ตอนที่ 16"จะกลับบ้านแล้วเหรอ ให้ผมไปส่งไหม"
"ไม่เป็นไรหรอกครับคุณเชน รบกวนเปล่าๆ ดึกแล้วด้วยครับ" ทิวตอบปฏิเสธอย่างนุ่มนวล คุณเชนนั้นก็คือลูกชายเจ้าของร้านอาหารที่ทิวมาร้องเพลงนั่นเอง เขาชอบมายืนฟังทิวร้องเพลงบ่อยๆ บางทีก็ให้เงินค่าจ้างพิเศษกับเขาอยู่หลายครั้ง ทิวก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมเขาทำแบบนั้น แต่ก็เดาเอาเองว่าเขาอาจจะชอบการร้องเพลงของทิวเป็นพิเศษก็ได้
"ไม่ต้องเกรงใจหรอก ทิวเองก็มาช่วยทำให้ร้านของเรามีสีสันขึ้นเยอะเลย ให้ผมบริการทิวบ้างเป็นการตอบแทน"
"อย่าเลยครับ คุณเชนอยู่ดูร้านดีกว่าครับ ผมกลับแท็กซี่เองได้ครับ ไม่ลำบากอะไร" ทิวยังคงปฏิเสธด้วยนิสัยขี้เกรงใจของเขา จริงๆ เขาก็ไม่อยากนั่งแท็กซี่มากนักเพราะค่อนข้างเปลืองค่าใช้จ่าย แต่พอกลับดึกๆ อย่างนี้แล้ว เขาก็รู้สึกเหนื่อยและอยากกลับถึงบ้านไปนอนไวๆ
"ไม่เป็นไร มีคนดูเยอะแยะไป ทิวไม่ต้องเกรงใจผมหรอก ให้ผมไปส่งเถอะ จะได้รู้จักกันบ้านกันไว้ เผื่อมีปัญหาอะไรต่อไปจะได้ช่วยกันได้" เชนก็ยังคงไม่ละความพยายามที่จะไปส่งให้ได้ สุดท้ายทิวก็เลยต้องยอมให้เชนมาส่งเพราะดูท่าจะปฏิเสธไม่ได้ง่ายๆ เสียแล้ว
"ก่อนเล่นได้กินข้าวหรือยัง พอดีผมมัวแต่ยุ่งๆ อยู่เลยลืมไปดูให้" เชนถามขณะที่ขับรถมาส่งทิว
"เรียบร้อยแล้วครับ"
"ดีละ อืม...ปกติทิวเล่นคืนละกี่ที่เนี่ย"
"ไม่เกินสองที่ครับ แต่อาทิตย์หนึ่งก็ได้ประมาณ 4-5 ที่ครับ"
"เหรอ...แล้วรายได้พออยู่ได้ไหม หรือว่ามีทำอย่างอื่นอีกหรือเปล่า"
"ก็พอได้อยู่ครับ แต่ว่าก็ยังไม่มีอะไรอย่างอื่นทำครับ ร้องเพลงอย่างเดียว" จะว่าไป ทิวก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมคุณเชนถึงได้ถามเขาเรื่องนี้
"เหรอ...เอางี้ละกัน ผมจะลองคุยกับพ่อผมให้ เผื่อทิวจะได้ค่าตัวเพิ่มอีกสักหน่อย จะได้ไม่ลำบากจนเกินไปด้วย ผมเห็นทิวกลับบ้านด้วยแท็กซี่บ่อยๆ ไม่เปลืองแย่เหรอ"
"ขอบคุณครับ จริงๆ...ถ้าไม่จำเป็นผมก็จะไม่ใช้แท็กซี่ครับ ยกเว้นว่ามันดึกมาก"
"อืม...เข้าใจละ เดี๋ยวผมจะดูให้ละกันนะว่าพอจะหาค่าแท็กซี่ให้ทิวได้บ้างไหม ทิวช่วยดึงคนเข้าร้านได้เยอะเลย พ่อไม่น่าจะว่าอะไร ว่าแต่ว่า...เพลงสุดท้ายที่ทิวร้องวันนี้...เพราะมากๆ เลย อินแบบนี้ ร้องให้ใครเป็นพิเศษหรือเปล่า" เชนถามพลางขำเล็กน้อยในตอนท้าย
ทิวอึกอักๆ ไปทันทีเพราะไม่คิดว่าคุณเชนจะถามไปในทางนั้น "ก็...พอดีมันเป็นเพลงที่ผมชอบเป็นพิเศษด้วยครับ" ทิวบอกไปแค่นั้นเพราะไม่คิดว่าจะต้องเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนแปลกหน้าฟังมากเกินไป จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่บูมจากไป เขาก็ไม่เคยร้องเพลงนี้เลย ไม่ได้ลืมแต่ไม่อยากร้องให้มันสะเทือนใจต่างหาก
"เหรอครับ ผมก็ชอบเพลงนี้เหมือนกัน แล้วก็มีอดีตอะไรบางอย่างกับเพลงนี้ ไม่ได้ฟังนานแล้ว พอได้มาฟังอีกที มันก็ยังเพราะเหมือนเดิม แต่ทิวร้องเพลงได้ดีจริงๆ นะครับ เคยไปเรียนร้องเพลงที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า"
"เคยเรียนร้องเพลงตอนอยู่ ม.3 ครับ แต่ก็เรียนอยู่แค่ปีเดียว แต่ว่าหลังจากนั้นก็เป็นนักร้องประจำของวงที่โรงเรียนครับ"
"อ๋อ...มิน่าล่ะถึงได้ร้องเพลงดีแบบนี้ เออ...ว่าแต่ว่าตอนนี้ทิวไม่เรียนหนังสือเหรอ ดูอายุยังน้อยอยู่เลยนะ ตอนนี้อายุเท่าไรแล้วล่ะครับ"
มันช่างเป็นคำถามที่เสียดแทงใจของทิวเสียจริงๆ เขาไม่ชอบที่จะตอบคำถามเรื่องนี้กับใครนักถ้าไม่จำเป็น มันมีอะไรหลายอย่างเหลือเกินที่เขาไม่อยากพูดและไม่อยากนึกถึง เพราะนึกถึงทีไรมันก็เจ็บปวดทุกที โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงแม่ เขาเข้าใจแม่ทุกอย่าง แต่ทิวก็รู้สึกเสียใจที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแม่ต้องเครียดมากขนาดไหน เครียดจนกระทั่งเกิดอาการหัวใจวายเฉียบพลันและจากไปอย่างกะทันหัน ถ้าเขารู้เสียก่อน เขาก็จะไม่ให้แม่ต้องมาลำบากเพื่อเขาขนาดนี้เลย "อายุ 21 ครับ แต่...ผมไม่ได้เรียนหนังสือแล้วล่ะครับ พอดี...มีปัญหาทางการเงินนิดหน่อย" นั่นคือสิ่งที่ทิวพอจะบอกได้
เชนหันมามองอย่างสนใจ แววตาของทิวนั้นบ่งบอกว่าเขากำลังเผชิญกับความทุกข์บางอย่างอยู่ เขาสังเกตเห็นความเหงาและความเจ็บปวดที่แฝงอยู่ในแววตาของทิวเสมอ แต่การที่เขาจะรุกล้ำถามอะไรมากกว่านี้ก็อาจจะไม่เหมาะนักเพราะยังไม่ได้สนิทกันมาก
"ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะ" เชนยิ้มให้กำลังใจ
"ครับ" ทิวตอบรับ แต่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก เพียงแต่ตอบไปตามมารยาทเท่านั้น
พอมาถึงบ้านแล้ว เชนก็ถามคำถามที่ทำให้ทิวต้องลำบากใจอีกว่า "ตอนนี้ทิวอยู่กับใครครับ" ถามพลางเงยหน้าขึ้นมองทาวน์เฮาส์สามชั้นที่ปิดไฟมืดสนิทเพราะไม่มีคนอยู่เลย
"อยู่คนเดียวครับ"
"จริงเหรอ ทาวน์เฮาส์ตั้งสามชั้น ทำไมอยู่แค่คนเดียวล่ะครับ" ถามอย่างแปลกใจ แน่ล่ะ ใครที่รู้ว่าทิวอยู่คนเดียวในทาวน์เฮาส์สามชั้นนี้ก็ต้องแปลกใจทั้งนั้น
"เมื่อก่อนก็อยู่กับแม่ครับ แต่พอดีแม่...เพิ่งเสียไปครับ" ทิวตอบเสียงแผ่วและเศร้าในตอนท้าย
"ผมเสียใจด้วยนะครับทิว ทิวคงเหงาแย่เลยนะครับที่อยู่คนเดียวแบบนี้" เชนพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเห็นใจ
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมชินแล้ว" ถึงจะตอบไปอย่างนั้นและพยายามยิ้ม แต่สีหน้าและแววตาของเขาไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกับคำตอบเลย "พี่ส่งผมแค่นี้ก็ได้ครับ"
เชนพยักหน้าพลางยิ้ม แต่ก็เป็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนกับจะเห็นใจเสียมากกว่า ทิวเปิดประตูรถออกไปแล้วก็กล่าวลา "ขอบคุณมากนะครับคุณเชนที่อุตส่าห์มาส่ง ขับรถกลับดีๆ นะครับ"
คุณเชนยิ้มให้อีกรอบแล้วก็ค่อยๆ ขับรถออกไป ส่วนทิวก็หันกลับมาจัดการกับชีวิตของตัวเองอย่างที่เคยเป็น กว่าจะผ่านได้อีกวันก็เล่นเอาดึกดื่นเลยทีเดียว ตอนนี้ทิวดูผอมลงไปพอสมควรเพราะเขาต้องคอยประหยัดค่าใช้จ่าย กินน้อยลง จะใช้เงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์ก็ต้องคิดแล้วคิดอีก แถมยังต้องทำงานหนักดึกดื่นๆ
--------------------------------------------------------------------
พอทำงานหนักๆ เข้าทิวก็เกิดอาการไม่สบายจนได้ เขาต้องโทรไปลางานตามร้านต่างๆ ที่เขาต้องไปเล่นดนตรีและร้องเพลง กับร้านอื่นๆ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่กับร้านของคุณเชน หลังจากที่ทิวแจ้งคุณพ่อของคุณเชนไปแล้ว สักพักคุณเชนก็โทรมาหาทิวด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
"ทิวเป็นไรมากหรือเปล่า ไปหาหมอไหม เดี๋ยวผมพาไป"
แต่ทิวก็ยังคงปฏิเสธด้วยความเกรงใจเช่นเดิม "ไม่เป็นไรหรอกครับคุณทิว แค่เป็นไข้หวัดเองครับ กินยาแล้วนอนพักผ่อนสองสามวันก็หายครับ"
"อย่าดื้อสิทิว ไม่สบายก็ต้องไปหาหมอสิ เราต้องรู้จักดูแลร่างกายเราบ้าง ใช้งานมันหนักก็ต้องดูแลมันให้ดี ทิวรอผมอยู่ที่บ้านนะ เดี๋ยวผมไปหา" พูดจบก็วางสายไปเลยราวกับจะไม่ให้ทิวได้มีโอกาสตอบโต้ใดๆ
ทิววางโทรศัพท์ลงอย่างงงๆ พอรู้จักกันมาได้สักพักทิวก็รู้สึกถึงความแปลกๆ ของคุณเชนอยู่เหมือนกัน ทิวพอรู้สึกได้ว่าเขาคอยไต่ถาม ห่วงใยและดูแลเขามากกว่านักร้องหรือนักดนตรีคนอื่นๆ หลังๆ นี้เขาก็มาส่งทิวที่บ้านหลังเล่นดนตรีเสร็จเป็นประจำ จนทำให้ทิวต้องเผลอเล่าชีวิตและเรื่องส่วนตัวไปพอสมควร แต่มันก็เป็นธรรมดา เมื่อเรารู้สึกสนิทกันและไว้ใจกันมากขึ้น คนที่เราเริ่มสนิทด้วยก็จะค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเราทีละน้อยๆ
เชนมาถึงแล้ว ทิวลงมาเปิดประตูให้ พอเข้ามาในบ้านแล้วสิ่งแรกที่เชนทำก็คือเอามือแตะหน้าผากทิวเพื่อวัดความร้อน
"ก็ตัวร้อนเหมือนกันนะ ไปหาหมอดีกว่านะทิว ไม่ต้องห่วงเรื่องค่ารักษาพยาบาล เดี๋ยวผมจัดการให้"
"อย่าดีกว่าครับคุณเชน คุณเชนช่วยผมหลายอย่างแล้วครับ ผมไม่อยากรบกวน โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ"
"ทิว...ให้ผมช่วยเถอะนะครับ มันไม่ทำให้ผมเดือดร้อนแม้แต่นิดเดียว ทิวจะได้เก็บเงินไว้ อีกไม่กี่วันก็ต้องจ่ายเขาแล้วไม่ใช่เหรอ" ตอนนี้เชนรู้เรื่องที่ทิวเป็นหนี้แล้ว
"แต่..."
"ทิว...บางครั้ง คนเราก็ต้องรู้จักที่จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้างเวลาที่เราลำบาก พอเราหายลำบากแล้วเราก็ค่อยหาโอกาสตอบแทนคืนได้ ทิวอย่ามัวแต่เกรงใจแบบนี้สิ ผมเต็มใจช่วยทิวนะ ผมเห็นทิวลำบากแบบนี้ ผมพูดตรงๆ ว่าผมรู้สึกเห็นใจจริงๆ ผมอยากเป็นกำลังใจให้ อยากให้ทิวรู้ว่าถึงทิวจะไม่เหลือใครเลย แต่ทิวก็ยังมีผมอยู่"
เอาล่ะสิ สิ่งที่คุณเชนพูดมันชักจะใกล้เคียงกับสิ่งที่ทิวสงสัยเข้าไปทุกทีแล้ว จริงๆ ความสงสัยนั้นมันไม่ได้มาจากตัวทิวเพียงอย่างเดียว เป็นเพราะเพื่อนนักดนตรีที่มาร้องเพลงที่ร้านของเชนด้วยกันเป็นคนจุดชนวนด้วย หลังจากที่เชนมาส่งทิวที่บ้านได้สามสี่ครั้ง ทิวก็ถูกเพื่อนนักดนตรีคนนั้นถามว่า
"ทิวกลับบ้านกับคุณเชนบ่อยๆ นี่ไม่เสียวข้างหลังบ้างเหรอ อย่าบอกนะว่าทิวชอบแบบนี้"
"พี่โอ๊บพูดอะไรครับ ไม่เห็นเข้าใจเลย ทำไมต้องเสียวข้างหลัง" ทิวถามอย่างพาซื่อขณะที่นั่งซ้อมดนตรีอยู่หลังร้าน
โอ๊บหันซ้ายหันขวา พอเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ ก็หันมากระซิบกระซาบว่า "ไม่รู้หรือไงว่าคุณเชนน่ะเขาเป็นเกย์ ก่อนที่ทิวจะมาทำงานที่นี่ เขาก็มีแฟนเป็นผู้ชาย พ่อเขาก็รู้ ทุกคนในนี้ก็รู้ทั้งนั้นแหละ แต่ว่า...รู้สึกจะเลิกคบกันไปแล้วมั้ง"
ตั้งแต่วันนั้น ทิวก็ยิ่งสงสัยว่าที่คุณเชนทำดีกับเสียมากมายนั้นอาจจะเป็นเพราะเขา....ชอบทิวก็ได้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่าไรหรอก มันสำคัญที่ว่าทิวรู้สึกยังไงต่างหากล่ะ ตอนนี้อาจจะไม่ได้ชอบถึงขั้นนั้น อาจจะรู้สึกดีที่มีคนคอยห่วงใยในยามที่เขาไม่มีใคร แต่นานไปล่ะ เขาอาจจะหวั่นไหวก็ได้ แล้วความรู้สึกเดิมๆ ที่เขาเก็บไว้ให้บูมล่ะ มันจะหายไปหรือเปล่า หรือว่าทิวควรจะปล่อยให้มันหายไปตามธรรมชาติ ถ้าคุณเชนเป็นคนดี รักเขาจริงๆ และถ้าต่อไปเขาก็รู้สึกอย่างนั้นกับคุณเชน ทิวก็ไม่ผิดไม่ใช่หรือ
"ปะ ไปโรงพยาบาลกันเถอะ อย่ามัวแต่รีรอเดี๋ยวจะยิ่งไม่สบายไปกันใหญ่" เชนพูดขึ้นหลังจากที่เห็นทิวเงียบๆ ไปสักพัก
ทิวรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเกรงใจหรือปฏิเสธในตอนนี้จึงตกลงใจแต่โดยดี แต่ก่อนที่เชนจะพาทิวออกไป เขาก็เหลือบไปเห็นรูปภาพหนึ่งที่ทิวตั้งไว้ตรงที่เขานั่งเล่นคีย์บอร์ด เป็นรูปทิวกับผู้ชายคนหนึ่งที่เชนเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพื่อนสมัยเรียนของทิว จริงๆ เมื่อก่อนทิวเก็บรูปนี้ไว้บนหัวเตียง แต่ตอนหลังเขาก็เอามาวางไว้ใกล้ๆ กับคีย์บอร์ด เวลาที่เขานั่งเล่น เขาจะได้รู้สึกว่าบูมยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปไหน แต่เชนก็ไม่ได้ถามอะไรแม้ว่าจะสงสัยในความสนิทสนมที่แสดงออกมาให้เห็นจากภาพอยู่ก็ตาม เอาไว้ค่อยถามทีหลังแล้วกัน
--------------------------------------------------------------------
คงจะเป็นเรื่องยากทีเดียวที่ทิวจะไม่รู้สึกหวั่นไหวเมื่อมีเชนเข้ามาคอยดูแลเป็นห่วงเป็นใย ในยามที่ทิวรู้สึกเหงาและไม่มีใครเช่นนี้ เขาก็ไม่ต่างจากคนที่ลอยคออยู่ในทะเลอย่างอ้างว้าง หมดแรงเมื่อไรเขาก็คงจมลงไปในที่สุด เมื่อมีสิ่งที่เขาพอจะไขว่คว้ายึดเหนี่ยวไว้ได้ ทิวก็ต้องคว้าสิ่งนั้นเอาไว้ก่อนเพื่อความอยู่รอด
ความสัมพันธ์ของเขากับเชนก็เริ่มจะเตลิดไปไกลมากขึ้นเมื่อทิวก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะคบหากับเชน จนกระทั่งวันหนึ่งทิวก็ยอมที่จะไปค้างที่คอนโดของเชน ทิวก็พอรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็เตรียมใจมาระดับหนึ่งแล้ว ที่ผ่านมาคุณเชนก็ดีกับเขาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย คอยช่วยเหลือเขาทุกอย่าง แต่เรื่องหนี้สิน ทิวก็ยังไม่อยากให้คุณเชนเข้ามาช่วยมากนัก บางทีเขาก็ไม่แน่ใจว่าเมื่อความสัมพันธ์มันเปลี่ยนไปแล้วมันอาจจะมีปัญหายุ่งยากมากขึ้นก็ได้
"ทิวเป็นของผมนะ" เชนพูดขณะที่เขากับทิวอยู่บนเตียงด้วยกันแล้ว เชนค่อยๆ โน้มใบหน้าของเขาเข้าใกล้ใบหน้าของทิว ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ ทาบทับขึ้นมา
แม้ว่าทิวจะเตรียมตัวเตรียมใจมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่ในตอนนั้นทิวก็รู้สึกสับสน ไม่แน่ใจ กลัวและรู้สึกไม่สบายใจกับบางสิ่งบางอย่าง แต่เมื่อถูกปลุกเร้ามากเข้า ความต้องการตามธรรมชาตินั้นก็เหมือนจะมีพลังอำนาจมากกว่าความรู้สึกใดๆ ทิวจึงปล่อยตัวปล่อยใจไปกับแรงปรารถนาของร่างกายที่เตลิดจนเกินกว่าสติสัมปชัญญะจะเรียกกลับคืนมาได้ เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ แต่ก่อนที่อะไรๆ จะเตลิดไปไกลกว่านั้น ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ช่วยเรียกสติสัมปชัญญะของทิวให้กลับคืนมา
เพี๊ยะ!!!!
เสียงแส้ฟาดลงมาที่หลังของทิว แม้จะยังไม่แรงมาก แต่ก็ทำให้ทิวถึงกับสะดุ้งและร้องด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ก็ทำให้ทิวตกใจกลัวและหวาดผวาทันที
"คุณเชนอย่าครับ ผมไม่ชอบแบบนี้" ทิวรีบร้องห้ามเมื่อเชนเงื้อมือพร้อมที่ลงแส้เขาอีกครั้ง ทิวไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนที่ท่าทางใจดีและมีน้ำใจอย่างเชนจะชอบความซาดิสม์แบบนี้ได้
"ทิว...ทิวเจ็บแค่นิดเดียว แรกๆ ก็อย่างนี้แหละ ทิวอดทนหน่อยละกันนะ แต่ไม่นานทิวจะรู้ว่ามันมีความสุขมากแค่ไหน ทิวจะต้องติดใจอย่างแน่นอน เชื่อผม"
แววตาและท่าทางของเชนเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ทิวไม่เคยเห็นเชนในลักษณะเช่นนี้มาก่อนเลย แต่ไม่ว่าเชนจะพูดอย่างไร ทิวก็ไม่รู้สึกสนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เสียแล้ว
"ไม่ครับคุณเชน ผมไม่ชอบแบบนี้จริงๆ ครับ ผมขอร้องนะครับ อย่าทำผมเลย" ทิวเริ่มเสียงดังด้วยความกลัว สติสัมปชัญญะที่หายไปเมื่อสักครู่นี้กลับคืนมาหมดแล้ว
ดูเหมือนจะได้ผล เมื่อสีหน้าของเชนค่อยๆ เปลี่ยนไปเหมือนเริ่มได้สติ เขาค่อยๆ วางแส้ลงและเงียบไป
ทิวรีบหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาใส่แล้วก็วิ่งออกไปจากคอนโดของเขาทันที นับว่าโชคดีที่เชนไม่ได้ตามเขามาและไม่ได้ขู่บังคับให้เขาต้องมีเซ็กซ์แบบนั้นไปด้วย ที่โชคดีไปกว่านั้นก็คือ ทิวได้สติกลับคืนมา เขาได้แต่โทษตัวเองที่หวั่นไหวและเผลอไผลง่ายดายแบบนั้น นายลืมไปแล้วหรือว่านายรักใคร นายอย่าเป็นแบบนี้อีกนะทิว นายต้องซื่อสัตย์กับหัวใจของตัวเอง ขอให้นายเก็บสิ่งนี้เอาไว้จนกว่าจะได้เจอกับบูมอีกครั้ง ได้บอกความรู้สึกทั้งหมดที่นายมีให้บูมฟัง ไม่ให้มีสิ่งใดติดค้างในใจอีก หลังจากนั้น ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามวิถีของมัน เราจะรอนายนะบูม ไม่ว่านานแค่ไหนก็จะรอ เราจะไม่ให้ใครได้หัวใจของเราไปก่อนนาย เพราะว่านายคือคนแรกที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตเหน็บหนาวของเรา นายคือคนแรกที่เรายอมทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ เพราะว่านายคือ.........................
"รักแรก" ในชีวิตของเรา