Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 475
Message ID: 0
#0, Hatyai Story: 9
Posted by เจ้าบอสน้อย on 29-Aug-12 at 04:30 PM
นักรักหน้าหยก 9 ตอน สองมือ (1/9/52)
ธรรมชาติรอบกายเราคือบทเรียนแห่งการใช้ชีวิตที่ทรงคุณค่าสูงสุด มีไว้ให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจชีวิตที่แสนยาก ผมคนหนึ่งที่ศรัทธาในเรื่องกาลเวลามาก เพราะเวลาเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ผมอยากได้รับคำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ในทุกๆด้านก่อนที่ชีวิตนี้จะสูญจากโลกนี้ไป อย่างเช่นกลางวันและกลางคืนมันมหัศจรรย์สำหรับผมมาก อาจใช่ดังที่วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ไว้ว่ามันเกิดจากการโคจรของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ซึ่งนั่นผมก็ไม่อาจค้านได้ แต่สิ่งที่ผมมหัศจรรย์ใจคือ เวลาในช่วงต่างๆของวัน ดังเช่น ช่วงเช้าเปรียบเสมือนวัยเด็ก ที่ช่างร่าเริงสดใส ช่วงสายเปรียบเหมือนวัยแรกแย้ม ที่แจ่มจรัส สดชื่น ช่วงเที่ยงเปรียบเหมือนวัยทำงานที่ร้อนแรงแข่งขัน ช่วงบ่ายดั่งวัยกลางคนที่เริ่มลงตัวกับชีวิต ช่วงเย็นเปรียบเหมือนวัยเกษียณ ที่ลุ่มลึก สุขุม ช่วงค่ำเปรียบดังวัยชราที่ความเสื่อมโทรมมืดมน ช่วงดึกดังวัยสิ้นชีพ ที่มันช่างหนาวเหน็บและหดหู่ ซึ่งถ้านำมันเปรียบเทียบโดยใช้ปัญญาคิดอย่างแยบคายก็เปรียบได้ดั่งการเป็นไปของคนในแต่ละช่วงวัย นี่แหละคือความมหัศจรรย์ข้อแรกของเวลาที่ผมสนใจเ และที่น่าพิศวงกว่านั้นเวลาเป็นตัวที่กำหนดให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎโดยพลวัติ ไม่มีใครสามารถเร่งหรือยับยั้งได้
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้กฎของกาลเวลา ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาโชคชะตาของผมมันเศร้าหมองไปเสียทุกเรื่อง ยังคงมีแต่เพื่อนๆที่คณะที่คอยประคองชีวิตส่วนตัวของผมและการเรียนของผมให้ผ่านมาได้ งานที่ส่งอาจารย์บางชิ้นผมไม่ได้ทำเองเพราะสภาพจิตใจผมมันแย่เกินไป ซึ่งเพื่อนๆก็ดูออก เพื่อนๆเลยจัดการทำให้ จนท้ายที่สุดวันปัจฉิมนิเทศก็มาถึง ในวันนั้นทางคณะได้ประกาศผลการเรียนของคนที่ได้เกียตินิยมของชั้นปี ซึ่งตัวผมเองก็แอบคาดหวังว่า ผมก็คงเป็นคนหนึ่งที่สามารถคว้าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มาประดับบารมี แต่แล้วมันไม่เป็นไปตามนั้นเมื่อเกรดเทอมสุดท้ายของผมตกมาก จนทำให้เกรดเฉลี่ยผมร่วงลงมาอยู่ที่เกียรตินิยมอันดันสอง นับว่าเป็นความน่าเสียดายมาก ซึ่งสาเหตุหลักที่ผมประเมินได้นั้นก็คือ ความรักที่ไม่ลงตัว มันเล่นงานผม จนเรื่องเรียนผมเขวตามไปด้วย และครั้งนี้ก็คงเป็นดั่งเงาแห่งความร้ายกาจที่จะคอยติดตามผมไปทุกครั้งเมื่อผมดูใบปริญญาบัตร
แล้ววัยแห่งการเรียนก็อำลาผมไปพร้อมกับเพื่อนๆที่หายไปคนละทิศละทาง บ้างก็กลับบ้านเดิม บ้างก็ไปใช้ทุนที่โรงพยาบาลต้นสังกัด ในหาดใหญ่นี่ยังคงมีแต่ผมคนเดียวแล้ว ผมคิด โดยที่ลืมไปว่ายังมีคนรอผมอยู่อีกคน
ฮัลโหล หมอหรอลูก พ่อผมโทรมาหาผมในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่ผมเพิ่งออกจากโรงพยาบาลที่ผมทำงาน
ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับพ่อ ผมถาม
เลิกงานหรือยัง ปลายสายพูดแทรกเสียงที่ดังรบกวน
ครับๆ กำลังจะกลับบ้านครับพ่อ
อืมๆ รีบมานะลูก พ่อพูดจบก็วางสายไป
ขณะที่ผมกลับมาบ้านนั้นผมแอบคิดฟุ้งซ่านไปเรื่อยว่า ทำไมพ่อจึงโทรมาหา และน้ำเสียงนั้นดูแปลก เหมือนมีอะไรสักอย่าง แต่เมื่อกลับมาบ้าน ผมก็ไม่ได้พบอะไรที่แปลกใหม่ไปกว่าเดิม ไม่มีของเซอร์ไพร์เหมือนที่คิดไว้ ไม่มีเรื่องร้ายใดๆเหมือนที่แอบคิดไว้เช่นกัน เอ้ แล้วพ่อโทรมาทำไม ผมนึก พลางเดินเข้าบ้าน จนสายตาผมมาสะดุดเข้าตรง ไอ้วิว
เอ้า มาแล้วๆ พ่อพูดพลาง เดินมาที่ผม
ครับพ่อ ผมเดินตามพ่อไป
หวัดดีบอส ไอ้วิวทักทายผม และพยายามทำสีหน้าให้สดใสที่สุด
อืม ไปไงมาไง เนี้ยะ ผมทักทายด้วยสีหน้าที่ดีใจสุดๆ
ก็ ……….ไม่ทันที่ไอ้วิวจะพูดอะไรออกมา พ่อผมก็พูดแทนทัน
วิวเขาจะหมั้นกับแตง สัปดาห์หน้าแล้ว พ่อพูดพลางปลื้มใจแทนมัน
หรอ คำนี้ออกจากปากผม โดยไม่ทันตั้งใจ ความร้อนอันแปลกประหลาดมันออกมาจากข้างในตัวผม จนแสดงออกมาในรูปของหยดเหงื่อ
อืม ยังไงนายก็ไปร่วมด้วยนะ ไอ้วิวพูดพลาง แต่ไม่สบตาผม
ได้ๆๆ ผมตกลงไปโดยในหัวตอนนั้น มันอื้ออึงไปหมด
เดี๋ยวไปอาบน้ำก่อนนะ ผมรีบเดินขึ้นห้องทันที
สิ้นเสียงประตูปิดลง คมของความริษยา ความปวดร้าว ความสับสน ความหึงหวง มันถาโถมเข้ามากรีดลงบนก้อนหัวใจผม ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนหยาดน้ำตาที่เหมือนไฟนั้นไหลลามลงมาแผดเผาหน้าผมที่แดงแล้วให้แดงขึ้นอีก เสียงสะอื้นออกมาจากในคอผม เล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเป็นช่วงๆ ตอนนี้ผมอยากลงไปกระชากคอเสื้อไอ้วิว แล้วถามมันตรงๆว่า
มึงจะทำร้ายกูไปถึงไหน
มึงแย่งผู้หญิงที่กูรักไปทำไม
มึงรู้มั๊ยว่ากูรักมึงใจจะขาด กูเจ็บพอแล้วที่มึงทำ
ข่าวการหมั้นของมึง เหมือนข่าววันตายของกู ไอ้สัส วิว
เสียงร้องอือ เล็ดลอดออกมาจากในคอผมอีกครั้ง จนผมต้องใช้มือทั้งสองปิดมันไว้ เกือบสิบนาทีที่ผมร้องไห้โดยไร้เสียง มันอึดอัดเจียนบ้า เมื่อผมเริ่มสงบลง พลันได้ยินเสียงแม่ผมเรียกให้ลงไปหา ผมได้แต่ขานรับ บอกว่าเดี๋ยวลงไป ในใจนั้นแอบหวังว่า ไอ้วิวคงกลับไปแล้ว
เท้าผมย่างก้าวลงไปพร้อมตาสองข้างที่บวมเบ่ง สิ้นบันไดขั้นสุดท้าย ผมเห็นทุกสายตา ไม่ว่า ไอ้วิว น้องแตง ลุงชีพ ป้าละม้าย พ่อ แม่ และชาย หญิงอีกสองคนคาดว่าน่าจะเป็นพ่อแม่น้องแตง นั่งกันเต็มห้องรับแขก มองมาทางผม
บอส แม่ผมเรียกอย่างกังวลปนสงสัย
ผมมองทุกคนที่นั่งกันอยู่ตรงนั้น และยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคน แล้วเดินออกไปนอกบ้านโดยไปปรานีปราศรัยความรู้สึกใครทั้งสิ้น ผมขับรถออกไปไม่ถึงสองนาทีเสียงโทรศัพท์ผมดังขึ้น และเป็นตามที่ผมคาดว่าแม่คงโทรมา ผมเลือกที่จะตัดสายทิ้งไป และปิดโทรศัพท์
คลื่นทะเลซัดเข้ามาโอบฝั่งเบาๆคล้ายกับอยากให้ชายฝั่งนี้ได้รับความละมุนที่มันมีให้ เสียงนกทะเลบางชนิดกลับมาที่ชายฝั่ง หญิงชายสองสามคู่ นั่งนอนหนุนตักกันที่สวนสาธารณะ ใกล้ๆสะพานตินณ์ ตอนนี้ฟ้าเริ่มค่ำลงแล้ว ตาผมจดจ้องไปที่ฟองคลื่น มองตามมันซัดย้อนขึ้นย้อนลง ปล่อยใจให้มันลอยไป แล้วผมก็อดแอบคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาเกือบสองชั่วโมงที่มันทำผมแทบเสียคนไม่ได้ แต่ก่อนที่ผมจะร้องออกมาอีกครั้ง คำถามหนึ่งมันพลันผุดขึ้นมาเสียก่อนว่า ผมเสียใจเพราะอะไร แม้ผมจะไม่มีคำตอบให้คำถามในใจคำนี้ แต่มันก็เป็นคำถามที่ทำให้ผมได้สติขึ้นมา
คืนนั้นผมไม่กลับบ้าน ผมนอนค้างที่รีสอร์ทแถวเกาะยอ ก่อนนอนผมโทรบอกแม่ และเหมือนแม่ผมจะรับรู้ว่าผมช้ำใจเรื่องน้องแตง แม่เลยไม่ซักถามอะไรมาก แต่แท้จริงแล้วแม่ผมคงไม่รู้ว่าคนที่ทำให้ช้ำใจสุดๆนั้นคือ ไอ้วิว
สัปดาห์ก่อนการหมั้นของไอ้วิวนั้นผมอยู่ด้วยความร้อนรนโดยไม่มีเหตุผล ที่ที่ทำงานผมก็หงุดหงิดใส่คนไข้ จนดูน่าเกลียด เพื่อนๆ พี่ๆที่ทำงานก็เริ่มสงสัยมากขึ้นในเรื่องนิสัยผมที่เปลี่ยนไป แต่ผมเลือกที่จะไม่เล่าให้ใครฟังเพราะ มันไม่น่าภูมิใจอะไรเลยที่คู่เกย์ผมจะหมั้นกับหญิงที่ผมรักจริงๆ
เมื่อกลับมาบ้านผมก็พบพ่อแม่ ซึ่งตอนนี้ท่านทั้งสองก็เกษียณแล้ว ออกมาอยู่บ้านและทำงานที่คลินิกอย่างเต็มตัว บ่อยครั้งที่แม่ผมเล่าเรื่องไอ้วิวให้ฟังว่า ไอ้วิวจะเรียนต่อศัลยกรรม และวางแผนจะแต่งงานเมื่อน้องแตง จบปริญญาโท และอีกมากมาย ทุกๆครั้งที่แม่เล่าเรื่องนี้แม่ก็ชอบย้อนมาที่ครอบครัวเราว่า พักนี้เหงาๆ ถ้ามีหลานก็คงจะดี ผมได้ยินคำนี้ทีไรก็เหมือนน้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ออก
แล้ววันที่ไอ้ววิวหมั้นกับน้องแตงก็มาถึง แต่เหมือนพระเจ้าจะยังรักผม ทางโรงพยาบาลได้มีคำสั่งด่วนให้ผมไปร่วมอบรมที่ภูเก็ตในวันนั้นพอดี ผมตอบรับทันทีโดยไม่ต้องสงสัย การได้มานอกพื้นที่บ้างก็สามารถช่วยบรรเทาภาวะเครียดได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ไม่ได้ช่วยให้ความเหงาผมหมดไปเสียทั้งสิ้น ยังคงแต่เวลาเท่านั้นที่จะเยียวยาผมได้
หลังจากเลิกอบรมผมเดินกลับมาที่พักคนเดียว ปล่อยให้เพื่อนๆที่มาด้วยกันไปดูพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ ก่อนขึ้นโรงแรมผมมีโอกาสได้คุยกับพนักงานโรงแรมคนหนึ่งซึ่ง ตอนแรกผมแค่อยากถามเรื่องที่เที่ยวกลางคืนว่ามีที่ไหนแนะนำบ้าง แต่คู่สนทนาผมดันเป็นเกย์เสียอีก การสนทนาครั้งนี้เลยได้ข้อสรุปว่า คืนนี้มีคนพาผมทัวร์เมืองภูเก็ตยามค่ำคืน แต่ในทีของคู่สนทนานั้นผมก็ตามทันว่าเขาต้องการอะไร แต่คนเราแกล้งโง่เสียบ้างก็ดีเหมือนกันใช่มั๊ยครับ
หลังจากซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปทั่วแล้ว ผมก็เลยพาน้องเขาไปนั่งกินข้าวเย็นกัน ดูไปๆน้องเขาก็น่ารักดี คิ้วเข้ม ตาคม แต่ดำไปหน่อยแค่นั้นเอง เสร็จจากมื้อเย็นผมก็ให้น้องเขามาส่งที่โรงแรม แล้วให้เงินเขาไปหนึ่งพันเพื่อเป็นสินน้ำใจ แต่น้องเขามีท่าทีสนใจผมมาก พยายามพูดเปิดโอกาสตลอด แต่มันไม่ใช่ตอนนี้ และวันนี้ ผมนึก เพราะวันนี้มันเป็นวันที่ผมปวดร้าวที่สุดเมื่อคนรักผมหมั้นกัน
กฎใดๆก็ไม่สามารถสู้กฎของความสมดุล ทุกอย่างในมหาจักรวาลนี้มีความสมดุลอยู่เสมอๆ หากสิ่งใดที่อยู่ในความไม่เสถียร หรือทางศาสนาเรียกว่าทุกข์แล้วไซร้ มันจะมีพลังใดๆเข้ามาปรับให้เปลี่ยนแปลงไปเสมอ และพลังที่สำคัญอีกตัวนั่นคือเวลา เก้าเดือนที่ผมเริ่มทำงานและใช้ชีวิตแต่ที่โรงพยาบาล บ้าน ห้างสรรพสินค้า และสระว่ายน้ำ ในช่วงนี้ผมก็เหงาสุดๆ ทั้งที่มีคนเข้ามาหาผมตลอดทั้งชายและหญิง แต่นั้นก็ไม่ทำให้ผมรู้สึกว่ารักใครได้เลย และอีกสี่เดือนหลังจากที่ไอ้วิวหมั้นกับน้องแตง ผมอยู่ด้วยความทุกข์ใจมาตลอด นับไปนับมาก็ปีพอดีที่ผมจบมา แต่เหมือนกับมันผ่านมาราวร้อยปีได้ แต่แล้ววันแห่งโชคก็เข้าข้างผม เมื่อพ่อซื้อรถยนต์คันใหม่ให้ผม และเงินที่ผมฝากไว้กับสลากออมสินก็ดันถูกรางวัล (ขอไม่บอกนะครับว่ารางวัลที่เท่าไหร่) จนทำให้ผมมีเงินพอที่จะฟุ่มเฟือยได้อย่างสบาย ช่วงนี้ผมกลายเป็นเสี่ยน้อยกระเป๋าหนักไปเลยทีเดียว คนเรานี้ก็แปลกนะครับในยามที่เราทุกข์ใจมักไม่มีใครเข้ามาร่วมทุกข์กับเราแต่เมื่อยามเราสุข มักจะมีเหตุปัจจัยชักนำให้มีคนเข้ามาหาเราเสมอๆ
วันนั้นผมจำได้ดีว่าเป็นวันจันทร์ ซึ่งโรงพยาบาลจะเต็มไปด้วยคนไข้ที่นัดมาทั้งสิ้น รวมไปถึงคนไข้ที่มีปัญหาช่องปากในวันเสาร์ อาทิตย์ที่รอหมอ ในวันจันทร์ โรงพยาบาลจึงไม่ต่างจากตลาดวุ่นวายสิ้นดี ผมลุยงานไปเกือบบ่ายสองจึงได้ทานข้าวเที่ยง ขณะที่กำลังออกจากห้องฟัน ผมพลันหันไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินจูงอาม่ามานั่งรอเรียกคิวตรวจ เราสองคนสบตากันเข้าอย่างจัง พลังงานไฟฟ้าที่ต่างศักย์กันมากเกิดขึ้นระหว่างเรา เล่นเอาหน้าแดงกันไปทั้งคู่ ผมรีบหลบตา และรักษาท่าทีไว้ แล้วเดินก้มหน้าลงไปทานข้าว ในใจก็ภาวนาให้กลับมาทันคิวนี้ บ่ายสองครึ่งผมแปรงฟันเสร็จรีบออกมาเดินด่อมๆมองๆ ทำทีว่ามาตรวจดูคนไข้ว่าเหลืออีกเยอะมั๊ย พี่พยาบาลห้องฟันคนสนิทจึง ทักขึ้นว่า
หมอบอส เสร็จคิว ลุงทอง ก็หมดแล้วจ้า เสียงใสๆของพี่เขาเล่นเอาผม หดหู่เลย ก็นั้นหมายความว่า ผมอดเจอไอ้หน้าขาวนั่น
ผมออกจากห้องฟันตอนบ่ายสาม รีบตามอาจารย์ไปราวน์ต่อที่หอผู้ป่วย ดันไปเจออาม่าคนนั้นในชุดคนไข้ ความหวังอันแรงกล้านั้นก็ประดังมาหาผมอีกครั้ง เพราะผมอาจได้เจอไอ้หน้าขาวญาติอาม่า อีกครั้ง แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิดเมื่อออกไปเห็นไอ้หน้าขาวนั่นยืนคุยโทรศัพท์อยู่ริมระเบียงข้างหอผู้ป่วย ผมได้ยินเสียงมันพูดว่า
อาม่านอนโรงพยาบาลอ่ะ ม่า หมอบอกว่า รากฟันอักเสบ และน้ำตาลในเลือดสูง โอกาสติดเชื้อมีมาก
ผมแกล้งเดินไปดูอาม่าทำทีว่ามา ตรวจอาการทั้งที่ ยังไม่ถึงคิวดูเลย แต่ก็กลัวเพื่อนหมอฟันที่เรียนต่อทางศัลยกรรมช่องปากจะแย่งเคสไปเสียก่อน ทันทีที่ผมเดินมาคุยกับอาม่า ไอ้หน้าขาวก็เดินมาร่วมฟังด้วย ผมเลยแกล้งถามอาการจากมันเสียเลย (แอบเหมาว่าอาม่าแก่แล้วอาจให้ข้อมูลไม่ครบด้วยความหลงๆลืมๆ) แล้วเราสองคนก็ได้คุยกัน ในชั่วโมงนั้นผมไม่รู้จะสรรหาคำใด ประโยคใดมาพูดเพื่อให้ผมกับมันได้คุยกันนอกเหนือจากเรื่องอาม่าบ้าง เพื่อที่จะให้เราได้รู้จักกัน จะรุกเลยก็เกรงว่าดูไม่ดี เพราะยังสวมวิญญาณวิชาชีพนี้อยู่ กลัวจะเสื่อมเสีย แต่ในใจลึกๆนี้ก็ไม่ไหวจะทนกับความเรียกร้องของใจ การคุยของผมกับไอ้หน้าขาว ดำเนินไปด้วยการหยั่งเชิงกัน แต่ผมก็เดาใจมันออกนะครับว่า มันก็คงอยากคุยกับผมให้มากกว่านั้นแต่ก็ไม่กล้าเหมือนกัน จนมีผู้หญิงคุ้นตาคนหนึ่งเดินมา
เอ้า คุณหมอบอส ผู้หญิงรุ่นแม่ผม ยกมือไหว้ผมก่อน
ผมรีบรับไหว้และทักทายตามประสาคนรู้จัก สวัสดีครับ คุณ สายหยุด
คุณสายหยุดเป็นเจ้าของศูนย์จำหน่ายรถยนต์ที่พ่อผมซื้อให้ ผมกับเธอได้มีโอกาสคุยกันหลายครั้ง เรื่องรถ นี้แหละครับ เพราะผมเองไม่มีความรู้เรื่องรถหรอก อาศัยถามเขา และคุณสายหยุดนี้ก็ดีเหลือเกินแนะนำทุกอย่างทั้งเรื่องการทำประกันนั้นนี่
มาเยี่ยมญาติหรอครับ ผมถามพอเป็นพิธี
ค่ะคุณหมอ คุณสายหยุดพูดพลางเดินมาโอบหลังอาม่า
ผมก็เลยมีคุณสายหยุดเป็นตัวประสานอีกคน ในการสนทนาระหว่างผมกับไอ้หน้าขาวนี่ เสร็จจากดูอาม่าแล้ว ผมเลยขอเวลานอกคุยเรื่องรถต่อกับคุณสายหยุด โดยมีไอ้หน้าขาวนั่งป้อนข้าวอาม่าข้างๆ แต่ก่อนที่ผมจะถามอะไร คุณสายหยุดกลับบอกว่าให้ลองปรึกษา เจ้ามดลูกชายแกดู ซึ่งตอนนี้รับทำหน้าที่ดูแลกิจการแทนแล้ว โดยมีคุณสายหยุดเป็นพี่เลี้ยง อิๆๆๆ งานนี้เสร็จโก๋ ครับ ก่อนกลับบ้านวันนั้นผมได้เบอร์ติดต่อเจ้ามด นี่เรียบร้อยครับ โชคดีจริงๆ
ทุกๆวันผมจะมาตรวจดูอาการ คนไข้ทันตกรรมทุกคนก่อนไปทำงานต่อที่ห้องฟัน และก็ไม่ลืมจะมาแวะเวียนหาอาม่า ในใจก็อดอยากเจอไอ้หน้าขาว หรือเจ้ามดนี่ไม่ได้หรอกครับ แต่พักหลังมันเริ่มหายๆ ไป จนอาม่าออกจากโรงพยาบาล จึงได้เจอมันอีกที แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกันนอกเหนือจากเรื่องอาม่า
เมื่ออาม่าออกจากโรงพยาบาลไปนั่นหมายความว่าเจ้ามดจะไม่มาที่นี่อีก คราวนี้ผมก็อดเจอมัน ผมเริ่มใคร่ครวญไตร่ตรองหาวิธีจีบมัน อิๆๆ แล้วความบ้าบิ่นก็ทำให้ผมตัดสินใจกดเบอร์โทรหามัน เชื่อมั๊ยครับ นอกรอบตอนที่แม่มันไม่อยู่ไอ้นี่ใช่ย่อยเลย คารมคมคาย ฝ่ายเราเองก็ไม่เบา คราวนี้เห็นทีเซียนทั้งคู่มาเจอะกันเสียแล้ว การคุยกันตอนแรกๆ ก็เรื่องรถดีล่ะครับ ต่อมาเริ่มกลายเป็นเรื่องรักแล้ว
เกือบสัปดาห์ที่เราโทรคุยกัน จนกระทั่งวันอาทิตย์เจ้ามดก็หยุดงานผมก็หยุดงานเราเลยนัดไปนั่งกินสเต็กกันที่ร้านริมอ่างเก็บน้ำแก้มลิง เจ้ามดเป็นขับรถมารับผมเอง ตอนแรกที่เจอกันผมก็อายๆมันนะครับ แต่เมื่อได้คุยกันซึ่งๆหน้าจริงๆก็พบว่าเจ้านี่มันคารมดีเหลือเกิน สนิทกับคนง่ายมาก จนผมรู้สึกผ่อนคลายไม่เขิลอายเลย ที่ร้านสเต็กหลังจากมื้อเย็น เจ้ามดก็สั่งเบียร์มาดื่ม ผมเองก็เปรี้ยวปากมาหลายวันเลยบอกมันว่าไปนั่งลานเบียร์ ย่านใกล้ๆ มหาลัยดีกว่า บรรยากาศดี สาวเชียร์เบียร์น่ารัก เป็นอันว่าเราไปนั่งต่อลานเบียร์กัน
มันแปลกตาหรือไรผมไม่ทราบแต่ สาวเชียร์เบียร์ที่เข้ามาโต๊ะเราต่างแอบยิ้มมุมปากแปลกๆ ตอนแรกก็คิดว่าเขิลแบบสาวๆเขิลกัน แต่เมื่อสังเกตดีๆ แอบเห็นว่าสาวๆ เมาท์เรากัน เอ้ ………ผมชักไม่แน่ใจประวัติเจ้ามดนี่แล้วซิ แต่ผมก็ไม่สน ถึงอย่างไรก็คงไม่มีใครว่าเราไปได้หรอก เพราะเรามาที่โล่งแจ้งไม่ได้ไปแอบทำอะไรไม่ดีสักหน่อย เรานั่งดื่ม นั่งสูบไปสักพัก ผมจึงได้รู้ว่าเจ้ามดมันเป็นหุ้นส่วนที่นี่ด้วย คราวนี้เลยถึงบางอ้อครับ แหมน่าอายจังครับ ที่ชวนเจ้าของร้านมานั่งร้านตนเอง อิๆๆ
ท่ามบรรยากาศในตอนค่ำ เสียงเพลง เบาๆ เสียงคนคุยกันเฮฮา แสงไฟนวลตา ตัดกับแสงตะเกียงน้ำมัน ที่จุดไว้เพื่อเพิ่มบรรยากาศให้น่านั่ง ผมแอบมองเจ้ามดเต็มๆ โดยที่ไม่กลัวเจ้าตัวรู้ เจ้านี้มัน ตาโต ปากนิดจมูกหน่อย หน้าขาวเนียนอย่างลูกคนมีเงิน ดูๆไปอาจเหมือนผู้หญิง แต่ที่ทำให้มันเข้มขึ้นมาได้ก็คือไรหนวดและจอน ที่แต่งไว้อย่างบรรจงรับกับทรงผมสกินเฮดอย่างเท์ หุ่นมันก็คล้ายๆกับหุ่นผมคือแน่น น่าฟัด เราต่างกันตรงที่มันขาวชมพู ส่วนผมผิวน้ำผึ้ง
มองอะไร เจ้ามด เอียงหน้าทำตาเจ้าเล่ห์อย่างจับพิรุจผมทัน
ป่าวโว้ย ผมหัวเราะ แหะๆๆ
ไปห้องน้ำก่อน ผมอายมัน มาก รีบจ้ำอ้าวไปห้องน้ำทันที ก่อนพูดจบ
เมื่อกลับมาที่โต๊ะเรานั่งคุยกันต่อครู่หนึ่งจึงลุกขึ้นออกจากร้านไป
ไปไหนต่อ เจ้ามดถามผม ซึ่งตอนนี้มันหน้าแดงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์
ไปส่งที่บ้านเหอะ ไม่ไหวแล้ว มึนหัว ผมบอกมัน พลางนอนหลับตา