Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 429
#0, นาคบาศ
Posted by Cakuko on 12-May-12 at 08:19 PM
สวัสดีค่ะ เป็นเรื่องสั้นเท่านั้นนะคะ อ่านเอามันส์และความสนุกค่ะ

+++++


นาคบาศ

ขณะก้าวย่างระมัดระวังฝ่าสุมทุมพุ่มใบบังเข้าไปใกล้สระน้ำข้างหน้า เขารู้สึกถึงกระแสร้อนจากเชือกนุ่มในกำมือ พลางเขากระหวัดไปถึงวิธีการซึ่งเขาได้มันมาไว้ครอบครอง

เขายังจำได้ถึงใบหน้าแย้มยิ้มและแววเลศนัยเคลือบอยู่ในดวงตานั่น

ขดเชือกสีเขียว เปรียบได้ราวกับขนดของนาคา ผู้มีพิษร้ายแรง และจอมนาคผู้มอบบ่วงนาคบาศนี้ให้เขา ก็เป็นผู้คายพิษใส่เชือกนี้ด้วยตนเอง เชือกซึ่งเมื่อผูกรัดสิ่งใดแล้ว ย่อมไม่อาจหลุดได้ง่าย ไม่ว่าจะใช้อะไรมาบั่นให้สะบั้น นอกเสียจากว่าผู้ผูกเงื่อนมัดจะเป็นผู้แก้เสียเอง

จอมนาคาผู้มีพิษเอ่ยกับเขายามยื่นบ่วงนาคบาศให้ว่า

“ด้วยเจ้าเป็นผู้ช่วยชีวิตเราจากมนุษย์ใจทราม บ่วงนาคบาศนี้จึงเป็นของตอบแทนจากเรา จงใช้มันตามใจปรารถนาเถิด พรานบุญเอย”

จอมนาคากล่าวจบก็ผลุบหายลงในสายนทีลึกล้ำ

+++++

พรานบุญปลูกบ้านชายป่าอาศัยอยู่เพียงลำพัง นับจากบิดาตนได้ตายจากด้วยสัตว์ร้ายคร่าชีวิต เขาก็อยู่ลำพังมาคนเดียวตลอด ยังชีพด้วยการหาของป่าและล่าสัตว์เอาเข้าไปขายในกรุงพาราณสี อันวิชาความรู้ใดๆ ประดามี บิดาผู้เป็นพรานเฒ่าก็ได้ประสิทธิ์ประศาสน์ให้เขาจนหมดแล้ว แม้บิดาจักลาโลกไป เขาก็อยู่ได้ไม่เดือดร้อน จนบัดนี้เขาย่างเข้าสู่วัยเบญจเพศแล้ว

พรานบุญมิใช่พรานประเภทเกียจคร้านสันหลังยาว ผู้ซึ่งมักหาเมียมาเพื่อรับใช้ให้นวดเฟ้น แล้วตนก็เอาแต่สูบกล้องยาเมื่อยามว่างงานมิได้เข้าป่าล่าสัตว์ เขาเป็นผู้อยู่เดียวดาย และด้วยเหตุนี้กระมัง เขาจึงขยันขันแข็ง หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน อาบเหงื่อต่างน้ำ เพื่อแลกมาซึ่งข้าวอิ่มท้อง แม้เป็นพราน ทว่าหนุ่มพรานบุญก็มิได้เข้าป่าทุกวัน เขาจะล่าสัตว์ก็แค่สองราตรีของจันทร์เพ็ญแลจันทร์แรม ส่วนเวลาอื่นนั่นหรือ เขาหาของป่าเช่นเผือกมัน หรือน้ำผึ้งรสชาติซ่านลิ้น กับพวกผลไม้ป่าหายาก เอาไปขายในเมือง และบางส่วนเก็บตุนไว้เป็นเสบียงยามฤดูหนาว

นอกจากนั้นแล้ว เขายังปลูกพริก ปลูกผักหญ้าอื่นๆ อีกมากโข ต้นไม้ให้ลูกรอบบ้านซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาตินั้นเล่า เขาก็จัดการตัดเสี้ยนให้เตียนโล่งแล้วซึ่งวัชพืชพฤกษ์กาฝาก จนสะอาดตาและเจริญเติบโตให้ลูกให้ผลแก่เขาได้อิ่มหนำ เพราะด้วยความรักในสันโดษหรือเพราะเหนียมอายในชาติกำเนิดว่าตนเป็นเพียงลูกพรานยากจน เขาจึงไม่คิดหาเมียมาอยู่คอยปรนนิบัติ ซ้ำร้าย เขายังคิดอีกว่า คงมิมีสาวใดในเมืองพาราณสีนี้ดอก ซึ่งจะพร้อมใจมาตกระกำลำบากอยู่กับเขาหากไกลผู้คน รอบกายมีแต่ป่าใหญ่ไพรกว้าง น่ากลัวว่าสัตว์ป่าดุร้ายจะลอบออกมาลากไปกัดกิน

และด้วยความรักสัตว์ แม้ว่าตนจะเป็นพรานผู้คร่าชีวิตสัตว์นี้เอง ทำให้เขายื่นมือเข้าช่วยจอมนาคจากความตายอันอุกฤษฏ์ เนื่องด้วยพราหมณ์เฒ่าเจ้าเล่ห์วางแผนปลิดชีพ จนกระทั่งเขาได้บ่วงนาคบาศลือชื่อมาเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว

อาวุธวิเศษเหล่านี้มักมีอุปนิสัยแปลกประหลาด คนเหล่าใดต้องการมันมาไว้ในครอบครอง ย่อมไร้แล้วซึ่งโอกาส แต่ผู้ใดซึ่งไม่่หวังจะได้มันมาและทำประโยชน์ต่อผู้อื่นไปโดยไม่หวังผล ผู้นั้นย่อมได้มาซึ่งของรางวัลล้ำค่าเหลือคณานับ ดั่งนี้ เหมือนเป็นการสอนสั่งมนุษย์ให้ตระหนักว่า ทำบุญจงอย่าหวังผล ความดีความงามที่เราได้กระทำลงไป จักงอกงามออกดอกตอบแทนเมื่อเวลามาถึง

พรานบุญแม้จะยังหนุ่มแน่น หากเขายึดมั่นในศีลและธรรม แม้ว่าการดำรงชีพอยู่ด้วยอาชีพพรานป่านี้จะทำให้ต้องละเมิดศีลข้อปาณาฯ อยู่เนืองนิตย์ แต่นับจากบิดาต้องสูญชีวิตให้กับกรงเล็บสัตว์ป่าบ้าคลั่ง เขาก็ละเลิกและหันหลังให้กับการคร่าชีวิต เดี๋ยวนี้เขาดำรงชีพราวกับนักบุญผู้ละแล้วซึ่งเรื่องทางโลก ประทังชีพอยู่ด้วยผลหมากรากไม้นานาจะหาได้ และที่เขาเพาะปลูกไว้เอง นานๆ ทีเขาจึงจะเข้าป่าเพื่อดักจับสัตว์สักครั้งหนึ่ง อย่างเมื่อครั้งนั้นซึ่งเขาเข้าป่าเดินทางนับแรมเดือนเพื่อให้ได้มาซึ่งนางกินรีผู้มีโฉมพริ้มเพราดังเกลาเกลี้ยง เขาก็ใช้บ่วงนาคบาศนี้แหละจับกุมนางไว้ได้ จนเขาได้รับบำเหน็จรางวัลจากพระสุธนราชาผู้ครองมหานครปัญจาละหน่อเชื้อพระอาทิตย์เทพ

ครั้งนี้เมื่อยามจันทร์เพ็ญขึ้นอยู่เต็มฟ้า แลนางนกป่าร่ำร้องเป็นเสียงอ้อยสร้อยออดอ้อนอยู่ในราวป่า เรียกให้ใจเขาประหวัดโหยหาไออุ่นแห่งเรือนร่างอ่อนนุ่ม แม้จะเป็นการง่ายหากเขาจะใช้ทรัพย์ที่มีไปเที่ยวโรงคณิกาในเขตเมือง แต่นั่นเป็นความสุขเพียงฉาบฉวย เมื่อได้มันมา แล้วก็จักหมดสิ้นไปโดยไร้ประโยชน์ สิ่งที่พรานบุญหนุ่มเดียวดายคิดได้ตอนนั้นคือ ร่างแฉล้มแย้มยิ้มหุ่นพริ้มเพราของนางกินรี

นี่เป็นสิ่งอันตรายยิ่งแล้ว อันซึ่งหนุ่มมนุษย์จักคิดในทางปฏิพัทธ์กับนางเผ่ามนุษย์กึ่งเทพซึ่งนับว่าอยู่เหนือเอื้อมมือนี้นับว่าแปลกประหลาดมิเคยมีมาก่อน อันการจะได้มาซึ่งนางเทพชาวกินนรนั้น เขาจะต้องบากบั่นบุกป่าฝ่าไปถึงเชิงเขาหิมวันตบรรพตนั่นเทียว แลการเดินทางนั้นก็กินเวลาแรมเดือน หากใจหรือกายมิพร้อมพรักก็จักถอดสติตั้งมั่นแลสูญชีวิตไปได้เลยทีเดียว แลสระอโนดาตนั้นเล่า ก็เต็มไปด้วยสัตว์ป่าดุร้ายซึ่งอาศัยอยู่แถบถิ่นนั้น ซึ่งต้องคอยเวลาวันจันทร์เพ็ญเท่านั้นจึงจะปลอดจากภยันตรายจากพวกมัน

ด้วยเคยไปเยือนสถานที่แห่งนั้นแล้วครั้งหนึ่ง พรานบุญจึงมิพรั่นสะพรึงในอก แลไม่คิดหน้าคิดหลัง หากตั้งจิตวางใจจะไปให้ถึงที่แห่งนั้นให้จงได้ เขาไม่คิดไตร่ตรองถึงนางมนุษย์ชาวเมืองซึ่งเขาอาจจะใช้ทรัพย์ศฤงคารที่มีไปสู่ขอเอาได้โดยง่าย ใจของเขารุ่มร้อนยามนี้เพราะอยากจะสัมผัสกับเรือนกายอ่อนนุ่ม และหอมอวลอบด้วยกลิ่นอันเป็นทิพย์ ดึกดื่นนั้น เขาหลับไปขณะน้ำค้างกำลังพรมยอดหญ้ากับใบไม้ เขาหล่นสู่ห้วงนิทราด้วยจิตประหวัดใบหน้านางกินรีนางใดนางหนึ่งซึ่งจะตกเป็นเหยื่อในบ่วงนาคบาศของเขา

พรานบุญหนุ่มขยับลุกแต่เช้ามืด กายรู้สึกกระปี้กระเปร่า ยามก้าวเดินท่วงทีก็ดูกระฉับกระเฉงไม่เนิบนาบ เขาเอาสะเบียงใส่ย่าม เอาผ้าห่มยัดใส่ถุงผ้าอีกถุง ใบหน้าคมสันและร่างกายกำยำล่ำสันแห่งชาติบุรุษผู้กรำงานหนัก ดูราวกับนักรบผู้เตรียมพร้อมจะออกศึก เขาก้าวเดินไปทางทิศที่จำได้มิลืมเลือน

+++++

หนทางแรมเดือน เขาจึงลุถึงเชิงผาหิมพานต์ อากาศโดยรอบนั้นหนาวเย็น เนื่องด้วยลมหนาวยะเยือกแผ่พัดมาจากหมู่เทือกวินธัยอันเป็นสถานที่อาศัยของเหล่าเทพกินนร ที่นั่นหิมะปกคลุมตลอดปี หากเบื้องต่ำลงมานี้กลับยังดินดีและน้ำอุดม ป่าเขียวขจีแลพรรณไม้เป็นที่เขียวชอุ่มจำเริญตา พรานบุญหนุ่มได้อาศัยส้มสูกลูกไม้ประทังชีพเรื่อยมา

ธารน้ำใสเย็นเห็นถึงกรวดก้อนนอนสงบใต้สายธารา พรานบุญคุกเข่าลงกับดินชุ่มน้ำ แล้วกอบมือเป็นดุจถ้วยวักเอาน้ำขึ้นดื่ม ลูกกระเดือกเคลื่อนขึ้นลงส่งน้ำใสแลเย็นเยียบลงสู่ท้อง เขาพลันซาบซ่าน โลมาลุกชันทั่วสรรพางค์ เมื่ออ่ิมหนำ จึงวักน้ำขึ้นมาเช็ดตามคอกับใบหน้าให้ตนตื่นจากง่วงงุนและความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางแรมไกล

พรานบุญพบที่นั่งพักร่มเย็นอยู่ใต้ต้นรังใหญ่แผ่กิ่งก้าน เขารวบเอาใบไม้แห่งหล่นทับมากองรวมเป็นกระจุก พร้อมกับคว้าเอากิ่งไม้แห้งหล่นเรี่ยแถวนั้นมาหักเป็นเชื้อเพลิง แล้วจึงล้วงเอาหินไฟจากในย่ามมาถูกันจนเกิดประกายไฟ ไม่นานกองไฟเล็กๆ ก็ปะทุขึ้น พรานบุญนำเอาเผือกแลมันออกมาปิ้งย่างกับไฟร้อนเป็นอาหารได้อิ่มมื้อหนึ่ง

พรานบุญล้มกายลงนอนกับที่นอนใบไม้ซึ่งเขาทำขึ้น เพื่อพักผ่อนกายาสักครู่ก่อนเริ่มออกเดินเท้าเข้าสู่ที่ตั้งสระอโนดาตมหาโบกขรณี ทิวานี้เป็นวันเดือนเพ็ญ แลเย็นย่ำค่ำคืนนี้ดวงแขไขจักโผล่พักตร์กระจ่างแย้มยิ้มเหนียมอายออกมาสู่โลก ส่องแสงสีนวลงามอุ่นตาให้สัตว์เบื้องล่างในโลกได้ยล และเขาจะอาศัยช่วงเวลานั้นจับนางเทพกินนรนางใดก็ได้ด้วยบ่วงนาคบาศพิษแรงนี้ และเมื่อนั้นเขาจะได้นางมาไว้ในครอบครอง

หมายไว้เช่นนั้นในมโนตนแล้วจึงหล่นหลับลงสู่นิทรา ขึ้นชื่อวิสัยพรานแล้ว การนอนมิใช่การหลับลึกลุ่มหลง หากเป็นการนอนเพียงตาหลับ ส่วนประสาทรับรู้ยังตื่นเต็ม มาตรว่าอันตรายร้ายแรงอันใดกรายใกล้ เขาย่อมตื่นลุกได้ไวว่องเพื่อป้องกันตน

เมื่อเป็นดังนั้น โสตสดับเสียงเคลื่อนไหวกายกรอบแกรบใกล้ๆ เขาจึงผุดลุกขึ้นว่องไว้ มีดสั้นที่มีติดกายไว้ทุกชั่ววารจ่อติดกับอะไรสักอย่างซึ่งเข้ามาเยือนด้วยจุดประสงค์ปริศนา สิ่งที่อยู่ต่อหน้าเขานั้น ทำให้พรานบุญถึงกับตะลึงนิ่งงันอยู่กับที่ มือซึ่งกำมีดปลายแหลมหยุดนิ่งราวกับถูกมนต์ดำสะกดไว้เสียแล้ว

ปลายมีดแหลมของเขาตอนนี้จ่อติดอยู่กับผิวเนื้อขาวผ่องแห่งลำคอระหงของใครคนหนึ่ง ด้วยความแหลมแลคมแห่งวัตถุทำให้เลือดจากกายนั้นหลั่งออกมารวมกันเป็นหยดแดงสด แล้วเลื่อนไหลลงตามผิวเนื้อขาวนวลเนียน ใบหน้าแฉล้มพริ้มเพราเชิดหยิ่ง ปากเม้มเป็นเส้นตรง ดวงตามีแววทรนงตน และมองราวกับว่าพรานบุญหนุ่มหน้าคมเป็นเพียงสัตว์ต่ำตมถมดิน

“เจ้าประสงค์สิ่งใด”

เขาเอ่ยถามออกมาด้วยเสียงอันกร้าว

ร่างนั้นมิได้ตอบคำ หากค่อยขยับกายถอยออกห่างทีละน้อยในลักษณะซึ่งมิได้แสดงพิรุธใดๆ ออกมา ทว่าพรานบุญกลับรู้แจ้งในท่าทางของคนตรงหน้าเขาเป็นอย่างดี แลด้วยความคล่องตัวของพรานหนุ่มมือฉมัง ปลายมีดแหลมคมก็ตามติดไปจ่ออยู่กับลำคอระหงนั้นมิห่าง ยังผลให้เจ้าของร่างต้องเม้มปากแน่นแรงจนห้อเลือดแดง

“หากเจ้าไม่บอกเราว่าประสงค์สิ่งใด จึงอาจหาญลอบเข้ามาใกล้ตัวเราในยามหลับ เราจักบั่นคอเจ้าด้วยกริชเล่มนี้ มาตรว่าเจ้าเป็นผีไพรหรือภูติปีศาจชั่วช้า ก็อย่าหวังว่าจะรอดจากคมกริชนี้ไปได้ ด้วยว่ามันถูกชะโลมอาบด้วยน้ำมนต์ศักด์ิสิทธิ์ ไม่ว่ามันผู้นั้นจะเป็นมนุษย์ฤๅสิ่งทิพย์ กริชข้าย่อมสามารถดื่มเลือดได้เฉกกันหมด!”

“คุยโว” เสียงหวานใสแผ่วดังออกมาจากลำคอระหงนั้น การที่เอ่ยวจีออกมาสิ่งผลให้คมแห่งกริชยิ่งบาดลึกเข้าไปในเนื้อสีขาวจนโลหิตทะลักหลั่งออกมาอีกมาก ร่างนั้นกระตุกด้วยเจ็บ ทว่ามิได้ส่งเสียงโอดโอยให้เป็นที่น่าเวทนา

“หาว่าเราคุยโว เจ้าอยากจะลองดูสักครั้งหรือไม่”

“มนุษย์ต่ำต้อย เอามีดของเจ้าออกห่างเราเดี๋ยวนี้!”

“เกรงว่าจะทำไม่ได้ดังเจ้าต้องการ ดูซิ แม้บัดเดี๋ยวนี้ กริชของเราก็กำลังเอมโอษฐ์อยู่ด้วยโลหิตอันหวานของเจ้า หากเจ้ารักตัวกลัวตายเสียแล้ว ก็จงแจ้งแก่เรามาว่าเจ้าประสงค์ร้ายคิดชั่วประการใด จึงลอบเข้ามาประชิดตัวเรายามหลับนอน!”

ร่างระหงนั้นมิได้ตอบคำใด หากสายตาคมหวาน ดุ กลับตะหวัดไปมองที่เอวของพรานบุญซึ่งมีบางสิ่งผูกรัดไว้เป็นมั่น พรานบุญหนุ่มมองตามจึงแจ้งแก่ใจ

“อ้อ! กระนั้นฤๅ” เขาเดาะลิ้นอย่างเห็นขัน “เรามิหลากใจเลย หากแม้นว่าเจ้าจะลอบเข้ามาลักบ่วงนาคบาศนี้จากเรา ก็มันเป็นอาวุธอันมีฤทธิ์อุโฆษฤๅมิใช่ แต่เกรงว่าเจ้าจะมิอาจชิงมันไปจากเราได้ ด้วยบ่วงนี้มันมีชีวิต แลจักตอบรับคำขอของผู้เป็นนายแห่งมันเท่านั้น แม้นเจ้าสัมผัสมันโดยเราไม่อนุญาต เจ้าก็จักปวดแสบปวดร้อน ถึงการปวดร้าวร่างกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”

“จะซักแค่ไหนกันเชียว”

“หรือจะลองดูไหมเล่า อย่าว่าแต่ตอนนี้เจ้าจะหลุดพ้นจากปลายกริชเราเลย อย่าหวังแม้แต่จะสู้กับบ่วงนาคบาศของเรา”

“มนุษย์มักกระหยิ่มยามได้ของสูงเกินตนมาครอบครอง เปรียบได้กับวานรเขลาผู้ได้แก้วรัตนามาไว้ในมือ หาได้รู้สรรพคุณอันเลือดภพแห่งมันไม่ เจ้าเองก็เช่นกัน เป็นเพียงมนุษย์เดินดิน ไยอาจหาญลักขโมยเอาบ่วงนาคบาศมาไว้ในครอบครอง”

“เจ้าว่าเราขโมยสิ่งนี้มา?”

“ก็แล้วเจ้าจะได้มันมาด้วยวิธีการใดเล่า หากมิใช่ด้วยการลักขโมย”

“บ่วงนาคบาศเป็นอาวุธเสกสรรขึ้นโดยจอมนาคาชมพูนิต ไยข้าจะอาจหาญลงไปถึงภพภูมินาคาเพื่อลักขโมยเอาอาวุธซึ่งท้าวเธอจักต้องเก็บไว้กับตนอย่างแน่นอนด้วยเล่า นั่นเป็นการกระทำอัตกรรมนิบาตโดยแท้”

“ก็แล้วมันจะแปลกอะไรเล่า ในเมื่อมนุษย์ก็มักทำในสิ่งโง่เขลาเบาปัญญาอยู่แล้ว”

“เอ เราแปลกใจเหลือเกินว่าเจ้าเป็นใคร และเป็นอะไรกันแน่ จึงได้มาด่าว่าพวกมนุษย์อยู่ปาวๆ อย่างไม่เกรงเราซึ่งก็เป็นมนุษย์เช่นกัน”

“เจ้าไม่อยากรู้หรอกว่าเราเป็นใคร เราขอเตือนเจ้าให้เจ้าเสือกเอาปลายมีดของเจ้าออกไปจากคอเราบัดเดี๋ยวนี้ ก่อนเจ้าจะต้องเสียใจ”

“เราไม่เห็นว่าเจ้าจะน่าเกรงกลัวอันใดเลย ดูซิ เรือนกายก็แน่งน้อย ผอมกะหร่องกล้องแกล้ง ดูไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ เจ้าจะทำอันตรายอะไรเราได้”

“อย่ามาสบประมาทเรานะ เราเป็นชายชาติบุรุษ การจะให้บุรุษอื่นมากล่าวหาเช่นนี้เรายอมไม่ได้!”

“ประหลาดแท้!” พรานบุญหนุ่มหน้าคม ร้องขึ้นด้วยหลากใจ “เจ้าเป็นชายหรอกหรือ เราหลงนึกว่าเจ้าเป็นนางป่าตัวน้อยเรือนร่างแฉล้มแช่มช้อยเสียตั้งนาน อา...แต่เรือนร่างเจ้าช่างดูคล้ายกับอิตถีเพศเสียจริงๆ”

“หยุดวาจาสามหาว”

“หึ หากเจ้าเป็นบุรุษจริง ก็นับว่าเป็นบุรุษซึ่งงดงามเกินบุรุษใดในโลก แต่จะอย่างไรก็ตาม เจ้าบังอาจลอบเข้ามาด้วยหวังจะลักขโมยอาวุธของเรา เราคงปล่อยเจ้าไปไม่ได้ ดีแล้วละ! เจ้าจะได้ลิ้มลองรสชาติของกำลังแห่งบ่วงนาคบาศนี้ อย่างที่เจ้าต้องการมากมายอย่างไรละ!”

มือกุมกริชในมือแน่น แลปลายกริชก็ยังคงจ่อติดอยู่กับลำคอระหงขาวนวล อีกมือที่ว่างนั้นเลื่อนไปข้างกายซึ่งมีบ่วงนาคบาศผูกติดไว้แน่น พลางริมฝีปากก็บ่นพร่ำพระเวทย์มนตราซึ่งท้าวชมพูนิตจอมนาคาได้สั่งสอนไว้ เมื่อจบคำ ไอร้อนพวยพุ่งออกมาจากบ่วงนาคบาศนั้นโดยแรง ยังให้ร่างแฉล้มที่นั่งเกร็งอยู่ตรงหน้้าต้องสะดุ้งสุดกาย พลางดวงตาสังเกตเห็นว่าขดเชือกสีเขียวนั้นเริ่มคลายออกจากกัน แลเคลื่อนไหวในลักษณะราวกับเป็นอสรพิษร้าย เลื่อนออกจากบริเวณบั้นเอวของพรานหนุ่มแล้วพุ่งตวัดมากับอากาศแล้วรวบตัวเข้ากับร่างของผู้มีกายขาวผ่อง พรานบุญดึงกริชกลับมา ปล่อยให้ร่างที่ถูกพันธนาด้วยนาคบาศต้องเป็นอันล้มตึงลงไปกับพื้นซึ่งปูไว้ด้วยใบแห้งจากต้นรังใหญ่

แม้หยุดยืนอยู่ใกล้ พรานบุญหนุ่มยังรู้สึกถึงกระไอร้อนพวยพุ่งออกมา ไยร่างที่โดนผูกมัดอยู่นั้นจะนิ่งเฉยอยู่ได้โดยมิรู้สึกถึงพิษแห่งนาคได้เล่า ร่างนั้นพลันร้องโอดโอยออกมาด้วยเสียงอันดังแลกราดเกรี้ยว พร้อมกับการแช่งสาปให้พรานบุญได้พบกับจุดจบอันน่าขนพองสยองเกล้า พรานบุญผู้เป็นหนุ่มย่างก้าวเข้าไปใกล้ แลยื่นมือออกไปยังร่างนอนเกลือกกลิ้งกับพื้นด้วยท่าทางอันน่าสมเพชนั้น พลันบ่วงนาคบาศก็พุ่งกระเด็นขึ้นมาเป็นห่วงให้เขาได้ใช้มือจับกระชับและกระชากเอาร่างในพันธนาขึ้นมาจากพื้นให้ยืนอ่อนเปลี้ยอยู่ด้วยแรงเหลือน้อยนิด

ร่างนั้นดีดดิ้นหวังจะหลุดรอดเป็นอิสระภาพ หากก็ต้องใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยเจ็บปวดแลแสบร้อนเพราะไอพิษจากบ่วงนาคบาศนั้นได้พวยพุ่งขึ้นมาทุกครั้งที่พยายามจะสลัดมันให้หลุด

“บ่วงนี้เป็นของวิเศษและมิต่างอะไรกับตัวนาคาผู้ปล่อยพิษเอง หากเจ้าดิ้นรนขัดขืนมากเพียงใด มันก็จะยิ่งรัดรึงเจ้าแน่นขึ้น แลหากมันรัดเจ้าจนถึงระยะหนึ่ง มันจะแผดเผาเจ้าจนเหลือเพียงเถ้ากระดูก ดังนั้นเจ้าจงอยู่นิ่งเฉยเสีย อย่าได้ดิ้นรนอีกเลย”

“ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะมนุษย์สถุน!”

“ก็เราเป็นเพียงมนุษย์สถุน เปรียบได้กับอาจมและหนอนซึ่งชอนไชศพเน่าเฟะ คงมิอาจจะเข้าใจภาษาที่เจ้าเอื้อนเอ่ยออกมาดอก ดังนั้นเราคงจะทำตามคำขอของเจ้าไม่ได้ ด้วยว่าเราไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้าเอ่ยเลยแม้สักน้อย”

“เจ้าอย่ามาเล่นลิ้นกับเรานะ!”

“มิได้ดอกมานพรูปงามเอย เรามิได้เล่นลิ้น หากแต่วาจาไปตามแต่เห็นควร น่าขันนักที่เจ้าด่าว่ามนุษย์อยู่ป่าวๆ แล้วเจ้าก็ต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือแห่งมนุษย์ต่ำต้อยเสียเอง”

“เจ้า!” คนในบ่วงบาศกายสั่นด้วยโกรธเหลือคณานับ ตาแดงนั้นปรากฏราวเป็นไฟแดงโรจน์ อากาศรอบกายพลันไหลเลื่อนระยิบราวกับมีพยับแดด “เจ้าจะต้องเสียใจ!”

แล้วใบหน้างดงามนั่นก็แปรเปลี่ยนไป...เพียงเล็กน้อย ด้วยว่าสิ่งที่เพิ่มเข้ามานั้นคือเขี้ยวเล็กๆ เพียงสองอันที่มุมปากทั้งสองเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว ไม่ถือว่ามีอะไรใหม่เพิ่มเข้ามาเลย เขี้ยวขาวเล็กๆ เพียงนิ้วก้อยนั้นบ่งชัดถึงชาติพันธุ์คนในบ่วงบาศได้ดีเหลือเกิน

“ยักษา!” พรานบุญอุทานออกมา

“เจ้าปล่อยเราบัดเดี๋ยวนี้ ก่อนเราจับเจ้ากินเป็นภักษา!”

“ฮะ ฮะ เจ้าอย่าให้ข้าเห็นขันมากไปกว่านี้เลย หลุดจากบ่วงบาศยังมิได้ แล้วไฉนเจ้าจึงจะจับข้ากินได้เล่า มาเถอะ พ่อยักษ์น้อย ตามข้ามาเสียเดี๋ยวนี้ บางทีเราอาจจะใช้ประโยชน์จากเจ้าได้บ้าง”

“ไอ้สามานย์!”

“หุบปากเสีย! ก่อนเราจะหักเขี้ยวแลบั่นลิ้นเจ้าให้หลุดจากปาก!”

+++++

เย็นย่ำสนธยา ป่าเงียบกริบ ราวกับสัตว์จตุบาททวิบทได้หลบลี้หนีหายไปจากโลก พรานบุญนำยักษ์หนุ่มน้อยมาถึงบริเวณสระอโนดาต ซึ่งรายล้อมอยู่ด้วยพรรณไม้ดอกสีและกลิ่นกำจายตลบอวลอยู่นี้ช่างจรุงเสียจนพรานหนุ่มเผลอเคลิบเคลิ้มอยู่กับกลิ่นอันทำให้ใจหวาบหวาม พลางมโนนึกไปถึงกรุ่นกายแห่งนางเทพกินนรซึ่งตนกำลังจะได้คล้องมาด้วยบ่วงนาคบาศนี้ในเวลาอันมิช้านานนี้แล้ว ความคิดนั้นยังให้พรานหนุ่มถึงกับสั่นกายด้วยความหวาบหวานแห่งใจตน

“เจ้ากำลังคิดอุบาทว์วิตถารอยู่เป็นแน่ วิสัยมนุษย์ย่อมหนีมิพ้นเรื่องโสมมพวกนี้”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเราคิดอันใดอยู่ ณ ขณะนี้ หรือเจ้าอ่านจิตใจของเราได้”

“เราเป็นชาติยักษา ใยเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้จะทำไม่ได้ ไอกลิ่นกระหายในกามามันแผ่กระจายออกมาจากกายเจ้าจนเราเหม็นไปหมดแล้ว เรารู้ละว่าเจ้ามา ณ สระอโนดาตด้วยหมายจะจับนางกินรีไปเป็นเมียละซิ”

“เจ้าอ่านใจเราได้”

“ใจโสมมของเจ้าเราไม่อยากอ่านหรอก! เด็กอมมือยังดูออกว่าเจ้าน่ะมั่วอยู่แต่ในกามารมย์”

พรานบุญหนุ่มได้แต่เงียบ ด้วยมิรู้จะโต้ตอบคำครหาของยักษ์หนุ่มน้อยเช่นไร ได้แต่ตวาดกลับไปด้วยเสียงอันดังว่า “เงียบซักที อะไรก็จะหลบหนีหายไปหมดเพราะเจ้านี่แหละ ขืนเอ่ยอะไรมากกว่านี้ เราจะตัดลิ้นเจ้าจริงๆ ให้ดู!”

“อย่ามาขู่ เราไม่กลัวเจ้าหรอก”

“ปากเก่งนัก นาคบาศ!” เมื่อพรานบุญเอ่ยขึ้นเช่นนั้น ปลายนาคบาศก็กระหวัดไหววูบ แลเลื่อนไหลขึ้นมาขยายใหญ่เป็นผ้าผืนหนึ่งแล้วรวบมัดปากของหนุ่มน้อยจนถึงท้ายทอย ยังผลให้ฝ่ายนั้นได้แต่อึกอักมิอาจกล่าวอะไรออกมาได้อีก

พรานบุญยิ้มอย่างผู้มีชัยยะ ส่วนเจ้ายักษ์หนุ่มน้อยได้แต่เพ่งสายตาพิฆาตคุมแค้นมาให้ ตาแดงเป็นแสงไฟนั้นบ่งว่า มาตรว่าตนหลุดจากบ่วงบาศนี้ได้เมื่อใด อย่าหวังว่าพรานบุญจักได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป

ยักษ์หนุ่มน้อยยังคงมองจ้องพรานบุญอยู่เช่นนั้น แม้ยามตนถูกดันให้นั่งลงเอาหลังแนบกับเนื้อไม้ไทรใหญ่ข้างสระอโนดาตซึ่งมีหมู่พุ่มพฤกษ์หนาบดบังพวกตนไว้จากใครก็ตามซึ่งหากจะมองมาจากสระแล้ว จะมิเห็นสิ่งใดเลย เชือกนาคบาศแยกขยายออกไปรัดรอบต้นไทรใหญ่ แล้วตรึงยักษ์หนุ่มน้อยไว้เช่นนั้นเป็นอันขยับกายมิได้เลยสักน้อยเดียว

“อยู่เช่นนั้นแหละ ดูซิว่าโดนมัดติดกับต้นไม้อย่างนั้น ปากก็โดนมัดไว้เสียแล้ว เจ้าจะก่อกวนอะไรเราได้อีก”

+++++

ดึกดื่นน้ำค้างพรม จันทร์เพ็ญขึ้นถึงกึ่งฟ้า ค้างเติ่งอยู่เช่นนั้นราวกับมีใครเอาด้ายระยิบไปผูกติดไว้ ให้ฉายแสงนวลส่องสว่างลงมายังโลกเบื้องล่าง หิมวานไพรวันตกอยู่ในลำแสงนวลอบอุ่นราวอ้อมกอดแห่งมารดา แสงสีราวกับโดนสาดด้วยน้ำขมิ้นนั้นทำให้ทุกสิ่งราวเป็นภาพฝัน

พรานบุญขยับกายเล็กน้อย ด้วยรู้สึกปวดเมื่อยและล้าที่ขาเนื่องจากได้นั่งนิ่งอยู่ในท่านั้นมานานแสนนานแล้วเพื่อรอคอยเหล่านางนกกึ่งเทวะเหล่านั้นให้ลงมาสระสรงวารีอาบแสงจันทร์ เขาเอี้ยวตัวหันหลังไปมองยักษาหนุ่มน้อยชั่วอึดใจหนึ่ง เห็นฝ่ายนั้นนั่งพิงโคนต้นรังใหญ่แน่นิ่งไปมิได้เคลื่อนไหวกาย ดวงตาปิดแนบสนิท จมูกเล็กนั้นเชิดขึ้นเล็กน้อย บ่งอุปนิสัยว่าเป็นคนรั้น เลือดร้อนแลอารมณ์ดุจเปลวอัคคี หากดวงหน้านั้นกลับดูเย็นตาลงด้วยวงคิ้วอันโก่งงาม แลขนตางอนซึ่งปกหน่วยตานั้นได้อย่างเหมาะเจาะ อย่างนี้เรียกคิ้วโก่งดั่งคันศร ด้วยทุกอย่างที่กล่าวมา ทำให้ใบหน้านั้นแม้ดูดื้อรั้นตามประสาผู้เกิดมาในโลกเพียงไม่กี่ฤดูหนาว หากก็ดูอ่อนหวานแลพริ้มเพราน่าหลงใหล...เอ๊ะ...

...น่าหลงใหล!

ภายใต้มนต์แห่งจันทรา ทุกอย่างมักอันตราย แลพรานบุญเห็นว่าตนอาจจะกำลังตกอยู่ภายใต้มนต์พิศวงแห่งดวงแขไข เขารีบสลัดความคิดประหลาดนั้นออกจากหัว แล้วหันไปมุ่งความสนใจแห่งตนที่สระอโนดาตซึ่งยามนี้มีประกายระยับแห่งแสงจันทร์กำลังระยิบอยู่ที่ผิวน้ำ จนทำให้สระทั้งสระกลายเป็นสระแก้วอันบริสุทธิ์ราวมีเกล็ดเพชรโรยราย แลยามนี้มีหิ่งห้อยแมลงน้อยแสงบินอยู่ตรงนั้นตรงนี้ จนเป็นดั่งเทพซุกซนองค์ใดแอบโกยเอาดวงดาวบนฟากฟ้ามาโปรยไว้

แลเมื่อพรานบุญหนุ่มผู้เปลี่ยวในอารมณ์กำลังลุ่มหลงกับความงดงามแห่งธรรมชาติตรงหน้า เสียงกระพือแห่งปีกก็ดังขึ้นในความสลัวรางเลือน เขาพลันเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนศีรษะ และเห็นแสงระยับจับกับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ที่สวมใส่

เสียงกระพือแห่งปีกนั้นมิใช่เสียงน่าเกลียดซึ่งทำให้สัตว์หลับใหลแตกตื่นฟื้นหลับ หากเป็นเสียงที่่บ่งให้รู้ว่ามีผู้มาเยือนสระแก้วเจียระไน แลมันเป็นเสียงที่กลืนเข้ากับค่ำคืนได้โดยแท้ พรานบุญหลงกำมือตนแน่นกับบ่วงนาคบาศยามเห็นแก่คลองจักษุว่าเหล่านางเทพกินรีร่อนลงมาจากอากาศเพื่อยืนเด่นอยู่ที่กลุ่มโขดหิน ณ ตลิ่งแห่งสระฝั่งตรงข้าม

ผิวนั้นเปรียบดังหยวกกล้วยแลสว่างด้วยแสงจันทร์ราวส่องออกมาจากภายใจ พวกนางเป็นดุจตัวแทนแห่งดวงจันทราจากฟ้าราตรีอันสงบ เรือนกายระหงกล้องแกล้ง ทรวงอกอวบอิ่มด้วยพวงถันสล้างเต็ม ปทุมทั้งคู่เปล่งปลั่งดูน่าถวิลหา คอดเอวเล็ก เว้าเข้าแล้วขยายออกเมื่อถึงส่วนล่างซึ่งปกคลุมด้วยผ้าพับจีบหลากสีงดงาม

ดวงหน้าพวกนางงามพริ้ม พวงแก้มดุจแต้มไว้ด้วยกุหลาบยามเหมันต์ ด้วยว่าต่างออกสีเรื่อราวสาวน้อยยามถูกหนุ่มคนรักหยอกเอิน ดวงตาดำขลับอย่างฟ้ากลางคืนมีดาวระยิบระยับ พรานบุญรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ โลมาลุกชันไปทั่วสรรพางค์ แลมีเหงื่อผุดขึ้นจนรู้สึกเปียกที่มือกำบ่วงบาศ ดวงตาเพ่งมองไปที่นางซึ่งมีดวงพักตร์ดุจจันทร์แย้มจากกลุ่มเมฆ นางงามที่สุดในบรรดานั้น แลเขาเล็งแลไปที่นาง

นางเทพกินรีถอดปีกแลหางออกจากกายวางทิ้งไว้ที่โขดหินก่อนจะค่อยย่องลงน้ำใสเย็นแห่งราตรี ปล่อยให้เรือนร่างสะโอดสะองแลเปล่าเปลือยตกอยู่ในทัศนาการแห่งพรานบุญผู้หนุ่ม

พรานบุญขยับกายอึดอัดขณะเขาค่อยย่างย่องจากพุ่มไม้ใกล้กับต้นรังใหญ่นั้น เพื่อให้เข้าใกล้ขอบสระทุกที เขารู้สึกถึงกระแสร้อนจากเชือกนุ่มในกำมือ พลางเขากระหวัดไปถึงวิธีการซึ่งเขาได้มันมาไว้ครอบครอง

ขดเชือกสีเขียว เปรียบได้ราวกับขนดของนาคา ผู้มีพิษร้ายแรง และจอมนาคผู้มอบบ่วงนาคบาศนี้ให้เขา ก็เป็นผู้คายพิษใส่เชือกนี้ด้วยตนเอง เชือกซึ่งเมื่อผูกรัดสิ่งใดแล้ว ย่อมไม่อาจหลุดได้ง่าย ไม่ว่าจะใช้อะไรมาบั่นให้สะบั้น นอกเสียจากว่าผู้ผูกเงื่อนมัดจะเป็นผู้แก้เสียเอง

ระยะทางมิใช่อุปสรรค เพียงแค่เขาร่ายพระเวทมนตรา บ่วงนาคบาศจะพุ่งไปรัดนางเทพกินรีที่เขาหมายตาไว้ทันที เพียงแค่เขาร่ายพระเวทย์เท่านั้น

มีเสียงวืดผ่านหู แลต่อมามีเสียงซ่าของผิวน้ำราวกับอะไรสักอย่างพุ่งลงไปกระทบด้วยแรงมหาศาล เหล่านางเทพกินรีร้องหวีดออกมาด้วยตกใจ พวกนางลุกลนว่ายเข้าหากลุ่มโขดหินซึ่งพวกตนได้ถอดปีกแลหางทิ้งไว้ แล้วจึงตกแต่งกายด้วยเครื่องอาภรณ์จนเรียบร้อย แล้วโผบินขึ้นไปท่ามกลางความแตกตื่นแห่งป่า ประวัติศาสตร์มักเดินย่ำกับรอยเดิม พวกนางคงมิปรารถนาจะถูกจับไปเป็นเมียมนุษย์เช่นนางมโนราห์

“อะไร!” เขาสบถออกมาด้วยความหัวเสีย พลางหันกลับไปมองที่ร่างยักษาหนุ่มน้อยซึ่งกำลังร่างกายสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นชัดพรานบุญจึงลุแก่โทสาร้องตวาดไปสุดเสียง “เจ้าทำอะไร!”

ร่างนั้นมิได้ตอบกลับมาด้วยว่าปากถูกปิดไว้แล้วด้วยบ่วงนาคบาศอีกส่วน พรานบุญรีบพรวดเข้าไปหาร่างนั้น มือกระชากเอาบ่วงนาคบาศที่ปิดปากยักษ์หนุ่มน้อยออก แล้วตวาดถามอีกครา “เจ้ารู้หรือไม่ว่ากระทำอะไรลงไป!”

ร่างนั้นหายใจโล่งอก ผิวเนื้อสีเรื่อปรากฏรอยผื่นแดงเห่อขึ้นด้วยการดึงบ่วงนาคบาศออกโดยแรงนั้น เขากระทำใบหน้าให้ก่อกวนซ่ึงอารมณ์โทสะของอีกฝ่าย แม้ว่าหยดน้ำใสจะรื้นตรงขอบตาจนสะท้อนวาบกับแสงจันทร์สีนวล

“เราสาแก่ใจยิ่งนัก เจ้ามนุษย์ผู้กระหายในกามเอย เรามิเห็นว่าสิ่งที่เรากระทำลงไปจักเป็นเรื่องร้ายแรงอันใด เรากลับเห็นว่าเราได้ทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่เสียอีก โดยการที่เราได้เตือนให้นางเทพกินรีเหล่านั้นได้ล่วงรู้ว่ามีภัยกรายใกล้ เจ้าควรจะร่วมเยินยอกับความดีงามของเราซี มิใช่เต้นเร่าด้วยโทสะเช่นนี้”

“เจ้า!”

พรานบุญโกรธจนกล่าวอันใดมิได้

เจ้ายักษ์หนุ่มน้อยกล่าวสืบไปอีกว่า “อ้อ แท้ที่จริงแล้วเรามิได้หวังจักช่วยเหลือพวกนางให้รอดพ้นจากการจับกุมโดยพรานกักขฬะป่าเถื่อนเช่นเจ้าหรอก ทว่าเราต้องการจะเตะหินก้อนนั้นให้กระเด็นไปกระแทกศีรษะเจ้า ฉวยว่าเจ้าล้มลงไปเพราะศีรษะแตกกระจาย มนต์ของเจ้าจะได้เสื่อมถอย แลเราจักได้เป็นไท”

พรานบุญยิ้มเหี้ยมหลังจากสดับคำยักษ์หนุ่ม กล่าวคำเสียงสั่น “หึ ทีแรกเราก็ว่าจะปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระหลังเราจับนางกินรีได้แล้ว แลเราจะได้ไม่เป็นหนี้สินติดตัวไปชาติปางหน้า แต่ตอนนี้เห็นทีเราจักให้เจ้าไปมิได้เสียแล้ว ด้วยว่าเจ้าแม้เป็นยักษ์น้อย หากก็มากด้วยฤทธิ์แลเหลี่ยมเล่ห์ มิพักว่าถูกมัดไว้ด้วยบ่วงนาคบาศอันลือไกร เจ้ายังเตะก้อนหินนั้นจนก่อให้เกิดเรื่องได้ ดั่งนี้ เราจะมัดเจ้าอยู่อย่างนี้ แลจะไม่มอบอิสระให้เจ้าจนกว่าเจ้าจักสำนึกตนแลเลิกเบียดเบียนผู้อื่น” พรานบุญหยุดนิ่งมองยักษ์เพิ่งเริ่มวัยหนุ่ม แล้วแสยะยิ้มมีเลศนัย “เมื่อการณ์เป็นดังนี้แล้ว เรามิได้นางกินรีไปนอนร่วมเคียงหมอนแม้สักนาง แต่ได้ข้าทาสเป็นยักษ์กลับไปปรนนิบัติก็นับว่าไม่เสียแรงแรมไกลครั้งนี้”

ยักษ์หนุ่มตาเบิกกว้าง ละล่ำละลักออกมาสุดเสียง “อะไรนะ! เจ้ามนุษย์ต่ำต้อย! เจ้าว่าอะไร!”

“เหยียบย่ำค่ามนุษย์นักหรือ อยากจะรู้นักว่าหากได้เป็นข้าทาสบริวารของมนุษย์ คอยปรนนิบัติพัดวี คอยเช็ดคราบไคลอาจมมูลเน่าของเสียแล้วไซร้ เจ้าจักรู้สึกเช่นไร!”

กายของยักษาน้อยผู้มีใบหน้าแฉล้มมิต่างอันใดกับดวงหน้าแห่งปวงอิตถีเพศ สั่นเทิ้มด้วยโทสะจริตแล่นเข้าครอบงำจากปลายเท้าสู่ศีรษะ บันดาลให้เสโทไหลหลั่ง แลปากอันหยัดเหยียดเป็นเส้นตรงก็โพล่งคำออกมาสุดเสียง

“อย่าใหเ้ราหลุดไปได้! เราจะกินเจ้าเสีย! จะกัดกินทีละนิด ให้เจ้าตายอย่างช้าๆ ให้เจ้าได้รู้ถึงความเจ็บความทรมานราวตกนรก!”

“ก็ลองดูทีหรือ พ่อหนุ่มน้อย”

+++++++++

มานพน้อยชาติพันธุ์ยักษาผู้หมายจักกุดหัวพรานหนุ่มให้แดดับด้วยคมเขี้ยว ยามนี้กลับนอนหลับตาพริ้มราวกับทารกน้อยในอ้อมอกอุ่นแห่งมารดา พรานบุญแค่นยิ้มในหน้าแล้วหันไปกัดกินผลไม้ป่าสุกงอมประทังความหิวโหยซึ่งจู่โจมยามค่ำคืน แหงนเงยหน้ามองจันทร์ซึ่งคล้อยดวงไปทางฟากฟ้ากลางคืนอีกทิศหนึ่ง หากก็ยังสว่างอร่ามแอร่ม พลางทอดถอนปัสสาสะเหน็ดเหนื่อย

หลังจากการลอบจับนางเทพกินรีล้มเหลวไม่เป็นท่า พรานบุญก็ลากเจ้ายักษ์หนุ่มน้อยออกมาจากรอบสระอโนดาต ยามดวงแขไขขึ้นเหนือหัว แลมันเป็นเวลานางเพทกินนรีลงมาสระสรงน้ำทิพย์จากสระ เป็นเพลาอันปลอด กล่าวคือเป็นยามที่ภยันตรายจักนอนหลับเงียบ ดั่งนี้ พรานบุญผู้รู้วิสัยแห่งป่าอย่างแจ่มแจ้งจึงรีบพายักษ์น้อยเร่งรุดออกมาไกลจากที่ดังกล่าว ด้วยแจ้งแก่ใจว่าหากพิรี้พิไรเสียแล้ว จักกลายเป็นภักษาหารแด่สัตว์ร้ายหลายหลากแห่งหิมวันต์ แม้นพ่อยักษ์หนุ่มนี้จักเป็นชาติพันธุ์แห่งผู้ล่า ทว่าให้เพ่งมองเช่นไร พรานบุญก็มิอาจประจักษ์ได้ว่ายามถูกจู่โจมจากสัตว์ร้าย มานพน้อยผู้นี้จักเอาอาวุธอันใดไปสู้รบปรบมือ ร่างก็แน่งน้อยอย่างอิตถี ผิวผมโนมพรรณนั้นเล่าก็มิต่างอันใดกับเหล่านางกินรีผู้ขยับปีกหลบลี้ไปกับแสงจันทร์ ดังนั้นเขาจึงได้ลากถูเอาตัวมาด้วย

เขานึกประหวัดไปถึงเมื่อยามเขานำเอาผลไม้ป่าในห่อใบไม้อันใหญ่มาวางไว้ตรงหน้ายักษาหนุ่มน้อยด้วยเกิดจิตสงสาร เห็นทรมานทั้งทางกายแลทางจิต ด้วยว่าโดนข่มพระเวทย์อันพึงมีมาแต่กำเนิดจากอำนาจฤทธิ์เดชแห่งบ่วงนาคบาศ ต้องเหน็ดเหนื่อยสายตัวจากการเดินเท้าในระยะทางอันไกล อีกทั้งพิษร้อนจากพญานาคอีกเล่า เกรงว่าหากปล่อยให้ท้องเปล่าเสียแล้ว เจ้ายักษ์ผู้เย่อหยิ่งจักถึงกาลตักษัย ชั้นแรก พรานบุญหวั่นว่าเจ้ายักษ์น้อยจักรังเกียจผลไม้ป่าอันเป็นอาหารชีไพรผู้รักษาศีล ด้วยว่ามันเป็นชาติพันธุ์ซึ่งล้างผลาญชีวิตอื่นเพื่อตนอยู่รอด แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเจ้ายักษ์น้อยกลับยื่นหน้ามาอ้าปากกัดกินผลไม้ที่เขายื่นให้อย่างหิวโหย

“อันว่าชาติพันธุ์ยักษาแล้วไซร้ ย่อมหลงใหลอยู่แต่รสชาติคาวเหม็นของเลือดแลเนื้อ เสาะแสวงหาสัตว์ป่าเลือดอุ่น กัดกินกระชากเนื้อเป็นภักษาหารอยู่ร่ำไป ไฉนเจ้าจึงกินผลไม้ซึ่งเป็นอาหารของนกกาสกุณาต่ำชาติเช่นนี้เล่า”

พรานบุญได้เอ่ยถามยามเห็นยักษ์น้อยกัดกินผลไม้ในมือตน พลางได้รับแววตาโกรธเคืองเคียดแค้นฟาดฟันมาจนกระทั่งตนต้องกระถดมือหนีจากปากเล็กๆ นั่น แม้ว่า ณ บัดนั้นเจ้ายักษ์น้อยมิได้มีเขี้ยวขาวงอโง้ง หากมันก็เป็นการดีมิใช่ฤๅที่จักกันไว้เสียก่อน ก็มิใช่เจ้ายักษ์น้อยนี่ฤๅที่ขู่จะกัดกินเนื้อเขาทีละนิดให้บิดตายด้วยเจ็บปวด

เมื่อเห็นว่าอาหารอันอร่อยได้ถูกมือของผู้กักขังตนดึงไปเสียแล้ว เจ้ายักษ์น้อยก็กระทำหน้าย่น ทำปากยื่น ตาขุ่น ร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “เอาผลไม้นั่นมาบัดเดี๋ยวนี้! ก่อนเราจักโกรธา!”

พรานหนุ่มเห็นขันกับท่าทางราวเด็กน้อยห่วงกินนั้น ถึงกับปล่อยเสียงหัวร่ออกมาหลายครา ยังผลให้ผู้เป็นยักษ์น้อยยื่นเท้าออกมาเตะปังเข้ากับหน้าแข้งของพรานบุญ ผู้พรานหนุ่มล้มหงายหลังก้นกระแทกกับพื้นดิน ร้องโอ๊ยออกมาด้วยตกใจ “เจ้าเด็กนี่!”

“เอาอาหารของเรามา!”

“เจ้ามีสิทธิ์สั่งเราด้วยหรือ อย่าลืมว่าเจ้าถูกพันธนาด้วยบ่วงนาคบาศ เราจักบีบก็ตาย จักคลายเจ้าก็อาจรอด”

“มนุษย์ก็ดีแต่ข่มขู่แลเอาเปรียบแต่ผู้ด้วยกว่า เห็นเราสิ้นท่าเช่นนี้แล้ว ก็นึกกระหยิ่มในใจ หวังจักเอาคืนละซิ อย่าหวังเลยว่าเราจักยอมก้มหัวให้เจ้า”

“แล้วไอ้ที่ร้องให้เราเอาผลไม้ป้อนอยู่นี่ปะไร”

“ก็เราหิว!”

พรานบุญขยับเข้าไปใกล้ แลนั่งในลักษณาการคุกเข่า พลางกล่าวเสียงต่ำ “ไฉนเจ้าจึงปรารถนาในผลไม้ป่ารสเฝื่อนนี่เล่า ลองฟังดูนั่นทีรึ ได้ยินอะไรหรือไม่ ไกลจากนี่ไปหน่อยหนึ่ง มีลำธารเย็นไหลจากหิมวัตบรรพต แล ณ ริมธารนี้ในยามราตรีขณะนี้ มีนางเนื้อทรายพร้อมบุตรแลธิดากำลังลงมากินน้ำแก้กระหาย เจ้ามิได้กลิ่นเลือด กลิ่นเนื้ออุ่นๆ ล่ะหรือ เจ้ามิอยากกระโจนพุ่งไปกัดกระชากชีวิตน้อยๆ เหล่านั้นให้สิ้นไปดุจดังชาติพันธุ์ยักษามักกระทำดอกฤๅ เลือดแดงๆ อุ่นๆ เนื้อนุ่มๆ หวานๆ เชียวนา หือ ว่าอย่างไรเจ้ายักษ์น้อย”

ดวงหน้าอันขาวกลับกลายเป็นขาวซีด แลดวงตากลมโตราวกับจะปูดโปนออกมาด้วยว่า ยักษ์หนุ่มกำลังทำสีหน้าราวกับคลื่นไส้แลอยากจะถ่มทิ้งของจากภายในออกมา พรานหนุ่มได้เห็นดังนั้นก็ให้หลากใจยิ่งนัก แต่ก็ต้องแสร้งทำหัวร่อออกมาให้ยักษ์น้อยเห็นว่าตนเห็นว่ามันเป็นยักษ์ใจเสาะ

“แม่เจ้าโว้ย ใครเลยได้ยินถึงยักษ์ไม่กินเนื้อสัตว์บ้าง!”

“เจ้า!” ยักษ์น้อยหน้าถมึงทึง พลันที่มุมปากมีเขี้ยวเล็กสองอันโผล่ออกมา “เราจะกินเจ้าเป็นคนแรก!”

“ฮา ฮา อย่าวาจาให้เราเห็นขัน กินผลไม้ป่านี่เสียเถิด ก่อนเจ้าตกพล้ำถลำตายด้วยหิวโหย”

มิพักตนเพิ่งด่าว่าพรานหนุ่มไป แลเพิ่งขู่เข็ญจะกัดกินเนื้อของเขา เจ้ายักษ์หนุ่มน้อยก็รีบกัดกินผลไม้หวานฉ่ำด้วยความหิวทันทีที่พรานบุญยื่นผลไม้ให้ถึงปาก พร้อมกับเขี้ยวขาวเล็กๆ นั้นหายวับไป

พรานบุญนั่งมองยักษ์น้อยกินผลไม้จนเกือบหมด มองมันล้มตัวลงนอนพิงโคนต้นรังใหญ่ ใบหน้าหวานแฉล้มนั้นดูอิ่มหนำเหลือประมาณ ก่อนจะผล็อยหลับไปดังที่เห็น

ชะรอยเพราะหิวโหยเกินกว่าจักเห็นว่าผลไม้ผักหญ้าพวกนี้เป็นอาหารต่ำกระมัง จึงกินไปเสียหมด

หากพรานบุญก็ยังมิอาจสงบใจกับตนเองได้ ยังต้องหวนนึกถึงเหตุผลที่ยักษ์หนุ่มน้อยกัดกินผลไม้อย่างเอร็ดอร่อยราวกับเป็นสิ่งชื่นชอบเสียเต็มประดา ด้วยว่าเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปที่เหล่ายักษ์มารจักหลงใหลในการเสพเลือดแลเนื้อเป็นภักษา แลมักเกลียดการกินผักหญ้าผลไม้ป่าเป็นที่สุด แลลักษณาการยามได้ยินถึงเขาพรรณนาถึงเนื้ออันหวานของเนื้อทรายนั่นอีกเล่า น่าฉงนนัก

แม้ยามพรานบุญล้มตัวลงนอนบ้าง หลังจากร่ายพระเวทย์ป้องกันสัตว์ร้ายไว้รอบด้าน เขาก็ยังมิวางใจปล่อยให้เรื่องประหลาดนั้นสงบในใจได้ แลมิได้เฉลียวใจเลยว่าเหตุใดเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ต้องเป็นตัวการณ์แห่งความสงกาของเขายิ่งนัก แลก็มิได้ตระหนักว่า แม้การชะล่าใจเพียงชั่วครู่ บิดาของเขาได้สังเวยชีพให้แก่กรงเขี้ยวแห่งสัตว์ป่ามาแล้ว

++++++++


#1, RE: นาคบาศ
Posted by Cakuko on 12-May-12 at 08:21 PM
In response to message #0
ต่อค่ะ

+++++


ไม่ไกลกันจากใต้ต้นรังอันเป็นถิ่นหลับนอนของพรานบุญแลยักษ์น้อยหน้าแฉล้มนั้น มีถ้ำลึกดำซึ่งเกิดขึ้นเมื่อองค์พรหมาเพิ่งร่ายพระเวทย์สร้างโลกทั้งสามขึ้น ถ้ำนี้เต็มไปด้วยมนต์ดำและอำนาจลึกลับมากมาย แลเป็นที่สิงสถิตย์ของนางรากษสผู้มีรูปกายสูงใหญ่ นางมีเส้นผมขดเป็นเส้นเชือกสากกักขฬะอันเต็มไปด้วยซากสัตว์แลกระดูกซึ่งนางได้กัดกินเป็นภักษาแทรกแซม อันทรวงอกของนางนั้นเล่าก็ย้อยหย่อนยานยาวจนยามเดินมันลากไปกับพื้นดินเป็นที่รำคาญยิ่งนัก นางจึงต้องยกขึ้นพาดกับไหล่ไว้

นางรากษสได้บำเพ็ญเพียรมาเป็นเวลาหนึ่งพันปี ในช่วงเมื่อหนึ่งร้อยปีผ่านไป นางจักออกจากฌาณเพื่อล่าสัตว์ในหิมวันต์มาดับความหิวโหยอันสะสมไว้เป็นร้อยปีสักครั้งหนึ่ง ก่อนกลับไปเข้าฌาณบำเพ็ญตบะอีกรอบ แลคืนนี้ก็เป็นเวลาครบร้อยปีมาบรรจบ เมื่อพรานบุญปิดเปลือกตาแลหล่นลงสู่ห้วงลึกแห่งมนต์ของนิทราเทพ ก็เป็นเวลาที่นางรากษสได้ออกจากฌาณพอดิบพอดี

นางรากษสตนนี้มีนามว่ากาลคี อันว่าวิสัยรากษสแล้วไซร้ ย่อมใฝ่หาแต่ของสดของคาวใส่ปากท้องตนอยู่เป็นนิจ อันนางกาลคีนี้ก็มิได้แตกต่างไปจากรากษสตนอื่นแต่อย่างใด เมื่อนางออกจากฌาณ เปิดเปลือกตาแล้ว จมูกอันใหญ่แลงอง้ำของนางก็กระตุกและสอดส่ายหากลิ่นอันรัญจวนหอมหวานซึ่งพุ่งออกมาจากแหล่งเนื้ออันหอมหวานอย่างเดียวซึ่งนางได้เคยลิ้มลองไม่กี่ครั้ง เนื้อของอาหารจำพวกนี้มีรสอันโอชะหาใดเปรียบปาน จนนางยอมสละสัตย์ซึ่งได้วางไว้ก่อนบำเพ็ญเพียร

ก็เนื้อมนุษย์อย่างไรละ!

++++++++++

...ตื่นเถิดพรานบุญ...

สัมผัสแผ่วเบาลูบไล้กับผิวแก้มของพรานหนุ่ม ดวงตาเขาค่อยๆ เปิดออกพร้อมกับประสาทโสตได้ตื่นขึ้น พรานผู้หนุ่มชันกายลุกขึ้นนั่งรวดเร็ว พลางมือหนึ่งเอื้อมไปสำรวจกริชอันเหน็บไว้กับกายเป็นนิตย์ อีกมือยื่นไปทางร่างเล็กของยักษ์หนุ่มน้อยพร้อมปากพร่ำบ่นพระเวทย์ อันทำให้นาคบาศแบ่งตัวออกมาสู่มือเขาเป็นอีกสายหนึ่ง

ยักษ์หนุ่มน้อยลุกพรวดขึ้นมานั่งทั้งยังมีนาคบาศรัดรอบกาย ด้วยลักษณาการผุดลุกอย่างปัจจุบันทันด่วนเช่นนั้น ยังผลให้บ่วงบาศอันเป็นทิพย์รัดแน่นเข้าไปอีก พรานบุญหันมามองด้วยได้ยินเสียงสูดปากอย่างเจ็บปวด มุมปากพรานหนุ่มแค่นยิ้มแล้วว่าพระเวทย์หนึ่งคำ ทำให้บ่วงนาคคลายตัวออกเพียงเล็กน้อยพอให้ไม่รัดแน่นจนเกินไป

พรานหนุ่มหันหน้าไปทางนั้นที ทางนี้ที หลับตาลงสักครู่หนึ่งแล้วมองจ้องฝ่าความสลัวแห่งแสงจันทร์ออกไปที่ความทะมึนทึบแห่งมหาไพรวัลย์ พยายามมองแทรกไม้ใหญ่ซึ่งขึ้นแซมกันหน้าทึบเพื่อหาอะไรสักอย่างที่ทำให้เขาตกใจตื่นจากหลับ

...มีใครสักคนอยู่ที่นี่...

หาไม่แล้ว ใครจักเป็นคนมาลูบใบหน้าของเขากันเล่า หรือเป็นนางผีป่าเทวดาไพร ออกมาล้อเล่นแสงจันทร์แลหยอกล้อเขาเล่นด้วยเห็นเป็นมนุษย์จ้อยต้อยต่ำ อย่ากระนั้นเลย เขาต้องระวังตนมากขึ้นกว่าเดิมเสียแล้ว เขาชะล่าใจเกินไปที่ย่อหย่อนต่อการระแวดระวัง ก็ราตรีนี้มิใช่ราตรีแห่งมนต์แสงจันทร์ดอกฤา

แม้จะระแวงในใจ หากพรานหนุ่มก็มิได้ตัดสินลงไปว่าผู้ที่ใช้มืออันอ่อนนุ่มลูบไล้ใบหน้าตนนั้น จักหวังร้าย มือนั้นลูบไล้ราวเป็นสัญญาณเตือน ราวกับร้อนใจแลหวังให้เขาได้หาทางตั้งรับกับ...

โครม!

พลันมหาป่าหิมพานต์ก็แตกตื่นราวกับฟ้าถล่ม พรานบุญสะดุ้งกายขึ้นสุดตัว เขากระชับบ่วงบาศมั่นในมือ อีกมือหนึ่งกำกริชแน่น ฉวยว่ามีสิ่งใดพุ่งเข้ามาจู่โจม เขาจักกระซวกกริชลงอาคมนี้ให้จมคอหอยมันทีเดียว

เสียงนั้นเป็นเสียงคำรามอย่างกระหายเลือดของสัตว์อะไรสักอย่าง ผสมปนเปไปกับเสียงต้นไม้ถูกถอนราก แลกิ่งไม้ถูกหักโค่นแล้วโยนไปหล่นโครมกับพื้นดิน เสียงสกุณานกป่าอันอาศัยคาคบไม้หลับนอนต่างร้องตื่นตกใจแลกระพือปีกผึบผับโผผินขึ้นสู่เวิ้งฟ้ากว้างกลางคืน อีกฝูงสัตว์อันหากินยามค่ำคืนก็ดี แลฝูงสัตว์อันหลับนอนแล้วในโพรงใต้ดิน หรือในโพรงของต้นไม้ใหญ่ต่างๆ ก็ดี มีอันต้องพลิกตื่นขวัญผวา พากันวิ่งหนีกระเจิงแตกตื่นกันไปในทุกทิศทางจนเป็นอันวุ่นวาย และผงคลีคลุ้งขึ้นปกปิดแสงจันทร์กลายเป็นม่านให้โลกแทบจะกลายเป็นดำมืด

ในความสลัวรางที่ยังหลงเหลืออยู่ พรานหนุ่มหันไปมองยักษ์หนุ่มน้อยที่ติดพันธนาการจากบ่วงบาศ แล้วในอกเกิดจิตสงสารเสียเต็มประมาณ เมื่อฝูงสัตว์ป่าหลากพันธุ์วิ่งกระจัดกระจายหนีตายกันมาทางนี้ ยักษ์น้อยจะขยับกายก็เป็นอันติดขัดไปเสียหมด จนต้องนั่งนิ่งอยู่กับที่ด้วยแววตาเบิกโพลงแลหวาดผวา

ด้วยจิตใจข้างในอ่อนยวบกับสิ่งที่เห็น พรานหนุ่มรวบตัวยักษ์หนุ่มน้อยมากอดไว้กับอกตน เอาตัวเข้าขวางทางเท้าแห่งสัตว์ป่า โดยการจับบ่วงบาศแกว่งให้หมุนเป็นวงกลมจนเกิดประกายสีเขียวขึ้น พ่อยักษ์น้อยออกแรงขัดขืนหากก็จนแล้วซึ่งเรี่ยวแรงจะต่อต้าน ด้วยว่ากำลังขวัญผวา พรานบุญเห็นกับตาตนเองว่าที่หน่วยตาโตดำขลับดังตาเนื้อทรายนั้น มีน้ำใสเอ่อล้น ปากเล็กเม้มแน่นขบกันจนห้อเลือด สัตว์ป่าที่เสียขวัญว่ิงหนีตายกันมา สัมผัสถึงพิษร้ายแห่งพญานาคาก็หลีกไปเสียอีกทาง ปล่อยให้พื้นดินที่สองร่างยืนอยู่นั้นเป็นราวกับเกาะเล็กๆ ท่ามกลางสายน้ำอันไหลหลากบ้าคลั่ง ยักษ์น้อยผู้อยู่ในอ้อมกอดของพรานบุญนั้นกายสั่นเทา ซุกหน้าเข้ากับอกของเขา แลซุกอยู่เช่นนั้นมิยอมผละออกขณะคลื่นสัตว์ป่ากำลังถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ

เนิ่นนานทีเดียวกว่าพวกสัตว์ป่าจะค่อยๆ ลดจำนวนลง แลหายไปในที่สุด ปล่อยให้พื้นที่บริเวณนั้นตกอยู่ในความเงียบราวกับว่าสรรพชีวิตได้ตายไปจากโลกนี้เสียแล้ว จากนั้น พรานบุญผู้มีประสาทหูแม่นยำนักก็สดับถึงเสียงคำรามดังกระหึ่ม เสียงนั้นเป็นเสียงคล้ายสัตว์ป่าดังกล่าวมาแล้ว หากครานี้เหมือนจะใกล้เข้ามาทุกขณะ แลยิ่งใกล้ พรานบุญก็ยิ่งรู้สึกว่าพื้นดินที่ตนเหยียบสะเทือนเลื่อนลั่นจนต้องเซล้ม พาเอายักษ์น้อยตัวบางล้มทับกันลงไปคลุกกับดินเปื้อนฝุ่น พรานบุญแม้นั่งกับพื้นดิน ทว่าหูยังเงี่ยฟังเสียงคำรามหิวโหยนั้นไม่ขาด ต้นไม้รอบๆ หักราบลงด้วยสัตว์ใดร่างใหญ่โตซึ่งกำลังย่างกายเข้ามาใกล้ พรานบุญเกิดอาการหัวใจเต้นระทึกราวกับจะกระโจนออกมาจากอก เมื่อเห็นเงาร่างอันมหิมาเอื้อมเอาแขนอันใหญ่รวบต้นไม้ยักษ์หลายต้นเข้าด้วยกัน แล้วกระชากโดยแรงจนหลุดออกจากพื้นดินไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ร่างยักษ์ปักหลั่นราวกับภูผายืนตระหง่านตัดกับแสงจันทร์อยู่ตรงหน้า พรานบุญรับรู้ว่ายักษ์น้อยเรือนกายสั่นสะท้านยิ่งขึ้น ความเปียกแห่งหยดน้ำอุ่นซึมผ่านเนื้อผ้าหยาบที่เขาสวมใส่เข้าไปสัมผัสกับผิวกาย แลเขารับรู้ว่ายักษ์น้อยกำลังร้องไห้ด้วยความกลัว

ยักษ์กลัวยักษ์!

ยักษ์ใหญ่โยนต้นไม้ในกำมือไปอีกทาง พรานบุญได้ยินเสียงโครมห่างไกลออก โลมาในกายลุกชันตั้งขึ้น เสโทผุดออกมาราวกับเปียกน้ำ จดจ้องไปที่ร่างอันมหึมาตระหง่านตรงหน้า กลิ่นสาบสางลอยคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ

“มนุษย์!”

ร่างนั้นตะเบ็งเสียงเอ่ยออกมา พรานบุญรู้สึกราวกับว่าแก้วหูตนเหมือนจะร้าว แลยะยิบของอากาศรอบกายก็เหมือนกับจะแตกกระเซ็นเป็นแก้วกระจก

“เนื้อมนุษย์อันโอชา! ข้ามิได้ลิ้มรสมนุษย์มานานกว่าห้าร้อยปีแล้ว วันนี้เป็นลาภปากเหลือเกิน” เสียงนั้นเป็นเสียงแห่งสตรีโดยแท้ หากมิใช่น้ำเสียงนุ่มนวลอย่างเพศแม่ มัันเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความร้ายกาจแลโหดเหี้ยม อันเจือไว้ด้วยความหิวกระหายในเลือดแลเนื้อแห่งสรรพชีวิตอื่น

“จงมาเป็นภักษาแห่งเราเสียเถิด มนุษย์หนุ่ม!”

นางเอ่ยออกมาแล้วหัวร่อเสียงดังก้องสะท้อนไปทุกทิศแห่งป่าใหญ่ นางเอื้อมมือมาหวังจะหยิบจับเอาร่างพรานบุญไปกินเสีย หากก็ต้องหวีดร้องออกมาเมื่อพรานบุญฟาดบ่วงบาศซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นแส้ไปเสียแล้ว ใส่มือของนาง “น่ารำคาญเสียจริง คิดฤาว่าเส้นด้ายน้อยนิดเพียงนี้จะทำอะไรเราได้ จงยอมให้เรากินบัดเดี๋ยวนี้ ก่อนเราจะโกรธา”

“ยักษ์แก่หนังเหี่ยว กลับไปที่อยู่ของเจ้าเสีย อย่ามายุ่งกับพวกเรา”

“ที่นี่เป็นที่อยู่ของเรา เจ้าเป็นมนุษย์ ไยมาที่นี่เล่า มิรู้หรือไรว่าชาติพันธุ์ของเจ้าเป็นอาหารอันโอชะของยักษา และรากษส”

“เจ้าเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น จะกลายเป็นบาปติดตามเจ้าไปทุกชาติภพ”

นางหัวร่อออกมาด้วยเสียงอันน่าขยะแขยงยิ่งนัก “เรา...นางรากษสกาลคี เกิดมาในปูมโลกนี้นานกว่าสามพันปี มิเกรงกลัวดอกต่อบาปอันมิอาจเอื้อมถึงเราได้ อย่าพูดจาให้เปล่าประโยชน์เลย มาเป็นอาหารให้เราเสียดีกว่า”

“นาคบาศ!”

พรานบุญว่าเสียงดัง แลโยนบ่วงนาคาขึ้นไปในอากาศ มันพลันกลายกลับเป็นหอกอันสะท้อนกับแสงจันทร์ แล้วพวยพุ่งเข้าใส่นางรากษสร่างราวกับภูเขาตนนั้น นางทำเสียงในลำคออย่างรำคาญ สะบัดมือปัดป้องเพียงทีเดียวหอกของพรานบุญก็แตกกระจายกลายเป็นภัสมธุลีในชั่วกระพริบตา เขาอ้าปากค้าง แลตกตะลึงไปชั่วขณะ ด้วยว่าอาวุธวิเศษอันจักสามารถประมือกับนางยักษ์ได้นั้น มีเพียงนาคบาศกันนี้เท่านั้น หันมองที่นาคบาศซึ่งมัดยักษ์น้อยไว้ก็เหลือเพียงเส้นบางๆ ซึ่งพันธนาการจำเลยไว้ หากเอามาใช้เสียแล้วก็เกรงว่าเจ้ายักษ์น้อยจะหนีไป หรือไม่ก็ร่วมมือกับนางยักษ์ใหญ่ฆ่าเขาแล้วกินเสีย

เขายอมได้เสียที่ไหนกัน!

แล้วพรานบุญก็ดึงเอาร่างยักษ์น้อยที่ก้มหน้าอยู่กับดินมากอดกระชับไว้ราวกับหวงแหนเป็นที่สุด นางรากษสกาลคีเห็นดังนั้นก็หัวร่อออกมาอีก “อะไรกัน เจ้ากอดใครอยู่นั่น”

“อย่า...กลัวแล้ว” เสียงเล็กๆ ดังออกมาจากร่างในอ้อมอกพรานบุญ ยังผลให้พรานหนุ่มประหลาดใจนัก ด้วยว่ายักษ์กลับกลัวซึ่งยักษ์ด้วยกันเอง!

“หือ” นางรากษสกาลีนิ่งไป นางหรี่ตาอันปูดโปน แล้วจมูกอันยาวงอโง้งก็สูดอากาศโดยรอบ พลันนางเอ่ยออกมาอย่างหลากใจ “นี่มัน...กลิ่น...สวรรค์?”

“อย่า...เรากลัวแล้ว” ยักษ์น้อยในอกพรานหนุ่มละลำ่ละลัก

“อ้ายมนุษย์หนุ่ม ส่งเจ้าคนนั้นมาให้เรา”

บัดนั้นเอง นางรากษสก็ยื่นมือมาหวังจักคว้าเอาร่างยักษ์ตัวเล็กในอ้อมกอดของเขาไป พรานบุญกระโจนออกจากที่แห่งนั้น เท้าวิ่งสุดแรง โดยโอบอุ้มเอายักษ์ตัวน้อยนั้นไปด้วย นางรากษสคำรามราวกับกริ้วโกรธเหลือทน นางฟาดมือไปทั่วจนกระทั่งต้นไม้รอบๆ ล้มระเนระนาดกลายเป็นปราการขวางพรานบุญมิให้วิ่งหนีไปทางใดได้อีก ต้องหยุดอยู่ที่กำแพงซากต้นไม้นั้นหันมาประจันหน้ากับสตรีร่างมหึมา

“ส่งมันมาให้เรา” นางระเบิดเสียงคำรามเหี้ยมโหด “ส่งมันผู้เป็นหน่อเนื้อสวรรค์มาให้เราเดี๋ยวนี้!”

“ไม่”

“เราจะกินเจ้าทั้งสองเสียให้อิ่มท้อง”

“ไม่ กินเราคนเดียวเถิด นางยักษ์ผู้ประเสริฐเอย” พรานบุญคุกเข่าลงกับพื้นโดยมียักษ์น้อยกายสั่นเทาเกาะตัวแลซุกหน้าอยู่กับอก

“เจ้ามิรู้หรือไรว่าเจ้าคนที่เจ้ากอดอยู่นั้นมันมีประกายทิพย์อยู่กับตัว หากเราได้กินเข้าไป พลังฌาณเราจักเพิ่มขึ้นนับเท่าพันทวี”

“ไม่ นางผู้ประเสริฐเอย เรามิรู้ดอกว่าเจ้ากล่าวถึงอะไรอยู่ แต่เด็กน้อยผู้นี้เป็นชาติพันธุ์ยักษาเช่นเดียวกับท่าน ไฉนท่านจักทำร้ายกัดกินเขาได้ลงคอ จงมีเมตตาด้วยเถิด ละชีวิตเขาให้เป็นทาน แลกินข้าเป็นภักษาเถิด”

“เงียบเสียงไปเสีย” นางเอ่ยอย่างรำคาญเต็มทน “ชั้นแรกเราได้กลิ่นเจ้าก็นึกว่าจักได้ลิ้มรสอันโอชะของเนื้อมนุษย์ แต่ไม่นึกเลยว่าพอมาปะเจ้าเข้าเราจะเจอะเข้ากับผู้มีประกายทิพย์แห่งสวรรค์เช่นนี้ นับว่าเป็นลาภปากแห่งเราโดยแท้”

“เจ้าคนนี้เป็นยักษ์น้อย ไฉนท่านจึงว่ามันเป็นสิ่งมาจากสวรรค์”

“มันเป็นยักษ์แน่แท้ละ เราได้กลิ่นมันแล้ว ณ บัดนี้ หากมันก็มิใช่ชาติยักษาโดยบริสุทธิ์! ส่งมันมาบัดเดี๋ยวนี้”

“ไม่” พรานบุญผู้หนุ่มยืนกรานเสียงแข็ง มิยอมปล่อยร่างสั่นเทาจากกายตนแต่อย่างใด “เราไม่ยอมให้เจ้าทำร้ายคนผู้นี้หรอกนะ”

“อย่างนั้นก็จงกลายเป็นอาหารของเราเสียเถิด”

นางรากษสเอ่ยเช่นนั้นแล้วไซร้ ก็เอื้อมมือมาจะคว้าเอาร่างทั้งสองไปกินเป็นอาหาร ทว่าในขณะที่มือยักษ์กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้นั้น พรานบุญก็ปักกริชอาบอาคมลงบนเนื้อหยาบกร้าน นางคำรามด้วยรำคาญออกมาหนึ่งครั้งแล้วรวบเอาตัวพรานบุญแลยักษ์น้อยไว้ในอุ้งมือ ยกขึ้นไปในอากาศ

แรงบีบนั้นรุนแรงจนขยับตัวแทบมิได้ พรานบุญรู้สึกราวกับว่าอากาศในร่างกำลังถูกรีดออกจากตัว ยักษ์หนุ่มน้อยหน้าแฉล้มดวงตาเบิกกว้าง น้ำตาไหลจากหน่วยตาเป็นทางยาว บัดนี้ราวกับมันไม่เป็นตนเอง ราวกับว่ายักษ์น้อยผู้หยิ่งทะนงตนจะสูญเสียสติไปเสียแล้ว

นางรากษสยกมือเข้าไปใกล้กับปากตน ยังผลให้พรานบุญมองเห็นทรวงอกยาวยืดย้อยหย่อนซึ่งนางได้พาดไว้กับไหล่ทั้งสองข้าง พร้อมกับคมเขี้ยวในปากซึ่งแหลมคมและมีซากเน่าเปื่อยเกาะติด แลกลิ่นเน่าเหม็นลอยออกมาจากกลุ่มฟันเหล่านั้น แรงบีบนั้นแรงขึ้นจนร่างพรานบุญเบียดแนบชิดและดันเข้ากับร่างของเจ้ายักษ์น้อยราวกับจะกลายเป็นร่างเดียวกัน แล้วในขณะที่อนุสติของพรานบุญเริ่มเลือนลาง เขาก็พลันรู้สึกถึงมืออ่อนนุ่มลูบไล้ใบหน้าตน

แสงสว่างวาบเปล่งประกายขึ้นต่อสายตาจ้าจนพรานบุญต้องปิดตาทันที นางรากษสร้องออกมาสุดเสียงด้วยเจ็บด้วยปวด เขารู้สึกถึงอุ้งมือใหญ่ยักษ์คลายออก แล้วร่างตนหล่นตกคว้างอยู่กับอากาศ ร่างยักษ์น้อยที่เกาะอยู่กับตัวเขาสั่นสะท้าน พร้อมกับร้องออกมาเบาๆ ว่า

“เสด็จแม่!”

มีแสงอุ่นเข้ามาโอบรอบกายของเขา กลิ่นหอมหวลตลบอบอวลไปหมดรอบตัว ลมเย็นแลแสงสว่างกระจ่างตาส่องประกายระยิบระยับไปทั่วจนเขาหลับตาลงอีกรอบ พรานบุญรู้สึกเต็มตื้นในอกอย่างอธิบายไม่ได้ เขากอดกระชับร่างเล็กๆ ที่ยังคงซุกอยู่กับอกตนให้แน่นเข้าไปอีก และรู้สึกถึงการโอบกอดตอบรับ พร้อมกับหน้าน้อยๆ นั้นถูไถกับอกของเขา

แลเมื่อเด็กน้อยนั่นเอ่ยเรียก “เสด็จแม่” อีกรอบ ก็ได้ผละตนออกจากการซุกในอกของพรานบุญ เขากำลังจะเอ่ยห้าม หากก็พบว่าเปลือกตาตนหนักอึ้งเหลือทน จนต้องยอมอ่อนให้กับมนต์แห่งนิทรารมย์ไปในที่สุด

++++++++++

“เช็ดน้ำตาเสียเถิด สุรีย์ลูกแม่”

พรานบุญเปิดเปลือกตาแลรู้สึกถึงไอร้อนแห่งเปลวไฟใกล้ร่างตน เขาได้ยินเสียงแตกปะทุของกิ่งไม้ไหม้ไฟ พร้อมกับเสียงของคนสองคนคุยกัน เสียงหนึ่งนั้นเป็นเสียงสะอื้นไห้ ส่วนอีกเสียงเป็นเสียงก้องกังวาลอ่อนหวานนุ่มนวล ปลอบประโลม

“ลูกอยากไปอยู่กับเสด็จแม่”

“อย่ายึดติดเลย สุรีย์เอ๋ย ทุกอย่างในโลกนี้เป็นของไม่เที่ยง แม้แต่องค์พรหมาผู้สร้างไตรโลกยังมีแตกดับเพื่อเกิดใหม่หลังไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก จงคิดเสียว่า เรามาสู่โลกนี้ ก็ไม่มีอะไรมาด้วย ก็เหมือนเรามิได้ผูกติดกันไว้ สุรีย์เอย...แม้แม่จะอยู่กับเจ้ามิได้ แต่เจ้าก็จงรู้ไว้ว่า แม่เฝ้ามองเจ้าจากเบื้องบนเสมอ เจ้ามิได้อยู่ลำพัง แม้ยามเจ้าหลับใหล แม่ยังแอบลงมาขับกล่อมแลปัดไล่ยุงร้ายให้เจ้าได้”

“ทำไมลูกจึงขึ้นไปอยู่ที่วิมานกับเสด็จแม่มิได้เล่า”

“มันเป็นกฏของสวรรค์ท่าน สุรีย์บุตรรัก” เสียงหวานกังวาลนั้นดังสืบไป “แม่ฝ่าฝืนกฏแห่งสวรรค์ไปลอบรักกับจอมยักษ์แห่งนครกลางหาว จนเกิดลูกขึ้นมา คนสองเลือด สองเผ่าพันธุ์นั้น ย่อมไม่ได้รับการยอมรับจากใคร แต่แม่ก็มิได้ทิ้งลูก สุรีย์ แม่อยากให้เจ้าเข้มแข็ง และ...สานสัมพันธ์ซึ่งกำลังเกิด โอ้...นั่นปะไร แม่กำลังกังวลอยู่ว่าเขาจะเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่ สุรีย์มิได้ยินเสียงเขาขยับตัวล่ะหรือ เขาตื่นจากหลับใหลแล้วกระมัง”

แสงเรืองรองส่องสว่างลอยใกล้เข้ามา แล้วคลองจักษุก็พาดผ่านไปจับเข้ากับดวงหน้าอ่อนหวาน ใสกระจ่างราวกับอาบไว้ด้วยแสงจันทร์ยามเดือนเพ็ญ นางมีกลิ่นหอมรวยระรินออกมาจากกาย และนางมีแสงประจำกายเป็นสีเหลืองอมเขียวอ่อนยอดตอง

“เป็นเช่นไรบ้าง พรานบุญเอ๋ย”

“ท่าน...เป็นใคร”

“เราคือผู้ที่ทนเห็นเจ้าถูกคร่าชีวิตมิได้อย่างไรละ”

“ท่านช่วยชีวิตเราไว้”

“เราแค่...พาเจ้า...ออกมาจากที่แห่งนั้น” นางมีรอยยิ้มขี้เล่นระริกไหว พร้อมกับแววตาเจ้าเล่ห์เต้นรำ

“เราต้องขอบคุณท่านมาก” พรานหนุ่มหยัดกายลุกขึ้นนั่ง ไฟในกองกำลังลุกเรือง ไออุ่นไหลหลั่งเข้ามาสู่กาย ความง่วงงุนหายไปจากกายพรานบุญ คนร่างเล็กขยับกายเข้ามายืนอยู่ใกล้สตรีนางนั้น และมองเขาด้วยแววตานิ่งสงบ

“ดูเหมือนนางรากษสกาลคีจักได้ดื่มกินเลือดเนื้อสัตว์ป่าจนอิ่มหนำ แลได้กลับไปยังถ่ินฐานถ้ำอันเป็นที่บำเพ็ญเพียรแล้ว บาดแผลของนางคงจักทำให้นางสิงสถิตย์อยู่ในถ้ำนั้นอีกสักสามหรือสี่ร้อยปีเห็นจะได้ เจ้ามิต้องเป็นกังวลไปหรอกนะพรานบุญ”

“เสด็จแม่...” คนร่างเล็กเอ่ยเสียงสั่น

“สุรีย์ แม่เห็นจะต้องไปเสียที”

“ไม่ อย่าทิ้งลูกไป”

“สุรีย์เอย เจ้ายังต้องเติบใหญ่แลพานพบกับสิ่งใหม่ในโลกอีกมาก จงออกไปเรียนรู้ จงก้าวเดินต่อไป ออกไปจากหิมวันแห่งนี้ และศึกษาโลกกว้าง แต่จำไว้ว่าอย่าทำร้ายมนุษย์ แลจำไว้ว่าจิตเมตตาย่อมนำพาให้ความดีเข้ามาสู่ตัวเรา สุรีย์ลูกรัก...แม่รักเจ้าเสมอ แลแม่จักอยู่ข้างเจ้าทุกยามที่เจ้านึกถึงแม่ จำไว้...แม่เฝ้ามองลูกเสมอ”

“แม่...”

แสงสว่างวาบราวกับมีใครเอาแสงมาสาดส่องเข้ากับดวงตา จนพรานหนุ่มต้องเอามือป้องสายตาไว้ พอแสงหายไป ที่แห่งนั้นก็เหลือเพียงความสว่างสีเหลืองส้มจากไฟในกองไฟเล็กๆ นั่นเท่านั้น

“ยักษ์เจ้าน้ำตา”

พรานบุญเอ่ยออกมาเรียบๆ สายตาจ้องอยู่กับเปลวไฟซึ่งกำลังจับระบำพลิ้วไหวประดุจดังองค์ตรีเนตรผู้เต้นระบำทำลายล้างจักรวาล คนกำลังมีคราบน้ำตาเปื้อนแก้มขาวเนียนหันขวับมามองตาเขียว

“เจ้าว่าอะไรนะ”

“ร้องไห้กระซิกอย่างกับสตรี อย่างนี้จะมิให้เราว่าฉงนกับเพศเจ้าได้อย่างไร”

“เจ้าสามหาวมาก อยากตายหรือไง”

“ขนาดถูกนางยักษ์ร่างใหญ่จับจะกลืนลงท้อง เรายังรอดมาได้ ประสาอะไรกับยักษ์ตัวน้อยกระจ้อยร่อยเช่นเจ้า เราหาได้เกรงไม่”

“จะลองดูทีหรือ!”

“ก็ถ้าเจ้าเสกร่างให้ใหญ่โตดุจภูเขาเลากาได้เหมือนเช่นนางยักษ์ตนนั้น เราก็จักกลัวแลร้องขอชีวิต”

“เจ้า! ระ...เรา...ไม่”

“อะไรเล่า อึกอักอยู่ได้ เอาสิ ลองแปลงกายให้สูงใหญ่เท่าต้นรังยักษ์นั่นให้เราดูเป็นขวัญตา”

“เรา...เรื่องอะไรเราต้องทำให้เจ้าดู”

“ก็หากทำไม่ได้ นั่นแสดงว่าเจ้ามิเป็นเพียงยักษ์เจ้าน้ำตา หากยังเป็นยักษ์ขี้แพ้อีกด้วย!”

“เจ้าว่าเราขี้แพ้!”

“หากไม่ขี้แพ้แล้วไฉนเจ้าซุกอยู่แต่กับอกเราตอนโดนนางยักษ์นั่นโจมตี?”

“...”

ยักษ์น้อยจนต่อคำพูด ได้แต่นิ่งอั้นตันอกอยู่ตรงนั้น อ้าปากราวกับจะเอ่ยคำใดออกมาอีก แต่แล้วก็หุบปากไว้ตามเดิม เสมองไปที่กองไฟลุกร้อนเต้นแรง

“นางคือแม่ของเจ้า” พรานบุญเอ่ยขึ้นอีก

สุรีย์ยักษ์น้อยก้มหน้า ถอนปัสสาสะเฮือกหนึ่ง แล้วทรุดกายลงนั่งตรงหน้ากองไฟอีกฝั่งหนึ่งจากพรานบุญ มือเล็กขาวซีดจับเอาท่อนฟืนอันเล็กมาหักเล่นโยนเข้ากองไฟให้เปลวให้พระเพลิงลามเลียแลกลืนกินกลายเป็นถ่านแดงต่อไป “เราเป็นมีเลือดสองเผ่าอยู่ในตัว”

“ยักษากับ?”

“...นางเทพอัปสร”

“นึกแล้วว่านางงามเกินกว่าจักเป็นมนุษย์หรือผีป่านางไพรใดๆ”

“นางเป็นผู้รับใช้ของพระโสมเทพแห่งจันทรา ในค่ำคืนเช่นนี้นางจะแรงฤทธิ์ นาง...แม่...จึงลงมาช่วยเราไว้ได้ เจ้าจงสำนึกตนไว้เสีย”

“เรารู้รำลึกถึงพระคุณของนางเสมอ”

“แม่ลอบรักกับจอมยักษ์แห่งนครกลางหาวจนเกิดเรา” ราวกับว่ายักษ์น้อยสุรีย์ได้หลงลืมตนไปชั่วขณะ หรืออาจจะเป็นมนต์แห่งเปลวอัคคีที่กำลังเต้นระบำด้วยจังหวะเคลื่อนไหวอ่อนช้อยก็มิอาจรู้ได้ ด้วยว่ายิ่งจดจ้องเข้าไปในเปลวสีส้มอมแดงนั้น สุรีย์ก็ยิ่งปล่อยให้เรื่องราวแห่งชาติกำเนิดตนหลั่งไหลออกมาราวน้ำในนทีบ้าคลั่ง ปล่อยให้มันลอยเข้าสู่โสตแห่งพรานป่าผู้ที่ตนถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอันต่ำกว่า “...แลนำเรามาทิ้งไว้ที่หิมพานต์”

“ทิ้งเจ้าไว้เพียงผู้เดียว?”

“ถูกต้อง เห็นแล้วหรือยังว่าเรานั้นเก่งกล้าเพียงใด เราอยู่ในป่านี้ตั้งแต่เล็กจนบัดนี้โดยมิได้รับอันตรายจากสัตว์ร้ายใดๆ เลย อย่างนี้เจ้าจักเรียกเราว่าขี้แพ้ได้อย่างไร จงเปลี่ยนคำพูดเจ้าใหม่เสีย”

“แต่เจ้าก็กลัวนางยักษ์นั่นจนยอมซุกกับอกและ...กอดเรา”

“นั่นมัน...”

“...เจ้าร้องไห้ด้วย”

“ก็...”

“...เจ้าตัวสั่นราวลูกนกตกน้ำเย็น”

“เราไม่...”

“...ยอมรับมาเถิดว่าเจ้ากลัว...ถูกกิน”

“ถูกละ เรากลัวจะถูกจับกิน! ก็แล้วทำไมเราจักไม่กลัวเล่า ก็นางเป็นรากษสที่คอยรบกวนป่าแห่งนี้มานับพันปี แค่รังสีฆ่าฟันที่ออกมาจากร่างนางก็ทำเอาเรายืนแทบไม่ติดพื้น เจ้าเองเถิด ก็กลัวมิแพ้กว่าเราดอก!”

“เรากลัวจริง แต่มิได้กลัวนาง”

“เจ้าว่าอะไรนะ”

“ความจริงแล้ว เรากลัว...ว่าเจ้าจะ...หนีจากเราไป” คำที่พูดออกมานั้นเบาอย่างยิ่ง จนสุรีย์ยักษ์น้อยต้องมองหน้าอย่างจะอยากให้พรานบุญทวนคำ แต่ฝ่ายนี้กลับส่ายหน้าแล้วจับท่อนไม้ยัดใส่เปลวไฟ “ถ้ำนี่ไม่มีสัตว์ร้ายซินะ”

“เป็นถ้ำที่แม่เคยลงมาบำเพ็ญเพียรบ่อยครั้ง เป็นถ้ำที่อาบด้วยแสงทิพย์ สัตว์ร้ายเข้ามาใกล้มิได้ดอก”

“ฉะนั้น เราคงจักนอนหลับตาได้อย่างสบายใจเสียที”

“แต่เจ้าเพิ่งตื่นนะ”

“ตอนนางยักษ์จักจับเจ้ากินเป็นอาหารนั้น เราเสียกำลังต่อสู้กับนางจนเหนื่อยล้าไปหมด เราก็ต้องการนอนหลับพักผ่อนกายาให้สบายจิตสบายใจ”

เมื่อยักษ์สุรีย์ได้ยินคำ ใบหน้าผ่องแผ้วแฉล้มสล้างนั้น ก็คล้ายกับจะแดงเรื่อขึ้นมาด้วยความอับอาย จึงเงียบอยู่เช่นนั้น มิได้กล่าวคำอะไรออกมาอีก

เมื่อพรานบุญผู้หนุ่มมองเห็นพวงแก้มสีขาวนั้นแต้มด้วยแดงแห่งวัยอันเยาว์ ก็ให้เกิดแรงสะท้านในอก เป็นจิตปฏิพัทธ์ต่อร่างผอมบางนี้ จนเผลอปล่อยใบหน้าให้เกิดมีรอยยิ้มแตะต้อง ฝ่ายยักษ์ครึ่งอัปสรเห็นใบหน้านั้นมีเลศนัย ก็ตะเบ็งเสียงแหวออกมา “อะไร!”

“มองดูแล้ว เจ้าเองก็...”

“ก็อันใด”

“...งดงามมิแพ้พวกนางเทพกินนรีเลยนะซิ”

“เจ้าพรานป่าบ้าใบ้!”

“เราว่าเรามิให้เจ้าเป็นทาสรับใช้แล้วละ เจ้าเป็นอย่างอื่นน่าจะเหมาะสมกว่า”

“อะไร!” ใบหน้านั้นกำลังแดงก่ำ

“ก็เป็น...” พรานหนุ่มหยุดค้างไว้เช่นนั้น มิได้เอ่ยต่อ ปล่อยให้ฝ่ายกำลังเดือนปุดต้องเต้นเหย็ง สาวเท้าเดินอ้อมกองไฟมาใกล้ราวกับจะขืนเอาคำตอบออกจากปากพรานบุญให้จงได้ จนพรานบุญผู้หนุ่มต้องเอามือปิดหู หลับตาหยีด้วยอาการแสร้งว่ารำคาญเสียเต็มประดา “...หยุดส่งเสียงดังเสียที เราจะหลับจะนอน”

“บอกเรามาก่อนสิ เจ้ากำลังจะพูดอะไร”

“อย่ากวนน่า เราจะนอน เดี๋ยวก็เอานาคบาศมัดไว้เสียหรอก เราอุตส่าห์ใจดี ปล่อยเจ้าเป็นอิสระแล้วนะ” บัดนี้บ่วงนาคบาศของจอมนาคาชมพูนิต ผูกติดอยู่กับเอวของพรานบุญ เมื่อมองตามมือที่ชี้บ่งถึงอาวุธร้ายเช่นนั้น ยักษ์หนุ่มน้อยก็หุบปากเงียบ นั่งลงบนพื้นข้างกองไฟใกล้ๆ กับพรานหนุ่มนั่นเอง

ครู่หนึ่งมีความเคลื่อนไหวข้างกองไฟ แลเสียงยักษ์หนุ่มน้อยร้องแหวออกมาอีก “ปล่อยเราเดี๋ยวนี้นะ เจ้ามนุษย์สามหาว”

“อย่าเสียงดังน่ารำคาญนักซิ เราหนาว อยากจะนอนเสียเต็มทน”

“เจ้าก็นอนไปซิ จะมา...มา...มากอดเราทำไม!”

“อย่าทำดังว่าเจ้าไม่เคยซุกอกเราอย่างนั้นแหละ”

“ก็นั่นเรากำลังกลัวจนมิรู้จะทำอันใดต่างหากเล่า เจ้าอย่ามาถือเอาว่าเรา...พิศวาศเจ้า!”

“เงียบน่า เสียงเจ้าทำเราปวดหูหมดแล้ว สุรีย์...นิ่งเสียทีซิ”

“อย่ามาเรียกชื่อเรา!”

“อย่าทำดังว่าเจ้าเป็นมนุษย์สาวน้อยหน่อยเลย เราเพียงอยากกอดเจ้าให้ได้ไออุ่นเท่านั้น อย่าได้คิดไกล”

“ใครจักไปคิดไกลกับเจ้ากัน เจ้ามนุษย์จอมเจ้าเล่ห์!”

หากว่ามีเทวาอารักษ์สถิตย์อยู่ ณ ถ้ำแห่งนั้น คืนนั้นพวกท่านก็คงจักต้องหลบลี้ออกไปจากที่คุ้นเคยด้วยว่าเป็นเวลานานทีเดียวกว่าเสียงร้องแหวของยักษ์น้อยใบหน้าพริ้มเพราจะเงียบไปด้วยเหนื่อยอ่อน โดยการดิ้นรนจะให้หลุดจากอ้อมกอดแข็งแกร่งของพรานหนุ่มผู้เริ่มรู้สึกถึงพลังแห่งวัยอันเจริญพันธุ์ แลเทพาอารักษ์ผู้หลบลี้เสียงดังแหวหนวกหูนั่น ก็ได้ปล่อยให้ร่างสองร่างนอนกอดกันอาศัยไออุ่นแนบแน่นทดแทนความอุ่นจากเปลวไฟที่เริ่มมอดเวลาล่วงเข้าสู่วันใหม่

++++++++++

พรานบุญพลิกตื่นฟื้นจากหลับในตอนเช้าของวันใหม่ ด้วยว่ามีแสงจากพระอาทิตย์เทพ ส่องผ่านช่องโปล่งที่ใดสักแห่งของเพดานถ้ำเข้ามา พร้อมกับเสียงสกุณาร่าร้อง พรานบุญตื่นขึ้นมาโดยมีเพียงความทรงจำเลือนลางของความฝันอันแปลกประหลาด อันมีจอมนาคาชมพูนิตยืนทำใบหน้ายิ้มอย่างรู้ทันอะไรสักอย่าง จอมนาคได้กล่าวว่า ท่านจักขอบ่วงนาคบาศกลับคืนไป แม้ว่ามันจักถูกทำลายไปเสียแล้วครึ่งหนึ่งจากนางรากษสกาลคี ด้วยว่ามันมิใช่สิ่งจำเป็นต่อพรานบุญอีกต่อไปแล้ว นาคบาศเป็นอาวุธมีชีวิต แลนาคบาศจะอยู่กับผู้ที่มีความปรารถนาเท่านั้น หากความปรารถนานั้นได้รับการเติมเต็มเสียแล้ว นาคบาศก็ละทิ้งไปอยู่กับเจ้าของดั้งเดิมทันที พรานบุญในฝันได้เอ่ยถามออกไป แลได้รับคำตอบกลับมาจากจอมนาคชมพูนิตว่า

“เจ้าได้เจอสิ่งที่มีค่ากว่านาคบาศแล้ว มันจะเป็นสิ่งคล้องใจเจ้าตลอดไป แม้ตอนนี้เจ้าจะยังมิรู้ว่ามันคือสิ่งใด หากมินานดอก เจ้าจะรู้ว่า...มันอยู่ใกล้ๆ เจ้านี่เอง”

++++++++++

ในตอนเช้าวันหนึ่ง ขณะพระอาทิตย์ได้ขับราชรถเทียมม้าไฟข้ามผ่านน่านฟ้าเพื่อให้แสงสว่างแก่โลก พระองค์ก็ได้เห็น จุดเล็กๆ สองจุดเคลื่อนไหวอยู่ ณ ท่ามกลางทะเลหญ้าสีเขียวของเนินสูงก่อนถึงป่าใหญ่นอกเมืองพาราณสี เมื่อเพ่งมองไปด้วยความใคร่รู้ พระองค์ก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้มจำนรรจาของบุรุษร่างเล็กผอมบาง กับมนุษย์ร่างใหญ่บึกบึน

บุรุษร่างใหญ่ถามบุรุษร่างเล็กว่า “วันนั้นที่เจ้าเข้ามาหาเรา เจ้ามาด้วยเหตุอันใดกันแน่”

“เราจะมาเอานาคบาศ” บุรุษร่างเล็กเอ่ยตอบด้วยเสียงกระแทก และรั้นขึ้นจมูก

“มิใช่จะมาทำอย่างอื่นหรือ” อีกคนเอ่ยถามกวน

“เจ้ากล่าวบ้าใบ้อีกแล้วรึ หยุดคิดเรื่องอะไรลามกโสมมได้แล้ว เราเพียงเข้าไปเพื่อจะแย่งชิงบ่วงบาศมาเท่านั้น มิได้มีจุดประสงค์อื่นใด”

“ทำไม”

“เพราะบ่วงนาคบาศเป็นอาวุธมีชีวิต และมันเป็นอาวุธแห่งพระเวทย์ มันย่อมร้องเรียกสิ่งมีชีวิตแห่งพระเวทย์อื่นๆ เข้ามาหาตัว”

“และเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตพระเวทย์?”

“เราเป็นบุตรแห่งนางเทพอัปสร เจ้าลืมไปแล้วหรือ”

“อ้า นั่นซิ”

“เจ้าหยุดกวนเราเสียที นี่ถ้าเสด็จแม่มิได้ให้เรามากับเจ้า เราก็คงจะหักคอเจ้ากินเป็นอาหารอยู่ที่หิมวันต์นั่นแล้ว”

“อย่าว่าให้เราเห็นขันหน่อยเลย ยักษ์น้อยเอย แรงจะออกจากอ้อมกอดเรา เจ้ายังมิมี แล้วประสาอะไรกับจะมาจับเราหักคอ ตื่นจากฝันหวานของเจ้าก่อนเสียเถิด!”

เมื่อเห็นว่าเป็นเพียงบทสนทนาของสิ่งมีชีวิตอันเล็กกระจ้อยร่อย มิได้มีความสำคัญอันใดต่อพระองค์ พระอาทิตย์ก็ขับรถม้าต่อไปนำแสงสว่างไปสู่โลกอันกว้างใหญ่ในอีกซีกหนึ่ง ปล่อยให้สองร่างเดินลงเนินสูงเข้าสู่ป่าใหญ่ไพรดก และเดินทางถึงกระท่อมน้อยชายป่าของพรานบุญหนุ่ม ซึ่งตั้งอยู่หน้าผาอีกทีหนึ่ง และมองเห็นตัวเมืองพาราณสีอยู่ไกลๆ และแสงสีทองที่กำลังล้อเล่นกับแสงตะวันนั้นก็คือปราสาทขององค์ราชาผู้ครองนคร

นับแต่นั้นมา พรานบุญก็เลิกแล้วซึ่งการเสพเนื้อสัตว์อย่างจริงจัง แลการจับสัตว์ป่าเข้าไปขายในเมืองก็กลายเป็นเพียงอาชีพในอดีตที่ถูกละทิ้งไปเสียแล้ว ทำไมน่ะหรือ พรานบุญหันมาประทังชีพด้วยผักแลผลไม้ป่าตามอย่างยักษ์น้อยหน้าตาแฉล้มแจ่มจันทร์นั่นอย่างไรละ! แลกระท่อมน้อยชายป่าซึ่งเคยมีเพียงหนุ่มวัยฉกรรจ์อาศัยอยู่เพียงลำพัง ก็มีเสียงใสๆ ของยักษ์น้อยตนนั้นคอยกล่อมให้หัวใจได้ชุ่มฉ่ำดุจน้ำฝนหล่อเลี้ยงพื้นดินแห้งแล้ง จนงอกงามขึ้นมาด้วยพฤกษาหลากพันธุ์

จบ.

+++++

หวังว่าคงจะสนุกนะคะ หากพบคำผิดหรือประโยคแปลกประหลาด บอกกันได้นะคะ ขอบคุณค่ะ

ปล.ปรับแต่งตัวอักษรไม่เป็น


#2, RE: นาคบาศ
Posted by b on 14-May-12 at 00:49 AM
In response to message #1
สนุกมากคับ

แล้วมาลงเรื่องสนุกๆ อีกนะคับ เป็นกำลังใจให้คับ


#3, RE: นาคบาศ
Posted by ตามนั้น on 30-May-12 at 08:53 PM
In response to message #2
แงๆไม่เห็นมีตอนเย็ดกันเลย

#4, RE: นาคบาศ
Posted by (- - ) on 20-Jun-12 at 00:06 AM
In response to message #3
ขอบคุณ