We have no responsibility for the contents in this web community!

ถ้าเข้ามาแล้วพบว่ากระทู้ไม่เรียงตามวัน/เวลา ให้คลิ๊กตรงคำว่า Date/Time ที่อยู่ตรงแถบสีม่วงๆ นะครับ


ห้ามลงประกาศโฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ยกเว้นสปอนเซ่อร์!!!!!

*** ห้ามใช้เนื้อที่บอร์ดเพื่อแอบแฝงขายบริการทางเพศ ***


เพิ่มเพื่อน

RBR Section


Register
สมัครสมาชิก


What's RBR?
ต่ออายุสมาชิก

**** ส่วนบริการเข้าบอร์ดเฉพาะสำหรับสมาชิก RBR บอร์ด Devil และ บอร์ด Zombie ต้องการติดต่อสอบถาม ส่งเมลล์ที่ ryubedroom@yahoo.com เท่านั้น ****

กรุณาคลิ๊กที่นี่และ Bookmark ไว้ด้วยครับ

Palm-Plaza.com

Complete the form below to post a message

Original Message
"RE: ต้นสน - Repost และตอนพิเศษ"
Posted by sarawatta on 14-Jun-11 at 10:24 PM

ตอนที่ 8: เพื่อนผู้เสียสละ

ต้นเก็บเงินสี่หมื่นบาทใส่กระเป๋าเป้ของเขาอย่างช้าแล้วก็เดินออกมาจากธนาคาร นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถอนเงินจากบัญชีนี้หลังจากที่เก็บหอมรอมริบมาตั้งแต่เด็กๆ หลายปี แต่เขาก็ไม่เสียดายมันหรอกถ้าหากมันจะช่วยทำให้เพื่อนเขาคนหนึ่งมีอนาคตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ได้ สิ่งที่ต้นกำลังหนักใจก็คือเขาจะบอกสนอย่างไรดีต่างหาก ถ้าอยู่ดีๆ ถือเงินไปให้สน เขาต้องไม่รับอย่างแน่นอน ต้นรู้นิสัยเพื่อนดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เขาก็จะต้องเกลี้ยกล่อมสนให้ได้ ก่อนหน้านี้ต้นเฝ้าเกลี้ยกล่อมสนและครอบครัวให้เห็นความสำคัญของการศึกษาอยู่นานหลายเดือนกว่าจะสำเร็จ เขาพาสนไปสมัครขอทุนจากรัฐบาลซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเพราะคนที่ไปสมัครก็ได้กันเกือบทุกคน จึงไม่น่าจะต้องห่วงเรื่องค่าเทอม ก่อนสอบเอนทรานซ์ต้นก็มาช่วยติวให้เพื่อนแทบทุกวัน แล้วสนก็สอบติดในคณะเทคโนโลยีสารสนเทศที่เขาอยากเรียนในมหาวิทยาลัยที่ต้นเองก็สอบติดด้วย แต่ค่าใช้จ่ายที่จะใช้สำหรับการเข้าเรียนก็มีอยู่มากพอสมควร ที่บ้านสนมีเงินไม่พอ น้าสาวของสนก็ประสบปัญหาด้านการเงินช่วงนี้พอดีเนื่องจากสามีป่วยออดๆ แอดๆ เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ทำให้หมดเงินไปมากจึงไม่ได้ส่งเงินมาให้เช่นเคย สนจึงงอแงที่จะไปไม่ไปเรียนอีกเพราะไม่อยากให้ครอบครัวลำบาก ทั้งๆ ที่เขาก็สอบได้แล้ว ครั้นต้นจะให้พ่อกับแม่ช่วย ต้นก็รู้สึกเกรงใจเพราะตอนนี้พ่อกับแม่ก็ต้องใช้เงินไม่น้อยสำหรับการศึกษาของเขา วิธีนี้จึงเป็นวิธีสุดท้ายที่ต้นพอจะนึกออก แต่เขาก็ไม่ได้บอกให้พ่อกับแม่รู้เลย

ต้นมาหาสนที่บ้านด้วยจิตใจที่หวาดหวั่น เขากังวลมากว่าสนจะปฏิเสธการช่วยเหลือของเขาในครั้งนี้ พอมาถึง สนก็พาเขามานั่งคุยที่โต๊ะหินอ่อนหน้าบ้านใต้ต้นมะม่วง ดูท่าทางสนเครียดๆ อยู่เหมือนกัน

“สน... นายเรียนต่อเถอะนะ อดทนลำบากอีกแค่สี่ปีเอง จบแล้วนายก็จะมีงานดีๆ ทำ พ่อแม่ของนายจะได้สบาย” ต้นบอกเพื่อนด้วยประโยคเดิมที่เขาพูดมาแล้วหลายครั้งแล้ว

สนถอนหายใจ เขารู้ว่าต้นหวังดีกับเขา แต่ครอบครัวเขาจะต้องลำบากมากขึ้นอีกหลายเท่าถ้าเขาเรียนมหาวิทยาลัย แม้ว่าจะไม่ต้องจ่ายค่าเทอมแต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ อีกหลายอย่าง สนสงสารพ่อกับแม่ที่ต้องเหน็ดเหนื่อย ถ้าสนออกมาทำงานตอนนี้ พ่อแม่ก็จะได้เหนื่อยน้อยลง

พอเห็นเพื่อนเงียบ ต้นก็พูดต่อ “เรารู้ว่านายกังวลเรื่องเงิน รู้ว่านายเป็นห่วงพ่อแม่ที่จะต้องลำบาก แต่สนคิดให้ดีๆ นะ พ่อแม่ของสนจะลำบากไปอีกไม่กี่ปีเท่านั้น แล้วเราหรือพ่อแม่ของเราก็จะช่วย นายไม่ต้องกลัวเรื่องนั้นหรอกสน เราจะช่วยให้สนเรียนจนจบให้ได้”

สนถอนหายใจอีกครั้ง “ต้น...เรารบกวนนายและครอบครัวนายมามากแล้ว เราเกรงใจนะต้น เรารู้ว่าตอนนี้ครอบครัวนายก็ต้องใช้เงินมากเหมือนกัน ค่าใช้จ่ายของนายเองก็ไม่ใช่น้อยๆ นะต้น นายอย่าห่วงเราเลย เราเคยบอกนายแล้วไงว่าเราไม่กลัวความลำบากหรอก เราลำบากมาเยอะแล้ว” สนยังคงยืนกราน

“สน นายไม่ต้องเกรงใจหรอก เราเต็มใจนะสน พ่อแม่เราก็เต็มใจที่จะช่วย ถ้าสนเรียนจบมีงานดีๆ ทำ สนจะใช้คืนตอนนั้นก็ได้” ต้นพยายามอ้อนวอน สนดูเงียบไปเหมือนคิดอะไรบางอย่าง ต้นพูดสืบไปว่า “นายจะบอกให้เราไม่ต้องห่วงนายไม่ได้หรอก นายเป็นเพื่อนของเรา ยังไงเราก็ห่วงนาย เราอยากเห็นนายมีอนาคตที่ดี มีการศึกษา มีงานทำ สามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ มันอาจจะลำบากตอนนี้ แต่มันจะคุ้มค่าเมื่อนายเรียนจบนะสน เรายินดีช่วย เราทำได้ทุกอย่างเลย”

สนมองหน้าเพื่อนด้วยความตื้นตันใจ เขารู้ว่าต้นห่วงเขามาก ที่ผ่านมาต้นได้พยายามทุกวิถีทางที่จะให้เขาเรียนต่อ จนทุกวันนี้ต้นก็ไม่เคยลดความพยายามลง เขาเองก็อยากเรียนต่ออย่างที่ต้นขอร้อง แต่มันติดตรงที่ว่าพ่อกับแม่เขาจะต้องลำบากมากขึ้นเท่านั้นเอง

“สน” ต้นเรียกเพื่อนแล้วหยุดไปเหมือนกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง ต้นหยิบห่อเงินออกมาจากกระเป๋าแล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้าสนอย่างช้าๆ สนมองตามอย่างไม่วางตาด้วยความสงสัยว่าในนั้นมีอะไรอยู่

“อะไรเหรอต้น” สนถามด้วยสีหน้าสงสัย

ต้นกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นก่อนจะบอกเพื่อนว่า “นี่คือเงินที่เราพอมีอยู่ คิดว่าคงพอจะช่วยให้นายเข้าเรียนได้ นายรับไว้นะสน”

แล้วก็เป็นอย่างที่ต้นคิด สนปฏิเสธทันที “ไม่ เราไม่รับอย่างเด็ดขาด ต้นอย่าทำแบบนี้ นายช่วยเรามามากแล้ว อย่าให้เราต้องละอายใจไปมากกว่านี้เลย เก็บเงินนายไว้ต้น เราไม่เอาอย่างเด็ดขาด” พูดจบแล้วสนก็ผลักเงินคืนมาให้ต้น

“สน...เราขอร้องล่ะ นายต้องรับเงินก้อนนี้ไป เราจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิตเลยถ้ารู้ว่าเราพอจะช่วยนายได้แต่เราก็ไม่ทำ เราจะไม่มีความสุขเลยถ้ารู้ว่านายจะไม่ได้เรียนหนังสือ ต้องทำงานหนัก ไม่มีอนาคต เราทนเห็นนายเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอกนะสน” ต้นพูดเสียงดังขึ้นด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอย่างที่สนไม่เคยเห็นมาก่อน

“เราขอนะสน ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะขอนาย แล้วเราจะไม่ขออะไรจากนายอีกเลย ถือว่าเราขอร้องละกัน นายจะเอามาคืนเราเมื่อไรก็ได้ที่นายพร้อม เราไม่เสียดายเงินนี้เลยถ้ามันจะช่วยให้เพื่อนที่เรารักมีอนาคต เราสัญญานะสน เราจะไม่ขออะไรนายอีกเลยในชีวิตนี้ ขอแค่ให้นายรับเงินก้อนนี้ไปแล้วเรียนต่อ นายทำให้เราได้ไหมสน”

เมื่อเจอไม้นี้เข้าไป สนก็พูดแทบไม่ออก

“ได้ไหมสน” ต้นย้ำคำถามเดิม

สนไม่ตอบแต่ดึงเพื่อนมากอดแทนคำตอบ เขายอมแพ้แล้ว แพ้อย่างราบคาบให้กับความดีของเพื่อน เขารู้ว่าต้นเหนื่อย เครียดและใช้ความพยายามอย่างมากตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเพื่อที่จะทำให้เขาเรียนต่อให้ได้ ที่สำคัญ ต้นก็ได้แสดงให้เขาเห็นแล้วว่าต้นทำอะไรก็ได้เพื่อให้เขาได้เรียนต่อ ต้นยอมเหนื่อยและเสียสละเพื่อเขาขนาดนี้ ทำไมเขาจะทำตามที่เพื่อนขอไม่ได้ “เอาวะ อะไรมันจะเกิดก็คงต้องเกิด พ่อกับแม่ทนเหนื่อยเพื่อสนอีกหน่อยก็แล้วกัน แล้วสนจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังเลย สนจะตอบแทนคุณของพ่อแม่ให้ได้อยู่อย่างสุขสบายเมื่อสนเรียนจบและมีงานทำ” สนคิดในใจ

“ขอบใจนายมากต้น เราไม่รู้ว่าเราขอบคุณนายเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วตั้งแต่รู้จักกันมา” สนพูดพร้อมกับน้ำตาแห่งความตื้นตันใจ เขาไม่มีนิสัยเป็นคนขี้แยเลย แต่ก็ต้องร้องให้ด้วยความซาบซึ้งใจกับเพื่อนคนนี้หลายครั้งแล้ว

“แค่นายตั้งใจเรียนให้จบ มีงานดีๆ ทำก็พอแล้วสน แค่นั้นเราก็พอใจแล้ว ไม่ต้องขอบคุณอะไรเราก็ได้ ถึงวันนั้นเราก็จะไม่ห่วงนายแล้ว เราจะไม่ขอให้นายทำอะไรเพื่อเราอีกเลย”

พอต้นพูดจบ สนก็ยิ่งกอดเขาแน่นขึ้นไปอีกจนต้นหายใจไม่ถนัด “สน เราหายใจไม่ออกแล้วนะ” ต้นว่า

สนก็ขำ เขารีบปล่อยเพื่อนทันที “โทษทีต้น”

ต้นขำบ้าง “ไม่เป็นไร” ต้นหยุดแล้วพูดต่อ “สน...นายอย่าบอกพ่อแม่เรานะ บอกพ่อกับแม่นายด้วย อย่าบอกใครเรื่องนี้นะ”

สนพยักหน้ารับคำ เขาควรต้องเลิกดื้อและฟังต้นบ้าง เพื่อนช่วยเขามาเยอะแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหาอะไรสำหรับเขาอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร สนรู้ดีว่าเขาโชคดีที่ได้มาเจอกับ “กัลยาณมิตร” ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนในโลกนี้เท่านั้นที่จะได้เจอมิตรที่จริงใจแบบนี้ “เพื่อนรัก แม้แต่ชีวิตเราก็ให้นายได้” สนบอกตัวเองในใจ

เมื่อสนเอาเรื่องนี้มาบอกกับพ่อแม่ในตอนเย็น แม่ของสนถึงกับร้องให้ ส่วนพ่อก็น้ำตาซึม ทุกคนต่างซาบซึ้งใจในความดีของต้น พ่อกับแม่ของสนได้แต่กำชับสนว่าให้รักเพื่อน ช่วยเพื่อนทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ อย่าทิ้งเพื่อนและอย่าทำให้เพื่อนผิดหวัง สนก็รับคำพ่อกับแม่เป็นอย่างดี
------------------------------------------------------------------------------------------------
ต้นกับสนได้มาเจอกับเพื่อนใหม่สองคนที่ชื่อ “นิก” และ “ปั้นจั่น” โดยบังเอิญในวันแรกที่มามอบตัวที่มหาวิทยาลัย เมื่อคุยกันจึงได้รู้ว่านิกกับปั้นจั่นเช่าบ้านอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก บ้านหลังนั้นเป็นบ้านที่เพื่อนรุ่นพี่ที่นิกกับปั้นจั่นรู้จักและเพิ่งจบไป นิกกับปั้นจั่นก็เลยขอเช่าต่อ ตอนนี้ยังมีห้องว่างอยู่อีกสองห้อง จึงอยากให้มีคนมาอยู่ด้วยอีกเพื่อช่วยกันแบ่งเบาค่าเช่าบ้าน ต้นกับสนจึงรีบตอบตกลงทันทีเพราะทั้งสองคนต่างก็ไม่ชอบอยู่หอพัก เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กต่างจังหวัดที่ไม่ค่อยชอบอยู่ในที่แคบๆ เพราะบ้านในต่างจังหวัดนั้นมีพื้นที่ใช้สอยมากมายไม่เหมือนในกรุงเทพ

วันรับน้องใหม่วันแรก สนก็แสดงฤทธิ์เดชให้คนในมหาวิทยาลัยรู้เสียแล้วว่า “เพื่อนสน ใครอย่าแตะ” เรื่องมันเกิดขึ้นเพราะว่าสนกลับมาถึงบ้านพักที่เขาเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ร่วมกับนิกและปั้นจั่นแล้วปรากฏว่าต้นก็ยังไม่กลับ พอโทรศัพท์ไปหาต้นก็ไม่รับสาย ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน สนจึงกลับไปมหาวิทยาลัยอีกครั้งเพื่อไปตามหาเพื่อน สนถามคนในมหาวิทยาลัยแล้วก็เลยรู้ว่าคณะของต้นนั้นยังรับน้องกันไม่เสร็จเลย สนจึงตามไปดูว่าคณะนั้นเขารับน้องแบบไหนกันถึงต้องใช้เวลานานขนาดนั้น เมื่อไปถึง สิ่งที่เขาเห็นก็คือ ต้นกำลังกระโดดโหนราวที่พาดไว้ค่อนข้างสูงมากอยู่ ใครที่สามารถกระโดดโหนราวได้ก็จะผ่านด่าน ส่วนคนที่ไม่ผ่านก็ถูกบังคับให้กระโดดจนกว่าจะผ่าน ในคณะของต้นนั้นมีแต่ผู้ชาย คนอื่นๆ กระโดดผ่านกันไปหมดแล้วเหลือแต่ต้นคนเดียว ต้นต้องกระโดดแล้วกระโดดอีกจนแทบจะไม่มีแรง พอต้นล้มลงเขาก็ถูกด่าว่าอ่อนแอและถูกหัวเราะเยาะ จากนั้นก็ถูกบังคับให้กระโดดอีก สนเริ่มกัดฟันกรอดๆ ด้วยความโมโหที่เห็นต้นถูกบังคับทารุณเกินกว่าความจำเป็น แม้จะรู้ว่านี่คือการรับน้อง แต่เขาก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป พอต้นล้มลงอีกครั้ง เขาก็ปรี่เข้าไปหาเพื่อนและต่อว่ารุ่นพี่อย่างไม่เกรงกลัวใคร

“พอได้แล้ว พวกพี่จะให้เพื่อนผมกระโดดจนตายเลยหรือไง ไม่เห็นหรือไงว่าเพื่อนผมเขากระโดดไม่ไหวแล้ว ทำไมจะต้องบังคับอะไรกันขนาดนั้นด้วย” แล้วสนก็หันมาบอกเพื่อนว่า “ต้น นายไม่ต้องกระโดดแล้ว กลับบ้าน”

“เฮ้ย มึงเป็นใครวะ มายุ่งอะไรเนี่ยหา” หนึ่งในรุ่นพี่ของต้นตะคอกถามแล้วเดินเข้ามาหาสนด้วยท่าทางหาเรื่อง

สนลุกขึ้นยืน ขึงหน้าใส่คนที่เดินเข้ามาอย่างไม่กลัวเกรง “ผมเป็นเพื่อนต้น ถ้าพวกพี่ไม่หยุดแกล้งเพื่อนผม ผมจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องมหาลัย” สนขู่และก็ได้ผลเพราะเพื่อนรุ่นพี่ของต้นมีสีหน้ากลัวสิ่งที่เขาพูดอย่างเห็นได้ชัด

“มึงกล้าเหรอ” ชายคนนั้นพูดพร้อมกับผลักอกสน แต่สนเป็นคนที่แข็งแรงมากจึงไม่ล้มง่ายๆ ที่สำคัญคือสนดูตัวโตและแข็งแรงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ผู้ชายคนนี้ไม่มีทางสู้สนได้อย่างแน่นอนแม้จะอายุมากกว่าก็ตาม

“นึกว่าเป็นรุ่นพี่แล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ” สนว่าพร้อมกับแสดงท่าทีให้เห็นว่าเขาพร้อมที่จะสู้ถ้าหากชายคนนี้ไม่หยุด

“เฮ้ย สนอย่ามีเรื่องกันเลย” ต้นร้องบอก เสียงเขาดูเหมือนคนที่ติดอยู่ในทะเลทรายมาเป็นแรมเดือน

เพื่อนรุ่นพี่คนอื่นๆ ก็รีบมาห้ามทั้งสองคนไว้ก่อนที่เรื่องจะบานปลาย “เฮ้ย ไม่เอาน่า อย่ามีเรื่องกันเลย” เพื่อนรุ่นพี่ที่ดูท่าทางเหมือนจะเป็นที่ยำเกรงของคนอื่นๆ เข้ามาห้ามด้วย

“เดี๋ยวเถอะมึง” ชายคนนั้นหันมาอาฆาตสน

งานรับน้องของคณะต้นจึงต้องหยุดลงกลางคันหรือ “วงแตก” นั่นเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ารุ่นพี่ของต้นกลัวว่าสนจะเอาเรื่องไปฟ้องทางมหาวิทยาลัยจริงๆ เพราะทางมหาวิทยาลัยเข้มงวดเรื่องการรับน้องมากและไม่ต้องการให้มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับการรับน้องเผยแพร่ออกไปอีก รุ่นพี่คนไหนทำเกินกว่าเหตุก็อาจเจอโทษไล่ออกได้

“ลุกไหวไหมต้น” สนหันมาถามเพื่อน ต้นส่ายหน้าเพราะเขารู้สึกเหนื่อยมากจนเหมือนขาจะหลุดออกจากกัน ข้าวปลาก็ยังไม่ได้กินตั้งแต่เช้าเพราะรุ่นพี่ไม่ให้กิน สนจึงต้องช่วยพยุงต้นให้ค่อยๆ ยืนขึ้น

“ขี่หลังเราไหม” สนถาม เพราะดูแล้วต้นอาจจะเดินไม่ไหวด้วย ต้นพยักหน้า

สนให้ต้นขี่หลังแล้วพาเพื่อนออกไปโดยไม่สนใจรุ่นพี่บางคนที่มองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ สนพาต้นบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อเรียกแท็กซี่กลับบ้าน แม้ว่าจะเหนื่อยแต่ต้นก็แอบรู้สึกอบอุ่นใจที่ได้ขี่หลังเพื่อนเป็นครั้งแรก เหมือนพระเอกกับนางเอกในหนังรักโรแมนติกที่เขาเคยดู บางครั้งความน่ารักของสนก็ทำให้เขาคิดไปไกลเหมือนกัน ณ ตอนนี้ ต้นรู้ตัวแล้วว่าไม่ได้คิดกับสนแค่เพื่อนเท่านั้น แต่มีความรักอีกแบบก่อตัวขึ้นโดยที่ต้นไม่รู้ตัวเลยว่ามันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน
------------------------------------------------------------------------------------------------
สนพยุงต้นเข้ามาในบ้าน นิกกับปั้นจั่นที่มาถึงก่อนแล้วก็วิ่งเข้ามาช่วยพลางถามว่าเกิดอะไรขึ้น

“โห มึงโคตรกล้าเลยว่ะสน ดีนะที่พวกมันไม่รุมมึง ไม่งั้นตายคาตีนพวกมันแน่” ปั้นจั่นชมเมื่อฟังสนเล่าจบ

“ไม่กลัวหรอกเว้ย ทำเกินไปนี่หว่า เล่นพิเรนทร์แบบนี้ ถ้ามหาลัยรู้พวกนี้มีหวังโดนไล่ออก” สนว่า แล้วหันมามองเพื่อนที่นั่งหมดแรงอยู่บนโซฟาข้างๆ เขาด้วยความห่วงใย บ้านหลังนี้มีชุดโซฟา เก้าอี้และโต๊ะอยู่ตรงกลางโถงชั้นล่าง ใช้นั่งพักผ่อนและกินข้าวได้ นอกจากนี้ก็มีห้องครัวและมีห้องนอนอีกสี่ห้องสำหรับสี่คนพร้อมห้องน้ำในตัวด้วย

นิกกับปั้นจั่นเห็นสายตาที่สนมองต้นแล้วก็รู้สึกแปลกใจเพราะรู้สึกได้ถึงความห่วงใยที่ไม่ธรรมดา สายตาที่สนมองเพื่อนนั้นมีความหมายพิเศษกว่าเพื่อนทั่วไปมากนัก

“หายเหนื่อยหรือยังต้น ให้เรานวดให้ไหม” สนถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย

“ค่อยยังชั่วแล้วล่ะ” ต้นตอบ

“เอางี้ เดี๋ยวเราช่วยนวดขานายให้ดีกว่า” สนว่าพลางช่วยจัดแขนขาต้นให้นอนสบายๆ บนโซฟาแล้วช่วยนวดขาให้โดยไม่รู้ตัวว่าเพื่อนอีกสองคอยสังเกตดูบางสิ่งบางอย่าง จริงๆ ช่วยเหลือกันก็คงไม่แปลก แต่แปลกตรงที่สายตาของทั้งสองคนเวลามองกันนั้นมันมีความหมายบางอย่างที่นิกและปั้นจั่นไม่เข้าใจนั่นเอง

“พวกมึงรู้จักกันมากี่ปีแล้ววะเนี่ย” นิกถามบ้าง

สนพักนวด นับนิ้วมือแล้วก็ตอบไปว่า “เก้าปีแล้ว” ตอบเสร็จแล้วก็หันไปนวดให้เพื่อนต่อ

“โห รู้จักกันนานเหมือนกันนะเนี่ย” นิกว่า

“แล้วพวกมึงล่ะ รู้จักกันกี่ปีแล้ว” สนถามบ้าง แต่ไม่หันไปมองหน้าเพื่อนอีกสองคน

“ไม่กี่ปีหรอก สองสามปีเอง ตอนเรียน ม. ปลาย” ปั้นจั่นตอบบ้าง

“สน พอเหอะ เราโอเคแล้ว” ต้นบอกเมื่อรู้สึกว่าอาการดีขึ้นแล้ว สนจึงหยุด ต้นค่อยๆ ย้ายขาลงจากโซฟาแล้วลุกขึ้นนั่ง สนลุกขึ้นไปนั่งบนโซฟาข้างๆ เพื่อนด้วย

“หิวข้าว มีอะไรกินไหม เรายังไม่ได้กินอะไรสักคำตั้งแต่เช้าเลย” ต้นบอกพลางนิ่วหน้า

“ไม่มีว่ะ เมื่อกี้ก็ลืมซื้อเข้ามา เออ หิวเหมือนกันว่ะ” นิกเออออตาม

“เดี๋ยวเราออกไปซื้อตรงปากซอยให้” สนอาสา

“เราไปด้วยได้ปะ” ต้นถามแต่ก็รู้ว่าสนต้องไม่ให้ไปแน่ๆ

“ไม่ได้ นายอยู่นี่แหละ พักขาเหอะ”

“ทำไมมึงสองคนดูเป็นห่วงกันจังเลยวะ” ปั้นจั่นถามด้วยความสงสัย

ต้นกับสนมองหน้ากันเพราะไม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์ของคำถาม “อ้าว ก็เป็นเพื่อนกันก็ต้องเป็นห่วงกันสิ แปลกตรงไหน แล้วพวกมึงไม่ห่วงเพื่อนเหรอ” สนถามกลับบ้าง

“ก็ห่วง แต่ไม่เหมือนอย่างนี้” ปั้นจั่นบอก

สนไม่รู้หรอกว่า “อย่างนี้” คืออย่างไหน เขาแค่เป็นห่วงเพื่อนทำไมจะต้องสงสัยด้วย “เออๆ เดี๋ยวไปหาอะไรมากินดีกว่า ต้นหิวแย่ละ” สนตัดบทแล้วก็เดินออกไป

Click here to go back to the previous page Go back   Click here to see help FAQ     
Conferences Post form
Your Message
Name*:
Subject*: Upload Pics อัพโหลดรูปภาพ
Message*:
 
HTML Ok
Use [] in place of <>

HTML Reference
 
Images Ok
 
Click on a smilie to add it to your message.
 
Check if you DO NOT wish to use emotion icons in your message
RBR User*: ใส่ Username และ Pass RBR ในกรณีที่โพสแล้วติดแอดมิน
RBR Pass*: ***ผู้ที่ใช้พาส RBR ป่วนหรือโพสผิดกฎบอร์ดจะถูกยึดพาส***
 

 

Palm-Plaza.com All rights reserved.

*** ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บเพจนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และ ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง
ห้ามโพสข้อความ รูปภาพ ไฟล์ที่มีลิขสิทธิ์ ที่สร้างความเสียหายให้แก่บุคคลอื่น
ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link "แจ้งลบข้อความ" ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือแจ้งมาได้ที่ ryubedroom@yahoo.com



Copyright Palm-Plaza,Inc. All Rights Reserved.