Go back to previous page
Forum URL: https://www.palm-plaza.com/cgi-bin/CCforum/board.cgi
Forum Name: Story Club
Topic ID: 694
#0, สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by หมึกหมด on 03-Aug-15 at 02:08 PM
ตอนที่ 1 จุดเปลี่ยน

ห้องโถงใหญ่หน้าจวนแม่ทัพถูกสาดส่องด้วยแสงจันทร์สว่างเรืองรองยามนิทรามืดสนิท ในเรือนอันกว้างขว้างแห่งนี้ถูกประดับตกแต่งอย่างเลิศหรู สมแก่เกียรติของผู้เป็นเจ้าของซึ่งกำลังหลับไหล ด้วยใบหน้าวัย 30 ปี สง่างดงามเกินบุรุษทั่วเขตแคว้นแดนต้าเหลียนแห่งนี้ พระพักตร์คมคายได้รูปจนสตรีทั้งหลายยังต้องแอบชายตามอง ดวงเนตรปิดสนิทพร้อมขนตาที่ยาวโค้งละมุน จมูกสูงโด่งเป็นสันดูงามตายิ่งนัก ริมฝีปากสีดอกเหมย เรียวบางและหยักโค้งกระจับได้รูป ขนคิ้วริ้วเรียงรายพร้อมด้วยไรผมยาวดกดำตัดกับสีผิวที่ขาวสะอาดผ่องแผ้ว พร้อมด้วยมัดกล้ามที่แม้นถูกปกคลุมด้วยชุดผ้าแพรก็ยังสามารถเห็นเป็นรูปร่างที่ชัดทุกสัดส่วน ช่วยขับให้ชายผู้นี้ช่างดูน่าเกรงขามไม่ต่างจากพญาราชสีห์

ชายผู้เป็นเจ้าของร่างฉกรรจ์อันงดงามจนเป็นที่ต้องตาต้องใจของสตรีทั่วหล้าและเป็นที่อิจฉาในหมู่บุรุษเพศด้วยกันเองนี้มีนามว่าแม่ทัพซู่เหวิน ยอดขุนผลผู้ปกครองใหญ่แห่งแคว้นต้าเหลียน ผู้เป็นเจ้าของจวนแม่ทัพใหญ่แห่งนี้ ผู้เป็นที่เคารพรักของชาวต้าเหลียนทุกผู้ทุกคน ผู้เป็นเจ้าชีวิตของทหารและนางสนมน้อยใหญ่ในจวนแห่งนี้

บัดนี้แม่ทัพซู่กำลังหลับสนิท ชายหนุ่มตกอยู่ในห้วงความฝันว่าตนกำลังเสพสมอยู่กับหญิงงามรูปหนึ่ง ส่วนบนของหญิงสาวถูกปลายลิ้นท่านแม่ทัพบรรจงไล่เลียตั้งแต่เนิ่นนมไปถึงยอดประทุมถันอย่างกระหื่นกระหาย ขณะเดียวกันปลายนิ้วก็เค้นคลิ้งส่วนล่าง บี้บดเม็ดสาวอย่างเมามัน แม้เป็นเพียงความฝัน แต่ท่อนลึงค์ขนาดเชื่องกลับตอบสนองดีเยี่ยม ลำฆวยขนาด 8 นิ้วผงาดล้ำชูชันขึ้นดันกางเกงของท่านแม่ทัพ น้ำใสๆ ไหลออกจากปลายฆวยเป็นระยะจนกางเกงเปียกชุ่ม

ในเพลาเดียวกันนั้น... มีกลุ่มควันลอยล่องไหลเข้าห้องบรรทมอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับกลุ่มชายรูปร่างกำยำล่ำสัน 3 คนลอบเข้ามาในห้องบรรทมที่กำลังจะกลายเป็นห้องทรมานในอีกไม่ช้า ชายทั้งสามสวมชุดสีดำสนิทกลมกลืนกับบรรยากาศภายในห้อง เคลื่อนไหวรวดเร็ว ไร้สิ้นเสียง ไม่นานก็เข้ามายืนอยู่หน้าแท่นบรรทมใหญ่ ม่านที่กั้นอยู่ถูกชายทั้งสามแหวกออก เผยให้เห็นบุรุษที่แม้หลับสนิทอยู่ก็ยังดูออกว่าหล่อเหลาเกินกว่าชายใดจะเทียบได้ งามจนโจรชุดดำทั้งสามตกอยู่ในภวังค์ช่วงขณะ เมื่อได้สติคืนมา จู่ๆ โจรชุดดำทั้งสามก็เข้าจับแม่ทัพซู่ คนหนึ่งใช้แขนรัดคอจากด้านหลัง อีกสองเข้าขนาบจับแขนซ้ายขวา พลันแม่ทัพซู่ก็หลุดออกจากฝันที่กำลังเคลิบเคลิ้มอยู่

“พวกเจ้าเป็นใคร บังอาจมากที่เข้ามาในห้องบรรทมของข้า!!!” แม่ทัพซู่คำรามลั่น
“ท่านแม่ทัพนี่ปากดีจริงนะ พวกข้าจะคอยดูว่าท่านจะไปได้สักกี่น้ำ ฮ่าๆๆๆ” หนึ่งในโจรสวนกลับ

แม้ร่างกายแม่ทัพซู่จะแข็งแรงสมชายชาตินักรบ แต่เมื่อถูกชายฉรรจ์รูปร่างกำยำมากถึงสามคนจับไว้เช่นนี้ อีกทั้งก่อนหน้านี้โจรทั้งสามได้ปล่อยควันพิษที่ทำให้ผู้ที่สูดหายใจเข้าไปหมดเรี่ยวแรงแล้ว ก็เป็นการยากที่แม่ทัพใหญ่จะดิ้นหลุดออกจากการควบคุมได้ เมื่อเห็นทีว่าไม่สามารถจัดการพวกโจรต่ำช้านี้ได้ จึงร้องตะโกนเรียกทหารที่เฝ้าอยู่นอกห้องบรรทมทันที

“ทหาร!!! มีผู้บุกรุก” แม่ทัพซู่ตะโกนออกไปอย่างสุดเสียงพร้อมกับเรี่ยงแรงที่น้อยลงทุกที
สิ้นเสียงแม่ทัพใหญ่ บานประตูก็ถูกถีบออกอย่างแรง เผยให้เห็นองครักษ์เอกของท่านแม่ทัพยืนสง่างามสมกับเป็นทหารมือขวาของแม่ทัพซู่

“หลี่เฉิน!!! ช่วยข้าด้วย” แม่ทัพร้องพร้อมกับดิ้นรนหวังให้พ้นจากพันธนาการของชายชุดดำทั้งสาม แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผล ภาพที่เห็นตอนนี้คือแม่ทัพถูกล็อคคอและแขนทั้งสองข้างจากทั้งด้านหลัง ส่วนท้างด้านหน้าปรากฏให้เห็นท่อนแกนชายลำเขื่องตั้งผงาดดันกางเกงจนแทบทะลุ มองแล้วช่างน่าเย้ายัวและสมเพชยิ่งนัก
หลี่เฉินเยื้องย่างเข้ามาในห้องอย่างใจเย็น มุมปากแสยะยิ้มอย่างพอใจ แววตาเปี่ยมไปด้วยความแค้นที่สั่งสมไว้มานาน

“หลี่เฉิน เหตุใดจึงยืนอยู่เฉยๆ เล่า รีบมาช่วยข้าสิ” แม่ทัพถามอย่างฉงน
“เจ้ารู้ไหม? คุณชายซู่ ข้าไม่ใช่เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ท่านเก็บมาฝึกทหารหรอกนะ แท้จริงแล้วข้าคือบุตรชายคนเดียวแห่งตระกูลเฉิน ผู้ปกครองแคว้นเหอเป่ย เมืองที่ข้าเกิดและเป็นเมืองเดียวกับที่ท่านทำลายไปพร้อมกับท่านพ่อและท่านแม่ของข้า เมื่อ 15 ปีที่แล้ว” หลี่เฉินกัดฟันตอบ

ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ซู่เหวินเข้ากำราบกบฏแค้วนเหอเป่ยที่กระด้างกระเดื่องกับองค์ฮ่องเต้ ในศึกครั้งนั้น ซู่เหวินได้สังหารแม่ทัพใหญ่และมเหสีแห่งแคว้นเหอเป่ยไปเพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามแก่องค์จักรพรรดิ ไม่นึกว่าทั้งสองจะมีลูกชายหลงเหลืออยู่ด้วย

ในตอนนั้นหลี่เฉินเป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้หัวนอนปลายเท้า เดินเร่ร่อนอยู่ในตัวเมืองต้าเหลียนจนบังเอิญได้พบกับซู่เหวินขณะออกตรวจเยี่ยมราษฎร เด็กน้อยถลาเข้ามาหาเค้า อ้อนวอนขอร้องให้รับเค้าเป็นทหารชั้นเลวในจวน ตั้งแต่นั้นหลี่เฉินก็ตั้งใจฝึกวรยุทธ์อย่างดีมาตลอด ไม่นึกว่าจะพัฒนาตัวเองจนกระทั่งได้เป็นทหารเอกมือขวาของเขา

มาบัดนี้คนที่เขาไว้ใจที่สุดกลับเป็นคนที่เครียดแค้นเขาอย่างสุดหัวใจ...

“เจ้าพลากทุกอย่างไปจากข้า วันนี้ข้า -หลี่เฉิน- จะขอทวงคืนเจ้าอย่างสาสม ฮ่าๆๆ” หลี่เฉินหัวเราะอย่างผู้ชนะ

...ทิ้งให้คุณชายซู่เหวินกังวลกับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้


#1, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by หมึกหมด on 03-Aug-15 at 02:47 PM
In response to message #0
ตอนที่ 2 เสือสิ้นลาย

แม่ทัพซู่กำลังสับสนอยู่ได้ไม่นาน หลี่เฉินก็ถือกระบองไม้ไผ่ที่มีผ้าอุดปิดรูด้านบนไว้ คุณชายซู่รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา ไม่ว่าในกระบอกไม้ไผ่นั้นจะบรรจุสิ่งใดเอาไว้ สิ่งนั้นต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีกับเขาเป็นแน่

“พวกเจ้าจับมันมัดไว้กับเสากลางห้องโถง เอามือไพล่หลังไว้และเอาผ้าอุดปากมันไว้” หลี่เฉินออกปากสั่งลูกน้อง พร้อมกับอธิบายต่อทันที

“ในกระบอกไม้ไผ่นี้บรรจุแมงมุมแม่หม้ายดำไว้นับสิบตัว พิษของมันรุนแรงยิ่ง หากแม้นโดนต่อยเข้าครั้งเดียว หลอดเลือดทั่วร่างกายจะขยายขนาดทันที ต่อมาหากไม่ได้รับยาแก้พิษ เนื้อจะเริ่มเน่าเหม็น สมดุลหยินหยางจะเสียไป เจ้าของร่างจะตายในที่สุด ฮ่าๆๆ” หลี่เฉินพูดพร้อมกับหัวเราะร่า

ทันใดนั้นเหมือนรู้งาน ลูกน้องทั้งสามก็กระชากกางเกงแพรไหมของซู่เหวินออกจนขาดไม่เหลือชิ้นดี

บัดนี้ท่อนฆวยขนาด 8 นิ้วของท่านแม่ทัพได้รับการปลดปล่อย ตั้งลำผงกราวกับหลุดพ้นจากความคับแคบภายในกางเกง ขนาดฆวยสร้างความตะลึงให้แก่บุรุษผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก พินิจไล่มาตั้งแต่ส่วนหัวฆวยที่บานร่า สีแดงคลำเล็กน้อยแสดงถึงการผ่านศึกกับนางสนมในจวนที่มีอยู่นับร้อยนาง เงี่ยงฆวยชัดเจนโดยรอบพร้อมเข้าทะลวงข้าศึกอย่างไม่ไว้หน้า ลำฆวยทั้งยาวทั้งใหญ่ อวบจนมือกำไม่มิด พวงไข่ห้อยยานโต้งเตงสั่นไหวไปกับแรงดิ้นของผู้เป็นเจ้าของ เนิ่นหัวหน่าวอุดมไปด้วยขนดกดำหยิกยาวไล่ตั้งแต่โคนฆวยไปจนถึงใต้สะดือ สอดรับกับมัดกล้ามท้องที่ขึ้นเป็นลอนสวย ดูแล้วเจริญตาเหลือเกิน

“ข้าไม่คิดเลยว่าท่านแม่ทัพจะพกอาวุธล่ำค่าเช่นนี้ไว้กับตัว” หลี่เฉินกล่าวน้ำเสียงระคนอิจฉา

“พวกเจ้าต้องตาย ข้าจะสั่งประหารพวกเจ้าเจ็ดชั่วโคตร!!!” ซู่เหลิงคำรามจนสมุนทั้งสามผงะถอยหลัง

“ข้าจะใช้ของดีที่ท่านมีมาแต่เกิด ย้อนกลับทำลายตัวท่านเอง เตรียมตัวให้ดีเถอะ ไอ้คุณชายซู่ นับจากนี้ไปทุกอย่างจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีก บอกลาบรรพบุรุษ เกียรติยศ อำนาจ ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย นางสนมในจวน ลูกเมียทั้งหลายและประชาชนไพร่ฟ้าของท่านได้เลย” หลี่เฉินพูดอย่างไม่แยแส

ทันใดนั้นเอง หลี่เฉินก็ดึงจุกผ้าที่ปิดปากกระบองไม้ไผ่ออก แม่ทัพซู่ตกใจแต่ยังคงกัดฟันรักษาไว้ซึ่งมาดนักรบ ไม่แสดงอ่าการอ่อนแอให้ผู้ใดเห็น ไม่นานนักแมงมุมแม่หม้ายดำถูกบรรจงเทลงบนฆวยของท่านแม่ทัพอย่างสนุกสนาน เหล่าแมงมุมเมื่อเผชิญกับแสงสว่างก็แตกตื่น บางก็กัดท่อนฆวยคุณชายซู่ บางก็กัดลูกอัณฑะทั้งสอง บางส่วนไต่ไล่ขึ้นไปตามมัดกล้ามราวกับหาที่หลบภัย ส่วนที่กัดอยู่ก็เร่งระบายพิษออกเป็นกระแสจนเจ้าของฆวยรับรู้ได้ บังเกิดความร้อนผ่าวๆ จากภายใน ยอดขุนพลอย่างซู่เหวินได้แต่อดทนขบฟันแน่น

ผ่านไปเพียงชั่วครึ่งข้อยาม บัดนี้เนื้อตัวซู่เหวินไม่เหลือเค้าท่านแม่ทัพใหญ่แห่งต้าเหลียนแล้ว ผิวกายมีรอยแดงเป็นจ้ำขนาดเล็กกระจายไปโดยทั่ว ที่น่าตกใจมากที่สุดคือลำฆวยที่บัดนี้ทั้งบวมทั้งช้ำ หัวฆวยบานทะโร่ยิ่งกว่าตอนแรก บานจนเต่งตึงเงาวับราวกับจะระเบิดได้ทุกเมื่อ เงี่ยงฆวยขึ้นรูปราวกับฟันเลื่อย เส้นเลือดขึ้นลำฆวยจนปูดโปน แม้แต่เส้นเลือดฝอยยังขยายแตกกิ่งก้านสาขากระจ่ายไปทั่วท่อนฆวย ขับให้ลำฆวยดูน่ากลัวปนน่าเกรงขามไปพร้อมกัน พวกไข่ใหญ่โตขึ้นกว่าเดิมเกือบ 2 เท่า สีฆวยตอนนี้ดำคลำจนน่ากลัว ปากฆวยมีน้ำใสไหลยืดทอดลงสู่พื้นเป็นสายยาว

แม่ทัพซู่ตอนนี้ตกอยู่ในอำนาจพิษแมงมุมเรียบร้อยแล้ว หากไม่ได้รับยาแก้พิษจากหลี่เฉิน เขาคงต้องจบชีวิตลงในสภาพน่าสมเพช สิ้นภาพนักรบผู้เกรียงไกรเป็นแน่...


#2, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by ชอบนิยายจีน on 04-Aug-15 at 11:45 AM
In response to message #1
โอยยยยย มาต่ออีกครับ ผมชอบมากแนวนี้

#3, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by SeawWoob on 04-Aug-15 at 02:58 PM
In response to message #2
มาต่อไวๆ อยากเล่นของท่านขุนพลมาก ยิ่งโดนจับมัดงี้ แม่งซี๊ดเลย

#4, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by หมึกหมด on 04-Aug-15 at 03:31 PM
In response to message #3
ตอนที่ 3 ขุนศึกยอมสยบ

เหมือนห้วงเวลาผ่านไปอย่างยาวนานสำหรับแม่ทัพซู่เหวินที่บัดนี้ถูกมัดนั่งคุกเข่าตรึงติดกับเสากลางห้องบรรทม ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ เผยให้เห็นมัดกล้ามที่ได้จากฝึกรบอย่างหนักตั้งแต่สมัยวัยเยาว์ มัดกล้ามที่แม้นทหารชั้นเลวหรือนายกองใหญ่ยังต้องอิจฉา ยิ่งถ้ารู้ว่าคุณชายแห่งตระกูลซู่มิใช่มีเพียงมัดกล้ามเท่านั้นที่ใหญ่สมส่วน แต่ยังมีแท่งบรรเลงรักที่บรรพบุรุษมอบให้คุณชายซู่มาตั้งแต่เกิด ก็คงอดริษยาในความสมบูรณ์แบบเพียบพร้อมของคุณชายซู่ไม่ได้ นึกแล้วก็สงสารนางสนมที่ต้องรับแท่งนี้เข้าไปในร่างตน ช่างน่าเสียดาย บัดนี้แท่งบรรเลงรักได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นแท่งหรรษาสำหรับพวกหลี่เฉินไปเสียแล้ว

“เจ้าจงฟังข้าให้ดี ไอ้คุณชายซู่ พิษแมงมุมนี้จะคั่งและสร้างความกำหนัดอย่างถึงที่สุด พร้อมทั้งแผดเผาฆวยเจ้าไปเรื่อยๆ จนกว่าเจ้าจะสิ้นชีพ ทางแก้มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น คือเจ้าต้องระบายพิษแมงมุมออกจากฆวย ทุกยามวอก เป็นเวลา 7 วัน หลังจากนั้นเจ้าต้องได้รับกระสินธุบุษราคัมทุกวัน ซึ่งข้าได้เตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว หากเจ้ายอมเชื่อฟังข้า เจ้าจะรอด หากเจ้าขัดขืนดึงดัน เจ้าก็ตาย” หลี่เฉินอธิบายอย่างรวดเร็ว

ซู่เหวินได้แต่นั่งคุกเข่าตาแดงกล่ำ หายใจหอบถี่ มัดกล้ามแข็งเกร็งทุกสัดส่วน ท่อนฆวยบรรจุความร้อนดังลาวาจากพิษแมงมุม จนเขาต้องกระดกลำฆวยเพื่อหวังระบายความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ยิ่งเขากระดกท่อนฆวยมากเท่าไร น้ำหล่อลื่นสีใสและพิษแมงมุมสีดำก็ยิ่งไหลเยิ้มชโลมหัวฆวยและไหลย้อนไปทางลำฆวย ก่อนจะยืดหยดไหลนองกองบนพื้นห้องบรรทมของเขาเอง

“เป็นเยี่ยงไรบ้างคุณชาย หมดสภาพนักรบไปเลยนะ คงจะกำหนัดมากใช่หรือไม่ กระดกฆวยงึกๆ เลย ฮ่าๆๆ” หลี่เฉินพูดพลางหัวเราะไปกับลูกสมุนทั้งสาม

“เห็นแม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นกำหนัดหนักเช่นนี้ ให้ข้าช่วยบรรเทาเถิดขอรับ” โจรชุดดำพูดพร้อมกับใช้มือจับลำฆวยของท่านแม่ทัพที่แข็งราวกับกระบี่เหล็ก ทันทีที่ท่อนฆวยถูกสัมผัสก็บังเกิดความเสียวซ่านแก่ผู้เป็นนายเอาเสียมาก เสียวจนท่านแม่ทัพต้องโยกตัวขึ้นตามมือของนายโจรชั่วต่ำช้าเพื่อหวังซึมซาบความเสียวให้นานที่สุด บัดนี้ซู่เหวินคิดเพียงว่าขอระบายความเจ็บปวดและความกำหนัดนี้ออกไปจากฆวยของตนให้ได้เสียก่อน อย่างน้อยขอมีชีวิตไว้แก้แค้นพวกใจทรามเหล่านี้ให้สาสมกับที่มันทำกับเขาในกาลภายหลัง ขอเพียงวันนี้รอดชีวิตได้เป็นอันพอ

“ซิ๊ดดด...อู้ยย..ข้าเสียวเหลือเกิน” แม่ทัพปล่อยเสียงเสียวเล็ดลอดออกจากริมฝีปากเรียวบางที่ห่อขยุมเป็นจีบสวยงาม เมื่อไร้ซึ่งมือหยาบของโจร ซู่เหวินจึงจำใจต้องโยกสะโพกไปมา ดูคล้ายคนบ้าไร้สติกำลังกระเด้ากับอากาศในเรือนแห่งนี้

“ฮ่าๆๆๆ พวกเจ้าจงดูเอาเถิด ยอดขุนพลอย่างซู่เหวิน ใช้ชีวิตเยี่ยงราชา ถึงคราวกำหนัดแล้ว ช่างไม่ต่างอะไรจากเหล่าขอทานไร้บ้านสักนิด” หลี่เฉินมองอย่างสมเพช ในใจรู้ดีว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น

ระหว่างที่คุณชายตระกูลซู่กำลังตกอยู่ในกามราคะอย่างน่าเวทนา หลี่เฉินเหลือบไปเห็นกระบี่เล่มหนึ่งตั้งอยู่บนแท่นวางในห้องบรรทมนั้น ปอกกระบี่ประดับประดาด้วยอัญมณีสีแดงฉานระยิบระยับยามต้องแสงจันทร์ ลวดลายวิจิตรบรรจงงดงามยิ่งนัก หลี่เฉินยิ้มอย่างเจ้าเลห์ทันที

“นั้นคงเป็นกระบี่ประจำตระกูลซู่ที่สืบทอดกันมาช้านาน กระบี่ที่ร่วมรบกับตระกูลซู่ร่วม 500 ปี กระบี่พระราชทานจากฮ่องเต้ที่ไพร่ฟ้าทุกคนเคารพบูชา กระบี่ที่ฟาดฟันศัตรูมานับไม่ถ้วน ช่างเป็นบุญของข้ายิ่งนักที่ได้ยล” หลี่เฉินไม่พูดเปล่า เดินไปหยิบกระบี่ออกจากแท่น

“จะ..เจ้า ห้ามแตะต้องกระบี่เล่มนั้นเด็ดขาด!!! แม้ข้าจะใช้กระบี่เล่มนั้นฟันพวกเจ้า ข้ายังเสียดายคม” ซู่เหวินรู้ดีว่ากระบี่นี้เป็นมหาศาสตราวุธที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น คนอย่างหลี่เฉินไม่คู่ควรกับกระบี่เล่มนี้แม้เพียงปลายเล็บ

“ไม่ควรคู่กับคมกระบี่อย่างนั้นหรือ?” หลี่เฉินทวนคำพูดซู่เหวิน พลันเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมา

และแล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หลี่เฉินใช้คมกระบี่ประจำตระกูลซู่ ลากผ่านขนดกดำรกทึบใต้สะดือถึงโคนฆวยของบุตรชายคนเดียวแห่งตระกูลเจ้าของกระบี่ ครั้นขนฆวยเนินหัวหน่าวของคุณชายซู่ก็ร่วงโรยโปรยลงสู่พื้น น้ำตาซู่เหวินรินไหลออกมาอย่างไร้การควบคุม เหตุใดกระบี่สูงส่งเล่มนี้กลับต้องมาใช้ตัดขนฆวยของเขาอย่างน่าสมเพช หลี่เฉินจัดการใช้กระบี่วาดไปมาอย่างคล่องแคล่วเพื่อตัดขนให้แม่ทัพซู่อย่างเกลี้ยงเกลา ขนในที่ลับที่เขาแสนภาคภูมิใจในความเป็นชายวัยเจริญพันธุ์ บัดนี้แม่ทัพซู่ไร้ซึ่งขนแม้เพียงเส้นเดียว ดูเหมือนเด็กชายวัยเริ่มโตทุกอย่างยกเว้นขนาดฆวยมหึมาแท่งนี้ที่ช่วยยืนยันว่าเขาพร้อมผลิตลูกได้อย่างไม่จำกัด

“เจ้าว่าบรรพบุรุษของเจ้าจะว่าเช่นไร หากรู้ว่าคมกระบี่ชาตินักรบเล่มนี้ถูกนำมาใช้ตัดขนอัปรีย์ในร่มผ้าของเจ้า สะใจข้าเหลือเกิน ฮ่าๆๆๆ” หลี่เฉินกล่าวอย่างมีความสุข

“ท่านหลี่เฉินขอรับ มาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าว่าจับไอ้ขุนศึกนี่โกนหัวเลยดีหรือไม่ ขอรับ?” โจรชุดดำเอ่ยถามผู้เป็นนาย

พูดไม่ทันสิ้นเสียง ผมสลวยดกดำของคุณชายซู่ก็ถูกหลี่เฉินจิกรวบขึ้นมาอย่างรุนแรงจนใบหน้าแหงนขึ้นมาตามแรงดึง สร้างความเจ็บปวดแก้แม่ทัพอยู่ไม่น้อย ไม่ทันไรคมกระบี่เล่มเดิมก็ฟาดผ่านเส้นผมที่ถูกรวบไว้ ร่วงหล่นสู่พื้นอย่างน่าเสียดาย ก่อนจะถูกตัดแต่งให้ดูไม่น่าเกลียดจนเกินไป

“ผมของเจ้าสั้นกุดราวกับนักโทษรอวันประหาร ช่างน่าขันเสียจริง อย่ากระนั้นเลยข้าไม่ใช่คนใจดำขนาดปล่อยให้เจ้าออกไปคุมกองทัพเยี่ยงนี้หรอก ประเดี๋ยวข้าจะเติมผมให้เจ้าเอง ไอ้ซู่เหวิน” หลี่เฉินกล่าว พลางเดินไปหยิบยางไม้ในตู้เก็บของที่อยู่ไม่ไกลนัก พร้อมกับราดน้ำยางเหนี่ยวสีใสลงบนหัวของซู่เหวิน ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องปลดเชือกที่คล้องมือของคุณชายซู่ออกจนเป็นอิสระ ปลายกระบี่จี่เข้าที่คอของแม่ทัพพร้อมฟาดฟันทันทีที่อีกฝ่ายขัดขืน

“โกยขนฆวยหยิกยาวสีดำอัปรีย์ของเจ้าที่กองอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วโปรยลงไปบนหัวของเจ้าซะ!!!” หลี่เฉินออกคำสั่งอย่างโหดเหี้ยม สร้างความตะลึงแก่ผู้รับคำสั่งอย่างไม่เชื่อหู บัดนี้หากเขาไม่ทำตามที่หลี่เฉินสั่ง คมกระบี่คงตรงเข้าปักคอหอยของเขาและสิ้นใจเป็นแน่ เขากลั้นใจกวาดขนหยิกดำที่เดิมเคยอยู่กับฆวยระหว่างขาทั้งสอง ขยี้ลงบนหัวกลางกระหม่อม ขนลับเชื่อมติดกับยางไม้ยากที่จะดึงออก ดูน่าขันคล้ายกับคนมีผมสั้นหยิกกระจายอยู่ทั่วหัว บัดนี้เกียรติยศของแม่ทัพอย่างซู่เหวินแทบไม่เหลือแล้ว แม้จะเป็นคนบ้าใบ้ไร้สติอย่างไรก็มิอาจตัดขนในที่ลับมาติดกลางกบาลในที่แจ้งแบบนี้

“ข้าจะตั้งชื่อผมใหม่ของเจ้าว่าอย่างไรดีนะ? เอาเป็นหมอยซู่เหวินดีไหม ชื่อซู่เหวิน แซ่หมอยฮ่าๆๆ” หลี่เฉินสนุกกับการตั้งชื่อใหม่ให้อดีตแม่ทัพใหญ่

“ลูกพี่ดูมันสิ ฆวยไม่มีหมอย เพราะหมอยย้ายไปอยู่บนหัวมันหมดแล้ว ฮ่าๆๆ” ลูกสมุนร่วมผสมโรง

“วันนี้พอแค่นี้ก่อน อย่าลืมนะคุณชายซู่เหวินเร่งระบายพิษแมงมุมออกให้ทันทุกยามวอก ภายใน 7 วันนี้ ต้องทำทุกวัน พวกข้าขอทูลลาพะยะค่ะ ฮ่าๆๆ” หลี่เฉินและสมุนก้าวออกไปจากห้องบรรทม ทิ้งไว้เพียงซู่เหวินที่นั่งฆวยแข็ง ปากฆวยปริออก พร้อมน้ำเมือกใสผสมกับพิษของแมงมุมเอ่อล้น ดูคล้ายมังกรยักษ์ตาเดียวกำลังร้องไห้ไม่ต่างจากเจ้าของฆวยไร้หมอยที่กำลังโศกเศร้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้และวันต่อๆ ไป


#5, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by หมึกหมด on 04-Aug-15 at 03:33 PM
In response to message #4
ตอนที่ 4 จุดเริ่มต้น

แสงตะวันยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้องบรรทมกระทบกับผิวชายหนุ่มรูปร่างดี ที่บัดนี้ไร้ซึ่งขนปกคลุมร่างกาย ผมบนหัวก็ถูกตัดออกจนสั้นและถูกแทนที่ด้วยขนหมอยของตนเอง สภาพทั้งหมดนี้ดูปกติไปทันที เมื่อเทียบกับฆวยของชายหนุ่มที่ตอนนี้ยาวกว่าเดิมจนสองมือต่อกันยังจับไม่หมด ลำฆวยขยายออกทุกทิศทาง ทำให้ลำฆวยอวบใหญ่กว่าข้อมือของผู้เป็นเจ้าของจนน่าตกใจ เส้นเลือดเต่งตึงมองเห็นการไหลเวียนได้อย่างชัดเจน พร้อมด้วยสีสันลำฆวยที่แลดูม่วงคลำจนน่าเกลียดน่ากลัว แต่ก็มิอาจปิดบังความงดงามของคุณชายซู่เหวินได้เลย นับตั้งแต่เกิดคุณชายซู่ได้รับฉายาว่า “โอรสสวรรค์” ด้วยรูปร่างหน้าตาที่งามเกินมนุษย์ด้วยกัน จนผู้พบเห็นทุกคนล้วนยอมรับว่าฉายานี้ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย

เช้านี้แม่ทัพซู่รู้ดีว่าตนมีตารางฝึกซ้อมรบกับเหล่าทหารล่างชั้นเลว ซึ่งตามปกติแล้วไม่ได้สร้างความหนักใจให้แก่เขาได้เลย เว้นเสียแต่ว่าวันนี้ช่วงเวลาฝึกซ้อมนั้นคาบเกี่ยวกับยามวอก ยามที่เขาต้องระบายพิษแมงมุมออกจากฆวยของเขา แต่คนอย่างซู่เหวินรบมาทั่วหล้าล้วนได้รับชัยชนะ เขาไม่มีทางยอมแพ้คนชั้นต่ำอย่างหลี่เฉินเป็นแน่

“ทหาร ไปตามหมอหลวงมาพบข้าที่ห้องบรรทมเดี๋ยวนี้” ทหารนอกจวนที่พึ่งผลัดเปลี่ยนเวรยามมายืนเผ้าห้องบรรทมตั้งแต่ไก่โห่ เมื่อได้ยินเจ้านายสั่งก็เร่งสาวเท้าไปตามหมอหลวงมาทันที

เมื่อหมอหลวงมาถึงห้องบรรทม ก็พบกับแม่ทัพซู่เหลิงที่ดูแปลกตาไปมากเหลือเกิน ทรงผมดู...ดูประหลาดอย่างอธิบายไม่ถูก ร่างกายดูกำย่ำ กล้ามเนื้อแข็งนูนไปทั่วร่าง หมอหลวงคาดว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้วแน่ๆ

“เมื่อคืนข้าถูกหลี่เฉิ...” ยังไม่ทันกล่าวจบประโยค แม่ทัพซู่ก็หยุดพูดไปดื้อๆ

พรางคิดว่าหากหมอหลวงไม่สามารถช่วยรักษาอาการติดพิษของเขาได้ หลี่เฉินจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่เขาจะไปขอยาแก้พิษ หากประกาศแก่ธารกำนันและทหารน้อยใหญ่ว่าหลี่เฉินเป็นกบฏตอนนี้ หลี่เฉินคงไม่พอใจรั้งแต่จะทำให้ความหวังของเขาริบหรี่ สู้หาทางรักษาพิษอย่างเงียบๆ แล้วจัดการหลี่เฉินภายหลังก็ไม่เสียหาย คนอย่างเขาวางแผนการรบมานับร้อยครั้งไม่เคยพลาด ครั้งนี้เขาก็หวังเช่นนั้น

“ข้าบังเอิญถูกแมงมุมแม่หม่ายดำกัดเข้าเมื่อคืน พอจะมีทางรักษาได้หรือไม่ ท่านผู้เฒ่า” ซู่เหวินเอ่ยถามหมอหลวงต่อทันที

“เรียนฝ่าบาท แมงมุมแม่หม่ายดำเป็นสัตว์มีพิษร้ายจากแคว้นเหอเป่ย ไม่ปรากฏในแคว้นต้าเหลียนของเรามาหลายทศวรรษแล้วขอรับ เดิมทีมีการสกัดเอาพิษของแมงมุมชนิดนี้ปริมาณเท่าเม็ดถั่วเขียวผสมกับน้ำสามสิบถัง ปรุงเป็นยาเพิ่มกำหนัดแก่ทั้งชายและหญิง หากพระองค์ถูกกัดจริงแล้วเล่า พิษจะมากเหลือนับคณา คงมิอาจอยู่พูดกับหม่อมฉันได้ถึงตอนนี้หรอกพะยะค่ะ” หมอหลวงพยายามอธิบายถึงความเป็นไปไม่ได้ที่องค์เหนือหัวของเขาจะถูกสัตว์ร้ายชนิดนี้กัดเข้าเมื่อคืน

ซู่เหวินจนปัญญาที่จะอธิบาย พลั้นก็ปลดเสื้อคลุมร่างออก เผยให้เห็นทุกสัดส่วนของตนปรากฏแก่ท่านผู้เฒ่า แม้ท่านผู้เฒ่าจะเคยเห็นแม่ทัพซู่เปลือยกายมาตั้งแต่เด็กแรกเกิดจวบจนเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์เช่นนี้ ก็มิอาจสร้างความตะลึงงันได้มากเท่าครั้งนี้ เพราะเครื่องเพศของฝ่าบาทนั้นช่างดู...ดูองค์อาจน่ากลัวยิ่ง ท่อนลำลึงค์ฝ่าบาทผงกขึ้นลงพร้อมสายน้ำเมือกใสไหลยืดย้อยตั้งแต่ส่วนปลายจรดลงบนพื้นแท่นบรรทม คิ้วหมอหลวงขมวดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ลักษณะเช่นนี้เขารู้ดีว่าเกิดจากพิษของแมงมุมแม่หม้ายดำแห่งเหอเป่ยไม่ผิดแน่

“ฝะ...ฝ่าบาท ท่านถูกพิษของแมงมุมแม่หม้ายดำ ขะ...ข้าจนด้วยปัญญาจะรักษาได้พะยะค่ะ” นี่เป็นครั้งแรกที่หมอหลวงปฏิเสธการรักษาให้ฝ่าบาทอย่างรนราน

“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า ท่านเป็นหมอ ท่านย่อมรู้จักสมุนไพร รู้จักวิธีการรักษาพิษ โปรดบอกข้ามาเถิด” แม่ทัพเริ่มหงุดหงิดเล็กน้อยที่ความหวังของเขาเริ่มเลือนหายไป

“เรียนฝ่าบาท พิษนี้ร้ายกาจยิ่งนัก หากแม้รักษาผิดวิธีจะกลายเป็นดูดซึมพิษกลับเข้าเจ้าของร่างทันที เอ่อออ...ในเบื้องต้นข้าทำได้เพียงแนะนำท่านว่า...” หมอหลวงเงียบไป

“ว่าอย่างไรท่านผู้เฒ่า เร่งชี้แจ้งมาเถิด จะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงที่” ซู่เหวินคะยั้นคะยอ

“ฝ่าบาทต้องระบายพิษออกมาให้เหลือน้อยที่สุดเสียก่อนจะเป็นการดี วิธีการขับพิษนั้นทำได้โดย...เอ่ออ ข้าลำบากใจที่จะพูดเหลือเกิน” หมอหลวงถอนหายใจ

“พูดมาเถอะ อย่าได้เกรงใจข้าเลย บัดนี้ชีวิตข้าสำคัญกว่าสิ่งใด” ซู่เหวินกล่าวเตือนสติหมอหลวง

“เรียนฝ่าบาท ท่านต้อง...ทำการรูดเครื่องเพศขึ้นลงจนเกิดการเคลื่อนของกระแสน้ำภายใน ช่องทางที่พิษจะขับออกมาคือช่องเดียวกันกับช่องน้ำรักพะยะค่ะ อีกทั้งการเคลื่อนของพิษต้องกระทำยามวอกเท่านั้น เนื่องจากเป็นเพลาที่อุณหภูมิของพระอาทิตย์กำลันระอุ พิษที่หลั่งออกมาจะสลายไปอย่างสมบูรณ์พะยะค่ะ กระทำเช่นนี้ 7 วัน ก่อนแล้วจึง...ดื่มสารคัดหลั่งของคนจากเหอเป่ย” หมอหลวงกล่าวจบพร้อมกับปาดเหงื่อที่หน้าผาก

สรุปความได้ว่าขุนศึกอย่างเขาต้องช่วยตัวเองในยามวอกจริงๆ เป็นเวลา 7 วันดังที่หลี่เฉินกล่าวไว้ไม่ผิด หลังจากนั้นหลี่เฉินบอกว่าได้เตรียมกระสินธุบุษราคัมไว้แก้พิษ คงเป็นสารคัดหลั่งบางอย่างตามที่หมอหลวงชี้แจ้ง อย่างไรเสียวันนี้เขา-ในฐานะแม่ทัพใหญ่-ยังพอมีโอกาสที่จะไม่ต้องพ่นน้ำรักออกมาในช่วงฝึกทหารชั้นเลวในยามวอก นั้นคือเขาต้องยกเลิกการฝึกในวันนี้ไปเสีย

“อ้าว ทูลกระหม่อมของข้าอยู่นี่เอง ข้าตามหาเสียให้นาน บัดนี้เหล่าทหารกล้าพร้อมเพียงเข้าแถวเรียงรายรอรับการฝึกจากท่านแล้วขอรับ” หลี่เฉินเดินเข้ามาอย่างกะทันหัน พร้อมแจ้งข่าวที่ทำให้แม่ทัพซู่ถึงกับควันออกหู คนอย่างเขาไม่เคยมีใครตามความคิดได้ทัน หลี่เฉินนี้ช่างร้ายกาจราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดการอันใดอยู่

“ฝ่าบาทจะเลื่อนการฝึกออกไปก่อนก็ได้พะยะค่ะ แต่กระแสสินธุบุษราคัมนั้นคงจะ...” หลี่เฉินกล่าวท้าทาย

เมื่อสถานการณ์บีบบังคับ ทางหนึ่งก็ทหารในจวนที่รอแม่ทัพใหญ่อยู่ ทางหนึ่งก็ยาแก้พิษ ซู่เหวินจึงจำใจต้องสวมอาภรณ์แม่ทัพใหญ่ออกฝึกพวกทหารที่ยืนเข้าแถวตากแดดรอเขาอยู่นาน

ณ ลานฝึกทหาร แม่ทัพใหญ่ซู่เหวินปรากฏกายแก่เหล่าทหารนับหมื่นคนที่เข้าแถวอย่างเป็นระเบีบบ การมาของท่านแม่ทัพทำให้ทหารน้อยใหญ่ยืดตัวขึ้นตรงอย่างไม่ต้องคิด เบื้องหน้าของเหล่าทหารคือยอดขุนพลตระกูลซู่ที่ยืนตระหง่านอยู่บนแท่นสั่งการ ใบหน้าแม้นมองจากระยะไกลก็รู้ได้ว่านี่คือโอรสสวรรค์ที่งามเหนือบุรุษทั่วแคว้น หมวกและอาภรณ์สีทองระยับงดงามยามต้องแสงตะวัน ขับให้ชายผู้นี้ดูหล่อเหลาเสียจนทหารต้องเก็บอาการอิจฉาไว้ภายใต้ใบหน้าที่ราบเรียบรอรับคำสั่ง

“วันนี้ข้าจะสอนการใช้ดาบแก่พวกเจ้า จงฟังให้ดี หยิบดาบข้างกายพวกเจ้าขึ้นมา แล้วจับคู่หันหน้าเข้าหากัน” แม้แม่ทัพซู่เหลิงจะไม่ได้ตะโกนแต่เสียงกลับดังก้องกังวานสมเป็นนักรับผู้กล้า สร้างความเลื่อมใสแก่เหล่าทหารได้มากโข

แม่ทัพซู่เดินลงจากแท่นเพื่อสอนทหารใช้ดาบอย่างใกล้ชิด บัดนี้เสียงดาบกระทบกันดังโฉงเฉงทั่วสนามฝึก ซู่เหวินให้ความทุ่มเทมากกับการฝึกทหารเหล่านี้เพื่อหวังสร้างกองทัพที่เกรียงไกร จนลืมไปว่าใกล้ยามวอกเข้าทุกที จู่ๆ แม่ทัพซู่ก็รู้สึกร้อนผ่าวๆ ไล่ตั้งแต่หัวลงไป-เท้าขึ้นมาบรรจบตรงฆวยของเขา ซู่เหวินรู้สึกได้ทันทีว่าความกำหนัดนั้นเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ ลำฆวยยกดันชุดเกราะแข็งสร้างความอึดอัดให้เขาอยู่ไม่น้อย

“เกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่? แย่แล้ว บัดนี้เป็นยามวอกแล้ว” ซู่เหลิงพึมพำกับตัวเองอย่างรนรานเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าถึงเวลาต้องระบายพิษออกแล้ว

บัดนี้เขายืนอยู่กลางสนามรบ ท่ามกลางเหล่าทหารที่ตั้งใจฝึกฟันดาบอย่างมุ่งมั่น กลับเป็นตัวเขาเองที่เกิดความกำหนัดขึ้นมาในเพลาเช่นนี้ น่าอายยิ่งหนัก แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือเขาต้องระบายพิษให้ทันก่อนจะล่วงเลยยามวอกไป ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว สมองของซู่เหวินคิดทบทวนหาทางออกที่ดีที่สุดซ้ำไปซ้ำมา

“หยุดซ้อม!!!” ซู่เหวินกัดฟันโพลงออกไปจนเหล่าทหารได้ยินกันถ้วนหน้า

“วันนี้พวกเจ้าใช้ดาบได้ดีอย่างนักรบมาก อย่างไรก็ตามพวกเจ้าสมควรต้องฝึกการใช้ดาบอย่างนักรักด้วยเช่นกัน กองทัพของข้าต้องสมบูรณ์ในทุกรูปแบบ” ซู่เหวินตะโกนอย่างผู้มีอำนาจ ทหารทั้งหลายน้อมรับฟังอย่างเจียมตัว

“ยามศึกสงครามพวกเจ้ามีเพียงดาบในมือ อีกทั้งต้องทนรับกับสภาวะกดดันทุกทิศทาง ยามศึกสงบพวกเจ้าก็ควรใช้ดาบประจำกายหาความสุขสำราญให้เป็นด้วยเช่นกัน เข้าใจหรือไม่?” ซู่เหวินตะโกนถาม

“เข้าใจขอรับ” เหล่าทหารตอบพร้อมเพียงกัน ในใจนึกสงสัยในการสอนครั้งนี้ แต่ประสบการณ์สอนให้พวกเขารู้ว่าควรทำตามที่ท่านแม่ทัพสั่งมิให้บกพร่องหากไม่อยากเดือดร้อน

“ในที่แห่งนี้มีเพียงพวกเรา ชายชาติทหารเหมือนกัน ยามรบร่วมรบ ยามพักร่วมพัก ไม่มีความลับใดๆ ต่อกัน”

เมื่อเห็นว่าจะใกล้สิ้นสุดยามวอกเต็มที่แล้ว ซู่เหวินไม่รอช้า เร่งปลดเครื่องราชย์อาภรณ์สีทองอร่ามออก เผยให้เห็นทรงผมที่ดูแปลกประหลาด ดูคล้ายขนในที่ลับ สร้างความสงสัยให้ทหารชั้นเลวแต่ก็ไม่มีใครกล้าออกปากถามท่านแม่ทัพ เลื่อนจากผมลงมาเจอมัดกล้ามที่สวยงามอย่างทึ่สุด กล้ามอกที่นูนเด่น ไหล่กว้าง สอดรับกับกล้ามแขนที่สมส่วน ถัดมาเป็นกล้ามท้องขึ้นเป็นลอนชัดเจน แต่สิ่งที่เห็นหลังจากนี้กลับสร้างความมึนงงระคนตะลึงแก่เหล่าทหารทั่วลานยุทธ์


#6, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by ชายได้ชายคือยอดชาย on 04-Aug-15 at 09:37 PM
In response to message #5
เงี่ยนเลยคราฟฟฟฟฟ

#7, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by ชอบนิยายจีน on 04-Aug-15 at 09:57 PM
In response to message #6
พรุ่งนี้รอฉากว่าวกับลูกน้อง ตอนนี้จินตนาการพระเอกเป็นลิโป้ไปแล้ว รออ่านนะครับ

#8, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by หมึกหมด on 04-Aug-15 at 10:19 PM
In response to message #7
ตอนที่ 5 หลั่งน้ำร่วมสาบาน

ท่อนเอ็นขนาดผิดมนุษย์ของแม่ทัพเผยต่อเหล่าทหาร ไร้การปกปิดใดๆ บัดนี้ท่านแม่ทัพยืนเปลือยกายท้าแสงแดดยามวอก ท่ามกลางเหล่าทหารนับหมื่นคน

“เหตุใดท่านแม่ทัพของพวกเราจึงปราศจากขนตรงเนินโคนฆวยเช่นนี้ ช่างดูประหลาดยิ่งนัก ดูไม่สมชายชาตรีชาติทหารเอาเสียเลย แลดูสะอาดราวกับขันที” นี่คือความคิดแรกของเหล่าทหารในลานฝึก

“เหลือเชื่อเกินไปแล้ว นี่เป็นฆวยที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ข้าเคยพบเห็น ใหญ่เสียจนสตรีที่เจอต้องนอนซมป่วยไข้ไปสามวันเจ็ดวันเป็นแน่แท้” เหล่าทหารคิดกันไปต่างๆ นาๆ

“แม้ผิวกายของท่านแม่ทัพจะขาวระเรื่อเรืองรอง แต่ฆวยกลับดำคลำน่าเกลียด สงสัยจะเปิดศึกกับนางสนมเสียบ่อยจนหัวฆวยด้านดำได้ถึงขนาดนี้” ทหารบางส่วนตั้งข้อสังเกตุ

ซู่เหวินไม่ปล่อยให้ทหารคิดกันไปเรื่อย ตะโกนออกคำสั่งให้ทุกคนปลดเสื้อผ้าออกเสียให้หมด จนบัดนี้ชายฉกรรจ์ร่างกำยำกว่าหมื่นคน ยืนเปลือยเปล่าอยู่ในลานฝึกของจวนแม่ทัพใหญ่ ใครมาพบเห็นเข้าคงคิดว่าเสียสติไปแล้วแน่ๆ

“พวกเราเป็นชายเหมือนกัน เรามีสิ่งที่นักรบมีแต่อิสตรีไม่มี นั้นคือดาบคู่กาย ใหญ่เล็กต่างกัน หากผู้ใดแสดงอาการเขินอายให้ข้าเห็น ข้าจะจับตอนให้เป็นขันทีอยู่วังหลังทันที” ซู่เหวินขู่ เพื่อให้ทหารในลานผ่อนคลายมากขึ้น

บัดนี้ทหารทั้งหลายล้วนเห็นของกันและกัน ดังที่แม่ทัพสอน พวกเราเป็นทหาร ไม่สมควรมีความลับต่อกัน คิดได้ดังนั้นก็เลื่อมใสในวิธีการสอนของท่านแม่ทัพด้วยเข้าใจว่าต้องการให้พวกเราเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

“การฝึกวันนี้นั้นง่ายมาก หากพวกเจ้าซื่อสัตย์กับข้าจริง พวกเจ้าต้องกล้าทำทุกอย่างเพื่อข้าแม้สิ่งนั้นจะน่าอายสักเพียงใดก็ตาม ข้าขอสั่งให้ทหารทุกนายยืนเค้นคลึงลำดาบระห่างขาของตนให้แข็งและปลดปล่อยน้ำรักร่วมสาบานพร้อมกัน เป็นสัญญาว่าพวกเราคือทหารแห่งตระกูลซู่”

แม้จะงุนงงในคำสั่ง แต่ทหารทั้งหลายก็ทำตามแต่โดยดีเพื่อพิสูจน์ว่าตนพร้อมจะรับใช้ตระกูลซู่ที่ยิ่งใหญ่ทุกเมื่อ ขณะเดียวกันแม่ทัพหนุ่มจ้องมองเงาตะวันที่ใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนจากยามวอกเป็นระกา พลันก็เร่งสาวฆวยอย่างเมามัน ท่ามกลางเสียงระงมของทหารที่พอเห็นแม่ทัพใหญ่ไม่อาย ก็เริ่มรูดฆวยเคียงบ่าเคียงไหล่เจ้านายอย่างไม่อายกันและกัน

บัดนี้ชายทั้งลานรวมทั้งขุนศึกยืนกระถอกฆวยขึ้นลงอย่างเสียวซ่าน บ้างก็เน้นต้องส่วนหัวฆวย บ้างก็ลูบไล่ไปตามเรือนร่างของตน บ้างก็บี้หัวนมชูชันจากกล้ามอก บ้างก็ดึงพวงไข่ไปมา เสียงซิ๊ดปากดังก้องไปทั่วลานยุทธ์ น้ำหล่อลื่นหลั่งไหลเปรอะเปื้อนไปทั่วลาน หากนี่เป็นการประชันแข่งขันกันสาวฆวยก็ยากที่จะหาผู้ชนะได้ศึกครั้งนี้ได้

ท่านแม่ทัพเองบัดนี้ก็เสียวซ่านอย่างที่สุด เคยหลั่งน้ำรักก็มาก ทั้งกับสนมเล็กใหญ่ หรือกับมือตนเอง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่จะเสียวไปทั้งร่างทั้งตัวเช่นนี้ อาจเพราะฤทธิ์ของแมงมุมร้ายแห่งเหอเป่ย เขา-ซู่เหวิน-ในตอนนี้ยืนสาวฆวยกลางแดดจ้า ร่วมกับเหล่าทหารหาญ

บ้างคนก็เริ่มกระฉูดน้ำรักออกมาอย่างไม่สงสารพื้นดินที่รองรับ กลิ่นคาวน้ำรักคละคลุ้งไปทั่วลาน เพิ่มความเสียวซ่านให้แม่ทัพใหญ่ที่เร่งสาวฆวยอย่างไม่ลืมหูลืมตา สองเท้าจิกพื้นดินแน่นมั่นคง เงยหน้าซูดปากเย้ยฟ้า สองมือกระถอกฆวยยาวอย่างไม่ลดละ ดวงตาเลื่อนลอย กล้ามเนื้อเกร็งตัวเป็นสัญญาณว่าน้ำรักของท่านแม่ทัพกับจะหลั่งรดพื้นแผ่นดินแห่งเต้าเหลียนที่บรรพบุรุษหลั่งเลือดสร้างขึ้นมา ทหารทั้งหลายจ้องมองช่วงเวลาสำคัญ

“โอ้วว....อ่า...ข้าทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วววว” ไม่นานท่านแม่ทัพก็คำรามลั่นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วลานฝึก นักน้ำรักของท่านแม่ทัพซู่ก็กระฉูดพุ่งเป็นสายยาวขาวขุ่น ไกลกว่า 3 เมตร อีกทั้งยังพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ระลอกไม่ลดละ แก่นฆวยกระดกปลดปล่อยน้ำเสียวออกมาเรื่อยๆ จนกระทั่งลดลงจนกลายไปไหลหยาดเยิ้มจากปากฆวยลงสู่พื้นดิน ทหารหลายนายขยี้ตาราวกับไม่เชื่อในภาพที่เกิดขึ้น

“ท่านแม่ทัพฆวยช่างใหญ่ น้ำรักก็เยอะ ถ้าข้าได้สักครึ่งหนึ่งของท่านแม่ทัพ ภรรยาข้าคงหลงข้าไม่น้อย” นายทหารหลายนายแอบคิดในใจ

“ไม่อยากเชื่อเลยว่าฆวยแห่งโอรสสวรรค์จะน่าอิจฉาได้ถึงเพียงนี้ ใครเห็นเป็นต้องยกธงขาวยอมแพ้ราบคาบ ไม่แปลกใจเลยที่ท่านแม่ทัพมีภรรยาและลูกอยู่มากมาย” กระแสความคิดของทหารเริ่มหลั่งไหลออกมา

“ฆวยท่านแม่ทัพช่างดูน่าเกรงขามสมพระยศของท่านจริงๆ พระมเหสีทรงรับท่อนฆวยขนาดนี้ไหวได้เยี่ยงไรกัน” ทหารนายหนึ่งพูดกับตัวเอง

“บัดนี้พวกเราหลั่งน้ำรักสาบานเป็นพี่น้องร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กันเรียบร้อยแล้ว ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของพวกเจ้ามาก” ซู่เหวินกล่าวทั้งที่ยังมีน้ำฆวยเหนี่ยวข้นไหลยืดออกมาจากปลายฆวย

เพลานี้ล่วงเลยยามวอกแล้ว ซู่เหวินพบกว่าเขาอยู่ท่ามกลางน้ำรักเนืองนองเต็มผืนดิน ส่งกลิ่นเหม็นคาวไปทั่วจวน เมื่อสิ้นความกำหนัดแล้วจึงเกิดความรู้สึกผิด ลานยุทธ์แห่งนี้เป็นลานมีเกียรติ ผลิตทหารกล้ารับใช้กองทัพตระกูลซู่เรื่อยมา บัดนี้กลับกลายเป็นลานโลกี เจิ่งนองไปด้วยน้ำสีขาวขุ่นจากเหล่าทหารในบังคับบัญชา รวมถึงน้ำรักของตัวเขาเอง

แต่นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วที่เขาคิดได้ หากเขาต้องยืนสาวฆวยระบายพิษแต่เพียงผู้เดียวท่ามกลางทหารที่กำลังฝึกอยู่คงถูกมองจากเหล่าทหารว่าเป็นโรคจิตวิปราศ แต่วิธีนี้ทำได้แนบเนียบกว่า โดยเอาการฝึกและความจงรักภักดีมาเป็นข้ออ้างในการระบายความใคร่ หากเป็นความผิดก็ต้องโทษไอ้หลี่เฉินแต่เพียงผู้เดียว เพราะมันทำให้ข้าต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ ยิ่งคิดยิ่งแค้น ได้แต่กัดฟันกรอดๆ รอยามวอกวันถัดไป


#9, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by หมึกหมด on 04-Aug-15 at 10:24 PM
In response to message #8
ตอนที่ 6 เคารพบรรพชน

ยามราตรีค่ำคืนนี้ ชายหนุ่มรูปงามนอนก่ายหน้าผาก ในใจล้วนคิดถึงเหตุการณ์อันน่าอดสูของวันนี้ ก่อนจะแสดงสีหน้าตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมเมื่อรู้ว่ายามดวงสุริยันโผล่พ้นขึ้นขอบฟ้าวันพรุ่งนี้ คือวันเคารพบรรพชนที่ลูกหลานตระกูลซู่ทำกันมาช้านาน แน่นอนว่างานพิธีใหญ่เช่นนี้กินเวลายาวนานคลอบคลุมยามวอกด้วย ชายหนุ่มได้แต่คิดกังวลจนเผลอหลับไปด้วยความเพลีย

ยามเช้าของวันใหม่เริ่มขึ้น ซู่เหวินมิได้สดชื่นเหมือนแต่ก่อน บัดนี้ดวงพักตร์ของชายน้ำถูกประดับด้วยไรหนวดเขียวคลึม ขับส่งใบหน้าชายหนุ่มให้คมเข้มน่ามอง ผิวกายคลำขึ้นจากการยืนสาวฆวยเมื่อวานที่ผ่านมา ขนหมอยที่ติดบนหัวเริ่มหลุดลอกออกบ้างเป็นหย่อมๆ ขณะที่ขนหมอยที่ฆวยเริ่มผุดขึ้นเป็นตอ สร้างความคันยุบยิบแก่ขุนศึกอย่างมาก

“ฝ่าบาทตื่นแล้วหรือพะยะค่ะ ข้าได้เตรียมอาภรณ์สำหรับใส่ไปร่วมงานเคารพบรรพชนให้ท่านเรียบร้อยแล้ว รับรองท่านต้องพอใจ” หลี่เฉินพูดพร้อมผลักบานประตูเข้ามาอย่างไม่แยแส พร้อมกับกล่องไม้บรรจุเสื้อผ้าสำหรับซู่เหวินไว้

แม่ทัพซู่เปิดกล่องไม้ออกก็พบชุดไหมทองคำที่ดูงดงามยิ่งนัก แต่พอหยิบขึ้นสวมใส่ กลับพบว่าเส้นไหมทองคำเหล่านี้บางละเอียดแต่แนบสนิทติดกับผิวกายของเค้าได้ดี ดีจนเผยทุกสัดส่วน ตัวเสื้อแสดงกล้ามอก กล้ามท้อง ได้อย่างงดงาม ตัวกางเกงสั้นเหนือเข่าแสดงเค้าโครงร่างซู่น้อยใต้หว่างขาได้อย่างชัดเจน

“แล้วเสื้อนอกกับชุดคลุมข้าเล่าอยู่แห่งใด?” ซู่เหวินกัดฟันถามหลี่เฉินอย่างใจเย็น

“ชุดของท่านมีเพียงเท่านี้ หากขอมากกว่านี้ เห็นทีข้าคงให้ยาถอนพิษแก่ท่านไม่ได้” หลี่เฉินกล่าวอย่างสบายใจ

ซู่เหวินเห็นดังนั้นก็รู้ทันทีว่าเปล่าประโยชน์ที่จะต่อรองกับหลี่เฉิน จึงยอมฉลองพระองค์แต่เพียงเท่านี้แม้อย่างไม่เต็มใจ เมื่อก้าวพ้นขอบประตู แม่ทัพกลายเป็นจุดสนใจขึ้นในหมู่ทหารอย่างฉับพลัน

ด้วยการแต่งกายที่มีเพียงเส้นใยสีทองเคลือบร่างอยู่ แต่มิอาจปกปิดรูปร่างสัดส่วนใดๆ ได้เลย โดยเฉพาะท่อนฆวยที่ประจักษ์แก่สายตาทหารกล้ามาแล้วเมื่อวานนี้ แม่ทัพไม่แสดงความสนใจรีบก้าวขึ้นเกี่ยวรับเสด็จแล้วปิดม่านลงทันทีที่สั่งให้เคลื่อนขบวนเดินทางมุ่งหน้าสู่หลุมศพบรรพชน

ณ หลุมศพบรรพชน มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาในลานโล่งแจ้ง บัดนี้ขบวนเสด็จของซู่เหวินเดินทางมาถึงปลายทางแล้ว ม่านถูกแหวกออก พร้อมกับการเยื้องย่างอย่างสง่าของโอรสสวรรค์ งดงามราวเทพบุตร ดูน่าชมไปเสียหมด

เว้นเสียแต่ชุดที่แปลกประหลาดพอๆ กับทรงผม และไรหนวดที่ขึ้นไล่เป็นเคราเขียว ผู้คนเริ่มซุบซิบนินทาถึงความไม่ปกติของท่านแม่ทัพในครานี้ แต่แม่ทัพกลับไม่สนใจเดินตรงไปนั้นในเก้าอี้ประธานหน้าหลุมศพบรรพชนของเขา

งานนี้เต็มไปด้วยคนใหญ่คนโต ขุนนาง ข้าราชบริภาร นายทหารใหญ่ องค์รักษ์ฮ่องเต้ อีกทั้งชนชั้นชาวบ้าน ไพร่ทาส ก็มาร่วมงานอย่างครึกครื้น ทุกคนล้วนซาบซึ้งและให้ความสำคัญกับตระกูลซู่ผู้ปกปักษ์รักษาดินแดนในอาณาบริเวณนี้มาช้านาน บรรพบุรุษตระกูลซู่ได้รับความเคารพเลื่อมใสแก่ผู้คนทั่วทุกเขตแคว้น

ปัจจุบันบุตรชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูลซู่ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีไม่บกพร่องเฉกเช่นบรรพบุรุษ ซู่เหวินเป็นยอดขุนพลที่สร้างความดีความชอบให้แก่ฮ่องเต้จนมอบตำแหน่งขุนนางชั้นหนึ่งให้ ถือว่ามีอำนาจรองจากฮ่องเต้เหนือหัวเลยก็ว่าได้

มาปีนี้ซู่เหวินกลับรู้สึกอยากให้งานนี้จบไวๆ ก่อนยามวอกได้ยิ่งดี แต่สถาณการณ์ดูตรงกันข้ามกับสิ่งที่หวัง เพราะผู้คนล้นหลามต่างเข้าไปไหว้ป้ายบรรพบุรุษตระกูลซู่อย่างคับคั่ง ควันธูปล่องลอยเป็นกลุ่มหนา

ช่วงเวลาผ่านไปนานจนใกล้ยามวอกขึ้นทุกที ลำฆวยเขาเริ่มพองโตขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ แต่จำนวนคนกลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย

“เพลานี้ถือเป็นมงคลยิ่งนัก ขอเชิญท่านแม่ทัพเหวินเข้าเคารพบรรพชนตระกูลซู่ขอรับ” อยู่ๆ หลี่เฉินก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับป่าวประกาศก้องได้ยินทั่วทั้งงาน

เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ซู่เหวินตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากแม้นนั่งอยู่ตรงนี้ก็จะเป็นที่เคลือบแคลงสงสัย หากแม้นลุกยืนขึ้นก็จะเผยสัดส่วนชายหนุ่มที่ฆวยขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง เม็ดเหงื่อเริ่มผุดทั่วร่างกาย ความร้อนผ่าวๆ จากภายในเป็นสัญญาณเตือนว่าเขาต้องเร่งระบายพิษออกจากท่อนฆวยของตนก่อนพ้นยามวอกนี้ไป

“ท่านแม่ทัพซู่ โปรดให้เกียรติเคารพป้ายหลุมศพบรรพชนด้วยเถิด” นายกองชิงฟู่-องครักษ์ของฮ่องเต้เอ่ยทัก เมื่อเห็นว่าแม่ทัพซู่ยังไม่ลุกจากที่นั่งของตนเสียที

ซู่เหวินได้แต่สูดหายใจลึกๆ แล้วลุกยืนขึ้น สร้างความฮือฮาไม่น้อยเมื่อท่อนฆวยของเขาแข็งตัวเต็มที่ดันชุดไหมทองออกมาอย่างชัดเชน แม้แต่ไข่ทั้งพวงของเข้ายังมิอาจเล็ดลอดสายตาของคนในงานได้

สตรีบางคนรีบปิดตาลูกเล็กเด็กแดง แต่สายตาตนยังคงจ้องมองท่อนลำของบุตรชายตระกูลซู่อย่างตกตะลึงในความใหญ่และยาวเหนือบุรุษใดๆ ปานจะกลืนกินให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต

แม่ทัพซู่กำลังถูกพิษแมงมุมเข้าเล่นงานอีกครั้ง ความกำหนัดพึ่งทะยานสูง พร้อมกับความร้อนจากท่อนฆวยที่ผงกหัวขึ้นลงอย่างเสียวซ๋าน ซู่เหวินรู้ดีว่าหากเขาไม่รีบปลดปล่อยน้ำรักออกมา เขาจะตายในไม่ช้า แผ่นเดินต้าเหลียนจะไร้ผู้ปกครอง เหล่าทหารจะไร้ที่พึ่ง ที่สำคัญความแค้นของเข้ายังไม่ได้ชำระ

“ข้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ท่านพ่อท่านแม่ ข้าขอโทษ” ทันทีที่ความคิดจบลง ซู่เหวินก็กระชากชุดไหมทองแนบเนื้อออกจากกาย ยืนเปลือยเปล่าหน้าหลุมศพบรรพชน หัวควยกระดกขึ้นลงอย่างอิสระราวกับกำลังทักทายบรรพบุรุษตระกูลซู่ที่ล่วงลับไปแล้ว

ผู้คนในงานยังคงตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เหตุใดโอรสสวรรค์ผู้นี้จึงกระทำการน่าอับอายต่อหน้าผู้คนได้ขนาดนี้

“ทหาร!!! จับแม่ทัพซู่เหวินใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้” องค์รักษ์ชิงฟู่ร้องขึ้นทันที

ทหารนับสิบตรงเข้าจับแม่ทัพซู่ แต่ไม่ทันไรก็ถูกแม่ทัพซู่ทุ่มกระเด็นออกจากบริเวณหลุมศพบรรพชน เหลือเพียงสองทหารที่เข้าจับแม่ทัพซู่จากด้านหลัง จนแม่ทัพดิ้นไม่หลุด

“ปล่อยข้า! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าต้องระบายความกำหนัดครั้งนี้” ซู่เหวินโวยวายไร้สติ ปากพร่ำร้องขอให้ตนสำเร็จโทษฆวยนักรบของตน สร้างความน่าสมเพชแก่ประชาชนทุกคนในบริเวณนั้น

เมื่อดิ้นเท่าไรก็ไม่เป็นผล แม่ทัพซู่จึงปล่อยลมปราณพวยพุ่งใส่ทหารทั้งสองที่จับเขาไว้ ส่งผลให้ทหารกระเด็นไปไกล ทหารที่เหลือเห็นดังนั้นแล้วก็ไม่กล้าย่างกายเข้าไป ได้แต่ยืนคุมสถานการณ์ไว้

เมื่อแม่ทัพซู่เป็นอิสระ ก็ทิ้งตัวนั่งคุกเข่าหน้าป้ายบรรพชน ลงมือสาวฆวยอย่างสิ้นสติ อัณฑะพวงใหญ่ไกว่ไปมาตามแรงมือที่รูดฆวยขึ้นลงอย่างเคลือบเคลิ้ม หัวฆวยบานทะโร่สู้แสงตะวันยามวอก

ภาพที่เห็นช่างน่าสมเพชเวทนาแทนตระกูลซู่เหลือเกิน บุตรชายคนเดียวของตระกูลมานั่งรูดฆวยสำเร็จความใคร่ต่อหน้าป้ายหลุมศพพ่อแม่ปู่ย่าตายาย น้ำฆวยก็ไหลหยาดเยิ้มเต็มพื้นหลุมศพไปหมด ทุกภาพเหตุการณ์อยู่ในสายตาชองผู้ร่วมงานทุกคนตั้งแต่บุรุษยศใหญ่ไปถึงไพร่ทาส

เจ้าของท่อนฆวยดำยังคงไม่ได้สติ เมามันกับการเล่นแท่งฆวยลำนี้-แท่งฆวยใหญ่-ที่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพชนจากรุ่นสู่รุ่น ซู่เหวินได้แต่ดูดปากเสียงดังซิ๊ดอยู่เป็นระยะๆ บัดนี้ไม่เหลือสติอันใดให้คิดพิจารณาอีกต่อไปแล้ว เขาต้องการปลดปล่อยความกำหนัดที่มีอยู่อย่างบ้าคลั่งเท่านั้น

ความกำหนัดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายแม่ทัพใหญ่ตระกูลซู่ และทำสิ่งที่หลายคนรับไม่ได้ นั่นคือการคว้ากระบี่บรรพชนเล่มเดียวกับที่หลี่เฉินใช้ตัดขนอัปรีย์ของเขาเมื่อครั้งก่อน ตรงเข้าเจาะป้ายหลุมศพขึ้นรูปด้วยหินอ่อนสีขาวนวล ซู่เหวินใช้กระบี่ควงเป็นเกลียวโดยรอบ ไม่นานนักหินอ่อนก็ถูกเจาะเป็นรูกลวงขนาดใหญ่

ไม่ทันหายตกใจ ซู่เหวินคว้าท่อนฆวยลำโตสอดเสียบเข้าไปในรูที่ป้ายหลุมศพนั้น และเริ่มโยกสะโพก กระเด้าป้ายบรรพชนอย่างคนเสียสติ หนังควยถลอกเมื่อครูดไปกับหินอ่อนที่ใช้กระบี่คว้านเป็นรู

แต่ซู่เหวินก็ไม่ละความพยายาม ใช้สองมือกอบโกยน้ำหล่อลื่นที่ไหลนองเต็มพื้นขึ้นมาทาลำควยพร้อมกับยัดกลับลงไปในป้ายหินอ่อนอีกครั้ง ผู้คนพากันยืนส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้ที่เห็นสายเลือดตระกูลซู่กำลังกระเด้าฆวยเข้าออกป้ายศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพชนของตนอย่างกระหาย แต่ก็มิได้เข้าไปห้ามด้วยเกรงวรยุทธ์ของแม่ทัพใหญ่ ได้แต่ยืนมองด้วยความรังเกียจ ขอให้เหตุการณ์นี้จบลงไวๆ

“ท่านพ่อท่านแม่ ข้าเสียวฆวยเหลือเกิน...ท่านปู่ท่านย่า ข้าขอใช้ฆวยที่ข้ารักเคารพพวกท่านในวันนี้…ท่านตาท่านยาย ข้ามีความสุขจริงๆ ข้าชอบความเสียวนี้จริงๆ” ซู่เหวินพูดพร้อมยืนกระเด้าฆวยเข้าออกอย่างไม่ลดละ

น้ำหล่อลื่นไหลชะโลมป้ายหินอ่อนจนเงาวับ ซู่เหวินผลักป้ายหินอ่อนล้มลงพร้อมกับเข้าไปนอนกระเด้าอย่างไม่สนใจสายตาที่จ้องมองอยู่

“อู้ยย..โอ้วว..เสียวเหลือเกิน สุขเหลือเกิน” ชายหนุ่มขยับสะโพกขึ้นสุดลงสุด ยามขึ้นมองเห็นฆวยยาวใหญ่ผุบขึ้นจากรูหินพร้อมกับน้ำฆวยที่ไหลยืดตามออกมา ยามลงกดสะโพกสุดแรงเสียงดังฝับๆๆๆ ถ้าไม่ทำอุจาดตาเยี่ยงนี้ นับว่าลีลาทางเพศของท่านแม่ทัพทำให้สาวน้อยสาวใหญ่ในเขตนั้นเกิดติดใจอยากลิ้มลองได้ไม่ยากนัก

ไม่นานนัก แม่ทัพใหญ่เร่งกระเด้าฆวยอย่างไม่ปราณี สองมือยันพื้นไว้ มีเพียงท่อนฆวยที่ขยับเข้าออก เพลานี้ซู่เหวินตกอยู่ในห้วงจินตนาการ พระพักตร์เงยรับแสง แลบลิ้นตวาดไล่เลียอากาศอย่างเย้ายวน มือหนึ่งยกขึ้นมาบี้บดหัวนมใหญ่อย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าขมวดเกร็งดูทรมานแต่มีความสุขไปพร้อมกัน อีกไม่นานความใคร่ของเขาก็จะถูกระบายออกสู่ป้ายบรรพชนแล้ว

“ท่านพ่อ...ท่านปู่...ท่านตา ข้าจะปล่อยน้ำออกแล้ว ข้าไม่ไหวแล้ว โอ๊ยยย...ข้า..จะ..แตก.แล้ว”

“ท่านแม่...ท่านย่า...ท่านยาย ฟ้าดินเป็นพยาน ข้า-ซู่เหวิน-ขอปล่อยน้ำเสียวใส่หน้าหลุมศพพวกท่านตรงนี้” ไม่ทันชาดคำซู่เหวินก็ถอนฆวยออกจากรูหิน ยืนขึ้นหันหน้าเข้าหลุมศพบรรพชน มือสาวรูดลำฆวยใหญ่ยาวที่บัดนี้มีสีดำทมิฬจนน่ากลัว

“ขะ...ข้า ข้าคือเง็กเซียนฮ่องเต้!!! ฮ่าๆๆๆ ฆวยข้าใหญ่ยิ่งกว่าชายในในหล้า น้ำเง็กเซียนจะออกแล้ว น้ำเง็กเซียนจะแตกแล้ว” อยู่ๆ แม่ทัพก็หลุดปากพูดอย่างไร้การควบคุม

“น้ำเงี่ยนเซ็กส์ออกมาแล้ววว...ท่านพ่อท่านแม่” ซู่เหวินตะคอกพูดผิดพูดถูก พร้อมกับการล้นทะลักของน้ำฆวยที่พวยพุ่งออกมา ราดรดลงบนหลุมศพของตระกูลเขา สายน้ำเงี่ยนพรมลงบนพื้นอย่างล้นหลาม ไหลแผ่ไปทั่วบริเวณ

บัดนี้หลุมฝังศพบรรพชนเลอะไปด้วยน้ำเงี่ยนจากผู้สืบสกุล ป้ายหลุมศพก็ล้มระเนระนาด น้ำหล่อลื่นชะโลมไปทั่วบริเวณ กลิ่นเหม็นคาวน้ำเงี่ยนเริ่มแผ่กระจาย ไม่ทันที่ซู่เหวินจะได้สติก็ถูกทหารจับมัดมือไพร่หลังในสภาพไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ปกปิด ผู้คนในบริเวณนั้นจำภาพที่เกิดขึ้นได้จนวันตาย สามารถเล่าต่อลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่นถึงความอัปยศในวันเคารพบรรพชนของตระกูลซู่

หลี่เฉินยืนดูเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างพอใจในผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

“นี่ยังเป็นแค่การเปิดฉากเท่านั้นไอ้คุณชายซู่” หลี่เฉินพูดกับตนเองพร้อมฉายแววตาอาฆาต


#10, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by ชอบนิยายจีน on 05-Aug-15 at 08:49 PM
In response to message #9
รอตอนต่อไปครับ อ่านไปสาวไป

#11, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by หมึกหมด on 05-Aug-15 at 10:17 PM
In response to message #10
ตอนที่ 7 พลิกผัน

“แม่ทัพซู่กระทำการอุจาดผิดผีเยี่ยงนี้ ข้าจำต้องทูลรายงานต่อองค์จักรพรรดิ” องครักษ์ชิงฟู่กล่าวอย่างโมโหสุดขีด หลังจากสิ้นสุดเหตุการณ์ที่บุตรชายหลั่งน้ำฆวยต่อหน้าบรรพชน

ในขณะที่เจ้าของความผิดถูกมัดมือไพร่หลัง แอ่นท่อนฆวยท้าสายตาบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ แม้จะหลั่งน้ำเงี่ยนออกแล้ว แต่สภาพฆวยยังคงดูแช็งตรงพร้อมรบอยู่ทุกเมื่อ น้ำตาขุนศึกเริ่มหลั่งรินอาบแก้มแดงทั้งสองข้าง เขารู้สึกราวกับความเจ็บปวดจากพิษแมงมุมถูกแทนที่ด้วยความอายที่ต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนในงาน

“ท่านชิงฟู่โปรดเมตตา ฝ่าบาทของข้าทำความดีความชอบไว้มาก ความผิดครั้งนี้เป็นครั้งแรกของท่านแม่ทัพ โปรดลืมไปเสียเถิด อย่าให้ต้องถึงหูองค์ฮ่องเต้เลย หากเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีก ฝ่าบาทของข้าก็พร้อมน้อมรับความผิดอย่างลูกผู้ชาย” หลี่เฉินออกปากขอร้องแทนนายของตน

ชิงฟู่ตรองอยู่ไม่นานก็เห็นด้วยกับหลี่เฉิน ความผิดครั้งนี้ไม่ควรถึงหูองค์ฮ่องเต้ให้ขุ่นเคืองพระทัย บัดนี้ท่านแม่ทัพซู่อยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก จำเป็นต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด อย่างน้อยหากแม่ทัพจะกระทำการไร้ยางอายเช่นนี้อีก ก็ยังมีผู้ใกล้ชิดคอยยับยั้งการกระทำนั้นได้ทันท่วงที

“ข้าเห็นด้วยกับเจ้าหลี่เฉิน และในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ใกล้ชิดกับแม่ทัพซู่มากที่สุด ข้าวานรบกวนเจ้าดูแลทัพแม่ทัพอย่างใกล้ชิด ด้วยว่าบัดนี้ท่านแม่ทัพดูไม่สบายคล้ายป่วยไข้ ได้เจ้ารับใช้อยู่ใกล้ชิดคงจะดี” ชิงฟู่กล่าวกับหลี่เฉิน

หารู้ไม่ว่าความหวังดีขององครักษ์ชิงฟู่ที่มีต่อขุนศึกอย่างซู่เหวินจะกลับกลายเป็นความโชคร้าย ไม่ต่างจากโยนลูกไก่เข้าปากจระเข้

“เหตุการณ์วันนี้ขอให้ทุกคนปิดปากให้สนิท อย่าได้แพร่งพรายให้ใครรู้โดยเด็ดขาด งานเลี้ยงสิ้นสุดลงแล้ว ย้ายแยกกันกลับบ้านเรือนของพวกเจ้าบัดเดี๋ยวนี้” ชิงฟู่ตะโกนแจ้งผู้คนในงานที่เริ่มทยอยกลับกันด้วยความรังเกียจคุณชายซู่
.........................................................................................................................

ณ ห้องบรรทม จวนแม่ทัพ
เมื่อได้รับคำสั่งจากองครักษ์ใหญัตัวแทนฮ่องเต้ บัดนี้หลี่เฉินได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลคุณชายซู่อย่างใกล้ชิด หากแต่สิ่งที่เขาทำกลับตรงข้ามกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

คุณชายซู่ถูกมัดติดกับเสากลางห้อง มีเพียงหยาดเหงื่อที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้เท่านั้น ขณะที่หลึ่เฉินขึ้นไปนอนบนแท่นบรรทมของคุณชายซู่อย่างสุขอุรา

“เตียงของแกช่างนุ่มเหลือเกินไอ้เหวิน หากได้สตรีสักนางมาร่วมรักบนเตียงนี้คงสำราญไม่น้อย” หลี่เฉินพูดอย่างเบิกบานใจ

วันนี้เป็นวันที่หลี่เฉินเฝ้ารอมานาน วันที่ทุกอย่างของซู่เหวินเป็นของมัน วันที่ทวงคืนทุกสิ่งที่ซู่เหวินพลากจากมันไป วันที่มันสั่งให้ลูกน้องไปเชิญพระมเหสีเอกของซู่เหวินมาที่ห้องบรรทม

ไม่นานนักหลังจากออกคำสั่ง หน้าห้องบรรทมก็ปรากฏกายของสตรีรูปงามหยดย้อย ผิวพรรณเปล่งรัศมีสว่างทั่วเรือนร่าง ดวงตาคมใสดังลูกสมันน้อย คิ้วโก่งดังคันศร จมูกโด่งเชิดได้รูป ปากเล็กสีชมพูระเรือ เรือนผมเกล้าอย่างปราณีตวิจิตรบรรจง ดูแล้วเหมือนนางฟ้านางสวรรค์ เหมาะสมกันกับท่านแม่ทัพอย่างยิ่ง

“นี่เจ้าจะทำอะไรพระมเหสีของข้า ไอ้ชาติชั่...” ยังไม่ทันที่แม่ทัพจะพูดจบ ผ้าขี้ริ้วสกปรกผืนหนึ่งถูกยัดปากแม่ทัพซู่ทันที พระมเหสีองค์นี้เป็นถึงบุตรีของเจ้ากรมการคลังในพระราชสำนัก ที่องค์ฮ่องเต้ทรงเห็นชอบจัดพิธีสมรศให้อย่างมีเกียรติ แม้เขาจะมีนางสนมอยู่มาก แต่มีเพียงพระมเหสีคนเดียวที่เขารักจนหมดหัวใจ

“ข้าบอกแล้วไงว่าทุกอย่างของเจ้าต้องเป็นของข้า” หลี่เฉินตอบ พร้อมกับสั่งทหารให้ปิดตาพระมเหสีด้วยผ้าแพร ก่อนเปิดประตูต้อนรับอย่างหื่นกระหาย

สตรีรูปงามก้าวเข้ามาในห้องอย่างระมัดระวังด้วยถูกปิดตาไว้ ก้าวเดินผ่านสวามีที่ถูกมัดมือปิดปากไว้อย่างน่าอนาจ

“ถวายงบังคมเพคะฝ่าบาท” พระมเหสีกล่าวพร้อมย่อตัวทำความเคารพ ตัวนางเองรู้ดีว่าการที่ฝ่าบาทเรียกพบยามวิกาลเช่นนี้หมายถึงอะไร แม้จะยังสงสัยเรื่องที่ต้องปิดตาแต่ก็กล้าเอ่ยปากถาม

“ไม่ต้องมีพิธีรีตองนักหรอก มเหสีของข้า” หลี่เฉินกล่าวกับภรรยาของแม่ทัพซู่เหวิน

ซู่เหวินรู้ทันทีว่าบัดนี้หลี่เฉินได้สวมรอยเป็นเขา และกำลังจะทำสิ่งที่เขารับไม่ได้ แต่เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งตาแดงกัดฟันแน่น ขณะเดียวกันหลี่เฉินก็ลุกขึ้นไปปลดเปลื้องเสื้อผ้าของมเหสีออกจนหมด เผยความงดงามที่แท้จริง ความงามที่แอบซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้าของนาง

เต้านมที่อวบใหญ่จับได้เต็มไม้เต็มมือ พร้อมด้วยหัวนมสีชมพูดูเข้ากันได้ดีกับผิวกายสีขาว เบื้องล่างมีขนอุยขึ้นบางๆ เหนือปากหอยมุขที่ยังคงปิดสนิทแน่น หลี่เฉินพินิจอย่างเร้าใจ ท่อนเอ็นภายในเริ่มชูชันตอบโต้

ไม่รอช้าหลี่เฉินปลดเสื้อผ้าของตนออก เผยให้เห็นสัดส่วนที่ไม่ด้อยไปกว่าแม่ทัพซู่เลยสักนิด กล้ามเนื้อแต่ละส่วนขึ้นเป็นรูปร่างชัดเจนจากการฝึกทหารตั้งแต่เด็กของเขา ท่อนฆวยตรงใหญ่เชิดขึ้นฟ้า แม้ขนาดจะไม่ใหญ่เท่ากับของแม่ทัพซู่แต่ก็จัดว่าใหญ่เกินมาตรฐานชายฉกรรจ์ ขนหมอยที่ยาวหยิกฟู่ฟ่องอยู่เหนือโคนฆวย

บัดนี้หลี่เฉินจับพระมเหสีกดไหล่ให้นั่งลงบนพื้นใกล้กับตำแหน่งที่แม่ทัพซู่ถูกจับมัดไว้ ไม่รอช้าหัวฆวยสีชมพูสดจ่อเข้าตรงกลางริมฝีปากของสาวงาม พร้อมกับที่ปากเล็กเผยอออกรับท่อนฆวยนั้นเข้าไป ด้วยความใหญ่ของฆวยทำให้ปากน้อยๆ ตึงขึ้นทันที ริมฝีปากคลอบลงบนท่อนฆวยดูดเข้าดูดออกอย่างเอาเป็นเอาตาย

“เมียรักของข้า เจ้าช่างดูดฆวยเก่งเหลือเกิน” หลี่เฉินทนความเสียวซ่านแทบไม่ไหว สองมือจับศีรษะพระมเหสีไว้แน่น พร้อมกับการเคลื่อนสะโพกเข้าออกจากปากอย่างต่อเนื่อง บัดนี้ซู่เหวินนั่งน้ำตาตก ได้แต่มองดูศัตรูกำลังกระเด้าเย็ดปากเมียของตน

“ฝ่าบาทเพคะ โปรดเมตตาสงเคราะห์หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ หม่อมฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว” พระมเหสีกล่าวเสียงกระเซ้า น้ำใสไหลออกจากกลีบบุปฝา เป็นสัญญาณว่าพร้อมจะร่วมรักเต็มที่แล้ว

“เจ้าต้องการสิ่งใดก็พูดมาตรงๆ เถิด อย่าได้อ้อมค้อม” หลี่เฉินย้อน

“มะ...หม่อนฉัน เอ่อ..กำหนัดเหลือเกินเพคะฝ่าบาท” พระมเหสีตอบกลับ

“ต่อไปถ้าเจ้ากำหนัด ให้เจ้าพูดว่า-เงี่ยน- เข้าใจชัดไหม” หลี่เฉินกล่าวอย่างมีความสุข

“เพคะฝ่าบาท บัดนี้หม่อมฉัน..งะ..เงี่ยนแล้วเพคะ เงี่ยนเหลือเกิน โปรดฝ่าบาทช่วยปลดปล่อยหม่อมฉันด้วยเพคะ” พระมเหสีเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว

หลี่เฉินอุ้มว่าที่ภรรยาของเขาตรงไปที่แท่นบรรทม ก่อนจะวางนางลงและก้มหน้าไปดูดกินน้ำจากกลีบผกาที่หลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ปลายลิ้นตวัดแตะกับเม็ดสาวอย่างคล่องแคล้ว สาวน้อยเบียดบีบโคกใหญ่เข้ารับกับใบหน้าของหลี่เฉิน นอนก้นลอยเสียวซ่าน สะบัดไปมาเหมือนสัตว์หาคู่ สร้างความเงี่ยนแก่หลี่เฉินได้มากขึ้น

เมื่อดูดดื่มเนินโคกหญิงสาวอย่างพอใจแล้ว ก็จับนางนอนหงาย พร้อมคุกเข่าจ่อลำฆวยชายให้ตรงกับกลีบหอยสาว

“บัดนี้ ช้าจะสอดฆวยแท่งนี้เข้าไปให้ช่องสาวงาม เทพยดาทั้งหลายเป็นพยาน เราสองเป็นผัวเมียกันอย่างสมบูรณ์” หลี่เฉินคำรามลั่นห้องหวังให้ซู่เหวินได้ยินสิ่งที่เข้าพูด กดจะจับแกนฆวยกดล้ำเข้าไปให้ช่องรักอย่างยากเย็น กลีบแคมทั้งสองบานอูมโอบรัดลำฆวยอย่างแน่นหนา ลำฆวยค่อยๆ เคลื่อนผ่านช่องรักทีละน้อย จนมิดเงี่ยงบานของหลี่เฉิน

“อ่า...ฆวยเข้าไปแล้วเมียข้า ฆวยได้ลิ้มรสช่องสาวของเจ้าแล้ววว เป็นบุญฆวยของข้าเหลือเกิน” หลี่เฉินดูดปากกับสาวงามก่อนจะกระแทกแท่งชายเข้าร่องมเหสีอย่างสุดแรงเกิดเสียงดับสวบๆ

บัดนี้เครื่องเพศทั้งคู่แนบสนิทติดกัน ซึมซาบความเสียวซ่านแก่กันและกัน หลี่เฉินเริ่มขยับเอวเข้าออก ซอยฆวยถี่ยิบจนหญิงสาวพร้อมแอ่นโคกให้กระแทกไม่ยั้ง

“เงี่ยนเหลือเกิน ฝ่าบาทของข้าช่างเก่งกาญทั้งการรบและการรัก” หญิงสาวปลดปล่อยอารมณ์เต็มที่ ก่อนที่จะถูกฝ่ายชายช้อนร่างขึ้นเดินตรงไปทางแม่ทัพซู่ที่นั่งใจสลายอยู่

บัดนี้เบื้องหน้าซู่เหวินคือหนึ่งชายหนุ่มกำลังอุ้มหนึ่งหญิงสาว มือฝ่ายชายโอบอุ้มสะโพกฝ่ายหญิง ในขณะที่มือฝ่ายหญิงก็โอบลำคอของฝ่ายชาย เบื้องล่างเป็นแท่งฆวยชายที่จ่อตรงพอดีกับร่องฝ่ายหญิง ก่อนที่จะแทงมิดลำ

ภาพทั้งหมดนี้เห็นได้อย่างชัดเจนเพราะหลี่เฉินจงใจให้ซู่เหวินรับรู้ทุกการกระเด้าเครื่องเพศมเหสี หลี่เฉินกระแทกฆวยด้วยความถี่ราวกับกระหายร่องสาวนี้มานาน น้ำหล่อลื่นไหลปะปนกันจนแยกไม่ออกว่ามาจากฝ่ายชายหรือหญิง

“ร่องสาวของเจ้าตอดลำฆวยข้าตุบๆ คล้ายมีมือเด็กน้อยคอยบีบคลายท่อนฆวยให้ข้าอยู่ตลอด” หลี่เฉินปล่อยให้ฆวยถูกบีบรัดจากร่องอ่อนละมุน แล้วจึงนอนลง ปล่อยให้เมียสาวขึ้นโยกลำฆวยของเขาด้วยตัวเอง ปล่อยเต้านมให้หลี่เฉินดูดเลียอย่างกระหาย ต่อหน้าสวามีที่แท้จริงตรงหน้า

“ซิ๊ดดด..ดด ข้าเงี่ยนเหลือเกิน เงี่ยนมาก สาวงามกำลังขย่มฆวยข้า สกุลซู่จงเป็นพยานรักของเราสอง” หลี่เฉินพูดเสียงดัง ก่อนจะพลักนางนอนลงข้างกายสวามีตัวจริง แล้วซอยฆวยถี่ พวงไข่กระทบกับเนินสาวเกิดเสียงดังผับๆๆๆ ก่อนจะไล่น้ำเงี่ยนจากอัณฆะพุ่งขึ้นมาตามลำควย

“จะแตกแล้วเมียรัก ผัวจะปล่อยลูกๆ ของเราเข้าไปในท้องเมียแล้ว โอ้วว...อ่า” สิ้นสิ้นคำราม ลำฆวยหลี่เฉินก็แข็งเกร็งกระตูกพ่นน้ำเงี่ยนขาวเข้าใส่ท้องพระมเหสีอย่างมากมาย จนหญิงสาวรับรู้แรงดันภายในได้ชัดเจน ลำฆวยยังคงกดแนบแน่นไม่ปล่อย กระตุกหลั่งน้ำเขื้อชายเข้าไปจนล้นท้นกลับออกมา ไหลย้อนย้อยออกจากร่องหญิงสาว

สิ้นบทเพลงบรรเลงรักของทั้งคู่ หญิงสาวนอนสลบหมดสติเพราะความเหนื่อย หลี่เฉินถอดฆวยออก มีน้ำเชื้อยืดติดปลายฆวยเป็นสายยาว พรางหัวเราะร่า

“บัดนี้เมียของเจ้ารับน้ำรักจากจากข้าเข้าไปแล้ว เชื้อหลี่เฉินของข้าคงปะปนอยู่กับเชื้อซู่เหวินของเจ้า หากแม้นมีเด็กฟูมฟักอยู่ในท้องพระมเหสี ก็คงบอกได้ยากว่าเป็นเชื้อของใคร แต่ที่แน่ๆ เมียของเจ้าคือเมียของข้า ฮ่าๆๆๆ” หลี่เฉินเย้นเยาะแม่ทัพซู่

เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ซู่เหวินยังไม่เชื่อว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นจริง เขา-แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้น-ต้องมาร่วมหลั่งน้ำรักพร้อมทหารในบังคับบัญชาร่วมหมื่นนาย ต้องกระแทกฆวยเข้าป้ายบรรพชนของตระกูลต่อหน้าคนมากมาย ต้องสาวฆวยพ่นน้ำหนุ่มลงบนหลุมศพสกุลซู่ แล้วยังต้องมานั่งดูร่องเมียรักที่มีน้ำเชื้อศัตรูไหลหลั่งออกมา บัดนี้เขาทำได้เพียงคิดว่าพรุ่งนี้ต้องเจอกับเรื่องร้ายใดอีก....


#12, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by LukeJeab on 06-Aug-15 at 08:58 PM
In response to message #11
ซาดิสม์มากค่ะ แอบสงสารท่านแม่ทัพมากๆ

พรุ่งนี้จะมาแนวไหนอีกเนี่ย


#13, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by หมึกมืด on 07-Aug-15 at 06:09 PM
In response to message #12
ว้ายยยชอบแนวนี้มากค่ะ รีบมาต่อไวๆนะคะ

#14, RE: สิ้นลาย...ยอดขุนพล
Posted by พี on 23-Aug-15 at 07:25 PM
In response to message #13
นิยายที่แต่งคิดได้ไงให้ขุนพลรูดควยสำเร็จความใคร่หลุมบรรพชน เอากระบี่เจาะป้ายเป็นวงแล้วเอาควยสอดกระเด้าใส่ น้ำแตกใส่ป้ายบรรพชน ทำไมจิตใจถึงได้ลามกแบบนี้ รับไม่ได้