Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 429
Message ID: 0
#0, นาคบาศ
Posted by Cakuko on 12-May-12 at 08:19 PM
สวัสดีค่ะ เป็นเรื่องสั้นเท่านั้นนะคะ อ่านเอามันส์และความสนุกค่ะ

+++++


นาคบาศ

ขณะก้าวย่างระมัดระวังฝ่าสุมทุมพุ่มใบบังเข้าไปใกล้สระน้ำข้างหน้า เขารู้สึกถึงกระแสร้อนจากเชือกนุ่มในกำมือ พลางเขากระหวัดไปถึงวิธีการซึ่งเขาได้มันมาไว้ครอบครอง

เขายังจำได้ถึงใบหน้าแย้มยิ้มและแววเลศนัยเคลือบอยู่ในดวงตานั่น

ขดเชือกสีเขียว เปรียบได้ราวกับขนดของนาคา ผู้มีพิษร้ายแรง และจอมนาคผู้มอบบ่วงนาคบาศนี้ให้เขา ก็เป็นผู้คายพิษใส่เชือกนี้ด้วยตนเอง เชือกซึ่งเมื่อผูกรัดสิ่งใดแล้ว ย่อมไม่อาจหลุดได้ง่าย ไม่ว่าจะใช้อะไรมาบั่นให้สะบั้น นอกเสียจากว่าผู้ผูกเงื่อนมัดจะเป็นผู้แก้เสียเอง

จอมนาคาผู้มีพิษเอ่ยกับเขายามยื่นบ่วงนาคบาศให้ว่า

“ด้วยเจ้าเป็นผู้ช่วยชีวิตเราจากมนุษย์ใจทราม บ่วงนาคบาศนี้จึงเป็นของตอบแทนจากเรา จงใช้มันตามใจปรารถนาเถิด พรานบุญเอย”

จอมนาคากล่าวจบก็ผลุบหายลงในสายนทีลึกล้ำ

+++++

พรานบุญปลูกบ้านชายป่าอาศัยอยู่เพียงลำพัง นับจากบิดาตนได้ตายจากด้วยสัตว์ร้ายคร่าชีวิต เขาก็อยู่ลำพังมาคนเดียวตลอด ยังชีพด้วยการหาของป่าและล่าสัตว์เอาเข้าไปขายในกรุงพาราณสี อันวิชาความรู้ใดๆ ประดามี บิดาผู้เป็นพรานเฒ่าก็ได้ประสิทธิ์ประศาสน์ให้เขาจนหมดแล้ว แม้บิดาจักลาโลกไป เขาก็อยู่ได้ไม่เดือดร้อน จนบัดนี้เขาย่างเข้าสู่วัยเบญจเพศแล้ว

พรานบุญมิใช่พรานประเภทเกียจคร้านสันหลังยาว ผู้ซึ่งมักหาเมียมาเพื่อรับใช้ให้นวดเฟ้น แล้วตนก็เอาแต่สูบกล้องยาเมื่อยามว่างงานมิได้เข้าป่าล่าสัตว์ เขาเป็นผู้อยู่เดียวดาย และด้วยเหตุนี้กระมัง เขาจึงขยันขันแข็ง หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน อาบเหงื่อต่างน้ำ เพื่อแลกมาซึ่งข้าวอิ่มท้อง แม้เป็นพราน ทว่าหนุ่มพรานบุญก็มิได้เข้าป่าทุกวัน เขาจะล่าสัตว์ก็แค่สองราตรีของจันทร์เพ็ญแลจันทร์แรม ส่วนเวลาอื่นนั่นหรือ เขาหาของป่าเช่นเผือกมัน หรือน้ำผึ้งรสชาติซ่านลิ้น กับพวกผลไม้ป่าหายาก เอาไปขายในเมือง และบางส่วนเก็บตุนไว้เป็นเสบียงยามฤดูหนาว

นอกจากนั้นแล้ว เขายังปลูกพริก ปลูกผักหญ้าอื่นๆ อีกมากโข ต้นไม้ให้ลูกรอบบ้านซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินั้นเล่า เขาก็จัดการตัดเสี้ยนให้เตียนโล่งแล้วซึ่งวัชพืชพฤกษ์กาฝาก จนสะอาดตาและเจริญเติบโตให้ลูกให้ผลแก่เขาได้อิ่มหนำ เพราะด้วยความรักในสันโดษหรือเพราะเหนียมอายในชาติกำเนิดว่าตนเป็นเพียงลูกพรานยากจน เขาจึงไม่คิดหาเมียมาอยู่คอยปรนนิบัติ ซ้ำร้าย เขายังคิดอีกว่า คงมิมีสาวใดในเมืองพาราณสีนี้ดอก ซึ่งจะพร้อมใจมาตกระกำลำบากอยู่กับเขาหากไกลผู้คน รอบกายมีแต่ป่าใหญ่ไพรกว้าง น่ากลัวว่าสัตว์ป่าดุร้ายจะลอบออกมาลากไปกัดกิน

และด้วยความรักสัตว์ แม้ว่าตนจะเป็นพรานผู้คร่าชีวิตสัตว์นี้เอง ทำให้เขายื่นมือเข้าช่วยจอมนาคจากความตายอันอุกฤษฏ์ เนื่องด้วยพราหมณ์เฒ่าเจ้าเล่ห์วางแผนปลิดชีพ จนกระทั่งเขาได้บ่วงนาคบาศลือชื่อมาเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว

อาวุธวิเศษเหล่านี้มักมีอุปนิสัยแปลกประหลาด คนเหล่าใดต้องการมันมาไว้ในครอบครอง ย่อมไร้แล้วซึ่งโอกาส แต่ผู้ใดซึ่งไม่่หวังจะได้มันมาและทำประโยชน์ต่อผู้อื่นไปโดยไม่หวังผล ผู้นั้นย่อมได้มาซึ่งของรางวัลล้ำค่าเหลือคณานับ ดั่งนี้ เหมือนเป็นการสอนสั่งมนุษย์ให้ตระหนักว่า ทำบุญจงอย่าหวังผล ความดีความงามที่เราได้กระทำลงไป จักงอกงามออกดอกตอบแทนเมื่อเวลามาถึง

พรานบุญแม้จะยังหนุ่มแน่น หากเขายึดมั่นในศีลและธรรม แม้ว่าการดำรงชีพอยู่ด้วยอาชีพพรานป่านี้จะทำให้ต้องละเมิดศีลข้อปาณาฯ อยู่เนืองนิตย์ แต่นับจากบิดาต้องสูญชีวิตให้กับกรงเล็บสัตว์ป่าบ้าคลั่ง เขาก็ละเลิกและหันหลังให้กับการคร่าชีวิต เดี๋ยวนี้เขาดำรงชีพราวกับนักบุญผู้ละแล้วซึ่งเรื่องทางโลก ประทังชีพอยู่ด้วยผลหมากรากไม้นานาจะหาได้ และที่เขาเพาะปลูกไว้เอง นานๆ ทีเขาจึงจะเข้าป่าเพื่อดักจับสัตว์สักครั้งหนึ่ง อย่างเมื่อครั้งนั้นซึ่งเขาเข้าป่าเดินทางนับแรมเดือนเพื่อให้ได้มาซึ่งนางกินรีผู้มีโฉมพริ้มเพราดังเกลาเกลี้ยง เขาก็ใช้บ่วงนาคบาศนี้แหละจับกุมนางไว้ได้ จนเขาได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระสุธนราชาผู้ครองมหานครปัญจาละหน่อเชื้อพระอาทิตย์เทพ

ครั้งนี้เมื่อยามจันทร์เพ็ญขึ้นอยู่เต็มฟ้า แลนางนกป่าร่ำร้องเป็นเสียงอ้อยสร้อยออดอ้อนอยู่ในราวป่า เรียกให้ใจเขาประหวัดโหยหาไออุ่นแห่งเรือนร่างอ่อนนุ่ม แม้จะเป็นการง่ายหากเขาจะใช้ทรัพย์ที่มีไปเที่ยวโรงคณิกาในเขตเมือง แต่นั่นเป็นความสุขเพียงฉาบฉวย เมื่อได้มันมา แล้วก็จักหมดสิ้นไปโดยไร้ประโยชน์ สิ่งที่พรานบุญหนุ่มเดียวดายคิดได้ตอนนั้นคือ ร่างแฉล้มแย้มยิ้มหุ่นพริ้มเพราของนางกินรี

นี่เป็นสิ่งอันตรายยิ่งแล้ว อันซึ่งหนุ่มมนุษย์จักคิดในทางปฏิพัทธ์กับนางเผ่ามนุษย์กึ่งเทพซึ่งนับว่าอยู่เหนือเอื้อมมือนี้นับว่าแปลกประหลาดมิเคยมีมาก่อน อันการจะได้มาซึ่งนางเทพชาวกินนรนั้น เขาจะต้องบากบั่นบุกป่าฝ่าไปถึงเชิงเขาหิมวันตบรรพตนั่นเทียว แลการเดินทางนั้นก็กินเวลาแรมเดือน หากใจหรือกายมิพร้อมพรักก็จักถอดสติตั้งมั่นแลสูญชีวิตไปได้เลยทีเดียว แลสระอโนดาตนั้นเล่า ก็เต็มไปด้วยสัตว์ป่าดุร้ายซึ่งอาศัยอยู่แถบถิ่นนั้น ซึ่งต้องคอยเวลาวันจันทร์เพ็ญเท่านั้นจึงจะปลอดจากภยันตรายจากพวกมัน

ด้วยเคยไปเยือนสถานที่แห่งนั้นแล้วครั้งหนึ่ง พรานบุญจึงมิพรั่นสะพรึงในอก แลไม่คิดหน้าคิดหลัง หากตั้งจิตวางใจจะไปให้ถึงที่แห่งนั้นให้จงได้ เขาไม่คิดไตร่ตรองถึงนางมนุษย์ชาวเมืองซึ่งเขาอาจจะใช้ทรัพย์ศฤงคารที่มีไปสู่ขอเอาได้โดยง่าย ใจของเขารุ่มร้อนยามนี้เพราะอยากจะสัมผัสกับเรือนกายอ่อนนุ่ม และหอมอวลอบด้วยกลิ่นอันเป็นทิพย์ ดึกดื่นนั้น เขาหลับไปขณะน้ำค้างกำลังพรมยอดหญ้ากับใบไม้ เขาหล่นสู่ห้วงนิทราด้วยจิตประหวัดใบหน้านางกินรีนางใดนางหนึ่งซึ่งจะตกเป็นเหยื่อในบ่วงนาคบาศของเขา

พรานบุญหนุ่มขยับลุกแต่เช้ามืด กายรู้สึกกระปี้กระเปร่า ยามก้าวเดินท่วงทีก็ดูกระฉับกระเฉงไม่เนิบนาบ เขาเอาสะเบียงใส่ย่าม เอาผ้าห่มยัดใส่ถุงผ้าอีกถุง ใบหน้าคมสันและร่างกายกำยำล่ำสันแห่งชาติบุรุษผู้กรำงานหนัก ดูราวกับนักรบผู้เตรียมพร้อมจะออกศึก เขาก้าวเดินไปทางทิศที่จำได้มิลืมเลือน

+++++

หนทางแรมเดือน เขาจึงลุถึงเชิงผาหิมพานต์ อากาศโดยรอบนั้นหนาวเย็น เนื่องด้วยลมหนาวยะเยือกแผ่พัดมาจากหมู่เทือกวินธัยอันเป็นสถานที่อาศัยของเหล่าเทพกินนร ที่นั่นหิมะปกคลุมตลอดปี หากเบื้องต่ำลงมานี้กลับยังดินดีและน้ำอุดม ป่าเขียวขจีแลพรรณไม้เป็นที่เขียวชอุ่มจำเริญตา พรานบุญหนุ่มได้อาศัยส้มสูกลูกไม้ประทังชีพเรื่อยมา

ธารน้ำใสเย็นเห็นถึงกรวดก้อนนอนสงบใต้สายธารา พรานบุญคุกเข่าลงกับดินชุ่มน้ำ แล้วกอบมือเป็นดุจถ้วยวักเอาน้ำขึ้นดื่ม ลูกกระเดือกเคลื่อนขึ้นลงส่งน้ำใสแลเย็นเยียบลงสู่ท้อง เขาพลันซาบซ่าน โลมาลุกชันทั่วสรรพางค์ เมื่ออ่ิมหนำ จึงวักน้ำขึ้นมาเช็ดตามคอกับใบหน้าให้ตนตื่นจากง่วงงุนและความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางแรมไกล

พรานบุญพบที่นั่งพักร่มเย็นอยู่ใต้ต้นรังใหญ่แผ่กิ่งก้าน เขารวบเอาใบไม้แห่งหล่นทับมากองรวมเป็นกระจุก พร้อมกับคว้าเอากิ่งไม้แห้งหล่นเรี่ยแถวนั้นมาหักเป็นเชื้อเพลิง แล้วจึงล้วงเอาหินไฟจากในย่ามมาถูกันจนเกิดประกายไฟ ไม่นานกองไฟเล็กๆ ก็ปะทุขึ้น พรานบุญนำเอาเผือกแลมันออกมาปิ้งย่างกับไฟร้อนเป็นอาหารได้อิ่มมื้อหนึ่ง

พรานบุญล้มกายลงนอนกับที่นอนใบไม้ซึ่งเขาทำขึ้น เพื่อพักผ่อนกายาสักครู่ก่อนเริ่มออกเดินเท้าเข้าสู่ที่ตั้งสระอโนดาตมหาโบกขรณี ทิวานี้เป็นวันเดือนเพ็ญ แลเย็นย่ำค่ำคืนนี้ดวงแขไขจักโผล่พักตร์กระจ่างแย้มยิ้มเหนียมอายออกมาสู่โลก ส่องแสงสีนวลงามอุ่นตาให้สัตว์เบื้องล่างในโลกได้ยล และเขาจะอาศัยช่วงเวลานั้นจับนางเทพกินนรนางใดก็ได้ด้วยบ่วงนาคบาศพิษแรงนี้ และเมื่อนั้นเขาจะได้นางมาไว้ในครอบครอง

หมายไว้เช่นนั้นในมโนตนแล้วจึงหล่นหลับลงสู่นิทรา ขึ้นชื่อวิสัยพรานแล้ว การนอนมิใช่การหลับลึกลุ่มหลง หากเป็นการนอนเพียงตาหลับ ส่วนประสาทรับรู้ยังตื่นเต็ม มาตรว่าอันตรายร้ายแรงอันใดกรายใกล้ เขาย่อมตื่นลุกได้ไวว่องเพื่อป้องกันตน

เมื่อเป็นดังนั้น โสตสดับเสียงเคลื่อนไหวกายกรอบแกรบใกล้ๆ เขาจึงผุดลุกขึ้นว่องไว้ มีดสั้นที่มีติดกายไว้ทุกชั่ววารจ่อติดกับอะไรสักอย่างซึ่งเข้ามาเยือนด้วยจุดประสงค์ปริศนา สิ่งที่อยู่ต่อหน้าเขานั้น ทำให้พรานบุญถึงกับตะลึงนิ่งงันอยู่กับที่ มือซึ่งกำมีดปลายแหลมหยุดนิ่งราวกับถูกมนต์ดำสะกดไว้เสียแล้ว

ปลายมีดแหลมของเขาตอนนี้จ่อติดอยู่กับผิวเนื้อขาวผ่องแห่งลำคอระหงของใครคนหนึ่ง ด้วยความแหลมแลคมแห่งวัตถุทำให้เลือดจากกายนั้นหลั่งออกมารวมกันเป็นหยดแดงสด แล้วเลื่อนไหลลงตามผิวเนื้อขาวนวลเนียน ใบหน้าแฉล้มพริ้มเพราเชิดหยิ่ง ปากเม้มเป็นเส้นตรง ดวงตามีแววทรนงตน และมองราวกับว่าพรานบุญหนุ่มหน้าคมเป็นเพียงสัตว์ต่ำตมถมดิน

“เจ้าประสงค์สิ่งใด”

เขาเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงอันกร้าว

ร่างนั้นมิได้ตอบคำ หากค่อยขยับกายถอยออกห่างทีละน้อยในลักษณะซึ่งมิได้แสดงพิรุธใดๆ ออกมา ทว่าพรานบุญกลับรู้แจ้งในท่าทางของคนตรงหน้าเขาเป็นอย่างดี แลด้วยความคล่องตัวของพรานหนุ่มมือฉมัง ปลายมีดแหลมคมก็ตามติดไปจ่ออยู่กับลำคอระหงนั้นมิห่าง ยังผลให้เจ้าของร่างต้องเม้มปากแน่นแรงจนห้อเลือดแดง

“หากเจ้าไม่บอกเราว่าประสงค์สิ่งใด จึงอาจหาญลอบเข้ามาใกล้ตัวเราในยามหลับ เราจักบั่นคอเจ้าด้วยกริชเล่มนี้ มาตรว่าเจ้าเป็นผีไพรหรือภูติปีศาจชั่วช้า ก็อย่าหวังว่าจะรอดจากคมกริชนี้ไปได้ ด้วยว่ามันถูกชะโลมอาบด้วยน้ำมนต์ศักด์ิสิทธิ์ ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นมนุษย์ฤๅสิ่งทิพย์ กริชข้าย่อมสามารถดื่มเลือดได้เฉกกันหมด!”

“คุยโว” เสียงหวานใสแผ่วดังออกมาจากลำคอระหงนั้น การที่เอ่ยวจีออกมาสิ่งผลให้คมแห่งกริชยิ่งบาดลึกเข้าไปในเนื้อสีขาวจนโลหิตทะลักหลั่งออกมาอีกมาก ร่างนั้นกระตุกด้วยเจ็บ ทว่ามิได้ส่งเสียงโอดโอยให้เป็นที่น่าเวทนา

“หาว่าเราคุยโว เจ้าอยากจะลองดูสักครั้งหรือไม่”

“มนุษย์ต่ำต้อย เอามีดของเจ้าออกห่างเราเดี๋ยวนี้!”

“เกรงว่าจะทำไม่ได้ดังเจ้าต้องการ ดูซิ แม้บัดเดี๋ยวนี้ กริชของเราก็กำลังเอมโอษฐ์อยู่ด้วยโลหิตอันหวานของเจ้า หากเจ้ารักตัวกลัวตายเสียแล้ว ก็จงแจ้งแก่เรามาว่าเจ้าประสงค์ร้ายคิดชั่วประการใด จึงลอบเข้ามาประชิดตัวเรายามหลับนอน!”

ร่างระหงนั้นมิได้ตอบคำใด หากสายตาคมหวาน ดุ กลับตะหวัดไปมองที่เอวของพรานบุญซึ่งมีบางสิ่งผูกรัดไว้เป็นมั่น พรานบุญหนุ่มมองตามจึงแจ้งแก่ใจ

“อ้อ! กระนั้นฤๅ” เขาเดาะลิ้นอย่างเห็นขัน “เรามิหลากใจเลย หากแม้นว่าเจ้าจะลอบเข้ามาลักบ่วงนาคบาศนี้จากเรา ก็มันเป็นอาวุธอันมีฤทธิ์อุโฆษฤๅมิใช่ แต่เกรงว่าเจ้าจะมิอาจชิงมันไปจากเราได้ ด้วยบ่วงนี้มันมีชีวิต แลจักตอบรับคำขอของผู้เป็นนายแห่งมันเท่านั้น แม้นเจ้าสัมผัสมันโดยเราไม่อนุญาต เจ้าก็จักปวดแสบปวดร้อน ถึงการปวดร้าวร่างกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”

“จะซักแค่ไหนกันเชียว”

“หรือจะลองดูไหมเล่า อย่าว่าแต่ตอนนี้เจ้าจะหลุดพ้นจากปลายกริชเราเลย อย่าหวังแม้แต่จะสู้กับบ่วงนาคบาศของเรา”

“มนุษย์มักกระหยิ่มยามได้ของสูงเกินตนมาครอบครอง เปรียบได้กับวานรเขลาผู้ได้แก้วรัตนามาไว้ในมือ หาได้รู้สรรพคุณอันเลือดภพแห่งมันไม่ เจ้าเองก็เช่นกัน เป็นเพียงมนุษย์เดินดิน ไยอาจหาญลักขโมยเอาบ่วงนาคบาศมาไว้ในครอบครอง”

“เจ้าว่าเราขโมยสิ่งนี้มา?”

“ก็แล้วเจ้าจะได้มันมาด้วยวิธีการใดเล่า หากมิใช่ด้วยการลักขโมย”

“บ่วงนาคบาศเป็นอาวุธเสกสรรขึ้นโดยจอมนาคาชมพูนิต ไยข้าจะอาจหาญลงไปถึงภพภูมินาคาเพื่อลักขโมยเอาอาวุธซึ่งท้าวเธอจักต้องเก็บไว้กับตนอย่างแน่นอนด้วยเล่า นั่นเป็นการกระทำอัตกรรมนิบาตโดยแท้”

“ก็แล้วมันจะแปลกอะไรเล่า ในเมื่อมนุษย์ก็มักทำในสิ่งโง่เขลาเบาปัญญาอยู่แล้ว”

“เอ เราแปลกใจเหลือเกินว่าเจ้าเป็นใคร และเป็นอะไรกันแน่ จึงได้มาด่าว่าพวกมนุษย์อยู่ปาวๆ อย่างไม่เกรงเราซึ่งก็เป็นมนุษย์เช่นกัน”

“เจ้าไม่อยากรู้หรอกว่าเราเป็นใคร เราขอเตือนเจ้าให้เจ้าเสือกเอาปลายมีดของเจ้าออกไปจากคอเราบัดเดี๋ยวนี้ ก่อนเจ้าจะต้องเสียใจ”

“เราไม่เห็นว่าเจ้าจะน่าเกรงกลัวอันใดเลย ดูซิ เรือนกายก็แน่งน้อย ผอมกะหร่องกล้องแกล้ง ดูไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ เจ้าจะทำอันตรายอะไรเราได้”

“อย่ามาสบประมาทเรานะ เราเป็นชายชาติบุรุษ การจะให้บุรุษอื่นมากล่าวหาเช่นนี้เรายอมไม่ได้!”

“ประหลาดแท้!” พรานบุญหนุ่มหน้าคม ร้องขึ้นด้วยหลากใจ “เจ้าเป็นชายหรอกหรือ เราหลงนึกว่าเจ้าเป็นนางป่าตัวน้อยเรือนร่างแฉล้มแช่มช้อยเสียตั้งนาน อา...แต่เรือนร่างเจ้าช่างดูคล้ายกับอิตถีเพศเสียจริงๆ”

“หยุดวาจาสามหาว”

“หึ หากเจ้าเป็นบุรุษจริง ก็นับว่าเป็นบุรุษซึ่งงดงามเกินบุรุษใดในโลก แต่จะอย่างไรก็ตาม เจ้าบังอาจลอบเข้ามาด้วยหวังจะลักขโมยอาวุธของเรา เราคงปล่อยเจ้าไปไม่ได้ ดีแล้วละ! เจ้าจะได้ลิ้มลองรสชาติของกำลังแห่งบ่วงนาคบาศนี้ อย่างที่เจ้าต้องการมากมายอย่างไรละ!”

มือกุมกริชในมือแน่น แลปลายกริชก็ยังคงจ่อติดอยู่กับลำคอระหงขาวนวล อีกมือที่ว่างนั้นเลื่อนไปข้างกายซึ่งมีบ่วงนาคบาศผูกติดไว้แน่น พลางริมฝีปากก็บ่นพร่ำพระเวทย์มนตราซึ่งท้าวชมพูนิตจอมนาคาได้สั่งสอนไว้ เมื่อจบคำ ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากบ่วงนาคบาศนั้นโดยแรง ยังให้ร่างแฉล้มที่นั่งเกร็งอยู่ตรงหน้้าต้องสะดุ้งสุดกาย พลางดวงตาสังเกตเห็นว่าขดเชือกสีเขียวนั้นเริ่มคลายออกจากกัน แลเคลื่อนไหวในลักษณะราวกับเป็นอสรพิษร้าย เลื่อนออกจากบริเวณบั้นเอวของพรานหนุ่มแล้วพุ่งตวัดมากับอากาศแล้วรวบตัวเข้ากับร่างของผู้มีกายขาวผ่อง พรานบุญดึงกริชกลับมา ปล่อยให้ร่างที่ถูกพันธนาด้วยนาคบาศต้องเป็นอันล้มตึงลงไปกับพื้นซึ่งปูไว้ด้วยใบแห้งจากต้นรังใหญ่

แม้หยุดยืนอยู่ใกล้ พรานบุญหนุ่มยังรู้สึกถึงกระไอร้อนพวยพุ่งออกมา ไยร่างที่โดนผูกมัดอยู่นั้นจะนิ่งเฉยอยู่ได้โดยมิรู้สึกถึงพิษแห่งนาคได้เล่า ร่างนั้นพลันร้องโอดโอยออกมาด้วยเสียงอันดังแลกราดเกรี้ยว พร้อมกับการแช่งสาปให้พรานบุญได้พบกับจุดจบอันน่าขนพองสยองเกล้า พรานบุญผู้เป็นหนุ่มย่างก้าวเข้าไปใกล้ แลยื่นมือออกไปยังร่างนอนเกลือกกลิ้งกับพื้นด้วยท่าทางอันน่าสมเพชนั้น พลันบ่วงนาคบาศก็พุ่งกระเด็นขึ้นมาเป็นห่วงให้เขาได้ใช้มือจับกระชับและกระชากเอาร่างในพันธนาขึ้นมาจากพื้นให้ยืนอ่อนเปลี้ยอยู่ด้วยแรงเหลือน้อยนิด

ร่างนั้นดีดดิ้นหวังจะหลุดรอดเป็นอิสระภาพ หากก็ต้องใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยเจ็บปวดแลแสบร้อนเพราะไอพิษจากบ่วงนาคบาศนั้นได้พวยพุ่งขึ้นมาทุกครั้งที่พยายามจะสลัดมันให้หลุด

“บ่วงนี้เป็นของวิเศษและมิต่างอะไรกับตัวนาคาผู้ปล่อยพิษเอง หากเจ้าดิ้นรนขัดขืนมากเพียงใด มันก็จะยิ่งรัดรึงเจ้าแน่นขึ้น แลหากมันรัดเจ้าจนถึงระยะหนึ่ง มันจะแผดเผาเจ้าจนเหลือเพียงเถ้ากระดูก ดังนั้นเจ้าจงอยู่นิ่งเฉยเสีย อย่าได้ดิ้นรนอีกเลย”

“ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะมนุษย์สถุน!”

“ก็เราเป็นเพียงมนุษย์สถุน เปรียบได้กับอาจมและหนอนซึ่งชอนไชศพเน่าเฟะ คงมิอาจจะเข้าใจภาษาที่เจ้าเอื้อนเอ่ยออกมาดอก ดังนั้นเราคงจะทำตามคำขอของเจ้าไม่ได้ ด้วยว่าเราไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้าเอ่ยเลยแม้สักน้อย”

“เจ้าอย่ามาเล่นลิ้นกับเรานะ!”

“มิได้ดอกมานพรูปงามเอย เรามิได้เล่นลิ้น หากแต่วาจาไปตามแต่เห็นควร น่าขันนักที่เจ้าด่าว่ามนุษย์อยู่ป่าวๆ แล้วเจ้าก็ต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือแห่งมนุษย์ต่ำต้อยเสียเอง”

“เจ้า!” คนในบ่วงบาศกายสั่นด้วยโกรธเหลือคณานับ ตาแดงนั้นปรากฏราวเป็นไฟแดงโรจน์ อากาศรอบกายพลันไหลเลื่อนระยิบราวกับมีพยับแดด “เจ้าจะต้องเสียใจ!”

แล้วใบหน้างดงามนั่นก็แปรเปลี่ยนไป...เพียงเล็กน้อย ด้วยว่าสิ่งที่เพิ่มเข้ามานั้นคือเขี้ยวเล็กๆ เพียงสองอันที่มุมปากทั้งสองเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว ไม่ถือว่ามีอะไรใหม่เพิ่มเข้ามาเลย เขี้ยวขาวเล็กๆ เพียงนิ้วก้อยนั้นบ่งชัดถึงชาติพันธุ์คนในบ่วงบาศได้ดีเหลือเกิน

“ยักษา!” พรานบุญอุทานออกมา

“เจ้าปล่อยเราบัดเดี๋ยวนี้ ก่อนเราจับเจ้ากินเป็นภักษา!”

“ฮะ ฮะ เจ้าอย่าให้ข้าเห็นขันมากไปกว่านี้เลย หลุดจากบ่วงบาศยังมิได้ แล้วไฉนเจ้าจึงจะจับข้ากินได้เล่า มาเถอะ พ่อยักษ์น้อย ตามข้ามาเสียเดี๋ยวนี้ บางทีเราอาจจะใช้ประโยชน์จากเจ้าได้บ้าง”

“ไอ้สามานย์!”

“หุบปากเสีย! ก่อนเราจะหักเขี้ยวแลบั่นลิ้นเจ้าให้หลุดจากปาก!”

+++++

เย็นย่ำสนธยา ป่าเงียบกริบ ราวกับสัตว์จตุบาททวิบทได้หลบลี้หนีหายไปจากโลก พรานบุญนำยักษ์หนุ่มน้อยมาถึงบริเวณสระอโนดาต ซึ่งรายล้อมอยู่ด้วยพรรณไม้ดอกสีและกลิ่นกำจายตลบอวลอยู่นี้ช่างจรุงเสียจนพรานหนุ่มเผลอเคลิบเคลิ้มอยู่กับกลิ่นอันทำให้ใจหวาบหวาม พลางมโนนึกไปถึงกรุ่นกายแห่งนางเทพกินนรซึ่งตนกำลังจะได้คล้องมาด้วยบ่วงนาคบาศนี้ในเวลาอันมิช้านานนี้แล้ว ความคิดนั้นยังให้พรานหนุ่มถึงกับสั่นกายด้วยความหวาบหวานแห่งใจตน

“เจ้ากำลังคิดอุบาทว์วิตถารอยู่เป็นแน่ วิสัยมนุษย์ย่อมหนีมิพ้นเรื่องโสมมพวกนี้”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเราคิดอันใดอยู่ ณ ขณะนี้ หรือเจ้าอ่านจิตใจของเราได้”

“เราเป็นชาติยักษา ใยเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้จะทำไม่ได้ ไอกลิ่นกระหายในกามามันแผ่กระจายออกมาจากกายเจ้าจนเราเหม็นไปหมดแล้ว เรารู้ละว่าเจ้ามา ณ สระอโนดาตด้วยหมายจะจับนางกินรีไปเป็นเมียละซิ”

“เจ้าอ่านใจเราได้”

“ใจโสมมของเจ้าเราไม่อยากอ่านหรอก! เด็กอมมือยังดูออกว่าเจ้าน่ะมั่วอยู่แต่ในกามารมย์”

พรานบุญหนุ่มได้แต่เงียบ ด้วยมิรู้จะโต้ตอบคำครหาของยักษ์หนุ่มน้อยเช่นไร ได้แต่ตวาดกลับไปด้วยเสียงอันดังว่า “เงียบซักที อะไรก็จะหลบหนีหายไปหมดเพราะเจ้านี่แหละ ขืนเอ่ยอะไรมากกว่านี้ เราจะตัดลิ้นเจ้าจริงๆ ให้ดู!”

“อย่ามาขู่ เราไม่กลัวเจ้าหรอก”

“ปากเก่งนัก นาคบาศ!” เมื่อพรานบุญเอ่ยขึ้นเช่นนั้น ปลายนาคบาศก็กระหวัดไหววูบ แลเลื่อนไหลขึ้นมาขยายใหญ่เป็นผ้าผืนหนึ่งแล้วรวบมัดปากของหนุ่มน้อยจนถึงท้ายทอย ยังผลให้ฝ่ายนั้นได้แต่อึกอักมิอาจกล่าวอะไรออกมาได้อีก

พรานบุญยิ้มอย่างผู้มีชัยยะ ส่วนเจ้ายักษ์หนุ่มน้อยได้แต่เพ่งสายตาพิฆาตคุมแค้นมาให้ ตาแดงเป็นแสงไฟนั้นบ่งว่า มาตรว่าตนหลุดจากบ่วงบาศนี้ได้เมื่อใด อย่าหวังว่าพรานบุญจักได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป

ยักษ์หนุ่มน้อยยังคงมองจ้องพรานบุญอยู่เช่นนั้น แม้ยามตนถูกดันให้นั่งลงเอาหลังแนบกับเนื้อไม้ไทรใหญ่ข้างสระอโนดาตซึ่งมีหมู่พุ่มพฤกษ์หนาบดบังพวกตนไว้จากใครก็ตามซึ่งหากจะมองมาจากสระแล้ว จะมิเห็นสิ่งใดเลย เชือกนาคบาศแยกขยายออกไปรัดรอบต้นไทรใหญ่ แล้วตรึงยักษ์หนุ่มน้อยไว้เช่นนั้นเป็นอันขยับกายมิได้เลยสักน้อยเดียว

“อยู่เช่นนั้นแหละ ดูซิว่าโดนมัดติดกับต้นไม้อย่างนั้น ปากก็โดนมัดไว้เสียแล้ว เจ้าจะก่อกวนอะไรเราได้อีก”

+++++

ดึกดื่นน้ำค้างพรม จันทร์เพ็ญขึ้นถึงกึ่งฟ้า ค้างเติ่งอยู่เช่นนั้นราวกับมีใครเอาด้ายระยิบไปผูกติดไว้ ให้ฉายแสงนวลส่องสว่างลงมายังโลกเบื้องล่าง หิมวานไพรวันตกอยู่ในลำแสงนวลอบอุ่นราวอ้อมกอดแห่งมารดา แสงสีราวกับโดนสาดด้วยน้ำขมิ้นนั้นทำให้ทุกสิ่งราวเป็นภาพฝัน

พรานบุญขยับกายเล็กน้อย ด้วยรู้สึกปวดเมื่อยและล้าที่ขาเนื่องจากได้นั่งนิ่งอยู่ในท่านั้นมานานแสนนานแล้วเพื่อรอคอยเหล่านางนกกึ่งเทวะเหล่านั้นให้ลงมาสระสรงวารีอาบแสงจันทร์ เขาเอี้ยวตัวหันหลังไปมองยักษาหนุ่มน้อยชั่วอึดใจหนึ่ง เห็นฝ่ายนั้นนั่งพิงโคนต้นรังใหญ่แน่นิ่งไปมิได้เคลื่อนไหวกาย ดวงตาปิดแนบสนิท จมูกเล็กนั้นเชิดขึ้นเล็กน้อย บ่งอุปนิสัยว่าเป็นคนรั้น เลือดร้อนแลอารมณ์ดุจเปลวอัคคี หากดวงหน้านั้นกลับดูเย็นตาลงด้วยวงคิ้วอันโก่งงาม แลขนตางอนซึ่งปกหน่วยตานั้นได้อย่างเหมาะเจาะ อย่างนี้เรียกคิ้วโก่งดั่งคันศร ด้วยทุกอย่างที่กล่าวมา ทำให้ใบหน้านั้นแม้ดูดื้อรั้นตามประสาผู้เกิดมาในโลกเพียงไม่กี่ฤดูหนาว หากก็ดูอ่อนหวานแลพริ้มเพราน่าหลงใหล...เอ๊ะ...

...น่าหลงใหล!

ภายใต้มนต์แห่งจันทรา ทุกอย่างมักอันตราย แลพรานบุญเห็นว่าตนอาจจะกำลังตกอยู่ภายใต้มนต์พิศวงแห่งดวงแขไข เขารีบสลัดความคิดประหลาดนั้นออกจากหัว แล้วหันไปมุ่งความสนใจแห่งตนที่สระอโนดาตซึ่งยามนี้มีประกายระยับแห่งแสงจันทร์กำลังระยิบอยู่ที่ผิวน้ำ จนทำให้สระทั้งสระกลายเป็นสระแก้วอันบริสุทธิ์ราวมีเกล็ดเพชรโรยราย แลยามนี้มีหิ่งห้อยแมลงน้อยแสงบินอยู่ตรงนั้นตรงนี้ จนเป็นดั่งเทพซุกซนองค์ใดแอบโกยเอาดวงดาวบนฟากฟ้ามาโปรยไว้

แลเมื่อพรานบุญหนุ่มผู้เปลี่ยวในอารมณ์กำลังลุ่มหลงกับความงดงามแห่งธรรมชาติตรงหน้า เสียงกระพือแห่งปีกก็ดังขึ้นในความสลัวรางเลือน เขาพลันเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนศีรษะ และเห็นแสงระยับจับกับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ที่สวมใส่

เสียงกระพือแห่งปีกนั้นมิใช่เสียงน่าเกลียดซึ่งทำให้สัตว์หลับใหลแตกตื่นฟื้นหลับ หากเป็นเสียงที่่บ่งให้รู้ว่ามีผู้มาเยือนสระแก้วเจียระไน แลมันเป็นเสียงที่กลืนเข้ากับค่ำคืนได้โดยแท้ พรานบุญหลงกำมือตนแน่นกับบ่วงนาคบาศยามเห็นแก่คลองจักษุว่าเหล่านางเทพกินรีร่อนลงมาจากอากาศเพื่อยืนเด่นอยู่ที่กลุ่มโขดหิน ณ ตลิ่งแห่งสระฝั่งตรงข้าม

ผิวนั้นเปรียบดังหยวกกล้วยแลสว่างด้วยแสงจันทร์ราวส่องออกมาจากภายใจ พวกนางเป็นดุจตัวแทนแห่งดวงจันทราจากฟ้าราตรีอันสงบ เรือนกายระหงกล้องแกล้ง ทรวงอกอวบอิ่มด้วยพวงถันสล้างเต็ม ปทุมทั้งคู่เปล่งปลั่งดูน่าถวิลหา คอดเอวเล็ก เว้าเข้าแล้วขยายออกเมื่อถึงส่วนล่างซึ่งปกคลุมด้วยผ้าพับจีบหลากสีงดงาม

ดวงหน้าพวกนางงามพริ้ม พวงแก้มดุจแต้มไว้ด้วยกุหลาบยามเหมันต์ ด้วยว่าต่างออกสีเรื่อราวสาวน้อยยามถูกหนุ่มคนรักหยอกเอิน ดวงตาดำขลับอย่างฟ้ากลางคืนมีดาวระยิบระยับ พรานบุญรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ โลมาลุกชันไปทั่วสรรพางค์ แลมีเหงื่อผุดขึ้นจนรู้สึกเปียกที่มือกำบ่วงบาศ ดวงตาเพ่งมองไปที่นางซึ่งมีดวงพักตร์ดุจจันทร์แย้มจากกลุ่มเมฆ นางงามที่สุดในบรรดานั้น แลเขาเล็งแลไปที่นาง

นางเทพกินรีถอดปีกแลหางออกจากกายวางทิ้งไว้ที่โขดหินก่อนจะค่อยย่องลงน้ำใสเย็นแห่งราตรี ปล่อยให้เรือนร่างสะโอดสะองแลเปล่าเปลือยตกอยู่ในทัศนาการแห่งพรานบุญผู้หนุ่ม

พรานบุญขยับกายอึดอัดขณะเขาค่อยย่างย่องจากพุ่มไม้ใกล้กับต้นรังใหญ่นั้น เพื่อให้เข้าใกล้ขอบสระทุกที เขารู้สึกถึงกระแสร้อนจากเชือกนุ่มในกำมือ พลางเขากระหวัดไปถึงวิธีการซึ่งเขาได้มันมาไว้ครอบครอง

ขดเชือกสีเขียว เปรียบได้ราวกับขนดของนาคา ผู้มีพิษร้ายแรง และจอมนาคผู้มอบบ่วงนาคบาศนี้ให้เขา ก็เป็นผู้คายพิษใส่เชือกนี้ด้วยตนเอง เชือกซึ่งเมื่อผูกรัดสิ่งใดแล้ว ย่อมไม่อาจหลุดได้ง่าย ไม่ว่าจะใช้อะไรมาบั่นให้สะบั้น นอกเสียจากว่าผู้ผูกเงื่อนมัดจะเป็นผู้แก้เสียเอง

ระยะทางมิใช่อุปสรรค เพียงแค่เขาร่ายพระเวทมนตรา บ่วงนาคบาศจะพุ่งไปรัดนางเทพกินรีที่เขาหมายตาไว้ทันที เพียงแค่เขาร่ายพระเวทย์เท่านั้น

มีเสียงวืดผ่านหู แลต่อมามีเสียงซ่าของผิวน้ำราวกับอะไรสักอย่างพุ่งลงไปกระทบด้วยแรงมหาศาล เหล่านางเทพกินรีร้องหวีดออกมาด้วยตกใจ พวกนางลุกลนว่ายเข้าหากลุ่มโขดหินซึ่งพวกตนได้ถอดปีกแลหางทิ้งไว้ แล้วจึงตกแต่งกายด้วยเครื่องอาภรณ์จนเรียบร้อย แล้วโผบินขึ้นไปท่ามกลางความแตกตื่นแห่งป่า ประวัติศาสตร์มักเดินย่ำกับรอยเดิม พวกนางคงมิปรารถนาจะถูกจับไปเป็นเมียมนุษย์เช่นนางมโนราห์

“อะไร!” เขาสบถออกมาด้วยความหัวเสีย พลางหันกลับไปมองที่ร่างยักษาหนุ่มน้อยซึ่งกำลังร่างกายสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นชัดพรานบุญจึงลุแก่โทสาร้องตวาดไปสุดเสียง “เจ้าทำอะไร!”

ร่างนั้นมิได้ตอบกลับมาด้วยว่าปากถูกปิดไว้แล้วด้วยบ่วงนาคบาศอีกส่วน พรานบุญรีบพรวดเข้าไปหาร่างนั้น มือกระชากเอาบ่วงนาคบาศที่ปิดปากยักษ์หนุ่มน้อยออก แล้วตวาดถามอีกครา “เจ้ารู้หรือไม่ว่ากระทำอะไรลงไป!”

ร่างนั้นหายใจโล่งอก ผิวเนื้อสีเรื่อปรากฏรอยผื่นแดงเห่อขึ้นด้วยการดึงบ่วงนาคบาศออกโดยแรงนั้น เขากระทำใบหน้าให้ก่อกวนซ่ึงอารมณ์โทสะของอีกฝ่าย แม้ว่าหยดน้ำใสจะรื้นตรงขอบตาจนสะท้อนวาบกับแสงจันทร์สีนวล

“เราสาแก่ใจยิ่งนัก เจ้ามนุษย์ผู้กระหายในกามเอย เรามิเห็นว่าสิ่งที่เรากระทำลงไปจักเป็นเรื่องร้ายแรงอันใด เรากลับเห็นว่าเราได้ทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่เสียอีก โดยการที่เราได้เตือนให้นางเทพกินรีเหล่านั้นได้ล่วงรู้ว่ามีภัยกรายใกล้ เจ้าควรจะร่วมเยินยอกับความดีงามของเราซี มิใช่เต้นเร่าด้วยโทสะเช่นนี้”

“เจ้า!”

พรานบุญโกรธจนกล่าวอันใดมิได้

เจ้ายักษ์หนุ่มน้อยกล่าวสืบไปอีกว่า “อ้อ แท้ที่จริงแล้วเรามิได้หวังจักช่วยเหลือพวกนางให้รอดพ้นจากการจับกุมโดยพรานกักขฬะป่าเถื่อนเช่นเจ้าหรอก ทว่าเราต้องการจะเตะหินก้อนนั้นให้กระเด็นไปกระแทกศีรษะเจ้า ฉวยว่าเจ้าล้มลงไปเพราะศีรษะแตกกระจาย มนต์ของเจ้าจะได้เสื่อมถอย แลเราจักได้เป็นไท”

พรานบุญยิ้มเหี้ยมหลังจากสดับคำยักษ์หนุ่ม กล่าวคำเสียงสั่น “หึ ทีแรกเราก็ว่าจะปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระหลังเราจับนางกินรีได้แล้ว แลเราจะได้ไม่เป็นหนี้สินติดตัวไปชาติปางหน้า แต่ตอนนี้เห็นทีเราจักให้เจ้าไปมิได้เสียแล้ว ด้วยว่าเจ้าแม้เป็นยักษ์น้อย หากก็มากด้วยฤทธิ์แลเหลี่ยมเล่ห์ มิพักว่าถูกมัดไว้ด้วยบ่วงนาคบาศอันลือไกร เจ้ายังเตะก้อนหินนั้นจนก่อให้เกิดเรื่องได้ ดั่งนี้ เราจะมัดเจ้าอยู่อย่างนี้ แลจะไม่มอบอิสระให้เจ้าจนกว่าเจ้าจักสำนึกตนแลเลิกเบียดเบียนผู้อื่น” พรานบุญหยุดนิ่งมองยักษ์เพิ่งเริ่มวัยหนุ่ม แล้วแสยะยิ้มมีเลศนัย “เมื่อการณ์เป็นดังนี้แล้ว เรามิได้นางกินรีไปนอนร่วมเคียงหมอนแม้สักนาง แต่ได้ข้าทาสเป็นยักษ์กลับไปปรนนิบัติก็นับว่าไม่เสียแรงแรมไกลครั้งนี้”

ยักษ์หนุ่มตาเบิกกว้าง ละล่ำละลักออกมาสุดเสียง “อะไรนะ! เจ้ามนุษย์ต่ำต้อย! เจ้าว่าอะไร!”

“เหยียบย่ำค่ามนุษย์นักหรือ อยากจะรู้นักว่าหากได้เป็นข้าทาสบริวารของมนุษย์ คอยปรนนิบัติพัดวี คอยเช็ดคราบไคลอาจมมูลเน่าของเสียแล้วไซร้ เจ้าจักรู้สึกเช่นไร!”

กายของยักษาน้อยผู้มีใบหน้าแฉล้มมิต่างอันใดกับดวงหน้าแห่งปวงอิตถีเพศ สั่นเทิ้มด้วยโทสะจริตแล่นเข้าครอบงำจากปลายเท้าสู่ศีรษะ บันดาลให้เสโทไหลหลั่ง แลปากอันหยัดเหยียดเป็นเส้นตรงก็โพล่งคำออกมาสุดเสียง

“อย่าใหเ้ราหลุดไปได้! เราจะกินเจ้าเสีย! จะกัดกินทีละนิด ให้เจ้าตายอย่างช้าๆ ให้เจ้าได้รู้ถึงความเจ็บความทรมานราวตกนรก!”

“ก็ลองดูทีหรือ พ่อหนุ่มน้อย”

+++++++++

มานพน้อยชาติพันธุ์ยักษาผู้หมายจักกุดหัวพรานหนุ่มให้แดดับด้วยคมเขี้ยว ยามนี้กลับนอนหลับตาพริ้มราวกับทารกน้อยในอ้อมอกอุ่นแห่งมารดา พรานบุญแค่นยิ้มในหน้าแล้วหันไปกัดกินผลไม้ป่าสุกงอมประทังความหิวโหยซึ่งจู่โจมยามค่ำคืน แหงนเงยหน้ามองจันทร์ซึ่งคล้อยดวงไปทางฟากฟ้ากลางคืนอีกทิศหนึ่ง หากก็ยังสว่างอร่ามแอร่ม พลางทอดถอนปัสสาสะเหน็ดเหนื่อย

หลังจากการลอบจับนางเทพกินรีล้มเหลวไม่เป็นท่า พรานบุญก็ลากเจ้ายักษ์หนุ่มน้อยออกมาจากรอบสระอโนดาต ยามดวงแขไขขึ้นเหนือหัว แลมันเป็นเวลานางเพทกินนรีลงมาสระสรงน้ำทิพย์จากสระ เป็นเพลาอันปลอด กล่าวคือเป็นยามที่ภยันตรายจักนอนหลับเงียบ ดั่งนี้ พรานบุญผู้รู้วิสัยแห่งป่าอย่างแจ่มแจ้งจึงรีบพายักษ์น้อยเร่งรุดออกมาไกลจากที่ดังกล่าว ด้วยแจ้งแก่ใจว่าหากพิรี้พิไรเสียแล้ว จักกลายเป็นภักษาหารแด่สัตว์ร้ายหลายหลากแห่งหิมวันต์ แม้นพ่อยักษ์หนุ่มนี้จักเป็นชาติพันธุ์แห่งผู้ล่า ทว่าให้เพ่งมองเช่นไร พรานบุญก็มิอาจประจักษ์ได้ว่ายามถูกจู่โจมจากสัตว์ร้าย มานพน้อยผู้นี้จักเอาอาวุธอันใดไปสู้รบปรบมือ ร่างก็แน่งน้อยอย่างอิตถี ผิวผมโนมพรรณนั้นเล่าก็มิต่างอันใดกับเหล่านางกินรีผู้ขยับปีกหลบลี้ไปกับแสงจันทร์ ดังนั้นเขาจึงได้ลากถูเอาตัวมาด้วย

เขานึกประหวัดไปถึงเมื่อยามเขานำเอาผลไม้ป่าในห่อใบไม้อันใหญ่มาวางไว้ตรงหน้ายักษาหนุ่มน้อยด้วยเกิดจิตสงสาร เห็นทรมานทั้งทางกายแลทางจิต ด้วยว่าโดนข่มพระเวทย์อันพึงมีมาแต่กำเนิดจากอำนาจฤทธิ์เดชแห่งบ่วงนาคบาศ ต้องเหน็ดเหนื่อยสายตัวจากการเดินเท้าในระยะทางอันไกล อีกทั้งพิษร้อนจากพญานาคอีกเล่า เกรงว่าหากปล่อยให้ท้องเปล่าเสียแล้ว เจ้ายักษ์ผู้เย่อหยิ่งจักถึงกาลตักษัย ชั้นแรก พรานบุญหวั่นว่าเจ้ายักษ์น้อยจักรังเกียจผลไม้ป่าอันเป็นอาหารชีไพรผู้รักษาศีล ด้วยว่ามันเป็นชาติพันธุ์ซึ่งล้างผลาญชีวิตอื่นเพื่อตนอยู่รอด แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเจ้ายักษ์น้อยกลับยื่นหน้ามาอ้าปากกัดกินผลไม้ที่เขายื่นให้อย่างหิวโหย

“อันว่าชาติพันธุ์ยักษาแล้วไซร้ ย่อมหลงใหลอยู่แต่รสชาติคาวเหม็นของเลือดแลเนื้อ เสาะแสวงหาสัตว์ป่าเลือดอุ่น กัดกินกระชากเนื้อเป็นภักษาหารอยู่ร่ำไป ไฉนเจ้าจึงกินผลไม้ซึ่งเป็นอาหารของนกกาสกุณาต่ำชาติเช่นนี้เล่า”

พรานบุญได้เอ่ยถามยามเห็นยักษ์น้อยกัดกินผลไม้ในมือตน พลางได้รับแววตาโกรธเคืองเคียดแค้นฟาดฟันมาจนกระทั่งตนต้องกระถดมือหนีจากปากเล็กๆ นั่น แม้ว่า ณ บัดนั้นเจ้ายักษ์น้อยมิได้มีเขี้ยวขาวงอโง้ง หากมันก็เป็นการดีมิใช่ฤๅที่จักกันไว้เสียก่อน ก็มิใช่เจ้ายักษ์น้อยนี่ฤๅที่ขู่จะกัดกินเนื้อเขาทีละนิดให้บิดตายด้วยเจ็บปวด

เมื่อเห็นว่าอาหารอันอร่อยได้ถูกมือของผู้กักขังตนดึงไปเสียแล้ว เจ้ายักษ์น้อยก็กระทำหน้าย่น ทำปากยื่น ตาขุ่น ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “เอาผลไม้นั่นมาบัดเดี๋ยวนี้! ก่อนเราจักโกรธา!”

พรานหนุ่มเห็นขันกับท่าทางราวเด็กน้อยห่วงกินนั้น ถึงกับปล่อยเสียงหัวร่ออกมาหลายครา ยังผลให้ผู้เป็นยักษ์น้อยยื่นเท้าออกมาเตะปังเข้ากับหน้าแข้งของพรานบุญ ผู้พรานหนุ่มล้มหงายหลังก้นกระแทกกับพื้นดิน ร้องโอ๊ยออกมาด้วยตกใจ “เจ้าเด็กนี่!”

“เอาอาหารของเรามา!”

“เจ้ามีสิทธิ์สั่งเราด้วยหรือ อย่าลืมว่าเจ้าถูกพันธนาด้วยบ่วงนาคบาศ เราจักบีบก็ตาย จักคลายเจ้าก็อาจรอด”

“มนุษย์ก็ดีแต่ข่มขู่แลเอาเปรียบแต่ผู้ด้วยกว่า เห็นเราสิ้นท่าเช่นนี้แล้ว ก็นึกกระหยิ่มในใจ หวังจักเอาคืนละซิ อย่าหวังเลยว่าเราจักยอมก้มหัวให้เจ้า”

“แล้วไอ้ที่ร้องให้เราเอาผลไม้ป้อนอยู่นี่ปะไร”

“ก็เราหิว!”

พรานบุญขยับเข้าไปใกล้ แลนั่งในลักษณาการคุกเข่า พลางกล่าวเสียงต่ำ “ไฉนเจ้าจึงปรารถนาในผลไม้ป่ารสเฝื่อนนี่เล่า ลองฟังดูนั่นทีรึ ได้ยินอะไรหรือไม่ ไกลจากนี่ไปหน่อยหนึ่ง มีลำธารเย็นไหลจากหิมวัตบรรพต แล ณ ริมธารนี้ในยามราตรีขณะนี้ มีนางเนื้อทรายพร้อมบุตรแลธิดากำลังลงมากินน้ำแก้กระหาย เจ้ามิได้กลิ่นเลือด กลิ่นเนื้ออุ่นๆ ล่ะหรือ เจ้ามิอยากกระโจนพุ่งไปกัดกระชากชีวิตน้อยๆ เหล่านั้นให้สิ้นไปดุจดังชาติพันธุ์ยักษามักกระทำดอกฤๅ เลือดแดงๆ อุ่นๆ เนื้อนุ่มๆ หวานๆ เชียวนา หือ ว่าอย่างไรเจ้ายักษ์น้อย”

ดวงหน้าอันขาวกลับกลายเป็นขาวซีด แลดวงตากลมโตราวกับจะปูดโปนออกมาด้วยว่า ยักษ์หนุ่มกำลังทำสีหน้าราวกับคลื่นไส้แลอยากจะถ่มทิ้งของจากภายในออกมา พรานหนุ่มได้เห็นดังนั้นก็ให้หลากใจยิ่งนัก แต่ก็ต้องแสร้งทำหัวร่อออกมาให้ยักษ์น้อยเห็นว่าตนเห็นว่ามันเป็นยักษ์ใจเสาะ

“แม่เจ้าโว้ย ใครเลยได้ยินถึงยักษ์ไม่กินเนื้อสัตว์บ้าง!”

“เจ้า!” ยักษ์น้อยหน้าถมึงทึง พลันที่มุมปากมีเขี้ยวเล็กสองอันโผล่ออกมา “เราจะกินเจ้าเป็นคนแรก!”

“ฮา ฮา อย่าวาจาให้เราเห็นขัน กินผลไม้ป่านี่เสียเถิด ก่อนเจ้าตกพล้ำถลำตายด้วยหิวโหย”

มิพักตนเพิ่งด่าว่าพรานหนุ่มไป แลเพิ่งขู่เข็ญจะกัดกินเนื้อของเขา เจ้ายักษ์หนุ่มน้อยก็รีบกัดกินผลไม้หวานฉ่ำด้วยความหิวทันทีที่พรานบุญยื่นผลไม้ให้ถึงปาก พร้อมกับเขี้ยวขาวเล็กๆ นั้นหายวับไป

พรานบุญนั่งมองยักษ์น้อยกินผลไม้จนเกือบหมด มองมันล้มตัวลงนอนพิงโคนต้นรังใหญ่ ใบหน้าหวานแฉล้มนั้นดูอิ่มหนำเหลือประมาณ ก่อนจะผล็อยหลับไปดังที่เห็น

ชะรอยเพราะหิวโหยเกินกว่าจักเห็นว่าผลไม้ผักหญ้าพวกนี้เป็นอาหารต่ำกระมัง จึงกินไปเสียหมด

หากพรานบุญก็ยังมิอาจสงบใจกับตนเองได้ ยังต้องหวนนึกถึงเหตุผลที่ยักษ์หนุ่มน้อยกัดกินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อยราวกับเป็นสิ่งชื่นชอบเสียเต็มประดา ด้วยว่าเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปที่เหล่ายักษ์มารจักหลงใหลในการเสพเลือดแลเนื้อเป็นภักษา แลมักเกลียดการกินผักหญ้าผลไม้ป่าเป็นที่สุด แลลักษณาการยามได้ยินถึงเขาพรรณนาถึงเนื้ออันหวานของเนื้อทรายนั่นอีกเล่า น่าฉงนนัก

แม้ยามพรานบุญล้มตัวลงนอนบ้าง หลังจากร่ายพระเวทย์ป้องกันสัตว์ร้ายไว้รอบด้าน เขาก็ยังมิวางใจปล่อยให้เรื่องประหลาดนั้นสงบในใจได้ แลมิได้เฉลียวใจเลยว่าเหตุใดเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ต้องเป็นตัวการณ์แห่งความสงกาของเขายิ่งนัก แลก็มิได้ตระหนักว่า แม้การชะล่าใจเพียงชั่วครู่ บิดาของเขาได้สังเวยชีพให้แก่กรงเขี้ยวแห่งสัตว์ป่ามาแล้ว

++++++++