Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 504
Message ID: 0
#0, เรื่องเล่าคาวน้ำกาม
Posted by romanrome on 20-Nov-12 at 11:45 PM
ก่อนอื่นต้องขอสวัสดีพี่ๆน้องๆชาวปาล์มฯที่น่ารักน่าใคร่ทุกๆท่านนะครับ ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย ความจริงก็แฝงตัวในบอร์ดปาล์มมานานแล้วครับ แต่อยู่ในห้องอื่น

นิยายเรื่องนี้ ผมเคยโพสมาแล้วครั้งหนึ่งในเว็บไซด์แห่งหนึ่ง แต่โพสเรื่องไม่จบ เนื่องจากปัญหาทางเทคนิคนิดหน่อย (ตอนนั้นคอมเจ๊ง+งานยุ่ง+ขี้เกียจ แต่อย่างหลังเยอะที่สุด)

มาตอนนี้เวลาและโอกาสอย่างลงตัว เลยขอนำมาโพสที่เว็บปาล์มฯ อีกรอบ และจะพยายามเขียนเรื่องจนจบนะครับ ยังไงขอกำลังใจด้วยนะครับ โพสแสดงความคิดเห็นและวิพากวิจารณ์กันเข้ามาเยอะ ผมจะได้มีกำลังเขียนเรื่องต่อ

...............................................................


เรื่องเกิดขึ้นสมัยที่ผมเพิ่งเข้าเรียนมหา'ลัยใหม่ๆ (ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด บ้านเกิดเมืองนอนของผมอยู่ที่อำเภอเล็กๆในจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือตอนบน)

หลายคนคงจะสงสัยว่า ทำไมช่วงชีวิตที่เรียนมัธยมผมถึงไม่มีประสบกามตรงอะไรเหมือนกับคนอื่นบ้าง? ทำไมถึงได้ข้ามช่องว่างระหว่างเวลามาเล่าสมัยมหา'ลัย????

ผมขอตอบว่า "ไม่มีครับ" สาเหตุนั้นก็คือ ในสมัยเรียนมัธยมตั้งแต่ต้นยันปลายนั้น รูปร่างและหน้าตาของผมไม่ได้ดูดีเป็นที่สะดุดตาและสะดุดเป้าของใครต่อใครเหมือนกับสมัยที่เข้าเรียนมหา'ลัย

ช่วงเรียนมอต้นยันปลาย ผมเป็นคนอ้วน(ยิ่งตอนที่เรียนม.3 - ม.4 เรียกว่าอ้วนขั้นอิ่มตัวได้เลย น้ำหนักก็ประมาณ 66-70 กิโล สำหรับเด็กอายุ 14-15 ปี ความสูงยังไม่เด่นชัดมากเพราะร่างกายยังไม่โตเต็มที่ ลองจินตนาการดูเอาเองนะครับ ว่าจะจ้ำม่ำขนาดไหน!!!!) เวลาที่เริ่มแตกเนื้อหนุ่มใหม่ๆก็อาศัยหนังสือปลุกใจชาวเราในสมัยนั้น เช่น มิถุนา มรกต นีออน วีคเอ็นเมน และอีกหลายต่อหลายเล่ม เป็นตัวปลุกเร้าอารมณ์ให้สามารถรีดน้ำอสุจิออกมาได้อย่างคล่องตัว (ผมมีความรู้สึกเริ่มว่าตัุวเองเริ่มชอบผู้ชายครั้งแรก ตอนป.6 เข้าสู่ ม.1 ตอนนั้นพอเห็นผู้ชายเวลายืนฉี่แล้วเห็นของลับด้วย ผมรู้สึกว่าอวัยวะเพศของผมเริ่มแข็งตัว และตัวเองยังรู้สึกตื่นเต้นอีกด้วย ยิ่งเวลาที่เห็นรูปโป๊ผู้ชาย อาการเริ่มออก สมัยเรียนผมก็มีเพื่อนและบรรดาคนรู้จักที่เป็นเกย์ กระเทย อยู่พอสมควร พวกเขาก็ไม่รู้ว่า ผมเป็นแอบจิต แต่มีบางคนที่พอจะดูออกว่าผมเป็น ) ครั้นจะไปหวังที่จะมีอะไรๆกับเพื่อนที่หน้าตาดีๆหรือไม่ก็คนหน้าตาดีที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน ก็เป็นเรื่องยากเกินความสามารถ (ไม่มีใครอยากลองของแปลกอย่างผมเลย) มีแต่ตัวเราเท่านั้นที่ฝันลมๆแล้งๆไปแอบชอบเขาข้างเดียว

จนกระทั่งมาถึงวันสุดท้ายของการสอบไล่ระดับชั้นม. 4 หลังจากสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เย็นวันนั้นผมเป็นไข้และลากยาวมาเกือบๆเดือน ปรากฏว่าผมเป็นอีสุกอีใส ระหว่างช่วงที่เป็นไข้ก็ยังมีกะจิตกะใจถ่อไปสมัครสอบเอ็นทร้านซ์ที่เชียงใหม่อีก (ตอนไปสมัครสอบฯ ผมใส่เสื้อกันหนาวตัวหนาๆและหมวกไหมพรมกันหนาว จนผู้คนข้างจ้องมองไม่ว่าตา พวกเขาคงจะคิดว่า ไอ้บ้านี่เป็นโรคติดต่ออะไรหรือเปล่า? ) พอใกล้จะหายก็ลากสังขารเดินทางตะลอนๆไปนอนค้างอ้างแรมเพื่อสอบเอ็นทร้านซ์ อีก4 วัน (ในสมัยนั้น ผมสอบเทียบได้ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ม.4)

พอสอบเอ็นทร้านซ์เสร็จแล้วก็เดินทางกลับบ้าน 2-3วันหลังจากกลับมาถึงบ้าน ผมก็ได้ไข้หวัดใหญ่มาเป็นของแถมตบท้ายต่ออีก นอนพักรักษาตัวเกือบร่วมเดือน (ช่วงนั้นสุขภาพย่ำแย่มาก เพราะเป็นหน้าอากาศเปลี่ยนต่อฤดูจากหนาวมาหาร้อน จำได้ว่าหน้าร้อนในปีนั้นร้อนมากๆจนติดสถิตอากาศร้อนสูงที่สุดในรอบ10 ปี) ตอนที่เป็นไข้นอนซมอยู่นั้น กินอะไรไม่ได้เลย กินแต่ข้าวต้มพุ้ยโรยหน้าด้วยหมูหยองทั้งเดือน อากาศร้อนๆทำให้ผมไม่อยากจะกินอาหารอะไรเลย นอกจากน้ำผลไม้ปั่น ผลไม้สุกๆหวานๆและอาหารจำพวกยำ ก๋วยเตี๋ยว บะหมี่แห้ง

การป่วยครั้งนั้นได้ทำให้รูปร่างและหน้าตาของผมเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ชนิดที่เปลี่ยนเป็นคนละคนเลย เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีมาก น้ำหนักลดไปเกือบๆ20 กิโล กางเกงจากที่เคยใส่เอว 31 ก็เปลี่ยนมาใส่เอว 26-27 เสื้อจากแต่เดิมเคยใส่ไซส์ L-XL ก็เปลี่ยนมาใส่ไซส์ S ส่วนรูปร่างหน้าตาจากเดิมที่หน้าบานแก้มยุ้ยทะลักเหมือนซาลาเปาผสมหมั่นโถว ก็กลายมาเป็นโครงหน้าตอบเรียวได้รูป พอดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาอีกเยอะ แบบเรียกได้ว่า ควงไปวัดไปวาหรือควงไปออกงานได้

ส่วนข่าวดีที่มาพร้อมกับรูปร่างหน้าตาที่ดีขึ้น คือ ผมสามารถสอบเอ็นทร้านซ์เข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของภูมิภาคได้ (ทั้งๆที่ตอนสอบไม่ได้เตรียมอ่านหนังสืออะไรเลย เพราะป่วย มัวแต่นอนพักพื้นตลอดทั้งวันทั้งคืน) เรียกได้ว่าฟลุ๊คมากๆ

กว่าทางบ้านจะอนุญาติให้ผมเข้าเรียนในมหา'ลัยได้ ก็เล่นเอาผมรบเร้าซะเหนื่อย (นั่งบีบน้ำตาทำหน้าเศร้าทั้งวันจนตาบวม) สาเหตุที่ทางบ้านไม่อนุญาติให้ผมเรียนมหา'ลัย เพราะกลัวว่าผมเรียนตามเพื่อนร่วมรุ่นไม่ทัน ความรู้พื้นฐานของผมมีแค่ ม.4 เท่่านั้น จะไปเรียนสู้อะไรกับเด็กที่จบม.6 ได้

ใจจริงทางบ้านอยากจะให้ผมเรียนจนจบม.6 ก่อน เพื่อให้พื้นฐานแน่นๆ แต่สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าผมสามารถเอาตัวรอดในเรื่องเรียนได้ อีกเหตุผลเล็กๆที่เป็นผลพลอยได้ก็คือ ถ้าผมได้เข้าเรียนมหา'ลัย ถือเป็นการเปิดหูเปิดตาและเปิดโอกาสให้กับตัวเองได้ไปเจอหนุ่มๆหล่อๆ ตักตวงเก็บเกี่ยวประสบกาม(ไม่ค่อยร่านเลยนะตรู 555) ผมไม่อยากกลับไปเรียนจนจบม.6 ขี้เกียจรอเวลาให้ผ่านไป (เพราะไม่แน่ใจว่า ตัวเองจะกลับมาอ้วนเหมือนเดิมอีก ยิ่งอยู่ที่บ้านอาหารการกินอุดสมบูรณ์มาก รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ซึ่งช่วยกระตุ้นเพิ่มความขี้เกียจในการออกกำลังเป็นอย่างดี และตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะโชคดีสามารถสอบเอ็นทร้านซ์ติดเหมือนครั้งนี้หรือเปล่า?)

เวลานี้ หน้าตาและรูปร่างของผมไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว สิ่งนี้ได้สร้างความมั่นใจให้ตัวผมมากถึงมากที่สุด จากเดิมที่เป็นคนไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเองเลย เดิมก้มหน้าตลอด มิหนำซ้ำเพื่อนๆในโรงเรียนก็เรียกผมว่า "หมู" หรือไม่ก็ "หมูตอน" แทนชื่อเล่นของผม

..................................................................


"ไอ้หน้าหวาน ที่นั่งอยู่แถวหลังสุดทางขวามือ ยังไม่มีป้ายชื่อนี่หว่า ลุกขึ้นมานี่หน่อยซิ" เสียงของรุ่นพี่คณะที่เป็นหัวหน้ารับน้องใหม่ตะโกนเรียกผมออกมาข้างหน้าแถว

"ชื่ออะไรว่ะ?" รุ่นพี่เอ่ยถามผม

"กันต์ครับ" ผมตอบอย่างมั่นใจ

"อีกแล้วเหรอ!!! ทำไมชื่อเอ็งมันโหลยังงี้ นี่ก็ปาเข้าไป 3 กันต์แล้ว หน้าเอ็งหวานๆเหมือนหลินจื้ออิง งั้นเอ็งเอาชื่อนี้ ไปละกัน" รุ่นพี่จ้องมองหน้าผม พร้อมกับเขียนป้ายชื่อให้ (ที่ว่าผมหน้าตาเหมือนหลินจื้ออิง นี่ชมจากใจจริงหรือว่าพี่เขาเมาค้างจากเมื่อคืน? เลยมองเห็นอะไรผิดเพี้ยนจากความจริงไป แต่ก็ยังดีที่ยังอุตส่าห์ชมผมว่าหน้าเหมือนซุปเปอร์สตาร์หน้าหยกยุคนั้น)

หลังจากกิจกรรมรับน้องเสร็จสิ้นลงไปแล้ว ก่อนที่รุ่นพี่หัวหน้าจะบอกให้แยกย้ายกันกลับ ก็มีบรรดารุ่นพี่จากชมรมเชียร์ประมาณ 10 กว่าคน เข้ามาแนะนำชมรม พร้อมทั้งประกาศรายชื่อของนักศึกษาปี1 ทั้งหญิง-ชายที่หน้าตาเข้าข่ายหน้าสนใจ เพื่อเอามาคัดเลือกเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะ โดยจะเรียกชื่อเล่นตา่มป้ายชื่้อที่แขวนคอ (ไม่รู้ว่าบรรดารุ่นพี่พวกนี้แอบมาเป็นแมวมองตั้งแต่เมื่อไหร่)

"น้องๆที่ถูกเรียกอย่าเพิ่งรีบกลับนะครับ อยู่รอพบพวกพี่ก่อน" เสียงของรุ่นพี่ผู้ชายที่เป็นตัวแทนชมรมพูดขึ้นมา

ผมจ้องมองรุ่นพี่เจ้าของเสียงอย่างไม่กระพริบตา พี่เขาจัดได้ว่าเป็นคนที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง หน้าตาหล่อแบบไทยแท้ ตาโต คิ้วดกหนา (ไม่รู้ว่าส่วนอื่นจะดกหนาหรือเปล่านะ?) จมูกโด่งรับกับริมฝีปากอมชมพูรูปกระจับ ผิวสีน้ำผึ้ง สูงโปร่ง(ประมาณ 180 up)

"พี่คนนี้ไง ที่เป็นเดือนคณะปีที่แล้ว รู้สึกว่าเขาจะชื่อ ต่อ หล่อจังเลยแก" ยัยมิ้นท์ เพื่อนเมเจอร์(สาขาวิชา)เดียวกัน หันมากระซิบผม

ผมนั่งมองหน้าพี่ต่อ อย่างไม่วางตา โดยไม่ค่อยสนใจฟังประกาศรายชื่อเท่าไหร่เนื่องจากคิดว่าหน้าตาตัวเองไม่ได้มีคุณสมบัติหรือจุดเด่นอะไรที่น่าสนใจพอที่จะได้รับการเสนอชื่อ

"น้องหลินจื้ออิง เมเจอร์....... " ชื่อตรูนี่หว่า ติดโผกับเขาด้วยนิ ผมรำพึงรำพันกับตัวเองเบาๆ

ผมและบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นที่ถูกขานชื่อ ต่างก็อยู่รอพบพวกรุ่นพี่ชมเชียร์เพื่อรอคัดตัวเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะ จริงๆแล้วผมไม่ได้อยากจะเป็นเชียร์ลีดเดอร์หรอก แต่มีจุดประสงค์หลักแอบแฝงอยู่ นั่นคือ อยากจะรู้จักพี่ต่อ

หลังจากที่ประธานชมรมเชียร์ซึ่งเป็นรุ่นพี่ผู้หญิงกล่าวอธิบาย พร้อมทั้งให้บรรดาสมาชิกและเชียร์ลีดเดอร์คณะปีที่แล้ว สาธิตท่าเบื้องต้นของเชียร์ลีดเดอร์ เพื่อให้บรรดาน้องใหม่ฝึกทำตาม

ผมทำท่าพวกไปอย่างเก้ๆกังๆ มือไม้ของผมไม่สามัคคีกันเลย เทียบกับคนอื่นแล้ว พวกนั้นมือไม้สบัดพลิ้วไหวแกว่งไกวสวยงามมากกว่าผมเยอะ แล้วสิ่งที่ผมรอคอยก็ได้มาถึง พี่ต่อเดินเข้ามาหาผม

"มือไม้ยังแข็งอยู่นะเรา" พี่ต่อพูดขึ้น พร้อมกับจัดมือผมโบกไปมา

"หน้าตานายเหมือนหลินจื้ออิงจริงๆด้วย แต่ยังตี๋ไม่เท่าหลินจื้ออิงตัวจริง แล้วชื่อจริงๆของนายชื่ออะไร?" พี่ต่อก้มดูป้ายชื่อของผมอย่าขำๆ

"กันตพล ครับ" ผมตอบอย่างเขินๆ

"หมายถึงชื่อเล่น ล่อชื่อจริงเต็มยศเลย" พี่ต่อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

เวลาที่พี่ต่อหัวเราะ ช่างดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก โดยเฉพาะดวงตากลมโตที่สวยงามและดูทะเล้นนิดๆ

"ชื่อ กันต์ ครับ"

"กันต์ เป็นภาษาอังกฤษที่แปลว่า ปีน ใช่ไหม?" ว่าแล้ว พี่ต่อก็ลากมือทั้งสองผ่านสะดือ แล้ววกมาออกตรงบริเวณสะเอวของผมเพื่อจัดจังหวะในท่าเชียร์ลีดเดอร์

ผมรู้สึกเสียววาบๆอย่างบอกไม่ถูก ทันใดนั้นตรงบริเวณเป้ากางเกงของผมก็เริ่มตุงขึ้นมา เนื่องจากยังรู้สึกเสียวไม่หาย ผมไม่ทันได้ระวังตัวซักเท่าไหร่ มารู้ตัวอีกทีก็อายจนแทบช็อก พี่ต่อมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเป้ากางเกงของผมเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ (มาทราบภายหลังว่า พี่เขาคุกเข่านั่งเพื่อจะดูว่าผมยืนตัวตรงมากน้อยแค่ไหน ในขณะที่มือไม้พลิ้วไหวแกว่งไกว ลำตัวนิ่งมีความสง่างามไหม) อะไรมันจะบังเอิญได้จังหวะขนาดนั้น

"ปืนอย่างนายคงจะอัดลูกกระสุนไว้เต็มพิกัดพร้อมยิงเลยนะ ว่าแต่นายเป็นปืนอะไร?" พี่ต่อพูดยิ้มๆอย่ามีเลศนัย พร้อมกับจ้องดูเป้ากางเกงของผมที่นูนออกมาผิดปรกติ

ผมไม่พูดจาอะไร ผมอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ยิ่งอายปืนใหญ่ของผมก็ยิ่งชูชันไม่ยอมลดขนาดเสียที นี่แค่ขนาดโดนพี่ต่อลากมือผ่านบริเวณหน้าอกสะดือและรอบเอว ยังโ่ด่ซะขนาดนี้ ถ้าโดนมากกว่านี้มันจะขนาดไหนนี่ แค่คิดก็เสียวโว๊ย....

พี่ต่อคงรู้ว่าผมอาย เลยเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่นแทน ระหว่างพักเพื่อรอการคัดตัว ผมได้คิวเกือบสุดท้าย ผมกับพี่ต่อคุยกันอย่างออกรส พี่ต่อเป็นคนคุยสนุก คุยได้ทุกเรื่อง ผมยังคุยกับพี่ต่อ จนกระทั่งถึงคิวของผมที่จะต้องไปแสดงท่าเชียร์ลีดเดอร์ต่อหน้าทุกคน พอประกาศผลว่าใครบ้างที่ได้รับการคัดเลือกเป็นเชียร์ลีดเดอร์ของคณะ ปรากฏว่าผมไม่ได้รับการคัดเลือก (แอบดีใจนิดๆ เพราะไม่มีความอยากเป็นเลยแม้แต่น้อย ขี้เกียจแบ่งเวลามาซ้อม)

ผมเดินมาเอารถมอเตอร์ไซด์ที่จอดไว้ตรงลานจอดรถใกล้กับอ่างเก็บน้ำของมหาลัย ผมสตาร์ทรถอย่างหัวเสียอยู่เป็นเวลาพอสมควร

"ทำไมถึงสตาร์ทไม่ติดว่ะ เป็นอะไรอีกละมึง ตอนเช้าก็เติมน้ำมันให้ซะเต็มถังแล้ว จะเอาอะไรอีก" ผมบ่นกับรถมอเตอร์ไซด์อย่างหัวเสีย

จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินจูงมอเตอร์ไซด์จากลานจอดรถ กลับไปยังหอพัก โชคดีที่ผมอยู่หอพักชายในมหาลัย ซึ่งอยู่ไม่ค่อยไกลเท่าไหร่

ผมเดินจูงมอเตอร์ไซด์ไปได้ซัก10 เมตร ก็ได้ยินเสียงปีบแตรจากรถมอเตอร์ไซด์ที่กำลังวิ่งมาข้างหลัง ผมหยุดหันไปมอง มอเตอร์ไซด์คันนั้นก็เข้าจอดตรงข้างทางใกล้กับผม อะไรมันจะบังเอิญแบบจงใจเหมือนฉากในหนังตอนที่นางเอกรถเสียแล้วพระเอกมาช่วยไว้ทัน

"รถเป็นอะไร?" พี่ต่อถามผม

"ไม่รู้พี่ สตาร์ทกี่รอบไม่ยอมติด สงสัยหัวเทียนบอดแน่ๆ"

พี่ต่อช่วยสตาร์ทให้ผมไม่กี่ทีก็ยกธงขาว พี่ต่อเลยเสนอความคิดว่า ให้ผมเอารถไปจอดไว้ที่โรงรถในหอพักของผมก่อน แล้วพี่เขาจะพาช่วยผมเอารถมอเตอร์ไซด์ไปส่งร้านซ่อมในวันรุ่งขึ้น เพราะเวลานี้ก็ตกเย็นมากแล้ว ร้านซ่อมรถคงจะปิดกันหมด

พี่ต่อชวนผมไปทานข้าวเป็นเพื่อน(มีเหรอที่ผมจะไม่รับปาก) พี่ต่อบ่นหิวข้าวมาก ไม่ใช่แต่พี่เขาเท่านั้นที่หิว ผมก็หิวด้วย

ผมนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์พี่ต่อไปที่ถนนหลังมอ โดยบริเวณสองฝากถนนดังกล่าว มีร้านขายของกินจำพวกอาหารตามสั่ง (ซึ่งเปิดขายตลอดทั้งคืน) ขนม ผลไม้ ร้านเช่าหนังสือ เช่าการ์ตูน ร้านขายเสื้อผ้า ร้านขายของชำ และกิจการร้านค้าๆมากมาย

พี่ต่อพาผมมานั่งกินข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งแห่งหนึ่ง เราทั้งสองสั่งอาหารได้ไม่กี่นาที อาหารก็มาเสิร์ฟตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

"โอ้โห กินเผ็ดขนาดนี้เลยเหรอ? เขาว่าคนที่ชอบกินเผ็ดจะเซ็กส์จัดนะ" พี่ต่อเห็นผมตักพริกป่นในพวงเครื่องปรุงโรยใส่บนหน้าข้าวผัดน้ำพริกเผาอย่างไม่ยั้งมือ

"ผมชอบกินรสจัด ส่วนเรื่องเซ็กส์จัดนั้น ผมไม่รู้เพราะยังไม่เคยเซ็กส์กับใครมาก่อน" ผมตอบพี่ต่ออย่างซื่อๆ(ความจริงแกล้งทำซื่อมากกว่า เพราะอยากจะหยั่งเชิงดู)

"จริงเหรอ? ไม่บอกไม่รู้นะ ว่านายยังบริสุทธิ์อยู่ แต่ก็อาจจะจริง หน้านายดูเด็กมาก ยังกะเด็กม.ต้น นายอายุเท่าไหร่แล้ว?) พี่ต่อมองหน้าผมอย่างยิ้มๆมีเสศนัย

"อายุ 16 ครับ หน้าตาอย่างผมจะมีใครเขาเอา? ถ้าหล่ออย่างพี่ก็ว่าไปอย่าง" ผมพูดอย่างตรงไปตรงมา

"16เองเหรอ!!! นายสอบเทียบมาละซิ เก่งนะ ตัวแค่นี้สามารถสอบเอ็นฯติด เฮ้ย....! หน้าอย่างนายนี่นะไม่หล่อ ยิ่งเหมือนหลินจื้ออิงด้วยแล้ว อย่าว่าแต่ยังไม่มีแฟนเลย ถ้าบอกว่ามีแฟนแค่คนเดียว พี่ก็ยังไม่เชื่อ"

เล่นแซวกันอย่างไม่บันยะบันยังเลยนะ คุณพี่ต่อ มือไม้ของผมสั่นไปหมดแล้ว ดูซิจับช้อนเข้าปากยังไม่ตรงจุดเลย

"เออ แล้วคืนนี้นายจะทำอะไร?" พี่ต่อถามขึ้นมา

"ยังไม่รู้เลยพี่ อาจจะดูทีวีแล้วก็เข้านอน"

"เห็นตอนที่คัดเชียร์ลีดเดอร์ นายบอกว่าติดละครเรื่อง ดาวพระศุกร์ ไม่ใช่เหรอ? พี่ก็ติดนะ แบบว่าทุกคืนวันศุกร์ยันอาทิตย์แทบจะไม่ออกไปไหน พรุ่งนี้และวันอาทิตย์นายยังไม่มีอะไรทำใช่ปล่าว?" พี่ต่อเริ่มเปิดทางถามคำถามที่ผมตั้งตารอ

"ครับ" ผมตอบสั้นๆ

"อย่างนั้นก็ดีแล้ว คืนนี้นายไปดูดาวพระศุกร์ที่บ้านพี่ และไปนอนค้างที่นั่นเลย พรุ่งนี้พี่จะมาส่งที่หอ หลังจากดูดาวพระศุกร์แล้ว จะได้ดูเรื่องมังกรหยก พี่มีวีดีโอเรื่องนี้ด้วย นายก็ชอบดูเรื่องนี้เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?"

แล้วแจ๊คพ็อตก็แตกจนได้นะ นี่เป็นประโยคที่ผมอยากได้ยินมากที่สุดในตอนนี้ คุณพี่เล่นเปิดทางให้ซะขนาดนี้เลย ทางสะดวกเกินคาดจริงๆ คืนนี้แล้วซินะที่ผมจะได้เสียความบริสุทธิ์ให้กับคนที่ถูกใจ

"ไปตอนนี้เลยหรือพี่? ไปมันทั้งชุดนักศึกษานี่นะ? ผมยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย เสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนก็อยู่ที่หอ น้ำก็ยังไม่ได้อาบไหนจะแปรงสีฟันและยาสีฟันอีก" ผมพูดไว้เชิงเพื่อไม่ให้ดูว่าตัวเอง "อยาก" จนเกินไป

"เออ เสื้อผ้านายใช้ของพี่ก็ได้ น้ำก็ไปอาบที่บ้านพี่ ส่วนแปรงสีฟันนั้น ที่บ้านพอจะมีอันใหม่สำรองอยู่ 1 อัน"

สวรรค์เลยตรู ผมทำหน้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตอบตกลง ความจริงอยากจะตกลงตั้งแต่คุณพี่ต่อยังพูดไม่จบ ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องไปนั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่นของหอพัก ซึ่งเป็นห้องแคบๆจุคนได้ไม่ถึง30 คน อีกอย่างทีวีก็เป็นจอ14 นิ้ว เล็กนิดเดียว ช่วงนั้นละครเรื่อง "ดาวพระศุกร์" เวอร์ชั่นศรราม-สุวนันท์ กำลังดัง ยิ่งวันไหนที่ละครเรื่องนี้ออกอากาศ แทบจะเรียกได้ว่าทั้งหอพักเงียบสนิท ทุกคนจะมาดูทีวีที่ห้องนั่นเล่นของหอ จนเต็มล้นออกมาข้างนอกถึงขนาดต้องเขย่งดูเลยทีเดียว ส่วนผลพลอยได้ก็คือ "อยากจะให้พี่ต่อเปิดซิงผม"

บ้านของพี่ต่ออยู่ในซอยหลังมหาลัย เป็นบ้านแบบทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้น 2 ห้องนอน(ห้องหนึ่งเป็นห้องนอนของพี่ต่อ ส่วนอีกห้องใช้เป็นห้องเก็บเสื้อผ้า ทำงาน-อ่านหนังสือ และเก็บของต่างๆไปในตัว) 2 ห้องน้ำ

พี่ต่อเล่าให้ฟังว่า ทางบ้านซื้อบ้านหลังนี้เป็นของขวัญที่พี่ต่อสอบเอ็นทร้านซ์เข้ามหาลัยได้ (พี่ต่อเป็นคนกรุงเทพและจบจากโรงเรียนชายล้วนที่มีชื่อเสียง)

หลังจากที่ดูทีวีเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่ต่อก็พาผมไปนอน โดยนอนห้องเดียวเตียงเดียวกับพี่ต่อ เตียงของพี่ต่อเป็นเตียงนอนกว้าง

"นายนอนกรนไหม?" พี่ต่อถามผม

"เป็นบางครั้งครับ? แล้วพี่ต่อ?"

"เหมือนกันว่ะ แต่พี่เป็นคนนอนดิ้น ถ้านอนดิ้นไปทับนายก็อย่าถือสาอะไรนะ"

พูดเปิดทางเลยนะ คุณพี่

ผมพยายามข่มตาหลับ แต่มันก็ยังไม่หลับอยู่ ผิดกับพี่ต่อที่นอนนิ่งมาก ซักพักทั้งมือและขาของพี่ต่อเริ่มมาก่ายบริเวณตัวผม เวลานี้ตัวของผมเริ่มสั่นระรัวทันที

ผมมองหน้าพี่ต่อที่กำลังนอนหลับอยู่ ผมแอบใช้มือลูบไล้บริเวณไหล่ของพี่ต่ออย่างเบาๆเพราะกลัวพี่ต่อตื่น

เหมือนพี่ต่อจะรู้ พี่ต่อเริ่มใ้ช้มือที่ก่ายอยู่บนตัวผมกอดรัดผมเข้าหาตัวของพี่แก ลมหายใจอ่อนจากจมูกของพี่ต่อ รดลงบนแก้มของผมเบาๆ พร้อมกันนั้นพี่ต่อก็ใช้บริเวณหัวเข่าสัมผัสกับแท่งตอปิโดของผม จนมันเริ่มพองตัวขยายตัวออกทีละนิดๆ ส่วนผมเองก็ลองใช้นิ้วมือเลื่อนลงไปบนเสื้อของพี่ต่อตรงตำแหน่งหัวนม ผมใช้นิ้วมือละแลงเบาๆเป็นวงกลมบนตำแหน่งหัวนม

"เห็นตัวแค่นี้ ใหญ่เหมือนกันนะเรา" พี่ต่อกระซิบบอกผม และพี่แกไม่รอช้า รีบสอดมือลงไปในกางเกงของผมทันที

มือของพี่ต่อค่อยๆเข้าไปอยู่ในขอบกางเกงในกางเกงของผมอย่างช้าๆ นิ้วมือของแกจับและลูบไล้กับขนเพชรของผมอย่างทะนุถนอม จากนั้นมือของแกก็รวบจับแท่งตอปิดโดของผม พร้อมกับสาวขึ้นๆลงเป็นจังหวะ

ผมครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน พร้อมกับใช้มือถอดเสื้อของพี่ต่อออก ผิวของพี่ต่อเนียนลื่นมาก หุ่นก็ดี หัีวนมก็ตั้งชูชันนิดๆ ผมค่อยๆใช้ลิ้นเลียที่บริเวณหัวนมของพี่ต่อ

มือข้างหนึ่งของพี่ต่อรูดแท่งตอปิโดของผมอย่างสนุกสนาน ส่วนอีกข้างก็ใช้กดหัวผมแนบกับหัวนมของพี่แก

ซักพักผมเริ่มใช้มือดึงกางเกงนอนและกางเกงในของพี่ต่อลงไปพร้อมๆกัน และใช้มือของผมลูบไล้ลงไปในส่วนใต้สะดือของพี่แก ก่อนที่จะสัมผัสทักทายกับแท่งอ้อยที่ยาวแข็งชูชันนั้น มือของผมได้ลากผ่านป่าดงดิบอเมซอนอันดกดำของพี่ต่อ (คนอะไรหมอยขึ้นดกหนามาก)

พี่ต่อเปลี่ยนท่ามานอนทับลงบนตัวผม โดยใช้ริมฝีปากรูปกระจับอันสวยงามจูบลงบนริมฝีปากของผม เราทั้งสองแลกลิ้นกันอยู่พักหนึ่ง แล้วพี่ต่อก็เลื่อนปากลงมาไซร้ตรงซอกคอผม ผมรู้สึกจั๊กจี้ปนเสียวนิดๆ จากนั้นก็เลื่อนลงมาดูดบริเวณหัวนมของผม โดยมือของแกก็ยังรูดแท่งตอปิโดของผมอย่างเป็นจังหวะ

ก่อนที่พี่ต่อจะจัดการเขมือบแท่งตอปิโดของผม พี่แกใช้ปลายจมูกลูบไล้ตรงพวงสวรรค์ของผมอย่างเมามันส์ แล้วพี่ต่อก็ใช้ปลายลิ้นเลียตรงตอปิโดของผมบริเวณเส้นเสียวใต้รอยหัวหยัก จากนั้นก็ค่อยตวัดปลายลิ้นไปรอบๆหัวตอปิโดของผม เมื่อผมร้องครวญครางมากขึ้น พี่ต่อรีบอ้าปากครอบตอปิโดของผมจนมิดลำ พร้อมกับรูดขึ้นๆลงโดยใช้ริมฝีปากอย่างชำนาญ

ผมทนความเสียวไม่ไหวเลยเผลอตัวปล่อยน้ำอสุจิพุ่งเข้าไปในปากของพี่ต่ออย่างเต็มลูกสูบจนทะลักออกมาจากปาก พี่ต่อดูดกลืนอย่างไม่รังเกียจ แล้วใช้ลิ้นเลียรอบหัวตอปิโดของผม

ผมใช้มือผลักพี่ต่อลงนอนที่เตียงพร้อมกับใช้ปากดูดขยี้หัวนมของพี่แกอย่างเมามัน โดยมือข้างหนึ่งของผมก็รูดแท่งอ้อยของพี่แกขึ้นลง เมื่อดูดหัวนมเสร็จแล้ว ผมก็เปลี่ยนเป้าหมายมาลิ้มรสสัมผัสกับลูกเงาะทั้งสองพี่ต่อ (คนอะไรเซ็กส์ซี่จริงๆ ขนาดที่พวงสวรรค์ยังมีขนขึ้นดกหนา) ผมตวัดลิ้นไปรอบๆลูกเงาะแต่ละลูกอย่างเบาๆ พอเล่นกับลูกเงาะของพี่ต่อจนหนำใจแล้ว ผมก็เลื่อนปากขึ้นมาที่แท่งอ้อยอันโอชาของพี่ต่อดูบ้าง หัวถอกๆที่บานเป็นดอกเห็ดยิ้มแย้มรอให้ลิ้นของผมมาสัมผัส ผมอ้าปากและอมแท่งอ้อยของพี่ต่อไปเกือบสุดลำ ขนาดของแท่งอ้อยพี่ต่อใหญ่กำลังดี แต่ยาวได้ใจเหลือเกิน ผมใช้แรงดูดแท่งอ้อยของพี่แกไปเต็มลูกสูบ

"โอ๊ย เบาๆหน่อย อย่าใช้ฟันซิ" เสียงร้องของพี่ต่อดังขึ้น

"โทษครับพี่ นี่เป็นครั้งแรกของผม ผมยังไม่เคยดูดมาก่อน" ผมกล่าวขอโทษ

"พยายามใช้ลิ้นนะ ค่อยๆดูด ค่อยๆเลีย อย่ารีบ" พี่ต่อค่อยๆสอนผม

ผมก้มหน้าก้มตาดูดแท่งอ้ออย่างออกรสชาติย

"เออ.. ดี.. ดีมาก อย่างนั้นแหละ นายดูดเก่งมาก โคตรเสียวเลย" เสียงพี่ต่อครางออกมา

พี่ต่อดึงตัวผมขึ้นมา พร้อมกับกระซิบเบาๆที่หูของผมว่า

"นายอยากจะลองเอาตูดพี่ดูไหม? เสียวกว่านี้เยอะมาก"

"ครับผม ผมอยากจะเอาพี่มาก"

พี่ต่อลุกขึ้นไปหยิบวาสลีนที่ในห้องน้ำ พี่ต่อเปิดขวดวาสลีนพร้อมกับละแลงลงบนบริเวณประตูหลังของตัวเอง จากนั้นก็บีบขวดวาสลีนใส่มืออีกรอบ และเอามาทาที่แท่งตอปิโดของผมตั้งแต่หัวยันโคน

พี่ต่อลุกขึ้นนั่งโก่งโค้งหันหลังให้ผม และสั่งผมให้ค่อยๆใส่แท่งตอปิโดของผมเข้าไปในประตูหลังของพี่แก ผมรู้สึกเสียวซาบซ่านจากแรงดูดจากกล้ามเนื้อผนังประตูหลังของพี่แก พอเสียบจนมิดด้าม ผมกระเด้าซอยถี่ยิบอย่างไม่ยั้ง

"เบาๆหน่อยซิ พี่เจ็บ" เสียงพี่ต่อบอกผม จากนั้นพี่แกก็ครวญครางออกมาอย่างไม่เป็นภาษา

ประตูถ้ำของพี่่ต่อตอดเจ้าตอปิโดของผมแน่ดีแท้ ทำให้ผมรู้สึกเสียวเสียวไปทั่ว โดยเฉพาะบริเวณหัวกระดอและท้องน้อย

เสียงหน้าท้องของผมตบประสานกับตูดเนียนๆของพี่ต่อเป็นเสียงดัง "ป๊าบๆๆๆๆ........." ฟังแล้วยิ่งได้อารมณ์กำหนัดเพิ่มขึ้นมากมายขึ้นนัก ซักพักน้ำสีขาวข้นของผมก็แตกทะลักใส่ในถ้ำทองของพี่ต่อ ผมร้องเสียงหลงด้วยความเสียว

หลังจากผมถอนเจ้าแท่งตอปิโดออกจากถ้ำทองของพี่ต่อแล้ว ภาระกิจต่อไปของผมคือ ช่วยให้พี่ต่อถึงจุดสุดยอด

พี่ต่อลงจากเตียง ไปยืนอยู่ข้างขอบเตียง ผมตามลงไปนั่งคุกเข่าต่อหน้า โดยตำแหน่งแท่งอ้อยของพี่ต่อจ่ออยู่ตรงหน้าปากของผม

ผมใช้ปากรูดแท่งอ้อยของพี่ต่อขึ้นๆลงอย่างรวดเร็ว พี่ต่อครางเบาๆ และใช้มือกดศรีษะของผมแนบกับหัวหน่าวของพี่แก พร้อมกับกระเด้าแท่งอ้อยเข้าๆออกๆปากผมอย่างถี่รัว ผมแทบจะสำลักลำแท่งอ้อยของพี่แก

พี่ต่อจิกเส้นผมของผมอย่างแน่น 3-4 วินาทีถัดมา พี่แกก็ร้องเสียงหลงออกมา น้ำเมือกสีขาวขุ่นฉีดกระจายเข้าไปในปากผมอย่างล้นทำนบ ผมกลืนน้ำพิศวาสเข้าไปอย่างเต็มใจ รสชาติของมันเฟื่อนๆขาวๆเค็มๆหนืดๆลื่นๆอย่างบอกไม่ถูก

เปิดบริสุทธิ์ครั้งแรกของผม เป็นการเปิดบริสุทธิ์ที่สุดแสนจะเสียวและประทับใจมาก ตั้งแต่นั้นมาผมกับพี่ต่อก็กลายเป็นคู่ขาประจำ แบบว่าุถ้าว่างตรงกันเมื่อไหร่เป็นอันได้ฟาดฟันกันจนเป้าเปียก ทุกครั้งผมได้เรียนรู้กลเม็ดเด็ดสุดในการประลองยุทธบนเตียงจากพี่ต่อเยอะมาก