Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 417
Message ID: 111
#111, RE: ขอร้องพี่ๆครับ ใครมีนิยายเรื่องหนึ่งใจหลายรักของพี่เอ๋CT บ้างครับ อยากอ่านต่อจนนอนไม่หลัยเลย
Posted by โปโป on 12-Mar-17 at 06:08 PM
In response to message #0
234……
“พี่แขกอยู่มั๊ย” เราถามคนงานที่กำลังให้อาหารปลาอยู่ เขาไม่ได้อยู่บ้านเรานึกขึ้นได้ว่าแกมีที่ทำบ่อปลาอยู่อีกที่นึงเลยขับรถต่อมาเรื่อยๆ
“อยู่ที่เล้าหมู ครับ กำลังช่วยแม่หมูออกลูก” คนงานชี้ไปที่คอกของหมู ที่เยื้องไปทางด้านหลังนี่จะเอาทุกอย่างเลยเหรอพี่แขก เราเดินแกมวิ่งหลังจากจอดรถไว้ที่หน้าบ้านพักของแกแล้ว พี่แขกกำลังแยกลูกหมูมาเช็ดรกออกช่วยแม่มันที่ร้องโอดโอยอยู่ เราเห็นเจ้าตัวน้อยที่กำลังจะโผล่ออกมาดูโลกจากช่องคลอด ทันทีที่มันหลุดออกมาได้พี่แขกกับคนงานอีกคนก็ฉีกรกออกทันที ลูกหมูยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำตัวแดงแจ๋ เราเดินอ้อมไปด้านหลังนับดูได้สิบตัวแล้วที่นอนอยู่
พี่แขกหันมายิ้มให้แล้วหันไปสนใจกับแม่หมูของแกต่อ คนงานอีกคนทำความสะอาดลูกหมูคอยปัดแมงวันที่เข้ามาดม กรงอีกด้านกำลังเช็ดทำความสะอาดให้มันอยู่
“สิบห้าตัว” พี่แขกยืนนับผลงานของแม่หมูแล้วเปิดประตูเดินออกมา ตัวแกมีแต่กลิ่นคาวและกลิ่นสาบของหมู
“ไม่หล่อเลย” หน้าตาแกอิดโรย
“หล่อไม่ไหวแล้ว มันร้องทั้งคืน พี่ต้องมานอนเฝ้านี่เป็นท้องแรก มันยังออกลูกเองไม่เป็น”
“มันอยู่ในท้องได้ไง ตั้งสิบห้าตัว” เราเดินตามพี่แขกเข้ากระท่อมน้อยของแก
“พ่อพันธุ์มันดี นี่ตัวแม่มันก็เพิ่งเลี้ยงมาจนโต พี่จับคู่มันเองเลยนะ พ่อสอนให้หมด”
“ตกลงพี่แขกจะเป็นเกษตรกรเต็มรูปแบบเลยเหรอเนี่ย” เรายืนมองรอบๆกระท่อมของแกสูดลมหายใจรับเอากลิ่นไอธรรมชาติอย่างเต็มปอด พี่แขกมือเย็นปลูกอะไรก็งอกงามแกยืนชี้
“พี่เพิ่งรับจำนำทุ่งนาที่ติดกันมานะเอ๋ เห็นมั๊ยยาวไปจนถึงกระต็อบเล็กๆโน่น ต้นกล้าที่กำลังโตเขียวขจีใบของมันลู่ไปตามลมเป็นระยะ “ตอนแรกก็ไม่อยากจะทำ แต่พ่อให้รับไว้และลองปลูกดู จะได้มีข้าวไว้กิน”
“พี่แขกไม่ส่อแววเลยนะ ว่าแม่พี่เป็นคนกรุงเทพฯมาก่อน” แม่พี่แขกก็ยังทำตัวเป็นคุณนายสัตวแพทย์จังหวัดอยู่เหมือนเดิม แกยังแต่งตัวเหมือนคนกรุงเทพฯ น้องสาวแกเรียนจบและแต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่กรุงเทพฯไปแล้วและไม่คิดจะกลับมาอยู่บ้าน
“เราหล่ะ สบายดีมั๊ย”
“สบายดีพี่ เห็นแม่บอกว่าพี่มีอะไรจะให้ดูเหรอ” เราถามแก
“เห็นที่ติดกันมั๊ย” พี่แขกเดินนำเราไปที่ขอบรั้ว “เจ้าของเขาจะขาย เอ๋ยังสนใจมันอยู่รึเปล่า” เรายืนเกาะรั้วลวดหนามมองที่ดินแปลงเล็กๆติดกับที่ของแก
“เขาขายแพงมั๊ย”
“ไม่เท่าไหร่หรอก เจ้าของเขาร้อนเงิน พ่อแม่เขาตายแบ่งที่แบ่งทางให้ลูกแต่พอแบ่งแล้วมันเหลือคนละนิดเดียว ไอ้คนที่ไปอยู่ทีอื่นมันก็ไม่อยากได้ มาเสนอขายให้พี่”
“แล้วพี่ซื้อรึยัง”
“ยัง ก็ดูๆไว้อยู่”
“เอ๋ไม่มีเงินสดเยอะขนาดนั้นหรอก ตั้งหลายหมื่น”
“อะไรทำงานมานานแล้วยังไม่มีเงินเก็บอีกเหรอ”
“แหมพี่ ไม่ได้เงินเดือนเป็นแสนนี่นา อยู่กรุงเทพฯเก็บได้ขนาดนี้ก็บุญแล้ว” ถ้าให้ซื้อเงินสดมันเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรา เพราะเราไม่ได้คิดจะกลับมาอยู่บ้าน
“สนใจเดี๋ยวให้ธนาคารมาดู ประเมินราคาแล้วเอ๋ก็กู้มาซื้อ ผ่อนไม่กี่ปีก็หมด”
“ใครจะค้ำให้เอ๋”
“เตี่ยกับแม่ไง” แกเขกหัวเราทีนึง
“ที่ตรงนี้มันสวยนะ ซื้อไว้มาอยู่ตอนแก่ไง จะได้เป็นเพื่อนบ้านกัน”
“มานั่งดูพี่แขกอยู่กับลูกกับเมียเหรอ” เราหันไปถามแก “คงแสลงใจนอนร้องไห้ เฝ้ากระท่อมอยู่ทุกวันสินะ”
“ประสาท”
“ก็จริงนะสิ พี่แขกจะมีเมียแล้วไม่ใช่เหรอ เห็นว่าลูกสาวคนใหญ่คนโตมาตามจีบ”
“พวกนั้นก็พูดไป ไฮโซแบบนั้นอยู่กับดินกับทรายไม่ได้หรอก” แกเอามือล้วงเข้าไปที่กระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์ “พี่ไม่ได้ชอบนะ เขามาคุยด้วยก็คุย แต่พี่รู้ว่าแต่งแล้วก็คงไปไม่รอด อยู่อย่างนี้ดีกว่าสบายใจ” ฉลาดเหมือนกันแฮะ “พี่ไม่อยากให้ใครมาจูงจมูกเหมือนเพื่อนเอ๋ อีกคนหรอก”
“นกนะเหรอ ทำไมหล่ะพี่”
“พี่ไม่ชอบเล่นการเมือง ไม่ถนัดกับการเข้าสังคมแบบนั้น” แกเดินนำหน้าเราดูที่ไปรอบๆ
“ถ้าพี่แต่งงานไปจริงๆ เอ๋คงเสียดายพี่แย่” เราเดินไปข้างๆเขา
“ทำไมหล่ะ”
“มันเหมือนกับว่าขาดคนที่รู้จักไปอีกคน เอ๋ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เพื่อนที่แต่งงานไปก็หายไปทีละคน ไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เจอกันอีก กลับบ้านมาก็ไม่เจอกันสักที ตอนนี้ก็เหลือแค่พี่ที่เป็นคนโสดอยู่”
“ไม่เข้าใจ”พี่แขกถาม “เป็นเพื่อนกันก็ไปหากันสิ หรือว่าตัวเราเองคิดกับเขาเป็นอย่างอื่นเลยรับไม่ได้ที่เขามีลูกมีเมีย” แทงใจดำจี๊ดอย่างแรง
“จริงรึเปล่า” แกถามเราอีกครั้ง
“งั้นพี่ลองมีเมียดูแล้วกัน เอ๋จะพิสูจน์ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงรึเปล่า เพราะเอ๋คงชอบพี่แล้วมั๊ง”
“อย่าพูดเล่นแบบนี้นะ ใครได้ยินเข้ามันไม่ดี” แกปราม เมื่อเห็นคนงานกำลังเดินมาทางนี้ แกรอจนพวกเขาผ่านออกไปถึงพูดต่อว่า
“เก็บมันไว้ในใจนะ คิดอะไรอย่าแสดงออกประเจิดประเจ้อนัก ไปข้างในกันเถอะ” แกเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในบ้าน คนงานทยอยกลับกันหมดแล้ว ทั้งไร่มันเงียบสงบ
“แล้ววันนี้จะค้างกับพี่ หรือจะให้พี่ไปนอนเป็นเพื่อนที่บ้าน” พี่แขกถอดเสื้อเตรียมอาบน้ำ แกเดินเล่นกับเราให้ลมไล่กลิ่นสาบออกจากตัว
“ได้ทั้งสองอย่าง” เรานั่งเล่นที่แคร่ไม้ไผ่หน้าบ้าน
“งั้นนอนกับพี่ที่นี่แล้วกัน พรุ่งนี้ค่อยกลับ” พี่แขกยิ้มแล้วเดินไปอาบน้ำ เรารู้สึกโล่งใจที่กลับมาแล้วยังได้เจอพี่แขกคนเดิมอีกครั้ง มันบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกอย่างนี้มันเรียกว่ารักหรือไม่ แม้ตอนไม่ได้เจอก็ไม่ได้ห่วงหาอาทรอะไรนัก แต่หากเจอกันทีไรก็อบอุ่นใจทุกที ไม่เหมือนกับตอนที่อยู่กับโม เวลาไม่เจอกลับหวาดระแวงกลัวว่าจะได้เจอกันอีกแต่พอได้เจอความรู้สึกนั้นก็หายไปหมดกลายเป็นความน่าเบื่อแทน เป็นตั้งแต่ก่อนที่เราจะโดนเสียอีก
พี่แขกทำให้เรามีความอยากที่จะกลับมาอยู่ที่บ้านมากกว่าใครทั้งหมด แม้แต่นกเองก็ไม่ทำให้เรารู้สึกเช่นนั้น หนึ่งในนั้นคงมาจาก เราไปไหนมาไหนกับแกได้อย่างเปิดเผย ไม่ต้องหลบซ่อนเหมือนนกก็เป็นได้
“ไปอาบน้ำไปจะได้นอนกัน” พี่แขกดึงแขนเราขึ้นจากแคร่หลังจากที่เรามานอนรับลมเล่นหลังข้าวเย็น
“ยังหัวค่ำอยู่เลย ลมเย็นดีออกจะรีบนอนไปไหน” เราลุกตามมือแกจัดการอาบน้ำ กางเกงเลของแกเราผูกปมไม่เป็นมันพาลจะหลุดอยู่เรื่อย เสื้อกล้ามตัวโคร่ง พี่แขกนุ่งโสร่งตัวยาวแล้วใส่เสื้อยืดไม่มีแขน กระท่อมของแกเพิ่งต่อเติมชั้นลอย เป็นห้องเป็นห้องใต้หลังคามองเห็นท้องฟ้าได้ถนัด พี่แขกเรียนศิลปะ มีความรู้แค่ศิลปะจริงๆ แกสอบเข้าไม่ได้เพราะไม่เอาเรื่องวิชาการ พอเอ็นท์ไม่ติดพ่อก็พยายามจะให้แกจับด้านอื่นยกเว้นศิลปะ เพราะพ่อไม่อยากให้แกจนอย่างศิลปินที่ไม่มีงานทำ พี่แขกหายไปจากบ้านหลายเดือนแล้วกลับมาเพราะแกหาหนทางให้ตัวเองตามใจรักไม่ได้ ดนตรีกับงานศิลป์ที่ชอบไม่สามารถทำให้แกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่กรุงเทพฯได้ เมื่อความฝันไม่เป็นใจ มันก็นำพาความรักที่หอบหิ้วตามกันไปไม่ได้ แกถึงเลิกกับคนที่ทะเลาะกับไอ้นาเพื่อนเราที่กรุงเทพฯ แล้วกลับมารักษาแผลใจที่บ้าน และในช่วงนั้นที่เราได้รู้จักและจัดการแก นานมากแล้วนะ พอมาคิดดู เรามีเรื่องที่คุยกับพี่แขกตั้งเยอะแยะ ช่วงที่เราอยู่บ้านก็มีแกที่มาคุยด้วยทุกเช้าเย็น พอมีอะไรกัน ก็เขินๆกันอยู่พักแล้วแกก็วนมาอีก จนเรามาอยู่กรุงเทพฯ กลับบ้านทีไรก็ได้เจอ จนถึงวันนี้ เราผ่านอะไรมาเยอะ แต่พี่แขกก็เหมือนเดิม ยิ่งไกลแต่กลับใกล้เข้ามาทุกที พี่แขกเล่าโน่นนี่ให้ฟังหลายอย่างก่อนที่จะตะแคงข้างหันหน้ามาถามคำถามที่เราไม่กล้าตอบ
“อยู่กับเอ๋แล้วสบายใจดี พี่ได้พูดได้คุยตลอดเวลา เอ๋คุยรู้เรื่องดีนะ เข้าใจอะไรเร็ว มันจะเป็นไปได้มั๊ยถ้าเอ๋จะกลับมาที่นี่ให้บ่อยกว่านี้”
“เอ๋ต้องทำงานนี่นา พี่คิดถึงก็โทรไปคุยสิ”
“ไม่หาอะไรทำที่นี่หล่ะ ให้เตี่ยฝากงานธนาคารให้ก็ได้นี่นา”
“พอดี เห็นหน้ากันทุกวันก็เบื่อ” เราพลิกตัวแกให้นอนหงาย แล้วเอาคางเกยที่อกแกไว้
“พี่แขกเหงาเหรอ”นิ้วของเราไล้ที่แก้มแกเล่น
“มีบ้าง ที่คิดว่าเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในโลก”
“ก็หาใครสักคนมาเป็นเพื่อนสิพี่”
“พี่ไม่อยากมีครอบครัว” แกพูดเบาๆ
เราโน้มตัวลงจูบที่ปากแกเบาๆ พี่แขกจูบตอบนานที่ลิ้นกระหวัดกันไม่มีอิดออดเหมือนทุกครั้ง ส่วนนั้นของแกตื่นตัวเต็มที่รอการทักทายของเราอย่างคุ้นเคย เราไล่ลิ้นไปตามลำตัวของมันอย่างอ้อยอิ่งกล้ามเนื้อต้นขาของพี่แขกเกร็งแน่นก่อนที่ปลดปล่อยความสุขออกมา เรากลืนกินมันเข้าไปทั้งหมด พี่แขกลุกขึ้นนั่งมองหน้าเราที่นอนหนุนตักแกอยู่ลูบที่ผมเราเบาๆ แววตานั้นมันมีความหมายที่เราเข้าใจ แต่เราจะไม่เข้าข้างตัวเอง ขอเก็บความรู้สึกที่ดีอันนี้กลับไปต่อสู้กับความยุ่งเหยิงที่กรุงเทพฯ ต่อสู้กับแรงปรารถนาที่ไม่มีจุดจบของตัวเอง
พี่แขกมาส่งที่ท่ารถหน้าตาของแกดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจที่จะมาส่ง
“ไม่อยากมาส่ง เพราะไม่อยากให้ไป”
“เดี๋ยวมาอีกก็ได้ ขอกลับไปทำงานก่อนนะจะได้เก็บเงินไว้ซื้อที่ต่อจากพี่แขกไง อย่าขายให้ใครนะ พี่จะทำอะไรก็ทำไปก่อน แล้วเอ๋เก็บเงินได้เมื่อไหร่จะมาซื้อ”
“ตอนนั้นจะโก่งราคา”
“คนกันเองยังจะเอากำไรอีกเหรอพี่”
“คนกันเองนี่แหล่ะ หลอกง่ายดี” เราโบกมือให้แกแล้วเดินขึ้นรถ
“นางเอก” ต่อกัดทันทีที่เห็นหน้า
“อย่าพูดเลยชั้นเครียดนะที่โมเป็นแบบนี้”
“หล่อนนะแหล่ะ ต้นเหตุ” ต่อยิ้มเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ “ชั้นคงช่วยหล่อนไม่ได้นะ”
”ชั้นก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงเหมือนกัน ให้โมเขาจัดการเองก็แล้วกัน เราก็อยู่ของเราไปเรื่อยๆแบบนี้แหล่ะ”
“คาราคาซังกันเปล่าๆ ไม่รักก็เลิกเลยสิ”
“ไว้ให้คิดให้ดีก่อนแล้วกัน ความสุขที่จับต้องได้ หล่อนเองไม่ใช่เหรอที่บอกว่าเขาคือความจริงของชั้น”
“แต่ถ้าความจริงที่เป็นแบบนี้ มันน่ากลัวนะเอ๋” ต่อรู้เรื่องทั้งหมด เพราะเราไม่คิดจะปิดบังอะไร
“หล่อนคิดยังไงกับเบียร์หล่ะ”
“ไม่ได้คิดอะไรนะสิ ชั้นถึงโกรธที่โมทำกับชั้นแบบนี้ ถ้าพูดกันตามตรงโมเขาก็ดีกับชั้น และดีกว่าเบียร์ในทุกๆด้าน เพียงแต่ว่าชั้นทนไม่ได้เท่านั้นเองถ้าหากเขาจะหลอกล่อชั้นแบบนี้ มีอย่างที่ไหนพอเราหยุดก็เดินเข้ามา พอเราติดก็ถอยห่าง ชั้นไม่ชอบหรอก หล่อนกับวีก็ไม่เห็นจะเป็นแบบนี้”
“มันจะเหมือนกันได้ไง หล่อนเป็นแบบไหนก็ได้แบบนั้น ตัวเองเริ่มก่อนนี่” ต่อหัวเราะ
“ไปหาข้าวกินกันเถอะ วีมารอข้างล่างแล้ว”
โมไปรอที่ร้านอาหารก่อนที่พวกเราจะไปถึง เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกันอีก เรายิ้มให้เขา เขาก็เฉยๆกินเสร็จก็แยกย้ายไปคนละคู่ ถึงห้องก็มีแค่เรื่องเดียวโมจัดการเราทันที เซ็กส์แบบหมดใจเราไม่ได้สนุกกับโมเช่นเคย เราพยายามไม่แสดงความรู้สึกอะไรมากไปกว่าทำให้รู้สึกว่าสนุกไปกับเขาพอให้เขาเสร็จเท่านั้น ถ้าหากให้บอกเลิกมันยังคงยากสำหรับเรา แต่ให้โมเบื่อเราไปเองคงจะดีกว่า เขาชวนเราไปโน่นมานี่หลายต่อหลายที่ที่เขาไปเที่ยวกับเพื่อนเขา มีเราไปด้วย กลุ่มของโมมันหลากหลายไปวงโน้นต่อวงนี้
โมชวนเราออกอีกในคืนวันศุกร์ทันทีที่เราเขาถึงห้อง เราไม่อยากไปเพราะเบื่อไปทีไรกลับมาก็ชวนทะเลาะว่าเราไปอ่อยผู้ชายโต๊ะอื่น
“ไปเถอะ ขี้เกียจกลับมาให้คนหาเรื่องอีก”
“จะไปไม่ไป”
“ไม่ไป หาเรื่องตลอด ไปแล้วจะสนุกอะไร”
“พี่นงเขาชวนด้วยนะบอกว่าให้เอ๋ไปด้วย”
“ช่างเขาเถอะ” พี่นงเป็นรุ่นพี่ผู้หญิงที่โมนับถือ เขาสอนเราวาดรูปตอนที่ไปเที่ยวต่างจังหวัดกันครั้งที่โมยังไม่บ้า
“แกอยากเจอเอ๋” เรายังนิ่งเฉย จนโมมานั่งใกล้ๆ “นะไปเถอะ สัญญาว่าจะไม่อาละวาดอีก” เขาหอมแก้มเรา กลิ่นเหล้างี้หึ่ง คงไปไหนมาแล้วหล่ะสิ” เราตัดความรำคาญถึงยอมออกมาด้วย
ก็แค่ขอให้สนุกเท่านั้นแล้วก็เกิดเรื่องขึ้นอีก เพราะความแรงของเรา เราเต้นกับเพื่อนเขาความสนุกมันทำให้เต้นเข้าขาในขณะที่โมนั้นนั่งคุยกับพี่นงและแฟนแก แต่ยังคอยมองมาที่เราที่กำลังเต้นกับกลุ่มเพื่อนเขาเป็นระยะ พอเพลงจบเรากลับนั่งลงที่โต๊ะตามฝั่งตรงข้ามกับเขา ยังไม่ทันจะยกแก้วขึ้นดื่ม โมเอื้อมมาคว้าแก้วจากมือเราแล้วสาดใส่หน้าเราทันที เพื่อนที่มาด้วยตกใจ พี่นงคว้าแขนโมที่หยิบถังน้ำแข็งเตรียมจะสาดเราไว้ทัน พลางขอโทษโต๊ะข้างๆให้
“โม เป็นอะไร ไปทำเอ๋เขาทำไม”
“ขอตัวนะ” โมลุกขึ้นมาคว้าแขนเรา เพื่อนหลบให้เราเดินออก คนในร้านมันแน่นแต่มือที่บีบเรากึ่งลากนั้นเบียดเสียดผู้คนออกมา
“มีอะไรกัน”พี่นงวิ่งตามออกมา
“มันร่านต้องเจอแบบนี้ พี่นงกลับเข้าไปเถอะ ผมจะเคลียร์กับเอ๋มัน”
“ไม่เอา โมทำแบบนี้พี่ไม่ชอบเลยนะ เอ๋เขาก็สนุกกับพวกเรา กันเองทั้งนั้น”
“พี่ไม่เห็นเหรอ ไอ้โต๊ะข้างๆที่คอยมาเต้นกับมัน พี่รู้มั๊ย มันนัดกันเข้าห้องน้ำ”
พี่นงทำหน้าเหรอหรา
“เธอบ้าหรือโม นี่มันอะไร มันมากไปรึเปล่า” เราสวนกลับทันทีแค่คนข้างๆเดินไปห้องน้ำต่อจากเรา โมก็เดินตามไปรอเราที่หน้าห้องน้ำ
พี่นงจูงมือเราออกจากโม
“เอ๋กลับไปก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวพี่จัดการเอง” แกส่งเราที่ข้างถนนแต่ยังมีโมเดินตาม
“ชอบมันเหรอ” โมยังตามมาตะคอกเราอีก
“ไม่ได้ชอบ ไม่ได้ทำอะไร ต่างคนก็ต่างเต้น เราก็เต้นกับเพื่อนโม โมก็เห็นนี่ พี่นงก็เห็น"
“เอ๋ไม่เอา อย่าเถียง” พี่นงดึงแขนไว้
“แต่มันไม่ใช่ แล้วมันเดินตามเอ๋ไปห้องน้ำทำไม นี่ต่อหน้าต่อตาเลยนะ ยังจะเถียง” เขาคงนึกถึงภาพตอนที่เราไปเที่ยวต่างจังหวัดแล้วแอบหนีกลุ่มไปทำอะไรกับเขาขึ้นมาได้ พาลเอามาจินตนาการไปไกล
“โม เมาแล้วอย่าหาเรื่องนะ แล้วชวนเรามาทำไม”
“จะได้ไม่หนีไปเที่ยวเองนะสิ”
“มันมากไปแล้วนะ อย่างนี้ทุกที แล้วชวนเรามาทำไม"
“คนอื่นเขาเต้นกันเฉย แต่เอ๋มันคอยมองหาไปทั่ว"
“ไม่ไว้ใจกันทีหลัง ก็ไม่ต้องให้มาด้วยแล้วนะ”
“ไปๆ กลับๆ หมดอารมณ์แล้ว พี่นงผมกลับนะ”
พี่นงมองเราด้วยสายตาที่เป็นห่วง
“จะกลับไม่กลับ” โมคว้าแขนเราไม่ทัน
เรารีบเรียกแท็กซี่ โมวิ่งตามมา แท็กซี่จอด โมโบกให้เขาผ่านไปเขาลากเรากลับไปที่รถจนได้
“นี่เราอายคนนะ” คนเริ่มมองกันเยอะแล้ว โมถึงหยุด เปิดประตูรถแล้วดันเราให้เข้าไปนั่ง
เขาขับรถเร็วมากจนเราต้องหาที่เกาะไว้ ถึงห้องก็อาละวาดต่อ
“ไง ร่านมากเหรอ เห็นผู้ชายเป็นไม่ได้เลยใช่มั๊ย” เขาขยุ้มผมเราไว้
“เจ็บนะ”เราแกะมือเขาออกพร้อมกับตบหน้าเขาไปทีนึง โมยิ่งโกรธจัดเตะเราที่ขาพับจนล้มลงที่พื้น
“ไอ้โม ไอ้เหี้ย” เราตะโกนด่า
“มึงด่ากูเหรอ”เขาคร่อมที่ตัวเราบีบคอเอาไว้อีก
“ปล่อย” เราดิ้นให้มันหลุด วันนี้ชั้นไม่ยอมอีกแล้วสองมือแกะมือที่เหมือนคีมออกจนสำเร็จ
“เลิกกันเลยแล้วกัน ไม่ทนแม่งแล้ว” เราเริ่มหยาบคายขึ้นมาทีละนิด
“เออ ไปเลย” เราผลักเขาออกจากที่ยืนขวางไว้อย่างแรง แล้วออกวิ่งลงบันไดเพราะโมปิดห้องแล้วตามมาหน้าลิฟต์ โมทำท่าจะคว้าแขนเราเอาไว้เราสะบัดเขาเสียหลักทำให้ลื่นตกบันไดโมเอามือค้ำตัวเองไว้กลิ้งตกลงตามเรามาหลายชั้นไปนอนหมดฤทธิ์ เขาเมามากในวันนี้
“โมเป็นอะไรรึเปล่า” เราทั้งโกรธทั้งสงสาร
“มือเรา” เราจับมือมันเหมือนห้อยๆยังไงไม่รู้ เรารีบพยุงเขาลุกขึ้น
“กุญแจรถอยู่ไหน” เราล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วขับรถออกจากอพาร์ทเม้นท์เขาอย่างรวดเร็ว ถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด โมก็นอนร้องโอดโอยเพราะเจ็บข้อมือ ใครพูดก็ไม่ยอมหยุด พยาบาลดามแขนไว้หลังเอ็กซเรย์ พอหมอมาถึงก็เข็นเข้าห้องผ่าทันที หายไปประมาณสองชั่วโมงก็สิ้นฤทธิ์นอนเงียบกลับมา
“แขนหัก ตรงข้อมือพอดี เพราะร่างกายรับน้ำหนักตอนตกบันได” เราบอกวี
“หล่อนแก้แค้นเขาเหรอเอ๋”
“ชั้นไม่ได้ทำอะไร” เราตอบ”ถามเขาดูเอง ว่าทำอะไร” เรามองโมที่เพิ่งตื่น
“มันอะไรกันนักหนาวะคู่นื้ แกเป็นอะไรวะโม เอ๋เขาไม่ได้เป็นอย่างที่แกคิด เมื่อไหร่แกจะเลิกระแวงซะทีวะ” จริงเหรอวี เราคิดในใจ
“ข้าไม่เชื่อหรอก ดูตามันสิ”โมชี้มาที่หน้าเราด้วยมืออีกข้างนึง ต่อดึงแขนเราไว้ไม่ให้พูดอะไร ทั้งวีและต่อนิ่งมองหน้าเราทั้งคู่แล้วส่ายหน้า
“งั้นข้ากลับก่อนแล้วกัน” วีขี้เกียจฟังโมพล่ามด่าเราอีก
“เอ๋ จะอยู่ดูมันมั๊ย”
“ไปเลย ไม่ต้องมายุ่ง” เราเดินออกไปส่งคนทั้งคู่ เจ็บแล้วยังจะซ่าส์อีก
“บอกให้กลับไปไง” เราเขวี้ยงหมอนที่หนุนหลังใส่เราอีก เราหยิบมันขึ้นมาอย่างไม่สนใจแล้วหยิบกระเป๋าของโมมาหานามบัตรของประกันชีวิตเพื่อให้มาจัดการ
“ดีนะที่มีประกัน” เราบอกเขา โมไม่พูดอะไรนอนหันหลังให้
“เอ๊ะ ทำเองแล้วจะมาโกรธเราทำไม” เจ้าหน้าที่เคาะห้องเอาข้าวมาส่ง ห้องพิเศษห้องเดี่ยวพอจะทำให้เป็นส่วนตัวอยู่บ้าง โมไม่ยอมหันมาแตะต้องอาหาร
“นี่อย่ามางอแงเหมือนเด็กนะโม ลุกมากินข้าวเดี๋ยวจะได้กินยา” เราดันตัวเขาให้ลุกขึ้นยากลำบากน่าดูกว่าจะยอมนั่ง
“โม กินข้าวนะ” เขาไม่ตอบไม่ยอมเอามืออีกข้างจับช้อนซะที
“โม อย่าทำเป็นเด็กสิ” เราผลักรถอาหารออกจากเตียงแล้วนั่งลงข้างๆเขาแขนหักแต่ยังมีแรงมาดันเราออกจากเตียงอีก
“เราขอโทษนะ ถ้าหากโมจะโกรธเราเพราะเรื่องนี้” เขาหันหน้ามามองเรา
“ไม่ได้โกรธ”
“งั้นก็อย่าอารมณ์เสียสิ หมอผ่าให้แล้วอีกไม่กี่วันก็หาย มือขวาก็ยังใช้ได้อยู่นี่นา”เขามองหน้าเรา เราขยับไปใกล้หน้าเขาแล้วจูบที่ปากเขาเบาๆ
“เราจะไม่ดื้อกะโมอีกแล้ว อย่ามัวแต่โกรธเลยนะโม” เขาทำท่าจะนอนลงไปอีก จนด้วยเกล้านี่งอนอะไรกันนักหนา เรานั่งมองเขาอย่างเหนื่อยใจแล้วผลักรถอาหารเข้าสู่ที่เดิมก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อหาอะไรอย่างอื่นทำ เราจะรับผิดชอบโมได้แค่ไหนถ้าหากเขาอารมณ์รุนแรงแบบนี้ อะไรที่ทำให้เขาอาละวาด นี่เขารักเราเหรอ เราไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองขนาดนั้นหรอก แต่มันดูแล้วเหมือนใช่ นี่โมเป็นคนประเภทไหนกันนะ