใจมากขึ้นว่าบูมจะเข้มแข็งมากพอที่ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ เขาต้องช่วยบูมอีกแรงหนึ่ง ไม่ใช่เพราะต้องการแย่งชิงบูมมาจากคนอื่น แต่เพราะต้องการช่วยให้บูมเป็นอิสระมากขึ้น เขาเองก็เคยเห็นว่าบูมมีความทุกข์มากแค่ไหนที่ต้องมีชีวิตที่ถูกบังคับแบบนั้น

บูมใช้มือลูบผมทิวไปมาอย่างแผ่วเบาด้วยความรักใคร่ ถ้าทิวไม่เชื่อใจเขาอีกสักคนแล้วชีวิตของเขาก็คงอยู่ลำบากเหมือนกัน ขอบใจที่นายมั่นใจและเชื่อใจเรา ต่อให้ต้องเอาชีวิตเข้าแลกเราก็ทำได้เพื่อนาย ไม่มีสิ่งใดที่เราจะต้องกลัวถ้านายยังอยู่เคียงข้างเราอย่างนี้ต่อไป

------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากนั้นทิวก็เข้ามาทำงานเป็นผู้ประสานงานโครงการสบายวอล์กเวย์อย่างเต็มตัว พี่พงษ์ดูจะเสียดายไม่น้อยที่ทิวลาออก แต่เขาก็เข้าใจว่างานแบบนี้คงมีคนทนทำได้ไม่นาน การเข้ามาแล้วออกไปเป็นเรื่องที่เขาเห็นจนชิน เมื่อทิวมีงานทำที่ดีกว่าเขาก็ยินดีด้วย นอกจากนี้ ทิวก็ว่าจะเลิกร้องเพลงตอนกลางคืนด้วย แต่จะเปลี่ยนไปหาที่เรียนแบบภาคค่ำแทน

งานช่วงแรกๆ นั้นจะเป็นการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่จะเชิญเข้ามาร่วมเป็นภาคีเครือข่าย ช่วงนี้ทิวจะต้องโทรศัพท์ ส่งแฟกซ์ ส่งจดหมายเกือบทั้งวัน บางวันก็ออกไปประชุมกับบูมและแพรวข้างนอก ที่สมาคมจัดห้องทำงานไว้ให้โครงการหนึ่งห้อง ทิวใช้วิธีเดินทางไปทำงานด้วยการนั่งมอเตอร์ไซค์ไปรถไฟฟ้าใต้ดินก่อน แล้วก็ต่อบีทีเอสไปลงสถานีซึ่งอยู่ใกล้ที่ทำงาน แต่ถ้าวันไหนบูมเข้ามาทำงานและไม่ได้ไปรับแพรว บูมก็จะมารับทิวถึงที่บ้าน หรือไม่ก็มาค้างที่บ้านทิวแล้วก็ไปทำงานด้วยกันตอนเช้าเลย

เวลาอยู่ในที่ทำงาน ดูเหมือนบูมก็จะมาขลุกอยู่กับทิวมากกว่าใคร อย่างเช่นวันนี้ ในขณะที่แพรวทำสรุปรายงานการประชุม เอิร์ธเข้ามาช่วยทำเว็บไซต์ บูมก็มาช่วยทิวทำไฟล์นำเสนอ เพราะว่าจะต้องนำมาใช้ในงานเปิดโครงการในปลายสัปดาห์หน้า ทิวทำ Presentation ยังไม่เก่งนัก แถมที่นี่ยังใช้เครื่องแมคทำงานกันอีก

เหมือนแพรวกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ จะสงสัยในความสนิทสนมที่ไม่ธรรมดานั้นอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะแพรวที่คอยเหลือบหันมาสังเกตอยู่บ่อยๆ บูมรู้ว่าแพรวคงเริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง แต่นี่ก็คือชีวิตจริงๆ ของเขา นี่คือหัวใจจริงๆ ของเขา แม้ว่าแพรวจะยังไม่รู้อะไรมากนัก บูมก็ได้แต่ขอโทษแพรวในใจ อย่าให้ชีวิตนี้ผมต้องฝืนใจตลอดไปเพื่อใครอีกเลย ผมเหนื่อยกับมันเหลือเกิน เป็นครั้งเป็นคราวก็คงพอได้

"แพรว...วางแผนจะแต่งงานกับบูมเมื่อไรครับ เห็นหมั้นกันมาหลายเดือนแล้ว" อยู่ๆ เอิร์ธก็ถามขึ้นขณะที่เข้ามาชงกาแฟในห้องเตรียมอาหารพร้อมกับแพรว ปล่อยให้ทิวกับบูมทำงานกันไปสองคนในห้อง

"ก็คุยๆ กับคุณแม่ไว้ว่าอาจจะเป็นปีหน้า" แพรวบอกพลางยิ้มแล้วก็หันไปจัดการกับการชงกาแฟต่อ บ่ายๆ อย่างนี้แล้วได้กาแฟสักแก้วก็ช่วยให้หายง่วงได้เยอะเหมือนกัน

เอิร์ธพยักหน้าเข้าใจ

"รู้สึกว่าบูมกับทิวนี่ดูสนิทกันมากเลยนะ" จู่ๆ เอิร์ธก็เปลี่ยนเรื่องคุย จริงๆ เขาสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ หลายอย่างทีเขาเองก็ไม่เข้าใจ เช่น ทำไมเวลานั่งสอนงานกันจะต้องโอบไหล่กันด้วย ทำไมจะต้องไปส่งทิวถึงบ้านทุกครั้งที่มีโอกาส ทิวก็มาเองได้ แถมไวกว่าด้วยเพราะมารถไฟฟ้า แล้วบางทีก็เห็นแอบจับมือกัน บางทีเอิร์ธก็เห็นสองคนนี้เดินจับมือกันไปห้องน้ำ พอเขาเดินมาก็รีบปล่อย ดูเหมือนบูมจะดูแลเทคแคร์ทิวดีกว่าแพรวเสียอีก

"เขารู้จักกันมานานแล้วนี่ ก็สนิทกันเป็นธรรมดาแหละ" แพรวแก้ต่างให้ ถึงเธอจะรู้สึกอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรมากกว่าความเป็นเพื่อนกัน

"ก็คงใช่" เอิร์ธพยักหน้าเข้าใจ ไม่รู้ว่าจะบอกแพรวยังไงเหมือนกันว่าเขาสงสัยอะไร "แพรวคบกับบูมตั้งแต่สมัยเรียนที่เมกาเลยเหรอ"

"ค่ะ แต่ช่วงแรกๆ ก็ไม่ได้เป็นแฟนกันหรอก แค่รู้จักกันเฉยๆ เพิ่งมาเป็นแฟนกันตอนปีสามได้แล้วมั้ง ถ้าจำไม่ผิดนะ"

"ก่อนหน้านั้นบูมเคยมีแฟนไหม"

แพรวทำท่าครุ่นคิด "อืม...เท่าที่จำได้ก็ไม่เคยเห็นนะ บูมเขาเป็นเด็กเรียน เขาขยันเรียน ไม่ค่อยสุงสิงกับใครมากหรอก ส่วนมากก็เพื่อนๆ กัน เอิร์ธมีอะไรหรือเปล่าคะ" แพรวอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ดูท่าทางของเอิร์ธแปลกๆ ไป

"เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ" เอิร์ธชวน แล้วก็เดินนำแพรวออกมา พอดีช่วงนั้นมีคนเดินเข้ามาในห้องเตรียมอาหารด้วย ก็เลยรู้สึกไม่สะดวกใจที่จะคุยกันเรื่องนี้ต่อหน้าคนอื่น

---------------------------------------------------------------------------------------

บูมสอดส่ายสายตาสักพัก เขาก็เจอต้องนั่งรออยู่ในศาลาเล็กๆ ที่จัดไว้ให้คนที่มาเดินในสวนสาธารณะนั่งพักผ่อน เขารู้สึกแปลกใจเหมือนกันที่อยู่ๆ ต้องก็โทรหาเขาแล้วบอกว่ามีอะไรบางอย่างที่สำคัญอยากจะคุยด้วย พอบูมเลิกงานแล้วก็รีบนั่งรถไฟฟ้ามาที่สวนแห่งนี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานนัก ตอนแรกว่าจะนัดเจอกันที่อื่นแต่ต้องบอกว่าอยากคุยที่เงียบๆ คนไม่เยอะ แม้จะเป็นช่วงเย็นๆ มีคนมาออกกำลังกายและเดินเล่นในสวน แต่ตรงบริเวณที่ต้องนั่งอยู่ก็มีเขาแค่คนเดียว

"นั่งสิ" ต้องบอกเมื่อเห็นบูมมาถึงแล้ว สีหน้าต้องดูเครียดๆ บูมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าต้องมีเรื่องอะไรจะคุยกับเขา หรือจะเป็นเรื่องที่ต้องต่อยเขาวันนั้น แต่บูมก็ไม่ได้เก็บเอามาโกรธเคืองแต่อย่างใด

พอบูมนั่งลงแล้วต้องก็พูดสืบไปว่า "วันนั้นกูขอโทษละกัน กูรู้สึกโมโหมากไปหน่อย หวังว่ามึงคงเข้าใจ กูเจ็บแทนไอ้ทิวที่ถูกมึงทอดทิ้งไปแบบนั้น" ต้องพูดโดยไม่หันหน้ามามองเพื่อน

"กูเข้าใจ ไม่มีปัญหาอะไรหรอกเรื่องนั้น ว่าแต่นายจะคุยกับอะไรกับเรา เดี๋ยวเราจะต้องไปรับแพรวไปบ้านเรา" บูมถามเข้าเรื่องทันที แต่วันนี้เขาก็หนักใจอยู่อย่างที่พ่อกับแม่บอกให้เขาไปรับแพรวมาที่บ้านเพราะว่าคุณตาคุณยายจะมาหา ก็เลยอยากให้บูมพาว่าที่สะใภ้มารู้จักกับผู้ใหญ่ แถมแม่ยังโทรไปคุยกันแพรวไว้ก่อนแล้วเสียอีก ก็เลยดูจะเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธ

"มีสิ...เรื่องสำคัญด้วย เรื่องที่มึงไม่เคยรู้... แต่กูคิดว่ามึงควรจะต้องรู้..."

บูมยังคงรอฟังอยู่โดยไม่พูดอะไร

"ตอนที่มึงไม่อยู่... ตอนที่แม่ทิวมันเพิ่งเสีย กูไปอยู่เป็นเพื่อนทิวทุกวันเพราะกูกลัวว่ามันจะคิดสั้น กูเห็นมันร้องไห้ทุกวัน ก็เห็นมันหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต บอกตรงๆ ว่ากูสงสารมันมาก กูได้แต่โมโหมึงและเกลียดมึง ถ้าตอนนั้นมึงอยู่ มึงคงช่วยมันได้เยอะกว่ากู"

ไม่ว่าจะได้ยินหรือนึกถึงเรื่องนี้สักกี่ครั้ง บูมก็รู้สึกเจ็บปวดและรู้สึผิดในใจเสมอ แต่ต้องกำลังบอกเขาเรื่องนี้เพื่ออะไรกัน

"กูไม่ได้เกลียดมึงแค่เพราะว่ามึงไม่มาหามันเท่านั้น แต่อีกอย่างที่กูเกลียดก็เพราะว่า... ทำไมกูไม่เคยที่จะทดแทนมึงได้เลย ไม่ว่าจะทำอะไรมากแค่ไหน แม้กระทั่งเวลาที่มึงไม่อยู่ ทิวมันก็นึกถึงแต่มึง แม้ว่ากูจะคอยมาดูแลเป็นห่วง ทิวก็ไม่เคยเห็นกูอยู่ในสายตา" น้ำเสียงของต้องบ่งบอกว่าเขาเจ็บปวดกับสิ่งที่กำลังพูดเพียงใด แต่บูมฟังแล้วกลับไม่เข้าใจแม้แต่อย่างเดียว

"มึงหมายความว่าไงต้อง"

"หึ" ต้องแค่นเสียง เขาถอนหายใจยาวแล้วก็หันหน้าไปทางอื่น "กู...ชอบทิว"

บูมตกตะลึงกับสิ่งที่เขาได้ยินไม่น้อย นี่ถ้าต้องไม่มาพูดด้วยตัวเองเขาจะไม่มีทางเชื่ออย่างเด็ดขาด

"กูไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะกูสงสารมันที่ไม่มีใครก็ได้ จริงๆ กูก็รู้จักมันมาตั้งแต่อนุบาลแล้วล่ะ ก็ไม่เคยคิดว่าจะชอบมันแบบนั้น จนวันที่แม่มันจากไป"

บูมพูดอะไรไม่ออก เขากับต้องหันมามองหน้ากัน ต่างคนต่างใช้ความคิด

"ทิวรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง" บูมถามเสียงเบา

ต้องส่ายหน้า แล้วก็ก้มหน้าลง "กูยังไม่กล้าบอกมันหรอก" แล้วก็พูดสืบไปว่า "ที่กูบอกมึง เพราะมีเรื่องที่อยากจะขอร้องมึง" ต้องหันมามองบูมแวบหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าตามเดิม

บูมมองด้วยความสงสัยและรอคอยสิ่งที่ต้องกำลังจะบอกเขา

"กูอยากให้มึงปล่อยทิว"

ได้ยินแค่นั้นบูมก็ถึงกับตกใจ ทำไมเขาจะต้องทำแบบนั้นด้วย

"กูไม่คิดว่ามึงจะทำอะไรได้มากนัก มึงมีคู่หมั้นแล้วนะบูม ไม่นานมึงก็ต้องแต่งงานกัน แล้วทิวล่ะ.... มึงไม่สงสารทิวหรือไง ให้มันเจ็บเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ดีกว่าที่มึงจะมาหลอกให้มันมีความหวัง แล้วสุดท้ายมึงก็ต้องทิ้งมันไป กูรู้ว่าพ่อกับแม่มึงไม่มีทางยอมรับเรื่องนี้ได้"

"ไม่" บูมรีบตอบปฏิเสธ

"ทำไม" ต้องเริ่มมีสีหน้าไม่พอใจ "มึงจะไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือบูม ทำไมมึงจะต้องลากไอ้ทิวเข้าไปเป็นมือที่สามแบบนั้น ใครมารู้เข้าเขาก็ต้องหาว่าทิวเป็นคนไม่ดี"

"ทิวไม่ได้เป็นมือที่สามและไม่เคยเป็น" บูมพูดเสียงหนักแน่น "กูกับทิวรักกันมาตั้งนานแล้ว คนที่จะเป็นมือที่สามก็ควรจะเป็นคนอื่น ไม่ใช่ทิว"

"อะไรนะ" ต้องดูแปลกใจและงุนงงกับสิ่งที่บูมพูด

"สิ่งที่กูจะต้องทำก็คือทำให้คนอื่นๆ เข้าใจความรักของกูกับทิว มึงได้ยินไหมต้อง ทิวไม่ใช่มือที่สาม กูไม่เคยรักใครนอกจากทิว ทิวจะเป็นมือที่สามไม่ได้อย่างเด็ดขาด"

"แต่มึงกำลังจะแต่งงาน" ต้องรีบแย้งเสียงดัง

"ตอนนี้ยังไม่ได้แต่ง ยังไงกูก็ยังมีความหวัง" บูมเถึยง

"แล้วถ้ามึงทำไม่ได้ล่ะ ไอ้ทิวมันจะเป็นยังไง มึงเคยคิดบ้างไหม" ต้องเริ่มเสียงดังมากขึ้น เขาเริ่มโมโหอีกแล้ว

"คิดสิ ทำไมกูจะไม่คิด ทิวไม่ได้เป็นหนูทดลองสำหรับกูอย่างที่มึงพูดวันนั้น ไม่ว่าจะยังไงกูก็จะพยายามให้ถึงที่สุด หัวใจกูอยู่ที่ทิว ถ้ากูจะต้องอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่ทิว ถ้าจะต้องถูกบังคับขนาดนั้น ก็ให้กูตายเสียดีกว่า" บูมเริ่มพูดถึงความตายอีกแล้ว ถ้าทิวมาได้ยินคงไม่ชอบใจน่าดู

แล้วบูมก็พูดต่อไปว่า "กูไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่กูก็ยังมีความหวัง กูจะไม่เลิกพยายาม ไม่ว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยทิวก็จะไม่เสียใจว่ากูไม่เคยพยายามทำอะไรเลย ทิวจะไม่มีวันเสียใจว่ากูไม่ได้พยายามทำเพื่อความรักของกูกับทิว"

ต้องดูเงียบไปทันที ดูเหมือนสองคนนี้จะรักกันจนเขาไม่มีพื้นที่จะยืนร่วมได้เลย

"แต่ถ้ามึงรักทิว...กูก็ไม่ได้ว่าอะไร กูเข้าใจว่าเรื่องหัวใจมันคงห้ามไม่ได้ คนที่จะต้องตัดสินใจก็คือทิว ถ้าทิวไม่ได้รักมึง... มึงก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เหมือนกัน ถ้าทิวไม่ได้รักกู... กูก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน"

ต้องถอนหายใจอย่างหนักใจแล้วก็กุมขมับ ที่บูมพูดมันกูถูกของมัน จริงๆ ต้องก็ยังไม่เคยบอกทิวเลย ยังไม่เคยพยายามที่จะทำให้ทิวรับรู้ ถ้าทิวรู้...ทิวจะทำยังไง ทิวจะหันมามองเขาบ้างไหม แต่ถ้ามัวแต่คาดเดา ต้องก็อาจจะไม่ได้คำตอบอะไร หรือว่า...เขาควรจะต้องลองดูสักครั้ง!!!???