Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 676
Message ID: 2
#2, RE: เรื่องเล่าจากเรื่องจริงตลอดหนึ่งเดือนของผม
Posted by สับสน on 10-Feb-15 at 01:53 AM
In response to message #1

ผมกับบุ๊ก

รูปโปรไฟล์ในแอปเป็นรูปน้องจริงๆ แต่อยู่ปีหนึ่งแล้วครับ น้องน่ารักมากแล้วก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจผมด้วยแฮะ หลังจากขับรถวนกันไปมาเพราะไม่รู้จะไปไหน น้องก็ชวนผมเข้าเมือง ระยะประมาณสัก 40 กิโลได้ ซึ่งถ้านับที่ผมขับรถมาแล้วเกือบ 200 กิโลทั้งวัน มันก็เป็นงานหนักมากกเลยแหละ แต่ก็นะ นัดออกมาแล้ว เพิ่งเจอกันด้วย ผมก็ตามใจน้องครับ

เราไปเดินเล่นตลาดเที่ยงคืนที่ปกติผมคงจะไม่ย่างกรายไป ผมเลี้ยงน้ำปั่นน้องแก้วนึง ระหว่างนั้นก็ได้สังเกตน้องชัดๆ น้องหุ่นเป๊ะมาก หน้าก็ดีมากอะ ถ้าพูดถึงรูปร่างหน้าตาแล้วเหมือนคนละโลกกับผม อย่างน้องนี่คือระดับเน็ตไอดอลนะ เพราะฉะนั้นผมก็เตรียมใจไว้แล้วล่ะว่า หลังจากเดินตลาดเสร็จ คงจะต้องพาน้องไปส่งบ้านแล้วก็แยกย้าย

แต่น้องกลับพูดขึ้นมาเองว่าอยากไปบ้านผม

เรากลับบ้านกัน นั่งเล่นที่โซฟา ตอนนั้นตีสองแล้ว ผมถามน้องว่าจะกลับบ้านไหม น้องบอกว่าผมขับรถเหนื่อยแล้ว น้องค้างก็ได้ บอกที่บ้านแล้ว

ส่วนเรื่องที่เหลือต่อจากนั้นก็คงจะเดาได้นะครับ

ในใจผมคิดว่าน้องคงอยากลองตามประสาวัยรุ่น เพราะน้องดูยังไม่เชี่ยวชาญและยังเขินๆ อยู่มาก แต่ก็พอเป็นนะ 55 ผมก็จัดไปครับ ถามว่ารู้สึกผิดกับเอินมั้ย ก็รู้สึกอยู่ครับ

ผมไม่ได้เล่าว่า ที่มหาลัย เอินนอนหอและมีอะไรกับรูมเมทของเขาด้วย เอินเล่าให้ผมฟัง ซึ่งผมก็ไม่ได้ห้ามน้องนะ ใจนึงก็คิดว่า ยังไงน้องก็ยังมาหาเรา คุยกับเรา และน้องพูดออกมาว่าเราคือที่หนึ่งของเขาและบอกรูมเมทไปอย่างนี้ด้วย ส่วนอีกใจนึงก็คิดว่า ถ้าสุดท้ายน้องจะเลือกเพื่อนเขาที่เป็นเด็กวัยเดียวกัน ผู้ใหญ่อย่างผมก็พร้อมจะหลีกทางให้

ด้วยเหตุนี้ คืนที่ผมมีอะไรกับบุ๊กนี้ผมก็คิดว่า คงไม่เป็นไรนะ แค่เซ็กส์เท่านั้นเอง พรุ่งนี้น้องก็ไปแล้ว

แต่วันต่อมา ผมกับบุ๊กก็ยังอยู่ด้วยกัน เราไปเดินเที่ยวกันอีก กินของแพง และเราก็กลับมามีอะไรกันอีก แต่คืนนั้นผมต้องไปส่งน้องที่บ้าน แล้วมารู้ทีหลังว่าน้องโดนดุเล็กน้อยที่ไม่กลับบ้าน 555

เราแลกไลน์กันแล้ว แล้วน้องก็ยังชวนผมคุยอีก แล้วก็ชวนผมไปเที่ยวทุกวัน พอดีน้องปิดเทอมยาวมากจาก AEC แล้วผมเองก็เป็นช่วงพักงานด้วย สรุปว่าทั้งอาทิตย์นั้นเรานัดกันทุกวัน แต่ละวันน้องชวนผมขับรถเข้าเมืองไกลมาก แต่ผมก็ยอมนะ โชคดีน้ำมันถูกลงมาหน่อย แล้วน้องก็ชวนผมไปกินนู่นนี่ตลอด ผมเองก็ชอบอยู่นะ ก็ไปกันทั้งอาทิตย์ แต่เราไม่ได้มีอะไรกันอีกครับ ตอนค่ำก็ไปส่งน้องเขาที่บ้านก็แค่นั้น

คืนวันพฤหัสบดีผมมีนัดเล่นกีฬากับเพื่อนๆ ซึ่งเพื่อนผมไม่มีใครรู้หรอกครับว่าผมชอบผู้ชาย ผมเองมีน้องชายอายุเท่าเอิน คือแก่กว่าบุ๊กหนึ่งปี ก็เคยพามาเล่นกีฬาด้วยกัน บุ๊กบอกว่า ให้ผมบอกเพื่อนว่าเขาเป็นเพื่อนน้อง แต่เพื่อนผมรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียน มันคือมีพิรุดแน่ๆ ถ้าบอกแบบนั้น สรุปแล้ว บุ๊กเลยขอแค่ตามมาที่สปอร์ตคลับ เขาจะนั่งเล่นโทรศัพท์รอในรถ หรือไม่ก็ไปแอบดูผมเล่นกีฬา หรือไม่ก็ขับรถผมไปดูหนังที่โรงหนังใกล้ๆ

ระหว่างที่ขับรถไปเล่นกีฬา เพื่อนบุ๊กโทรมาหาและชวนเขาไปกินข้าว ผมได้ยินเขาปฏิเสธไปครับ

ผมขอเพื่อนๆ เลิกเล่นก่อนตอนห้าทุ่มกว่าๆ บอกว่ามีธุระ ก่อนหน้านั้นบุ๊กไลน์มาบอกแล้วว่าเขาไปดูหนัง ผมไม่มีปัญหา แต่ขอให้เขากลับมาก่อนห้าทุ่มครึ่ง แต่สรุปว่าบุ๊กไม่กลับมาครับ ผมจะรอเขาอยู่ที่ลานจอดรถก็ไม่ได้ เพราะเดี๋ยวเพื่อนเลิกออกมาจะงง ผมเลยต้องเดินออกไปที่ถนนอีกฝั่งหนึ่งไม่ให้เพื่อนเห็น แล้วรอให้บุ๊กมารับ

โรงหนังที่บุ๊กบอกว่าจะไปดูอยู่ใกล้ๆ ครับ ขับรถอย่างมาก 10 นาทีก็ถึง แต่บุ๊กปล่อยให้ผมยืนรออยู่ข้างถนนกลางดึก 40 นาที

ผมรู้แล้วว่าบุ๊กโกหก เขาเองก็รู้เหมือนกัน มันชัดเจนซะขนาดนั้น สุดท้ายเขาสารภาพว่าเขาขับรถไปกินข้าวกับเพื่อน แล้วยังบอกเองว่าเขาไม่มีแฟนหรือกำลังคบกับใครอยู่จริงๆ

ผมบอกบุ๊กว่า ถึงเขาคบกับใครผมก็ไม่มีสิทธิ์ไปห้าม เพราะเราไม่ใช่แฟนกัน แต่ผมโกรธที่เขาโกหก ทำเหมือนผมเป็นไอ้โง่

แต่เอาความจริงไหมครับ ถ้าเขาขับไปหาคนอื่นจริงๆ ที่มากกว่าเพื่อน ผมนี่จะเจ็บปวดมากเลย แต่ผมก็พูดแบบนั้นไม่ได้เพราะผมก็มีเอินอยู่แล้ว ผมไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่า ระยะเวลาแค่สี่วันที่เราเจอกัน มันทำให้ผมมีความรู้สึกกับน้องได้มากขนาดนั้น

ทั้งที่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ทำไมคำว่า “ถูกสวมเขา” มันโผล่ขึ้นมาชัดเจนมาก ระหว่างทางที่ขับไปส่งน้องที่บ้าน ผมไม่พูดกับน้องสักคำจนน้องบอกให้ผมส่งเขาที่ถนนฝั่งตรงข้ามก็ได้ เพื่อที่ผมจะไม่ต้องกลับรถไปมาเพราะบ้านน้องอยู่ฝั่งขาเข้า แต่บ้านผมอยู่ฝั่งขาออก ตอนแรกผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันครับ แต่ตีหนึ่งแล้ว ปล่อยให้น้องเดินข้ามสะพานลอยถนน 12 เลน แล้วเดินเข้าซอยหมู่บ้านไปอีก 1 กิโลนี่มันก็คงใจหมาไปหน่อยและนะ ที่สุดผมก็ขับรถไปส่งน้องถึงหน้าบ้าน ก่อนลงจากรถ น้องหันมาบอกผมว่า

“ขอโทษ...และก็...ขอบคุณนะ”