We have no responsibility for the contents in this web community!

ถ้าเข้ามาแล้วพบว่ากระทู้ไม่เรียงตามวัน/เวลา ให้คลิ๊กตรงคำว่า Date/Time ที่อยู่ตรงแถบสีม่วงๆ นะครับ


ห้ามลงประกาศโฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ยกเว้นสปอนเซ่อร์!!!!!

*** ห้ามใช้เนื้อที่บอร์ดเพื่อแอบแฝงขายบริการทางเพศ ***


เพิ่มเพื่อน

RBR Section


Register
สมัครสมาชิก


What's RBR?
ต่ออายุสมาชิก

**** ส่วนบริการเข้าบอร์ดเฉพาะสำหรับสมาชิก RBR บอร์ด Devil และ บอร์ด Zombie ต้องการติดต่อสอบถาม ส่งเมลล์ที่ ryubedroom@yahoo.com เท่านั้น ****

กรุณาคลิ๊กที่นี่และ Bookmark ไว้ด้วยครับ

Palm-Plaza.com

Complete the form below to post a message

Original Message
"RE: รักที่ฟ้าไม่ได้ลิขิต"
Posted by sarawatta on 20-Mar-12 at 08:49 PM
เรื่องนี้ยังไม่จบนะครับ บูมคงจะได้กลับมาเจอกับทิวอีกแน่นอนครับ แต่เมื่อไรนั้น ติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆ นะครับ

------------------------------------------------------------

ตอนที่ 15

เช้าวันนี้ก็คงเป็นเหมือนกับเช้าของทุกๆ วันที่ทิวจะต้องตื่นขึ้นมา อาบน้ำแล้วก็ไปมหาวิทยาลัยเหมือนเช่นเคย ชีวิตในรั้วมหาลัยของเขาผ่านไปได้สองปีแล้ว ทุกอย่างก็ดูราบรื่นดีไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าจะถามถึงความรู้สึกของทิวว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ก็คงไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ เวลาได้ช่วยเยียวยารักษาจิตใจของเขาจนกลับมาหายดีดังเดิมแล้ว พอได้มาเจอคนใหม่ๆ สังคมใหม่ๆ บวกกับการเรียนที่จริงจังมากขึ้น ความเจ็บปวดนั้นก็ค่อยๆ ทุเลาเจือจางไป แต่ถ้าถามว่าลืมไหม... ก็คงไม่...

หลายๆ ครั้งทิวก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าเพื่อนคนนั้นของเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมจึงไม่เคยติดต่อมาหากันบ้างเลย รวมทั้งอีกหลายๆ คำถามที่เขายังคงเก็บไว้ แต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าคนที่จะตอบคำถามเหล่านั้นได้จะกลับมาเมื่อไร บางที บูมก็อาจจะลืมเขาไปแล้ว ความรักในวัยเด็กคงจะถือเอาจริงเอาจังไม่ได้นัก เมื่อชีวิตได้ไปเจอสิ่งใหม่ๆ ที่ดีกว่า ไม่นานเราก็จะลืมชีวิตเดิมๆ คนในวัยอย่างพวกเขาลืมกันง่ายจะตายไป ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะถ้าบูมยังนึกถึงเขาอยู่ก็คงติดต่อกันมาบ้าง

แม้ว่าจะไม่ได้เจ็บปวดทรมานกับเรื่องที่ผ่านไปเหมือนเมื่อก่อน แต่ถ้าเมื่อไรมีสิ่งที่มากระตุ้นให้นึกถึงความทรงจำเหล่านั้น ความรู้สึกคิดถึงและโหยหาก็ยังคงเกิดขึ้นกับทิวเสมอ อย่างเช่นในวันนี้ที่จู่ๆ ต้องกับปุ้ยก็โผล่มาหาเขาที่มหาวิทยาลัย สองคนนี้เรียนอยู่คนละมหาวิทยาลัยกับเขา แต่เนื่องจากวันนี้ทั้งสองคนมีเรียนตอนบ่ายก็เลยแวะมาหาทิวช่วงเที่ยงๆ ทิวจึงชวนมากินข้าวเที่ยงด้วยกันที่โรงอาหารของคณะที่เขาเรียนอยู่เสียเลยเพื่อจะได้คุยไปกินไป

"มึงได้ข่าวไอ้บูมมั่งปะวะ" คำถามแรกของต้องก็ทำให้ทิวถึงกับชะงักเลยทีเดียว นานเท่าไรแล้วที่ทิวไม่ได้ยินคนเรียกชื่อนี้ เขาเองก็ไม่เคยได้เอ่ยเรียกชื่อนี้มานานแล้วเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมันคือชื่อเรียกติดปากที่แทบไม่มีวันไหนที่เขาจะไม่เรียกชื่อนี้เลย

ทิวส่ายหน้า สีหน้าเขาดูสลดลงเล็กน้อย

"ขอโทษนะเว้ยที่ถาม แต่กูอยากรู้จริงๆ ว่าไอ้บูมมันเคยนึกถึงมึงหรือเปล่า ไม่น่าเชื่อนะ เป็นเพื่อนรักกันขนาดนี้ มึงก็ช่วยเหลือดูแลมันตั้งเยอะ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะลืมมึงได้" ต้องพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิในตอนท้าย

"เขาถึงได้บอกไงว่าหนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ไอ้บูมมันก็คงแค่หลอกใช้มึงเป็นเครื่องมือเท่านั้นแหละ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอยู่โรงเรียนเก่ามันถึงไม่ค่อยมีเพื่อน" ปุ้ยว่าอีกคน

"เฮ้ยพวกมึง ใจคอพวกมึงจะไม่ถามอะไรเกี่ยวกับกูมั่งเลยหรือไงวะ มาถึงก็ถามถึงแต่เรื่องบูม" ทิวพยายามเปลี่ยนเรื่อง เขารู้สึกไม่ค่อยดีนักที่เพื่อนสองคนคิดไม่ดีกับบูมแบบนั้น ถึงทิวจะเจ็บปวดแค่ไหนในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ทิวก็ไม่เคยคิดร้ายแบบนั้น ไม่เคยคิดโกรธเคืองเพื่อนที่เขารักเลยแม้แต่น้อย บูมคงมีเหตุผลของบูมเอง

ดูเหมือนต้องกับปุ้ยจะรู้สึกตัวว่ากำลังสร้างความไม่สบายใจให้กับเพื่อน "เออๆ ขอโทษเว้ย ก็มันโมโหนี่นา กูยังจำภาพที่มึงวิ่งตามรถของมันได้ติดตาเลย ไม่คิดว่ามันจะใจดำกับเพื่อนที่รักมันได้ถึงขนาดนี้" ถึงจะขอโทษอย่างนั้นแต่ต้องก็ยังอดไม่ได้ที่จะต่อว่าบูม แต่แล้วก็เหมือนต้องจะนึกอะไรได้ "เฮ้ย เดี๋ยวๆ มีอีกเรื่องนึงว่ะที่กูลืมบอกมึง ขอพูดเกี่ยวกับไอ้บูมอีกนิดเดียว กูเคยคุยกับมันตอนที่มันมีปัญหากับมึงตอนปลายๆ ม.6 กูถามมันว่ามันทำอย่างนี้กับมึงทำไม รู้ไหมมันตอบว่าไง... มันบอกว่าปล่อยมันไปเถอะ คนขี้ขลาดอย่างมันไม่เหมาะกับมึงหรอก ปล่อยให้มึงไปเจอคนอื่นที่ดีกว่าดีกว่า ประมาณนี้แหละ"

"มันหมายความว่าไงวะ" ปุ้ยทำสีหน้าสงสัย

ทิวนิ่งเงียบ นี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยจริงๆ ทำไมบูมถึงได้ตำหนิตัวเองว่าเป็นขี้ขลาดอย่างนั้น แต่เขาก็จนปัญญาจริงๆ ที่จะคิดหาเหตุผล "เฮ้ยพวกมึง กูขอร้องนะเว้ย ให้อภัยบูมเถอะ มันผ่านไปแล้วล่ะ ตอนนี้กูก็โอเค ไม่ได้เป็นไรแล้ว"

"แต่กว่ามึงจะโอเคได้ก็ใช้เวลาเป็นปีเลยนะเว้ย" ต้องรีบหาช่องต่อว่า

"มันผ่านไปแล้วต้อง กูก็ผ่านมาได้ อยู่รอดปลอดภัย กูไม่เคยโกรธเคืองอะไรบูมเลย กูคิดว่าบูมคงมีเหตุผลบางอย่าง ยิ่งได้ฟังที่มึงพูดเมื่อกี้ กูก็คิดว่าบูมคงมีเหตุผลที่บูมคงบอกกูไม่ได้จริงๆ" ทิวบอกพลางถอนหายใจเบาๆ แต่สีหน้าที่เศร้าลงก็ทำให้ต้องอดสงสัยไม่ได้

"ถามจริงๆ มึงคิดถึงมันหรือเปล่าวะ มึงอยากเจอมันหรือเปล่า"

ทิวพยักหน้าโดยที่ไม่ต้องคิดให้เสียเวลา "คิดถึงสิ"

"ทำไมไม่ถามข่าวมันจากพี่บีมล่ะ พี่บีมก็อยู่" ปุ้ยเสนอความคิดเห็น

"อย่าเลย" ทิวปฏิเสธเกือบจะทันที "อย่าไปรบกวนชีวิตบูมเลยดีกว่า ที่บูมจากไปแล้วไม่ติดต่อมาหากูเลยก็คงจะบอกอะไรได้หลายอย่างแล้วล่ะ" ทิวหยุดไว้แค่นั้น เพราะถ้าพูดต่อเขาก็คงอดพูดอย่างน้อยอกน้อยใจเสียไม่ได้ แต่ไหนๆ เพื่อนสองคนก็ดูจะสนใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ ทิวจึงกำชับอีกครั้งว่า "อย่าโกรธบูมเลยนะต้อง...ปุ้ย" ทิวหันไปมองหน้าทีละคน "มันจบไปแล้ว พูดถึงไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ยังไงเราก็ต้องดำเนินชีวิตของเราต่อไป ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้นแหละ บูมก็มีเหตุผลของบูม" ทิวย้ำประเด็นเหตุผลของแต่ละคนอีกครั้ง

สิ่งที่พูดไปเมื่อกี้นี้ก็เหมือนการพยายามปลอบใจตัวเองของทิวไปด้วย ช่วงที่เขาทุกข์หนักๆ ในช่วงแรกๆ นั้น เขาก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองแบบนี้ เขายังมีแม่ที่ต้องดูแล ยังต้องเรียนหนังสือเพื่ออนาคต ชีวิตมันยังอยู่ได้แม้ว่าจะเจ็บปวดสักแค่ไหน เวลามันจะช่วยเขาได้เอง และมันก็ช่วยได้จริงๆ แต่ความทรงจำยังเป็นสิ่งที่เวลาไม่สามารถเอาชนะมันไปได้ ทิวยอมรับว่าช่วงนั้นเขาเจ็บหนักจริงๆ เจ็บจนไม่สามารถปิดบังแม่ได้เลย ทิวเล่าให้แม่ฟังในสิ่งที่เขาพอจะเล่าได้ รวมทั้งเรื่องที่เขาเป็นเกย์ด้วย แม้แม่จะตกใจ แต่สุดท้ายแม่ก็รับได้

"เออๆ" ต้องรับปาก "แต่ถามอีกนิดเดียว ถ้ามึงบังเอิญเจอมันอีก มึงจะทำไงวะ"

"ไม่รู้" ทิวตอบไปตามความเป็นจริง เพราะเขาไม่รู้จริงๆ ว่าถ้าหากได้เจอบูมแล้วเขาจะรู้สึกยังไง เขาก็อาจจะดีใจ แต่กาลเวลาที่ผ่านไปอาจทำให้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม บูมอาจไม่ใช่คนที่เขาเคยรู้จักก็ได้ ถ้าหากเป็นอย่างนั้น การเจอบูมอีกครั้งก็คงเป็นเรื่องที่เจ็บปวด แต่นั่นก็เป็นเพียงการคาดเดา ความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นเขาไม่สามารถบอกได้

-------------------------------------------------------------------------

พอเพื่อนกลับไปแล้วทิวก็กลับขึ้นมาที่ห้องเรียน นั่งเรียนไปได้สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น มันเป็นเสียงโทรศัพท์ที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่ทิวเคยได้ยินมา เพราะมันได้นำข่าวร้ายที่เขาไม่อยากได้ยินมาให้

"คุณเป็นลูกชายของคุณทิษณาใช่ไหมคะ" เสียงในสายถามอย่างร้อนรนจนทำให้ทิวอดสงสัยไม่ได้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

"ครับ มีอะไรเหรอครับ"

"คุณทิษณาหัวใจวายเฉียบพลัน ตอนนี้เสียชีวิตแล้วค่ะ"

"อะไรนะครับ คุณพูดว่าอะไรนะครับ" ทิวถามเสียงดังลั่นห้องเรียนโดยไม่สนใจว่าจะรบกวนใครหรือไม่

"คุณทิษณาหัวใจวายเสียชีวิตแล้วค่ะ ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล xxx"

"แม่!!!!" ทิวร้องเสียงหลงด้วยความตกใจและช็อคสุดขีด นี่ชะตาชีวิตเล่นตลกอะไรกับเขา แล้วต่อไปนี้เขาจะอยู่กับใคร

-----------------------------------------------------------------------------

งานศพของแม่ผ่านไปแล้ว แต่ชีวิตของทิวก็ไม่ต่างจากชีวิตที่ไร้วิญญาณอย่างที่เขาเรียกกันว่า "ตายทั้งเป็น" ต้องมาอยู่เป็นเพื่อนเขาตลอดในช่วงงานศพ และจะอยู่เป็นเพื่อนทิวจนกว่าทิวจะทำใจได้ แต่พอต้องเห็นสภาพเพื่อนที่เอาแต่ร้องให้และนอนซมแล้วเขาก็อดสงสารเพื่อนและเสียน้ำตาไปด้วยไม่ได้ จนบางครั้งเขาอดนึกตำหนิเพื่อนที่อยู่ไกลแสนไกลของทิวไม่ได้ว่า "มึงไปอยู่ไหนวะไอ้บูม ในเวลานี้มีแต่มึงเท่านั้นแหละที่จะช่วยไอ้ทิวได้ ทำไมมึงไม่มาหามัน" แต่ก็คงเท่านั้น เพราะบูมก็อยู่ไกลจนเกินกว่าจะรับรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นเป็นสัญญาณว่ามีคนมาหา ต้องรีบรับอาสาลงไปดูให้ทันที

"มาหาใครครับ" ต้องถามเพราะแขกที่มาดูไม่คุ้นหน้าเลย เป็นหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวดูดีพอสมควร มาพร้อมกับชายฉกรรจ์อีกสองคนสวมแว่นดำ ท่าทางดูไม่น่าไว้ใจยิ่งนัก ต้องจึงไม่กล้าเปิดประตูให้

"เธอใช่ไหมที่เป็นลูกชายคุณทิษณา" หญิงคนนั้นถามเสียงดุ

"เปล่าครับ ทิวอยู่ข้างบนครับ" ต้องรีบบอก

"งั้นไปตามเขาลงมา ฉันมีธุระสำคัญที่จะคุยกับเขา"

"คุณน้ามีธุระอะไรพอจะบอกได้ไหมครับ ผมจะได้บอกทิวให้"

"มีสิ ถ้าไม่มีฉันจะมาเหรอ ธุระสำคัญมาก เรื่องเงิน เร็วเข้า ฉันมีเวลาไม่มากนัก" หญิงคนนั้นทำน้ำเสียงอารมณ์เสีย ต้องลังเลอยู่สักพักแต่ก็ตัดสินใจขึ้นมาตามทิว สักพักทิวก็ลงมาด้วยสภาพอิดโรยเหมือนคนที่ผ่านการร้องให้อย่างหนักมาหลายวันแล้ว

ทิวยกมือไหว้หญิงแปลกหน้าคนนั้นแม้จะไม่รู้จัก หญิงคนนั้นรับไหว้แล้วก็ถาม "เธอเป็นลูกชายของคุณทิษณาใช่ไหม"

"ครับ" ทิวพูดเสียงเบาหวิว จริงๆ แม้แต่แรงกายที่จะทรงตัวเขาก็แทบจะไม่มีแล้วล่ะ

"ฉันมาที่นี่เพื่อจะมาบอกเธอว่าคุณทิษณา แม่ของเธอที่เสียชีวิตไปน่ะ เป็นหนี้ฉันอยู่อีกสามแสนบาท ฉันก็เลยมาที่นี่เพื่อจะมาเตือนเธอว่าเธอจะต้องจ่ายหนี้แทนแม่ของเธอให้ฉันทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท"

"อ้าวคุณน้า มั่วหรือเปล่า มีหลักฐานอะไรมาหาว่าแม่ของทิวติดเงินน้าเยอะแยะขนาดนั้นล่ะครับ" ต้องรีบแย้งเพราะดูท่าทางหญิงคนนี้ไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไร อาจจะเป็นพวกมิจฉาชีพที่มาแอบอ้างก็ได้

"หลักฐานเหรอ เปิดประตูสิ แล้วฉันจะให้ดู เงินที่คุณทิษณากู้มาก็เอามาเป็นค่าเทอมกับค่าเล่าเรียนให้เธอไงล่ะ เธอไม่รู้เรื่องเลยเหรอ จริงๆ ฉันก็สงสารเธอนะ เห็นยังเป็นนักศึกษาอยู่ แต่ธุรกิจก็คือธุรกิจ ฉันคงจะให้เงินเธอมาใช้ฟรีๆ ไม่ได้"

ทิวได้ฟังแล้วก็แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น ที่หญิงคนนั้นพูดมาก็คงจะมีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย เพราะทิวก็สงสัยเหมือนกันว่าแม่หาเงินมาให้เขาเรียนในมหาวิทยาลัยแพงๆ แบบนี้ได้ยังไง เงินเดือนของแม่ในฐานะผู้จัดการสาขาบริษัทเครื่องสำอางขายตรงแห่งหนึ่งก็ไม่น่าจะเยอะพอที่จะพาเขามาเรียนในมหาวิทยาลัยแบบนี้ได้ เขาเคยบอกแม่ว่าจะไม่สอบเอนทรานซ์ที่นี่เพราะมันค่อนข้างแพง แต่แม่ก็ให้เขาสอบ พอสอบได้แม่ก็ให้เขาเข้ามาเรียนที่นี่ แต่ทิวก็เข้าใจแม่ว่าอยากจะให้เขาได้เรียนในที่ดีๆ ถึงจะไม่มีโอกาสได้ไปเรียนต่างประเทศเหมือนบูม แต่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็มีชื่อเสียงไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งได้เห็นหลักฐานเอกสารต่างๆ ที่แม่ไปกู้เงินนอกระบบมาแล้ว ทิวก็เถียงไม่ออก เขาจำลายมือกับลายเซ็นต์ของแม่ได้เป็นอย่างดี

"น้า...ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่เลย ผมไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นให้น้าทุกเดือนหรอกนะครับ น้าลดให้ผมหน่อยได้ไหมครับ" ทิวขอร้อง

"ฉันคงจะลดให้เธอไม่ได้หรอกนะ แต่เอางี้ก็แล้วกัน เธอขายรถคันนี้ของแม่เธอดูก่อนไหม แล้วเอาเงินที่ขายได้มาให้ฉันก่อน แต่เธออย่าเบี้ยวเป็นอันขาดนะ ไม่งั้นจะหาว่าฉันใจร้ายไม่ได้ ฉันให้เวลาเธอสามเดือน ขายรถคนนี้ซะ" หญิงวัยกลางคนขู่ พร้อมกับหันไปยิ้มกับชายฉกรรจ์ที่สวมแว่นตาดำสองคนที่ตามมาด้วยอย่างมีเลศนัย ก็คงไม่ใช่เรื่องยากนักที่จะคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าทิวไม่สามารถหาเงินมาคืนให้

ทิวมองดูรถเก๋งของแม่ที่ก็ใช้มาหลายปีแล้วก็รู้สึกใจหาย เขาเห็นมันตั้งแต่เด็กๆ และแม่ก็รักมันมากด้วย ถ้าขายมันก็คงได้เงินไม่เท่าไรหรอก แต่ทิวก็คงไม่มีทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว นี่มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรกันหนักหนา เขาไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ถึงได้มาเจอความโชคร้ายไม่จบไม่สิ้นแบบนี้

--------------------------------------------------------------------------------

ในที่สุดทิวก็ต้องประกาศขายรถคันนั้นไป แต่ก็ใช้เวลาเกือบสามเดือนทีเดียวกว่าจะขายได้เงินประมาณหนึ่งแสนบาทและใช้คืนให้กับเจ้าหนี้ก้อนแรกไปก่อน แต่แทนที่เขาจะได้มีเวลาพักหายใจบ้าง เขาก็ถูกชายฉกรรจ์สองคนนั้นตามมาข่มขู่เพื่อให้เขาจ่ายเงินที่เหลือคืนเดือนละหนึ่งหมื่นบาทตามที่ได้ตกลงในสัญญาไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วบ้านของเขาก็จะถูกยึด จริงๆ ทิวก็อาจจะขายบ้านเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ได้ แต่เขาก็รักบ้านหลังนี้เพราะอยู่กับแม่มาตั้งแต่เด็กๆ เขาอยากให้มันเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆ

ตอนนี้ทิวแทบจะไม่มีเงินใช้แล้ว เขาจึงต้องหยุดพักการเรียนไว้ก่อน แต่ดูๆ แล้วโอกาสที่เขาจะต้องหยุดเรียนไปเลยก็มีสูงเหมือนกันเพราะเขาคงไม่สามารถหาเงินค่าเทอมที่แพงขนาดนั้นมาได้ ไหนยังจะต้องหาเงินมาใช้หนี้ที่เหลืออีก เขาพยายามไปสมัครงานหลายแห่งแต่ก็ไม่มีใครรับเพราะเขามีวุฒิเพียง ม.6 เท่านั้นเอง แต่ก็โชคดีที่เพื่อนที่ทิวรู้จักที่มหาวิทยาลัยฝากฝังให้ทิวได้ไปร้องเพลงในร้านอาหารแห่งหนึ่ง พอได้รับเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดี ทิวจึงพยายามไปสมัครร้านอื่นๆ ไว้ด้วย จนสามารถมีงานได้สัปดาห์ละ 4-5 ร้าน แต่เขาก็ต้องเดินทางจนเหนื่อยและกลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ตีสองตีสามทุกวัน โชคดีหน่อยที่ตอนหลังๆ นั้นทิวหัดเล่นกีตาร์ด้วย จึงสามารถร้องและเล่นกีตาร์แบบอะคูสติกได้ จึงพอเล่นเดี่ยวในบางร้านได้ เงินที่หามาได้นั้นก็พอจ่ายค่าหนี้และมีเหลือพอใช้ในแต่ละเดือนไม่มากนัก เขาจึงต้องประหยัดมากทีเดียว

มีอยู่วันหนึ่ง มีกลุ่มวัยรุ่นชายหญิงกลุ่มหนึ่งมาเลี้ยงฉลองวันเกิดในร้านที่ทิวกำลังเล่นอยู่ เขาจึงถูกขอให้เล่นเพลงวันเกิดให้กับเจ้าของวันเกิดในกลุ่มนั้นด้วย แต่เมื่อทราบชื่อเจ้าของวันเกิดแล้วก็ทำให้ทิวสะเทือนใจไม่น้อยเพราะเจ้าของวันเกิดนั้นชื่อ "บูม" เหมือนกับเพื่อนรักของเขาที่จากกันไปนานแล้ว

"ครับ พอดีวันนี้เป็นวันเกิดของน้อง...บูมนะครับ ก็อยากจะขอให้ทุกท่านในที่นี้นะครับได้ช่วยกันร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้กับน้อง...บูมพร้อมๆ กันด้วยครับ" ทิวกล่าวเสร็จแล้วก็ร้องเป็นต้นเสียงนำคนอื่นๆ พร้อมกับเล่นกีตาร์ไปด้วย "Happy birthday to Boom, Happy birthday to Boom, Happy birthday, Happy birthday, Happy birthday to Boom"

สิ้นเสียงเพลงแล้วน้องที่ชื่อบูมก็เป่าเค้กวันเกิดของเขาพร้อมกับเสียงเฮๆ ของเพื่อนๆ และคนในร้าน แต่ถ้าใครสักคนได้ทันหันมองมาเห็น ก็คงจะได้เห็นนักร้องต้นเสียงคนนี้ปาดน้ำตาที่รินไหลมาโดยไม่รู้ตัว สามปีแล้วสินะที่ทิวไม่เคยได้เอ่ยเรียกชื่อนี้ออกมาเลย พอได้มีโอกาสเรียกอีกครั้ง ภาพในความทรงจำต่างๆ ก็หวนคืนกลับมาเหมือนหนังที่ถูกฉายย้อนกลับไปในอดีต ตั้งแต่วันแรกที่ได้มาเจอกัน จนกระทั่งวันที่ต้องห่างไกล เหลือเพียงแค่ความจริงบางอย่างที่เขายังไม่เคยได้บอกเลย เขารู้สึกคิดถึงเพื่อนที่จากไปจับจิตจับใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน ยิ่งในยามที่เขาไม่เหลือใครเช่นนี้แล้วเขาก็ยิ่งคิดถึง เขาคงจะมีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่มากกว่านี้ถ้าเพียงแต่มีเพื่อนที่เขารักอยู่ข้างๆ ในวันนี้ ทิวตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ในสภาพที่แร้นแค้นและเดียวดายเช่นนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน แต่ละวันที่ผ่านไปนั้นเขาต้องใช้พลังกายและใจมหาศาลที่จะสร้างกำลังใจให้เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปโดยที่ไม่คิดสั้นไปเสียก่อน

พอบรรยากาศของวันเกิดของน้องๆ ผ่านไป ทิวจึงร้องเพลงๆ หนึ่งซึ่งเขาจำและร้องมันได้เป็นอย่างดีเป็นเพลงสุดท้าย คงจะไม่ใช่เพลงอื่นใดเลยนอกจากเพลงนี้

ฉันดีใจที่มีเธอ

"ในโลกที่มี ความวกวน
ในโลกที่ทุกคนต้องดิ้นรน
ที่สับสน ร้อนรนจนใจ นั้นแสนเหนื่อย
ในโลกที่ความทุกข์ท้อใจ
ได้เดินผ่านเข้ามาเรื่อยๆ
จนบางครั้งไม่รู้จะข้ามไปเช่นไร

แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด ในใจ

ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
และฉันรู้และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้

ในอุปสรรค ที่มากมาย
ในความหวาดหวั่น ที่วุ่นวาย
และอนาคต ในปัจจุบัน และอดีต
ในความเป็นจริงที่ต้องเจอ

แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด ในใจ

ฉันดีใจที่มีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะต้องพบ อะไร
แต่ฉันรู้ และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้

แต่ยิ่งชีวิต ยิ่งผ่าน ยิ่งได้พบ ยิ่งเจอ
กลับทำให้ฉันยิ่งคิด แน่ใจ

ฉันดีใจทีมีเธอ ฉันดีใจที่เจอเธอ
เธอคือกำลังใจเดียวที่มี ไม่ว่านาทีไหนๆ
ฉันดีใจที่มีเธอ แม้จะไม่เหลือใครๆ
แต่ฉันก็รู้ และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่ ตรงนี้
ฉันก็รู้ และฉันอุ่นใจ
ว่าฉันนั้นจะมีเธออยู่กับฉัน"

เมื่อเพลงจบลงเสียงปรบมือก็ดังกึกก้องไปทั่วร้าน เพราะเขาร้องมันออกจากใจ ร้องออกมาจากความทรงจำที่เขาเก็บไว้ลึกที่สุด ร้องออกมาจากความรู้สึกโหยหาและคิดถึง มันจึงเป็นเพลงที่เขาร้องได้ดีที่สุดในวันนี้จนคนทั้งร้านรู้สึกได้

จากนั้นทิวก็เดินออกไปทางด้านหลังร้าน แล้วก็อ้อมมาด้านหน้าเพื่อจะเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ในขณะที่เขากำลังเดินไปที่ถนนนั้น ก็มีเสียงใครบางคนที่เขาคุ้นหูเรียกดังมาจากข้างหลัง

"ทิว รอก่อนสิ"

ทิวหยุดและหันไปดูก็พบว่าเป็น....

Click here to go back to the previous page Go back   Click here to see help FAQ     
Conferences Post form
Your Message
Name*:
Subject*: Upload Pics อัพโหลดรูปภาพ
Message*:
 
HTML Ok
Use [] in place of <>

HTML Reference
 
Images Ok
 
Click on a smilie to add it to your message.
 
Check if you DO NOT wish to use emotion icons in your message
RBR User*: ใส่ Username และ Pass RBR ในกรณีที่โพสแล้วติดแอดมิน
RBR Pass*: ***ผู้ที่ใช้พาส RBR ป่วนหรือโพสผิดกฎบอร์ดจะถูกยึดพาส***
 

 

Palm-Plaza.com All rights reserved.

*** ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บเพจนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และ ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง
ห้ามโพสข้อความ รูปภาพ ไฟล์ที่มีลิขสิทธิ์ ที่สร้างความเสียหายให้แก่บุคคลอื่น
ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link "แจ้งลบข้อความ" ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือแจ้งมาได้ที่ ryubedroom@yahoo.com



Copyright Palm-Plaza,Inc. All Rights Reserved.